แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันอาทิตย์ที่ ๓๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง มนุษย์ที่สมบูรณ์ ตอนที่ ๘๔ ร่างกายเป็นสิ่งที่ไม่จีรัง ยืมมาจากธรรมชาติชั่วคราว สุดท้ายต้องเสื่อมและสลายคืนธรรมชาติในที่สุด
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
การปฏิบัติพระพุทธเจ้าให้เราเข้าใจสายกลางก็คือปัจจุบัน อดีตก็ปฏิบัติไม่ได้ อนาคตก็ปฏิบัติไม่ได้ มันต้องอยู่ที่ปัจจุบัน ปัจจุบันนั้นต้องให้ศีลเกิดขึ้นที่ปัจจุบัน ให้สมาธิเกิดขึ้นในปัจจุบัน ให้ปัญญาเกิดขึ้นในปัจจุบัน เราทุกคนต้องมีสติสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อม หายใจเข้าก็ให้รู้ชัดเจน หายใจออกก็ให้รู้ชัดเจน หายใจเข้าก็ให้สบาย หายใจออกสบาย มีสติรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่ที่ปัจจุบัน แต่เราทุกท่านทุกคนยังไม่เข้าใจ ถึงแม้จะเดินจงกรม นั่งสมาธิมาก แต่ทิ้งปัจจุบันไป ธรรมะมันเป็นสิ่งที่ เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้มันถึงมีที่ปัจจุบัน จะต้องอาบัติทุกสิกขาบทก็อยู่ที่ปัจจุบัน ศีลของเราจะเกิดขึ้นได้ก็อยู่ที่ปัจจุบัน สมาธิจะเกิดขึ้นได้ก็อยู่ที่ปัจจุบัน ปัญญาจะเกิดขึ้นได้ก็อยู่ที่ปัจจุบัน
ปัจจุบันก็คือเป็นสิ่งที่สำคัญนะ เราทุกท่านทุกคนต้องรู้จัก กิเลสนั้นมันต้องอยู่ที่ปัจจุบัน เราทำอย่างนี้ๆ แหละ มันก็จะเพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้มันถึงมีอย่างนี้แหละ เราทุกคนน่ะ กรรมเก่าที่เรายึดเราถือ ในรูป เสียง กลิ่น รส ลาภ ยศ สรรเสริญ มันเกิดกับเราที่ปัจจุบัน เราต้องเอาสติ ทั้งสัมปชัญญะ เอาทั้งศีล ทั้งสมาธิ ทั้งปัญญา มาใช้ในปัจจุบัน
ถ้าเรามีสติมีสัมปชัญญะ ความกดดันด้วยอวิชชาด้วยความหลง มันจะได้อ่อนกำลัง เมื่อก่อนมันกดดันเราเหมือนแก๊ส ที่มันอยู่ในร่างกายของเราที่เรามีท้องอืดท้องเฟ้อ เมื่ออวิชชาเมื่อความหลงมันกดดันเรา เราได้ระบายออก ด้วยเราต้องไปทำตาม อวิชชาด้วยความหลง ที่มันกดดันเรา ความกดดันเหมือนแก๊สในร่างกาย แต่ที่มันเป็นแก๊สทางจิตใจ ที่ทุกคนที่ทำอะไรตามความหลง มันมีความสุข นั่นคือการไขแก๊ส ออกจากใจ ที่มันเป็นอวิชชาเป็นความหลงที่พาเข้าสู่จุดคายแม็ค ที่ได้รับในความอร่อยความแซ่บความลำความนัว ตอนนี้กำลังคายแก๊สอย่างนี้แหละ มันเป็นไปเพื่อความประกอบทุกข์ เราจะเอาแก๊สไปใช้ให้เกิดประโยชน์ มันก็ต้องมีสติมีปัญญา ก็ต้องมีถังอย่างดี ถังอย่างหนา เอาแก๊สเข้าไปอัดเก็บไว้ที่นั่น เราจะได้เอาแก๊สนั้นมาใช้พลังงานในการดำเนินชีวิต
พลังงานแห่งอวิชชาแห่งความหลง นั่นคือมันเป็นแก๊สทางจิตทางใจเราต้องเอาแก๊สไปเก็บใช้ไว้ในถังแล้วก็ปิดไว้ แล้วถึงเอามาใช้งาน สิ่งต่างๆนั้นเปรียบเสมือนแก๊สนี่แหละ เราต้องเก็บแก๊สไว้ด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา เพราะใจของเรามันคิดได้ทีละอย่าง เราต้องปิดด้วยศีล เราต้องหยุดด้วยศีล เราต้องมีความตั้งมั่นด้วยสมาธิที่ติดต่อต่อเนื่อง ทีนี้เราต้องเผาแก๊สนั้นด้วยปัญญา โดยมีความเห็นถูกต้องความเข้าใจถูกต้อง แล้วปฏิบัติถูกต้อง ว่าแก๊สนั้นแก๊สนี้ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน มันเป็นพลังงานที่สะสมมันรวมกันเป็นกระแสเป็นกระบวนการ ต้องเผาด้วยอนิจจัง คือความไม่แน่ไม่เที่ยง ทุกขังมันเป็นไปเพื่อประกอบทุกข์ เราต้องหยุดตัวเองด้วยศีล มีความตั้งใจมั่นติดต่อต่อเนื่องเรียกว่าสมาธิ จึงจะทำให้เราหยุดเวียนว่ายตายเกิด มันเป็นอนัตตา เพราะทุกอย่างไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เป็นเพียงเหตุเพียงปัจจัย เราเผาไปเรื่อยๆ เดี๋ยวทุกอย่างมันก็หมดอยู่ในถังนั่นเอง หมดเพราะเราไม่ได้สร้างโรงงาน เราหยุดโรงงาน เราเลิกโรงงาน
พวกที่มีสติ มีสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อมมันจะตัดเรื่องอดีต และจะตัดเรื่องอนาคต เราจะได้จัดการตัวเองในปัจจุบัน เราจะเป็นได้ทั้งความสงบ เป็นได้ทั้งถึงปัญญา ในปัจจุบัน เรียกว่าสมถะ และวิปัสสนา เวลาเราไปทำงานใจของเราต้องอยู่กับงานเหล่านั้นในปัจจุบัน เราจะได้ปฏิบัติติดต่อ ต่อเนื่อง ใจของเราจะได้มีความสุขในการทำงาน ตามอริยมรรค ที่ในปัจจุบัน เราต้องตั้งใจ เราต้องสมาทาน ถ้าเราไม่ตั้งใจ แสดงว่ามันล้ม ล้มนี้ก็หมายถึงภาชนะที่เราใส่น้ำ ถ้ามันล้มแล้ว เราไม่ได้ตั้งอย่างนี้มันก็เก็บน้ำไม่ได้ เรารักษาศีลถึงเป็นการสมาทาน เป็นการตั้งใจ มันถึงจะเกิดสัมมาสมาธิโดยธรรมชาติ ความสุขความดับทุกข์ของมนุษย์มันถึงจะเกิดได้ มีได้ ในปัจจุบัน ร่างกายของคนเรานี้มันไม่รู้อะไรหรอก เพียงแต่รับผัสสะ รับอะไรเฉยๆ เราต้องเน้นที่จิตที่ใจ เราต้องบังคับตัวเอง ทบทวนตัวเอง อันนี้มันเป็นเรื่องความสงบ เป็นเรื่องความเย็น มันเรื่องสติ เรื่องปัญญา มันมีความสงบ มีความวิเวก มันเป็นสิ่งที่ปราศจากกาม ถ้าเราเอาตั้งแต่สติสัมปชัญญะ เอาตั้งแต่อานาปานสตินี้ หรือเอาแต่พุธโธนี้ก็มันก็ได้แต่สติ ได้แต่สัมปชัญญะ ได้ตั้งแต่พุธโธ มันยังไม่เพียงพอ
พระพุทธเจ้าถึงให้ภิกษุ สามเณร พุทธบริษัททั้ง ๔ รู้จักพิจารณาร่างกายสู่พระไตรลักษณ์ ให้แยกสรีระร่างกายออกมาเป็นชิ้นเป็นส่วน จากร่างกายจิตใจ เช่นเอาผมออก ก็จะเหมือนกับพระภิกษุสามเณร ที่ปลงผมออก เหมือนกับภิกษุณี คุณแม่ชี เหมือนกับสิกขมานา สามเณร สามเณรี ก็จะเป็นผู้มีศรีษะโล้น ถ้าเราเอาหนังออกหมดอย่างนี้ มันก็ไม่รู้ว่าเป็นใครหรอก ถ้าผู้ที่ไม่ได้เป็นแพทย์ เป็นพยาบาลก็ไม่รู้ว่าโครงสร้างนี้เป็นผู้หญิง ผู้ชาย พระพุทธเจ้าให้เรารื้อสรีระร่างกาย ออกให้เป็นชิ้นเป็นส่วน รื้อออกให้มันครบ อาการ ๓๒ ทำอย่างนี้แหละ สำหรับพระภิกษุ สามเณรแม่ชี นักบวชหญิงอย่างนี้น่าจะทำ วันหนึ่งซัก ๒-๓ ครั้ง เพื่อพัฒนาตัวเอง เพื่อจะได้ถอดความยึดมั่น ถือมั่น ว่าเราเป็นตัวเป็นตน ว่าเป็นผู้หญิง ว่าเป็นผู้ชาย ถ้าเป็นประชาชนที่ไม่ได้บวชนี้ก็ น่าจะตอนกลางคืนก่อนนอน ก่อนพักผ่อน น่าจะพิจารณาทุกๆ วัน
ส่วนใหญ่น่ะเราไม่รู้จักการประพฤติการปฏิบัติ เราเลยไม่ทันกาล ไม่ทันเวลา เพราะเรามันไม่รู้ความหมายในการปฏิบัติ พระพุทธเจ้าถึงให้เราเอาทั้งสมถะ ทั้งวิปัสสนา คือมีสติสัมปชัญญะ เอาทั้งตัวปัญญาว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้น ล้วนแต่เป็นของไม่เที่ยง เป็นของไม่แน่ เป็นของไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ให้พากันเข้าใจอย่างนี้ ถ้าเราจัดการกับตัวเองไม่ได้ในปัจจุบัน ถือว่าเราไม่มีการประพฤติการปฏิบัติ เราจะไม่เข้าถึงสภาวะธรรม เราเข้าถึงแต่สภาวะที่มันเป็นอวิชชา เพราะของอร่อย รูปมันก็อร่อย เสียงมันก็อร่อย รสมันก็อร่อย โผฏฐัพพะมันก็อร่อย เราก็เลยติดในความอร่อย เราไม่ยอมพิจารณาสู่พระไตรลักษณ์ เพราะความกำหนัดยินดีความย้อมใจ มันมีปัญหา มีอิทธิพลต่อเรา
เราก็ขอโอกาสของตัวเองไปเรื่อย ไม่จัดการกับสิ่งที่ควรจัดการ ถึงแม้เราจะพากันไปเดินจงกรม นั่งสมาธิ อันนั้นมันเป็นการฝึกซ้อมเฉยๆ แต่ตัวจริงมันอยู่ที่ปัจจุบันนะ ปัจจุบันนี้ต้องจัดการ ยังไม่พอ เราต้องพิจารณาพระไตรลักษณ์ แยกชิ้น แยกส่วน แยกรูป แยกนาม เพื่อสติสัมปชัญญะของเราจะได้เข้มแข็ง เราอย่าไปใจอ่อน เราก็เห็นภัยเห็นโทษในวัฏฏะสงสาร ถึงจะสวยที่สุดก็ต้องจากไป ถึงจะสะดวกสบายที่สุดก็ต้องจากไป เราต้องใจเข้มแข็ง สัมมาสมาธิ เราต้องตั้งมั่น นักปฏิบัติก็ถึงเป็นการยืดเยื้อ เพราะว่าเราไม่ประพฤติไม่ปฏิบัติตัวเอง
เราต้องทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้แหละ ให้มันติดต่อกันหลายวัน หลายสัปดาห์ ความก้าวหน้าถึงจะเป็นไปได้ เราถึงสามารถถึงจะเป็นพระอริยเจ้าได้ การปฏิบัติมันอยู่กับเราทุกหนทุกแห่ง เพราะรูป ที่เค้าแต่งมาถ้าจะพูดโดยแจ่มแจ้งก็คือ เค้าแต่งมาเพื่อประเล้าประโลมให้คนหลง เสียงที่เค้าแต่งมาทั้งดนตรี ทั้งตั้งใจพูด หรือว่าดนตรีไทย ดนตรีจีน ดนตรีฝรั่ง เสียงเพศตรงกันข้ามพวกนี้ ก็คือสิ่งที่ประเล้าประโลมเรา หลอกล่อ ยั่วยวนเรา “อิตฺถีสทฺโท วิย หิ อญฺโญ สทฺโท ปุริสานํ สกลสรีรํ ผริตฺวา ฐาตุง สมตฺโถ นาม นตฺถิ. เตนาห ภควา "นาหํ ภิกฺขเว อญฺญํ เอกสทฺทมฺปิ สมนุปสฺสามิ, โย เอวํ ปุริสสฺส จิตฺตํ ปริยาทาย ติฏฺฐติ; ยถยิทํ ภิกฺขเว อิตฺถีสทฺโทติ. จริงอยู่ ไม่มีเสียงอื่น ชื่อว่าสามารถแผ่ไปทั่วสรีระของบุรุษทั้งหลายตั้งอยู่ เหมือนเสียงหญิง, เหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย เราไม่เห็นเสียงอื่นแม้สักอย่าง อันจะยึดจิตของบุรุษตั้งอยู่ เหมือนเสียงหญิง นะภิกษุทั้งหลาย.”
ทุกคนต้องประพฤติปฏิบัติ ต้องมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง อย่าไปใจอ่อน เพราะคนเราเจอรูปก็ทำให้เราใจอ่อน ฟังเสียงก็ทำให้เราใจอ่อน เราต้องผ่านมันไป เราประพฤติปฏิบัติไปเรื่อยๆ เดี๋ยวมันก็ชำนิชำนาญ เพราะผิดมันก็ต้องเป็นครู ถูกมันก็ต้องเป็นครู ต้องทำให้ชำนิชำนาญ เรียกว่าเป็นวสี เพราะมันจะเป็นสัญญาขันธ์ คนเราถ้าคิด เรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ถ้าเราทำติดต่อกันหลายอาทิตย์มันจะเป็นสัญญาขันธ์ในสิ่งที่ดี ถ้าเราทำตามใจตัวเอง ตามอารมณ์ตัวเอง มันก็จะเป็นความหลง เป็นสัญญาขันธ์ในทางหลง คนทางโลกทางวัฏสงสาร เค้าหาแต่เงิน หาแต่สตางค์ หาแต่ลาภแต่ยศ อย่างนี้ไม่ได้ มันเป็นอารมณ์ของสวรรค์ พวกกินอร่อย ฟังอร่อย ในความสวยความงาม พวกนี้มีแต่เมาความหลงของตัวเอง มัวแต่เมาความคิดของตัวเองเค้าเรียกว่า เล้าโลม เพราะว่ามันเป็นการหลง หลงอารมณ์ของตัวเอง หลงโลก หลงวัฏสงสาร คือผู้ที่ตั้งอยู่ในความเพลิน ความประมาท ยังยิ้มกระย่องกระเเย่ง ผ่องใส อวดคุย โอหัง เพราะเราต้องมีปัญญามากกว่า เราอย่าไปหลง ส่วนใหญ่ครั้งพุทธกาล พระท่านพิจารณาร่างกาย พระหรือประชาชน พิจารณาร่างกายก็เป็นพระอริยะเจ้ากันตั้งเยอะ เพราะว่าเป็นสิ่งที่พิจารณาได้ง่าย ถ้าเวทนามันก็ยากขึ้นอีก ถ้ากายมันมองเห็นง่าย ถ้าเรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง มันก็จะไปของมันเอง ทุกคนจะไปอยู่แห่งหนตำบลใด ให้พากันประพฤติปฏิบัติ ทุกคนล้วนดำเนินไปสู่ความเปลี่ยนแปลง ดำเนินไปสู่ความเกิดแก่เจ็บตาย พลัดพราก
ครั้งหนึ่งมีพระฝรั่งบวชใหม่คิดถึงแฟนที่บ้านเกิดเมืองนอนของตน เมื่อโดยสารรถไปกับหลวงพ่อชา ท่านก็แนะนำพระฝรั่งรูปนั้นว่า ให้เขียนจดหมายไปหาเธอ ขอให้ส่งของส่วนตัวบางอย่างมาให้ เพื่อหยิบของชิ้นนี้ขึ้นมาชื่นชมทุกครั้งที่คิดถึง พระฝรั่งประหลาดใจมาก เพราะไม่คิดว่าเป็นพระแล้วจะทำได้ นึกในใจว่าท่านคงเข้าใจเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ของคนหนุ่ม แต่แล้วสิ่งที่ท่านพูดต่อมาก็ทำให้เขาแทบหงายหลังตึง หลวงพ่อบอกว่า "คุณควรขอให้เธอส่งขี้ใส่ขวดมาให้ แล้วเมื่อไรที่คุณคิดถึงเธอ คุณจะได้หยิบขวดขี้ของเธอออกมาสูดดม"
ต้องระลึกอย่างนี้บ่อยๆ ให้เป็นองค์ภาวนา พิจารณาเห็นความไม่งามของร่างกายอสุภสัญญา อสุภสัญญา แปลว่า พิจารณาเห็นความไม่งาม ถามว่าอะไรไม่งาม พระพุทธเจ้าได้ตรัสให้พิจารณาส่วนต่างๆ ในร่างกาย ตั้งแต่พื้นเท้าขึ้นไป ตั้งแต่ปลายผมลงมา ว่าเต็มไปด้วยของไม่สะอาดมีประการต่างๆ มีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ มีของไม่สะอาดด้วยประการต่างๆ คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า อันนี้เป็นธาตุดิน มีเสลด หนอง เลือด เหงื่อ มันข้น น้ำตา เปลวมัน น้ำลาย น้ำไขข้อ น้ำมูก น้ำปัสสาวะ หรือมูตร อันนี้เป็นธาตุน้ำ ให้พิจารณาโดยความเป็นของปฏิกูล คือไม่สะอาดในร่างกายนี้
เพื่ออะไร เพื่อความไม่ยึดติดในร่างกาย ไม่ยึดมั่นผูกพันในร่างกายทั้งของตนและของผู้อื่น ที่จริงโดยทั่วไปในกรรมฐาน พูดถึงอสุภกรรมฐานท่านบอกว่าให้พิจารณาอสุภะ คือ ร่างกายของผู้อื่นที่เป็นศพ เป็นซากศพ ๙ ระยะที่เรียกว่า นวสีวถิกา ซากศพ ๙ ระยะ ตั้งแต่ตายวันแรก ๒ วัน ๓ วัน เรื่อยไป จนถึงเหลือแต่กระดูกป่นๆ
ในคิริมานันทสูตรนี้ ท่านอธิบายเป็นความไม่สะอาดในร่างกาย คือ อาการ ๓๒ ร่างกายประกอบด้วยธาตุ ๔ ดิน น้ำ ไฟ ลม แล้วก็มีสิ่งปฏิกูลซึมซาบอยู่ทั้งภายในและภายนอก สิ่งภายในกายที่ไหลออกภายนอกแล้ว ไม่มีใครปรารถนาจะถูกต้อง เจ้าของร่างกายเองก็รังเกียจ ไม่ต้องพูดถึงคนอื่น เมื่อระลึกไว้เสมอเช่นนี้ ความพอใจในกายก็จะคลายลง ทำให้ไม่ต้องเสียเวลามาก ไม่ต้องเสียเงินเสียทองมาก ในการตกแต่งประดับประดาร่างกาย คืออยู่อย่างธรรมชาติก็ได้ ก็พิจารณาให้เห็นจริงว่า ความสวยก็อยู่เพียงแค่ผิวหนังเท่านั้น เจาะผิวหนังลงไปก็มีแต่เนื้อเลือด น้ำหนอง ไม่มีอะไรสวยแล้ว มีสุภาษิตภาษาอังกฤษกล่าวว่า Beauty is but skin-deep. ความสวยอยู่ลึกเพียงแค่ผิวหนังเท่านั้น เลยไปก็ไม่สวยแล้ว จิ้มลงไปก็มีเลือดออก เอาหนังออกก็ดูไม่ได้เลย
ในคัมภีร์วิสุทธิมรรคท่านบอกว่า ถ้ากลับเอาภายในร่างกายไว้ภายนอก เหมือนเรากลับเสื้อหรือกางเกงข้างในเอาไว้ข้างนอก จะเป็นอย่างไร ท่านบอกว่าพวกนกพวกกาพวกหมาก็คงไล่ตามกันเป็นกลุ่ม ๆ เจ้าของกายคงต้องถือไม้ไล่สัตว์เหล่านั้นเป็นแน่
ถ้าสังเวชสลดใจอยู่กับร่างกายดังนี้ จิตก็จะสงบลง สุขภาพจิตก็จะดีขึ้น คือเห็นใครสวยกว่าก็ไม่ริษยา เห็นใครเขาขี้เหร่กว่าก็ไม่ดูถูกเขา เพราะคิดได้ว่า มันก็เพียงแค่ผิวหนังเท่านั้นเอง อันนี้สำคัญ
ถ้าเห็นใครสวยกว่าแล้วไม่ริษยาเขา เห็นใครขี้เหร่กว่าก็ไม่ดูถูกเขา คิดว่ามันก็เพียงแต่ผิวหนังนั่นเอง ยิ่งพอตายลงก็หมดค่าเลย เคยมีราคาเท่าไหร่ มีค่าเท่าไหร่ พอตายลงก็หมดค่าเลย สิ่งปฏิกูลที่เคยปิดบังกันมานาน ก็ปรากฏให้เห็นชัดเจนมากขึ้น คนที่เคยรักก็เบือนหน้าหนี ไม่กล้าอยู่ด้วยสองต่อสอง เพราะว่าตอนนี้ไม่ได้เป็นคนแล้ว เป็นผีแล้ว เป็นศพไปแล้ว ต้องมีคนคอยอยู่เป็นเพื่อนมากมาย แล้วก็พาไปเผา พอเผาเสร็จแล้ว ก็ขอร้องวิงวอนว่าไปที่ชอบๆ เถอะ คืออย่ามายุ่งกันอีกเลย ทำนองนั้น ไม่ต้องห่วงอะไรทางบ้านอย่างนี้เป็นต้น
ความไม่เที่ยงของร่างกาย ร่างกายเป็นสิ่งที่ไม่จีรังเป็นสิ่งที่เรายืมมาจากธรรมชาติชั่วคราว สุดท้ายต้องเสื่อมและสลายคืนธรรมชาติในที่สุด การเสื่อมของร่างกายจึงเป็นเรื่องที่แน่นอนและธรรมดาที่สุดในโลกนี้แต่หลายครั้งกับหลายคนที่เป็นทุกข์เพราะอยากยึดไว้ ไม่อยากให้เสื่อม บางคนทุกข์เพราะหน้าเริ่มมีตีนกาขึ้น บางคนทุกข์เพราะเป็นโรคต่างๆที่เกิดจากร่างกายเสื่อมถอยบางคนทุกข์เพราะพยายามไปยื้อ ให้ร่างกายดูอ่อนเยาว์ตลอดเวลาบางคนก็ทุกข์ก็ไปยึดติดลุ่มหลงในกายของคนอื่นร่างกาย เป็นสิ่งที่เสื่อมแน่นอน เดี๋ยวนี้มีศาสตร์ชะลอวัย แต่ก็ทำได้แค่ชะลอเทคโนโลยีไปไกลแค่ไหน แต่สุดท้ายยังไงก็ต้องเสื่อมลง แทนที่เราจะทำใจและเข้าใจให้รู้แจ้งเห็นจริงและคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติ ที่ไม่มีใครหนีได้ มีแต่ช้าหรือเร็วเท่านั้น แต่พวกเรากลับ...พยายามฝืนความเป็นจริงของธรรมชาติและทุกข์กับความเป็นจริงของธรรมชาติ
ความจริงที่เราเห็นอีกอย่างก็คือ...ต่อให้ร่างกายภายนอก ผม ขน เล็บ ฟัน หนังสวยงามแค่ไหนพอตายไปไม่กี่วัน ทุกคนจะกลับมาหน้าตาเหมือนกันหมดอยู่ดี อยู่อย่างเข้าใจมัน เข้าใจธรรมชาติ เข้าใจความเป็นไป และอย่าไปยึดมั่นถือมั่นเลย ร่างกายจริงๆ มันก็ไร้สาระ มีสาระอยู่แต่คุณงามความดีที่มีอยู่กับร่างกาย คนฉลาดจึงพยายามที่จะทำร่างกายนี้ให้เป็นประโยชน์ ให้เป็นสาระ คือใช้สิ่งที่ไม่เป็นสาระให้มันเป็นสาระ ให้มันเป็นประโยชน์โดยตัวมันเอง
รูปทั้งหลายที่ตาเห็น เช่นร่างกายนี้ของกันและกัน ก็เห็นแค่ผมขนเล็บฟันหนัง ใต้หนังเข้าไปก็มองไม่เห็น และผมขนเล็บฟันหนังนั้นก็เป็นไปตามวัย เมื่ออยู่ในวัยที่งดงามเปล่งปลั่ง ก็งดงามเปล่งปลั่ง เมื่อผ่านวัยที่งดงามเปล่งปลั่งไปแล้ว ก็ทรุดโทรมชำรุด และก็ประกอบอยู่ด้วยสิ่งที่ไม่งดงาม
และที่สกปรกภายในผืนหนังที่หุ้มห่ออยู่นี้เป็นอันมาก ถ้าเปิดออกมาดูแล้ว เจาะก็จะไม่ปรากฏเป็นสิ่งที่งดงามน่ารักน่าชม แต่เป็นสิ่งที่น่าเกลียด ทั้งโดยสี ทั้งโดยสัณฐาน ทั้งโดยกลิ่น ทั้งโดยที่เกิด ทั้งโดยที่อยู่ เพราะฉะนั้น ความงดงามที่ปรากฏอยู่จึงมีอยู่แค่ผมขนเล็บฟันหนังที่ตามองเห็น และที่กำลังอยู่ในวัยที่เปล่งปลั่ง และที่ได้มีการตบแต่ง มีการชำระล้างตบแต่งไว้แล้ว
เสียงก็เช่นเดียวกัน ก็สักแต่ว่าเป็นเสียง จะเป็นเสียงนินทาเสียงสรรเสริญ ก็เป็นแค่เสียง ความเป็นเสียงนั้นจะเป็นนินทาก็ตาม จะเป็นสรรเสริญก็ตาม ไม่แตกต่างกัน เหมือนอย่างลมที่พัดมากระทบตัวเองของทุกๆ คน จะมาทางทิศไหนก็ไม่ต่างกัน จะพัดเบาพัดแรงก็เป็นลม แต่ว่าเพราะมีภาษา คือเสียงนั้นเองเป็นภาษา และก็มีสมมติภาษานั้นขึ้น บัญญัติภาษานั้นขึ้น สำหรับสื่อให้รู้จิตใจของกันและกัน จึงทำให้ติดในสมมติบัญญัติตามที่เสียงแสดงออก
แต่ว่าเสียงที่แสดงออกไว้เป็นภาษานั้นไม่ใช่ว่าจะเป็นความจริง ทั้งสรรเสริญทั้งนินทา ในเมื่อสรรเสริญผิดนินทาผิด เช่นว่าทำชั่ว สรรเสริญว่าทำดี ก็ไม่ทำให้ผู้ที่ถูกสรรเสริญว่าดีนั้นดีขึ้นมาได้ ต้องชั่วตามที่ตนทำนั้นเอง เมื่อทำดีแต่ถูกนินทาว่าชั่ว ก็ไม่ทำให้ความดีกลับเป็นความชั่วได้ เมื่อทำดีก็คงเป็นทำดีอยู่นั่นเอง แต่ว่าบุคคลติดในสมมติบัญญัติของภาษา จึงได้มีนินทามีสรรเสริญ ทำให้เสียงที่สักแต่ว่าเป็นลม หรือดังที่เรียกว่าลมปาก มีพลังอำนาจขึ้น ด้วยการที่มายึดถือในสมมติบัญญัติ เป็นภาษาของเสียง
กลิ่นนั้นจะเป็นอย่างไรก็แค่ประสาทจมูก พ้นประสาทจมูกไปแล้วก็ไม่ปรากฏว่าเป็นอย่างไร รสนั้นก็เช่นเดียวกัน อร่อยหรือไม่อร่อย ที่ชอบใจหรือไม่ชอบใจก็อยู่แค่ลิ้น พ้นประสาทลิ้นไปถึงคอแล้ว ความอร่อยไม่อร่อยต่างๆ ก็ไม่ปรากฏ สิ่งที่กายถูกต้องก็เหมือนกัน ก็ปรากฏว่าเป็นอย่างไรอยู่แค่กายประสาท พ้นกายประสาทเข้าไปแล้วก็ไม่ปรากฏเป็นความรู้สึกอย่างใด ธรรมะคือเรื่องราวทางใจต่างๆ ที่จิตมาปรุงคิดหรือคิดปรุง ก็ปรากฏเป็นอย่างนั้นอย่างนี้อยู่ที่ความปรุง
เหมือนอย่างพ่อครัวที่ปรุงอาหาร จะปรุงให้มีรสเค็มก็เค็ม จะปรุงให้มีรสเปรี้ยวก็เปรี้ยว จะปรุงให้เป็นมีรสหวานก็หวาน จิตก็เหมือนกันจะปรุงให้ชอบก็ชอบ จะปรุงให้ชังก็ชัง จะปรุงให้หลงก็หลง ถ้าจิตไม่ปรุงเสียอย่างเดียวชอบชังหลงก็ไม่ปรากฏ สิ่งเหล่านี้เป็นมายาทั้งนั้น แต่ว่าจิตนี้เพราะยังมีอวิชชาอยู่ จึงไม่รู้ถึงสัจจะคือความจริง รู้แค่มายา ก็ติดอยู่แค่มายา และปรุงแต่งกันอยู่แค่มายา โลกเป็นดั่งนี้
ในพระธรรมบทก็ยังมีพระสาวก สาวิกาของพระพุทธองค์ที่ได้ดู ได้ฟัง ได้พิจารณาเรื่องของอสุภกัมมัฏฐาน ความไม่สวยไม่งามในร่างกาย เป็นสิ่งปฏิกูล แล้วทำให้เกิดมรรคเกิดผล ตัวอย่างเช่นในเรื่องของนางสิริมา เธอเป็นโสเภณีซึ่งเป็นหญิงงามประจำกรุงราชคฤห์ มีอยู่พรรษาหนึ่ง มีคนมาเช่าคือ นางอุตรา นางอุตราเป็นพระโสดาบัน เธอเป็นลูกสาวของนายปุณณเศรษฐี และเป็นภรรยาของบุตรเศรษฐีชื่อว่าสุมนะ นางอุตราได้มาเช่านางสิริมาไปให้แก่สามี เนื่องจากต้องคอยบำรุงบำเรอสามีจนไม่มีเวลาทำบุญ สุดท้ายนางสิริมาลืมตัวไปว่าเป็นเมียเช่า เกิดหึงหวงถึงขั้นทำร้ายนางอุตรา แต่สุดท้ายก็สำนึกผิดได้ไปขอโทษนางอุตรา และมีโอกาสได้ฟังเทศน์ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า กระทั่งได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน ซึ่งพระพุทธเจ้าได้เทศน์ในเรื่อง ‚พึงชนะคนโกรธด้วยความไม่โกรธ พึงชนะคนไม่ดีด้วยความดี พึงชนะคนตระหนี่ด้วยการให้ แล้วพึงชนะคนพูดพร่อยด้วยคำจริง ครั้นพระพุทธเจ้าเทศน์จบนางก็บรรลุเป็นพระโสดาบัน จากที่นางได้บรรลุแล้ว นางก็ได้นิมนต์พระพุทธเจ้าให้ไปถวายทาน แล้วก็ตั้งภัตรไว้วันละ ๘ ที่ นิมนต์พระสงฆ์ไปฉันที่บ้าน ๘ รูปทุกวัน อาหารที่นางถวายก็ประณีตอร่อยเหลือเกิน พระรูปหนึ่งพอได้ฟังเรื่องเพื่อนพระด้วยกัน บรรยายสรรพคุณความสวยของนางสิริมา ก็เหมือนโดนศรรักปักทรวง ตั้งแต่ยังไม่เห็นหน้านางสิริมาอยู่ก็นึกรักขึ้นมา ก็ปรากฏว่าขณะนั้นมีการจัดคิวเพื่อที่จะไปบิณฑบาต พระรูปนี้จึงรีบรับอาสา พระที่จัดคิวนิมนต์บอกว่าพรุ่งนี้ท่านก็จะได้เป็นประธานฉันอาหารในบ้านของนางสิริมา
ครั้นถึงเวลาเช้าในวันนั้นนางสิริมาเกิดอาการป่วยขึ้นมา แต่คัมภีร์ก็ไม่ได้บอกว่าป่วยเป็นโรคอะไร ก็ปรากฏว่าเมื่อพระคุณเจ้ามานางก็ป่วย ก็สั่งคนใช้ให้ดูแลพระคุณเจ้าถวายอาหาร ถวายข้าว ถวายภัตร แล้วก็รับพร ขณะนั้นร่างกายก็แย่เต็มทีต้องให้คนใช้ช่วงพยุง เมื่อพระภิกษุรูปนี้เห็นหน้าของนางสิริมาที่ไม่ได้ประทินแต่งโฉมแต่ประการใด ท่านก็นึกอยู่ในใจว่าคนอะไรสวยจริงๆ ขนาดยังไม่ได้แต่งตัวและป่วยยังสวยขนาดนี้ หากนางไม่ได้เจ็บป่วยแต่งตัว แต่งหน้า ทาปาก ใส่เสื้อผ้าอาภรณ์ที่มีราคา นางจะสวยเพียงใดกัน พระรูปนี้แทนที่จะนึกปลง มีแต่สุภะ สุภะ สวยตลอด ก็ปรากฏว่ากิเลสที่สั่งสมไว้ไม่ว่าเกิดกี่ชาติ ก็มีแต่เรื่องสวยๆ อยู่ในจิต ท่านก็ไม่ได้มีใจที่จะเจริญกรรมฐาน กลับไปก็ฉันข้าวไม่ได้ โรครักกำเริบ นอนอดอาหาร
ปรากฏว่าวันนั้นที่ท่านรับบาตรจากนางสิริมา นับเป็นเรื่องบังเอิญที่นางสิริมาก็ถึงแก่กรรมในวันนั้น พระเจ้า พิมพิสารจึงส่งราชสารไปทูลพระพุทธเจ้า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า บัดนี้นางสิริมาผู้เป็นหญิงงามเมืองและเป็นน้องสาวของหมอชีวกโกมารภัจจ์ ผู้แพทย์ประจำพระองค์ ได้ถึงแก่กรรมแล้ว พระพุทธเจ้าก็ส่งข่าวไปทูลพระเจ้าพิมพิสารว่า มหาบพิตร ขอพระองค์อย่าเพิ่งให้ใครมาเผาศพนางสิริมา และสั่งให้พักศพไว้ในป่าช้า สั่งทหารให้เฝ้าให้ดีอย่าให้แร้งกามาจิกกิน ครั้นครบ ๓ วันผ่านไป ร่างกายเริ่มขึ้นอืด สรีระขึ้นพอง แสดงว่าเจริญอุทธุมาตกะ ๑ ใน อสุภ ๑๐ จากนั้นก็เจริญปุฬุวกะ คือ อสุภ ว่าด้วยหนอนก็ได้ ตอนนั้นร่างกายของนางมีหนอนชอนไชยั้วเยี้ยเต็มไปหมด ร่างกายทั้งหมดมันแปลกมันปริไปหมด พระเจ้าพิมพิสารจึงสั่งราชบุรุษให้ตีฆ้องร้องป่าวให้ทั่วพระนครยกเว้นเด็กที่เฝ้าบ้านว่า ถ้าใครไม่มาดูนางสิริมา ถูกปรับเป็นเงินสินไหม ๘ กหาปณะ แล้วก็ทรงข่าวไปทูลพระพุทธเจ้าว่า ขอให้ภิกษุทรงมีพระพุทธเจ้าเป็นประธานจงมาดูนางสิริมาเถิด
ในขณะนั้นที่พระหนุ่มที่ถูกศรรักปักทรวงอดอาหารมา ๓-๔ วัน กินข้าวไม่ได้ ปรากฏว่ามีพระเพื่อนมากระซิบข้างหูบอกว่า พระพุทธเจ้าจะพาไปเยี่ยมนางสิริมา แม้ขนาดถูกความหิวเข้าบดบัง ก็ยังสู้ไฟรักในใจไม่ได้ ท่านไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับนางสิริมา สภาพใบหน้าสวยๆ ลอยมาอยู่ตลอดเวลา แต่ท่านก็คิดว่าทำยังไงหลวงพี่จะได้เห็นหน้าเธอ เมื่อพระเพื่อนกันมาบอกว่าพระพุทธเจ้าจะไปเยี่ยมนางสิริมา จะไปดูนางสิริมา จะไปด้วยไหม ท่านจึงรีบตอบตกลงทันที แล้วก็จัดการเดินทางไป ระหว่างทางก็นึกในใจว่าอีกไม่นานจะได้เจอแล้วแม่นางแก้วของพี่
ครั้นพระพุทธเจ้าก็พาไปจนกระทั่งถึงป่าช้า ในที่นั้นก็มีทั้งภิกษุสงฆ์ อุบาสก อุบาสิกา ยืนกันอยู่พระพุทธเจ้าก็รับสั่งถามว่า นี่ใครกันหรือมหาบพิตร ทั้งเน่าทั้งอืด ทั้งหนอนยั้วเยี้ยไปหมด กลิ่นก็แรง พระราชาเป็นประธานฝ่ายฆราวาสก็ทูลว่านี้แหละคือนางสิริมาจริง พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า ถ้าอย่างนั้นขอให้มหาบพิตรตีกลองโฆษณาไปว่าถ้าใครให้ทรัพย์พันหนึ่ง ผู้นั้นจะได้นางสิริมาไป ก็ปรากฏว่าไม่มีใคร พระพุทธเจ้าก็สั่งประมูลค่าตัวนางสิริมาและตรัสว่า ภิกษุทั้งหลายจงมาดู นี่คือมาตุคามที่เป็นที่รักของมหาชน เห็นปานนี้ที่ซึ่งถึงความเสื่อมไปและความสิ้นไป จงมาดูอัตภาพที่ไม่มีความยั่งยืนและไม่มีความมั่นคง อันกรรมทำให้วิจิตรแล้วมีกายเป็นแผล เป็นแผลก็คือช่องต่างๆ ตา หู จมูก อันกระดูก ๓๐๐ ท่อนยกขึ้นมา อันอาดูรที่มหาชนกำหนัดกันเป็นส่วนมาก
ปรากฏว่าขณะที่พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมอยู่ ก็ทำให้พระรูปนั้นเกิดความเบื่อหน่าย จากภาพที่เคยสวยกลายเป็นภาพศพเน่าอืด และเมื่อได้ฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้าจบ ท่านก็ได้บรรลุโสดาปัตติพล เป็นพระอริยบุคคลเบื้องต้นในพระพุทธศาสนา ส่วนนางสิริมาพอตายไปก็ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นยามา และกลับมาฟังธรรมของพระพุทธเจ้าที่หน้าศพของตัวเองได้บรรลุธรรมเพิ่มอีกสองขั้นเป็นระดับอนาคามี
เดี๋ยวนี้ธรรมะในโลกนี้มันต้องพากันปฏิบัติธรรมะทั้งหมด เราจะได้แชร์ความดับทุกข์เหมือนๆ กัน ให้พากันเข้าใจ ทรัพย์สมบัติและอริยทรัพย์ที่ประเสริฐ มนุษย์เราต้องพัฒนาอย่างนี้ทำอย่างนี้ไป มันต้องอาศัยหลายวัน หลายเดือน ต้องถือนิสัยของพระพุทธเจ้าติดต่อกัน พระพุทธเจ้าบอกว่าไม่เกิน ๕ ปี นิสัยของปุถุชนมันก็จะเปลี่ยนไป เป็นนิสัยของพระอริยเจ้า ถ้าเราไม่ถือนิสัยของพระพุทธเจ้ามันไม่ได้ เราดูตัวอย่าง อย่างผู้ที่จะเป็นพระอริยเจ้าเป็นพระอรหันต์เขาพากันทำอย่างนี้ เขาจะไม่เป็นผู้มีปัญญา นักปรัชญา จิตวิทยา มันต้องพากันเข้าใจเราจะได้ใช้ทรัพยากรแห่งความเป็นมนุษย์ของเรานี้ที่ถูกต้อง เราอย่าไปทิ้งความถูกต้อง ทิ้งความเป็นธรรม ทิ้งความยุติธรรม โลกนี้ความเป็นอยู่จะไม่ได้ว่างจากความดับทุกข์ เป็นพระนิพพาน
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee