แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันอังคารที่ ๓๐ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง มนุษย์ที่สมบูรณ์ ตอนที่ ๘๓ รู้จักพลังงานแห่งความหลง ที่เป็นเหมือนแก๊สหมักหมมอยู่ในใจ
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ความไม่รู้ความไม่เข้าใจในการดำเนินชีวิตเป็นเหตุเป็นปัจจัย ให้ทุกท่านดำเนินชีวิต ไปด้วยการประกอบความทุกข์ พระพุทธเจ้าคือผู้รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ ได้หยุดเหตุหยุดปัจจัย แห่งการเวียนว่ายตายเกิด เราทุกคนนั้นมันคิดได้ทีละอย่าง มันปฏิบัติได้ทีละอย่างเมื่อมันเป็นเช่นนี้ พระพุทธเจ้าถึงตรัสทางสายกลาง ที่บรรพชิตให้พากันรู้ทุกข์รู้เหตุเกิดทุกข์ ว่าทาง ๒ อย่างนั้น อย่าพากันคิด อย่าพากันปฏิบัติ เพื่อความชอบใจและความไม่ชอบใจ ความชอบใจนั้นคือกาม ความไม่ชอบใจนั้นคือพยาบาท สัมมาทิฏฐิมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง พากันหยุดตรึกในกาม พากันหยุดตรึกในพยาบาท เพราะใจของเรามันคิดได้ทีละอย่าง ถ้าเราไปตรึกในกามไปตรึกในพยาบาท เรากำลังสร้างเหตุสร้างปัจจัยให้เราพากันเวียนนวายตายเกิด เราต้องหยุดเวียนว่ายตายเกิด โดยมารู้เหตุรู้ปัจจัยรู้ความจริงที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่ารู้อริยสัจ ๔ ความรู้ที่เป็นสัมมาทิฏฐิที่เรามาปฏิบัติที่จะหยุดสิ่งเหล่านี้ คือศีล ศีลนี้คือความหยุด ศีลนี้คือยกเลิก เป็นสัมมาทิฏฐิ เราจะหยุดได้เพราะเหตุเพราะปัจจัย เพราะเรารู้ทุกข์รู้เหตุเกิดทุกข์ เราถึงมีข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์คือศีล อุปกรณ์ใช้ในการเดินทางคือศีล ยานในการเดินทางคือศีล ผู้ปฏิบัติธรรมต้องรู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ ทุกท่านทุกคนถึงมีความสุข ในการสร้างเหตุสร้างปัจจัยการประพฤติ การปฏิบัติธรรมมันเป็นเรื่องของเราโดยเฉพาะ ไม่เกี่ยวกับคนอื่นเลย พระพุทธเจ้าจึงบอกพวกเราทั้งหลายว่า เราต้องมีฉันทะมีความพอใจ มีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ ว่าเราได้มีความเห็นถูกต้องความเข้าใจถูกต้องแล้วได้ปฏิบัติถูกต้อง ทุกท่านทุกคนต้องมีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ การที่เราปฏิบัติอย่างนี้ติดต่อต่อเนื่องด้วยความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง สม่ำเสมอด้วยความตั้งมั่น มันจะกลายเป็นสัมมาสมาธิโดยอัตโนมัติ ถ้าเรามีความสุขเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ จิตใจของเราก็จะหยุด จิตใจของเรามันก็จะเป็นสมถะ จิตใจของเรามันจะหยุดนิติบุคคลเป็นตัวเป็นตน มันจะเป็นวิปัสสนาภาวนา ศีลกับสมาธิกับปัญญามันจะไปพร้อมกันเสมอกัน มันจะเป็นการทำที่สุดแห่งความทุกข์ เข้าถึงความเป็นธรรม เขาถึงปัจจุบันธรรม
มันจะเป็นเอกัคคตารมณ์ ความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง คือการรู้อริยสัจ ๔ จะเป็นการอบรมบ่มอินทรีย์ไปในปัจจุบัน เราจะหยุดตัวเอง อย่างอื่นไม่ได้ มันต้องหยุดตัวเองด้วยศีลสมาธิปัญญาอย่างนี้แหละ พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าสมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ มีอยู่ในความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ที่มันรวมกันเป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาที่เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เป็นสติคือความหยุด เป็นสัมปชัญญะคือความเป็นธรรม ถ้าเรามีสติมีสัมปชัญญะ ความกดดันด้วยอวิชชาด้วยความหลง มันจะได้อ่อนกำลัง เมื่อก่อนมันกดดันเราเหมือนแก๊ส ที่มันอยู่ในร่างกายของเราที่เรามีท้องอืดท้องเฟ้อ เมื่ออวิชชาเมื่อความหลงมันกดดันเรา เราได้ระบายออก ด้วยเราต้องไปทำตาม อวิชชาด้วยความหลง ที่มันกดดันเรา ความกดดันเหมือนแก๊สในร่างกาย แต่ที่มันเป็นแก๊สทางจิตใจ ที่ทุกคนที่ทำอะไรตามความหลง มันมีความสุข นั่นคือการไขแก๊ส ออกจากใจ ที่มันเป็นอวิชชาเป็นความหลงที่ทุกคนเข้าสู่จุดคายแม็ค ที่ได้รับในความอร่อยความแซ่บความลำความนัว ตอนนี้กำลังคายแก๊สอย่างนี้แหละ มันเป็นไปเพื่อความประกอบทุกข์ เราจะเอาแก๊สไปใช้ให้เกิดประโยชน์ มันก็ต้องมีสติมีปัญญา ก็ต้องมีถังอย่างดี ถังอย่างหนา เอาแก๊สเข้าไปอัดเก็บไว้ที่นั่น เราจะได้เอาแก๊สนั้นมาใช้พลังงานในการดำเนินชีวิต
พลังงานแห่งอวิชชาแห่งความหลง นั่นคือมันเป็นแก๊สทางจิตทางใจเราต้องเอาแก๊สไปเก็บใช้ไว้ในถังแล้วก็ปิดไว้ แล้วถึงเอามาใช้งาน สิ่งต่างๆนั้นเปรียบเสมือนแก๊สนี่แหละ เราต้องเก็บแก๊สไว้ด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา เพราะใจของเรามันคิดได้ทีละอย่าง เราต้องปิดด้วยศีล เราต้องหยุดด้วยศีล เราต้องมีความตั้งมั่นด้วยสมาธิที่ติดต่อต่อเนื่อง ทีนี้เราต้องเผาแก๊สนั้นด้วยปัญญา โดยมีความเห็นถูกต้องความเข้าใจถูกต้อง แล้วปฏิบัติถูกต้อง ว่าแก๊สนั้นแก๊สนี้ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน มันเป็นพลังงานที่สะสมมันรวมกันเป็นกระแสเป็นกระบวนการ ต้องเผาด้วยอนิจจัง คือความไม่แน่ไม่เที่ยง ทุกขังมันเป็นไปเพื่อประกอบทุกข์ เราต้องหยุดตัวเองด้วยศีล มีความตั้งใจมั่นติดต่อต่อเนื่องเรียกว่าสมาธิ จึงจะทำให้เราหยุดเวียนว่ายตายเกิด มันเป็นอนัตตา เพราะทุกอย่างไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เป็นเพียงเหตุเพียงปัจจัย เราเผาไปเรื่อยๆ เดี๋ยวทุกอย่างมันก็หมดอยู่ในถังนั่นเอง หมดเพราะเราไม่ได้สร้างโรงงาน เราหยุดโรงงาน เราเลิกโรงงาน
พลังงานมันมาจากหลายทาง มันมาจากทางตา ทางหู ทางจมูก มาจากทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ท่านให้เรารู้แหล่งพลังงาน เราจะหยุดเราจะยกเลิก เราต้องรู้แหล่งพลังงานมันมาจากไหน เราจะได้พากันปฏิบัติให้มันถูกต้อง การประพฤติการปฏิบัติของเรามันถึงอยู่ที่ปัจจุบัน อยู่ที่ตากระทบรูป อยู่ที่หูกระทบเสียง จมูกกระทบกิน ลิ้นกระทบรส กายกระทบสัมผัสเย็นร้อน และใจกระทบธรรมมารมณ์ เมื่อกระทบแล้วให้เรารู้เมื่อรู้แล้วให้ใช้อุปกรณ์คือศีล ใช้อุปกรณ์คือสมาธิ เพื่อให้ความตั้งมั่นติดต่อต่อเนื่อง ใช้ปัญญาเผาเข้าไปว่าทุกอย่างไม่ใช่นิติบุคคลไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ตั้งแต่ก่อนนั้นเรายังไม่รู้แหล่งที่มาของการเวียนว่ายตายเกิด เรายังไม่รู้วัสดุที่มาหยุดมายั้งมาเผามาทำลาย การประพฤติการปฏิบัติมันเป็นเรื่องของเราโดยเฉพาะ มันไม่เกี่ยวข้องกับใครเลย นี้เป็นความรู้ของผู้ที่บำเพ็ญพุทธบารมีระดับพระพุทธเจ้ามาหลายล้านชาติ มาแก้ปัญหาได้ ถึงถ่ายทอดมากับผู้ที่ได้รับบอกสอนแล้วปฏิบัติตาม ที่ได้เป็นอรหันตขีณาสพ เป็นการส่งของรุ่นพี่ส่งให้กับรุ่นน้อง พระพุทธเจ้าท่านให้พวกเราพากันเข้าใจอย่างนี้ การประพฤติการปฏิบัติมันเป็นเรื่องเฉพาะตน พระพุทธเจ้าก็ปฏิบัติให้เราไม่ได้ พระอรหันต์ก็ปฏิบัติให้เราไม่ได้ เราทำแบบนี้เราปฏิบัติอย่างนี้ เราจะไม่เครียดหรือ เรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติให้ถูกต้อง มันไม่เครียดนะ ที่มันเครียดก็เพราะเรามีความเห็นผิดเข้าใจผิด ศีลสมาธิปัญญาที่เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติเอาอยู่นะ พระพุทธเจ้าให้พวกเราพากันตั้งอกตั้งใจ เพื่อให้ติดต่อต่อเนื่องอย่างสม่ำเสมอ เอาการดำเนินกาย ดำเนินใจติดต่อต่อเนื่อง ให้เป็นทางสายกลาง พัฒนาใจด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา พัฒนากายที่เป็นวัตถุ พวกกายที่ประกอบด้วยรูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ ถือว่าเป็นวัตถุ ตลอดถึงการพัฒนาเทคโนโลยีในการดำรงชีพ ดำรงธาตุ ดำรงขันธ์ ดำรงอายตนะ มันเป็นวัตถุ
ให้ทุกท่านพากันรู้จักนะว่ารูป เวทนา สัญญา สังขารวิญญาณ มันเป็นทั้งโทษและเป็นทั้งคุณ มันเป็นโทษเพราะว่าเราไม่รู้อริยสัจ ๔ ไม่รู้ความจริง เป็นคุณที่เรารู้อริยสัจ ๔ รู้ความจริง พลังงานมันเป็นประจุที่มีแรงดันไหลติดต่อต่อเนื่องกันเช่นกระแสไฟฟ้า เช่นพลังลม ที่มันติดต่อต่อเนื่อง พลังงานแสงแดดที่มันติดต่อต่อเนื่อง เมื่อครั้งพระพุทธเจ้าโปรดชฎิล ๓ พี่น้อง ที่พากันบูชาไฟพระพุทธเจ้าท่านก็พูดเรื่องพลังงานแห่งหูตาจมูกลิ้นกายใจ มันเป็นพลังงานแห่งการเวียนว่ายตายเกิด
คนมีหูก็อันตราย มีตาก็อันตราย พระพุทธเจ้าถึงสอนชฎิลสามพี่น้องว่า ตาก็เป็นไฟ หูก็เป็นไฟ จมูกลิ้นกายใจก็เป็นไฟ ไฟที่ไหม้ในภายนอก แม้จะรุนแรงแค่ไหน ก็ไม่อันตรายเท่ากับไฟภายใน ความรัก ความหึงหวง ความผูกพัน (ราคะ) ความหงุดหงิด วู่วามง่าย ความโกรธ ผูกใจเจ็บ อาฆาตพยาบาท (โกรธ) และความหลงงมงาย ขาดสติ (โมหะ) จัดเป็นไฟภายใน ไฟชนิดนี้แหละที่อันตรายและเป็นไฟไหม้ฟางที่ค่อยๆ เผาใจเราโดยไม่รู้ตัว
พระพุทธองค์ตรัสว่า "กิเลสทั้งสามประการนี้ย่อมเผาบุคคลผู้ยอมอยู่ใต้อำนาจของมัน ให้รุ่มร้อนกระวนกระวายเหมือนไฟเผาไหม้ท่อนไม้และแกลบให้แห้งเกรียม ข้อแตกต่างแห่งกิเลสทั้งสามประการนี้ก็คือ ราคะนั้นมีโทษน้อยแต่คลายช้า โทสะมีโทษมากแต่คลายเร็ว โมหะมีโทษมากด้วยคลายช้าด้วย บุคคลซึ่งออกบวชแล้วประพฤติตนเป็นผู้ไม่มีเรือนเรียกว่า ได้ชักกายออกห่างจากกามราคะ แต่ถ้าใจยังหมกมุ่นพัวพันอยู่ในกามก็หาสำเร็จประโยชน์แห่งการบวชไม่ คือเขาไม่สามารถจะทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบได้ อุปมาเหมือนไม้สดชุ่มอยู่ด้วยยาง แม้จะวางอยู่บนบก บุคคลผู้ต้องการไฟก็ไม่อาจนำมาสีให้เกิดไฟได้ เพราะฉะนั้น ภิกษุ ภิกษุณีผู้ชักกายออกจากกามแล้ว พยายามชักใจออกจากกามความเพลิดเพลินหลงใหลเสียด้วย"
จริงทีเดียวในจักรวาลนี้ไม่มีไฟอะไรร้อนแรงและดับยากเท่าไฟรัก ความรักเป็นความเรียกร้องของหัวใจ มนุษย์เราทำอะไรลงไปเพราะเหตุเพียงสองอย่างเท่านั้น คือเพราะหน้าที่อย่างหนึ่ง และเพราะความเรียกร้องของหัวใจอีกอย่างหนึ่ง ประการแรกแม้จะทำสำเร็จบ้าง ไม่สำเร็จบ้าง มนุษย์ก็ไม่ค่อยจะเดือนร้อนเท่าใดนัก เพราะคนส่วนมากหาได้รักหน้าที่เท่ากับความสุขส่วนตัวไม่ แต่สิ่งที่หัวใจเรียกร้องนี่ซิ ถ้าไม่สำเร็จ หรือไม่สามารถสนองได้ หัวใจจะร่ำร้องอยู่ตลอดเวลา มันจะทรมานไปจนกว่าจะหมดฤทธิ์ของมัน หรือมนุษย์ผู้นั้นตายจากไป พระพุทธองค์ตรัสว่า "ไม่ควรปล่อยตนให้ตกอยู่ภายใต้อำนาจแห่งความรัก เพราะการพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักเป็นเรื่องทรมาน และเรื่องที่จะบังคับมิให้พลัดพรากก็เป็นสิ่งสุดวิสัย ทุกคนจะต้องพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักที่พอใจ ไม่วันใดก็วันหนึ่ง"
ขณะนี้ เรากำลังถูกเผาอยู่ตลอดเวลา เมื่อใดเราหยุดดิ้นรนให้อภัย ฝึกใจให้สงบ มีสติอยู่ตลอดเวลา เมื่อนั้นไฟย่อมดับไป แต่ยังมีโอกาสเกิดขึ้นอีก ไฟชนิดนี้แหละที่ร้ายแรงที่สุด อย่าปล่อยให้มันไหม้จนลุกลามไปทั่ว
อุปกรณ์ดับไฟภายในต้องใช้ธรรมะ คือ การให้อภัย มีสติ มีเมตตา ไม่ใช่น้ำที่ไหน เมื่อมีธรรมะก็เหมือนน้ำเย็นชนิดวิเศษที่ช่วยดับไฟประเภทนี้ได้
ตื่นอยู่ทำการภาวนา ก็สามารถดับทุกข์ร้อนทั้งปวงได้ ส่วนผู้ที่หลับใหลอยู่ในกามคุณอันมืดมัว ยุ่งเหยิงด้วยเรื่องต่างๆ วุ่นวายสับสนอยู่กับเรื่องของบุคคลอื่น ไม่มีโอกาสได้พบแสงธรรม แต่กำลังถูกแผดเผาอยู่ ด้วยความร้อนจากไฟกามคุณอารมณ์
ส่วนชนทั้งหลายผู้หมั่นอบรมตนในศาสนธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทั้งกลางวันและกลางคืน หมั่นเจริญอสุภสัญญาเป็นนิตย์ ย่อมทำไฟคือราคะให้ดับลงได้
ชนทั้งหลายที่มีคุณธรรมสูง ย่อมดับไฟคือโทสะลงได้ ด้วยเมตตา และย่อมดับไฟคือโมหะ ด้วยปัญญา อันเป็นเครื่องทำลายกิเลสได้เด็ดขาด
ชนผู้มีปัญญารักษาตนเหล่านั้น ไม่เกียจคร้านทั้งกลางวันและกลางคืน ดับไฟทั้ง ๓ กองนั้นได้แล้ว ชื่อว่าดับกิเลสได้สิ้นเชิง ล่วงพ้นทุกข์ได้ทั้งสิ้น
ให้ทุกท่านทุกคนพากันรู้แจ้ง พลังงานนั่นแหละที่จะเป็นข้อสอบเป็นคำตอบ คือความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง เป็นข้อสอบ การประพฤติการปฏิบัติมันถึงจะเป็นข้อสอบเป็นข้อตอบ พระอรหันต์ถึงเป็นผู้รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ กุลบุตรลูกหลานสมัยครั้งพระพุทธกาลพระพุทธเจ้าทรงประกาศพระศาสนาจึงได้พากันออกบวชเพราะความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง มันต้องติดต่อต่อเนื่องอย่างสม่ำเสมอ เป็นการรู้อริยสัจ ๔ อย่างแจ่มแจ้ง แล้วเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ การประพฤติการปฏิบัติธรรมไม่มีโอกาสที่จะได้ฟุ้งซ่าน เพราะเรารู้อริยสัจ ๔ เมื่อเรารู้อริยสัจ ๔ เราเลยสร้างเหตุสร้างปัจจัย พัฒนาเหตุ พัฒนาปัจจัย พัฒนาวัตถุ ด้วยสัมมาทิฏฐิ ใจย่อมไม่หลงในความเป็นมนุษย์รวย เป็นเทวดาที่มีความสุข เป็นพระพรหมที่มีแต่ความสงบสุข
เราจะไม่ได้พากันหลง เหมือนคนสมัยใหม่ คนรุ่นใหม่ ที่พัฒนาวัตถุพัฒนาวิทยาศาสตร์แล้วพากันหลง ความหลงคือความติด ความติดคือไม่รู้อริยสัจ ๔ ที่เราเอาความสุขเป็นพระเจ้า ที่เอาวัตถุเป็นพระเจ้า เอาความเอร็ดอร่อยทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ ความหลงอย่างนี้เขาเรียกว่าโลกธรรม โลกธรรมนำใจ ไม่ได้เอาปัญญานำใจ ไม่ได้เอาความถูกต้องนำใจ ความหลงนี่เป็นสาเหตุให้ความเป็นมนุษย์หายไปเป็นได้แต่เพียงคน เป็นได้แต่เพียงคนหลง ร่างกายของเราเป็นมนุษย์ แต่ใจของเราไม่ได้เป็นมนุษย์เลย เป็นสาเหตุที่ไม่มีข้าราชการทำให้ระบบข้าราชการเสียไปหมด เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ถือว่าไม่ใช่ข้าราชการ ข้าราชการคือผู้ที่มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง มีความสุขในการทำงาน งานคือความสุข ความสุขคือการทำงาน ความหลงเราจะมีความเห็นว่ามนุษย์เรามันมีความจำเป็นต้องเรียนหนังสือ มีความจำเป็นที่จะต้องทำงาน เลยไม่มีความสุขในการเรียนหนังสือ ไม่มีความสุขในการทำงาน ไม่มีความสุขในการเป็นข้าราชการ มีความสุขแต่จะได้เงินได้สตางค์ได้วัตถุ เพื่อได้สนองความต้องการสนองความหลง นักการเมืองทุกๆ ประเทศถึงไม่มี เพราะข้าราชการก็ดีนักการเมืองก็ดี ไม่รู้จักอริยสัจ ๔
ถ้าเรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง มีการปฏิบัติติดต่อต่อเนื่อง มนุษย์เราการพัฒนาจิตใจ การพัฒนาเทคโนโลยี มันต้องไปไกลกว่านี้เพราะว่าไม่มีความเครียด เรียนหนังสือก็ไม่มีความเครียดมีความสุข ทำงานก็ไม่มีความเครียดมีความสุข เพราะความเครียดมาจากพลังงานแห่งอวิชชาแห่งความหลง มันเป็นแก๊ส ถ้าไม่ได้ทำตามความเครียด มันเป็นแก๊สกดดันใหญ่เลย ทุกๆ คนมันต้องหยุดความเครียดของตัวเอง เราทำตามใจทำตามอารมณ์ของตัวเอง มันยิ่งเพิ่มพลังงานความเครียดของตัวเอง สัมมาสมาธิที่พักผ่อนสมองถึงเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะใจนี้ที่มันไม่รู้อริยสัจ ๔ มันทำลายระบบสมองของเรา พระพุทธเจ้าจึงให้พวกเราพากันพักผ่อนสมอง การพักผ่อนสมองกับลมหายใจเข้าลมหายใจออก ไม่ต้องไปคิดอะไร หายใจเข้าก็ให้รู้สบาย หายใจออกก็ให้รู้สบาย ไม่คิดเรื่องดี ไม่คิดเรื่องชั่ว เรื่องผิด เรื่องถูก ให้อยู่กับลมหายใจเข้าหายใจออก มีความสุขกับการหายใจเข้าหายใจออก ถ้าใจของเรามันมีปัญญามาก มันไม่ยอมหยุดก็ให้กลั้นลมหายใจของเรา ไม่ใช่กลั้นเพื่อจะให้ขาดใจตาย คือเพื่อให้หยุดลมหายใจ เดี๋ยวใจจะขาดมันก็กลับมา ทำอย่างนี้หลายๆ ครั้ง
สำหรับนักบวชเรา น่าจะทำสมาธิวันละหลายๆ ครั้ง สำหรับฆราวาสไม่ได้บวช ต้องทำสมาธิอย่างน้อยวันละ ๒ ครั้งเช่นตอนเช้าที่ตื่นขึ้นมา และก็ตอนก่อนจะนอน พระพุทธเจ้าท่านให้ฆราวาสผู้ครองเรือน ให้พากันไปรักษาศีลอุโบสถวัน ๘ ค่ำ วัน ๑๕ ค่ำ จะได้พากันฝึกสมาธิกันเพื่อที่จะได้ตั้งใจฝึกด้วยกันทุกๆ คน เราจะเป็นนักบวชหรือเป็นฆราวาสเราก็ต้องปฏิบัติเรื่องจิตเรื่องใจเหมือนกัน เพราะใจของเราทุกคนมันไม่ได้เป็นฆราวาส มันไม่ได้เป็นนักบวช ใจของเราก็คือใจ ความเป็นพระก็เหมือนกัน ความเป็นพระมันเป็นเรื่องของใจ พระท่านถึงนับเอาตั้งแต่โสดาบันจนถึงพระอรหันต์ ฆราวาสถ้าเรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ดำเนินชีวิตเอาธรรมเป็นหลัก เอาการงานที่ดำรงชีพดำรงชีวิต โดยเอาธรรมะเป็นหลัก ไม่เอาความสุขจากความทุกข์ของผู้อื่น มีความสุขในการทำงาน ต้องมีความสุขในการปฏิบัติไปพร้อมๆ กัน เป็นฆราวาสต้องมีความสุขในการทำงานเต็มที่ เป็นฆราวาสต้องมีความสุขในการปฏิบัติธรรมเต็มที่ ความสุขมันอยู่ที่ปัจจุบัน เราหาความสุขในอนาคตไม่ได้ ความดับทุกข์มันต้องมีอยู่ปัจจุบัน ฆราวาสทุกคนถึงต้องพากันมีศีล ๕
ถามว่าทำไมพวกมาบวชถึงเรียกว่าเป็นพระ เพราะสาเหตุผู้ที่มาบวชสมาทานชีวิตที่เป็นกายเป็นใจ จะเป็นพระธรรมจะเป็นพระวินัย เขาถึงเรียกว่าพระ ผู้ที่มาบวชต้องสละคืนซึ่งตัวซึ่งตน ไม่มีตัวไม่มีตน มีแต่พระธรรมพระวินัย ผู้นั้นถึงจะเรียกว่าพระ ถ้าไม่เอาพระธรรมพระวินัยเต็มที่เต็มร้อย นั่นไม่ใช่พระเป็นเพียงสมมุติที่สงฆ์ ผู้ที่มาบวชก็ให้พากันเข้าใจ เป็นฆราวาสพากันอุปถัมภ์อุปัฏฐากพากันเข้าใจว่าพระคือพระธรรม คือพระวินัย ถ้ามาบวชเพื่อเอาพระศาสนาหาอยู่หาฉัน เพื่อดำรงธาตุดำรงขันธ์ มาอาศัยพระศาสนาอย่างนี้ พระพุทธเจ้าตรัสสอนให้เราทั้งหลาย พากันรับรู้นะพวกนี้คือโจร เครื่องหมายที่ปลงผมห่มผ้าจีวร คือความหมายของความเป็นพระ เป็นพระธรรมเป็นพระวินัย ทุกคนอุทานในใจว่า โอ้ ถ้าทำถึงขนาดนั้นจะมีใครมาบวช ท่านว่า ถ้าไม่มีใครมาบวช ก็ยังดีกว่ามีโจร
ที่โลกนี้มีปัญหาอยู่ทุกวันนี้ก็เนื่องจากมีความเห็นไม่ถูกต้อง ความเข้าใจไม่ถูกต้อง การปฏิบัติไม่ถูกต้อง เมื่อมีปัญหาอย่างนี้ พวกเราจะพากันทำอย่างไร พระพุทธเจ้าบอกว่า ทุกคนให้แก้ที่ตัวเอง ไม่ต้องไปแก้ที่คนอื่น ต่างคนก็ต่างแก้ตัวเอง การที่แก้ตัวเองอย่างนี้เรียกว่าศีลสมาธิปัญญา เป็นการแก้ปัญหาที่ถูกต้องในโลกนี้ ไม่มีข้าราชการนักการเมืองมันก็ไม่ได้ มันต้องมีข้าราชการต้องมีนักการเมืองที่มีสัมมาทิฏฐิมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ในโลกนี้ต้องมีพระศาสนา เพราะศาสนาเป็นเรื่องของใจ เรื่องอาหารของใจ เป็นเรื่องของความถูกต้อง ความมั่นคงของมนุษย์มันต้องมีชาติ มีพระศาสนา และมีพระมหากษัตริย์ ชาตินี้ก็หมายถึงความเป็นมนุษย์นี่แหละ มนุษย์ที่พัฒนาใจพร้อมทั้งพัฒนาวิทยาศาสตร์ไปพร้อมๆ กันเป็นทางสายกลาง เราต้องพัฒนาทั้งใจทั้งวิทยาศาสตร์ไปพร้อมๆ กัน เรียกว่าพุทธะทางจิตใจ พุทธะทางวัตถุ ๒ อย่างนี้ต้องไปพร้อมๆ กัน มันจะยิ่งหย่อนไปกว่ากันไม่ได้ คนจะเดินได้มันต้องมีขาสองขา จะเดินขาเดียวไม่ได้ ต้องได้ทั้งทางใจทางวัตถุ ถึงมีการเรียนอนุบาลจนถึงปริญญาเอก ถึงมีการเรียนนักธรรมตรีจนถึงเปรียญธรรม ๙ ประโยค ก็ต้องมีพุทธะทางจิตใจ เพื่อไม่ให้หลงในวิทยาศาสตร์ที่สร้างขึ้นมา ทุกอย่างจะได้มีแต่คุณไม่ให้เกิดโทษ เพราะเราต้องมีอุปกรณ์ อุปกรณ์นั้นต้องไม่ทำร้ายเรา เราต้องพัฒนาใจให้มีความสุขที่สุดในโลก
ถ้าเรามีตัวมีตน มันมีความทุกข์มันมีความเครียด ถ้าเราไม่พัฒนาวัตถุไม่พัฒนาวิทยาศาสตร์พุทธะมันก็ไม่ถูกต้อง เพราะการพัฒนาวิทยาศาสตร์ต้องไม่เบียดเบียนผู้อื่น ศาสนาก็คือเรื่องจิตเรื่องใจที่มันเกี่ยวข้องกับปัจจุบัน มนุษย์เราต้องเข้าถึงความเป็นมนุษย์เป็นเทวดาเป็นพรหมเป็นพระอริยเจ้าตั้งแต่ปัจจุบัน ไม่ต้องรอให้ตายเสียก่อน เรามาคิดดูสิตอนเป็นเด็กๆ นึกว่าเป็นผู้ใหญ่จะมีความสุข แต่ปัจจุบันมีแต่ความทุกข์ เมื่อเป็นผู้ใหญ่คิดว่ารวยถึงจะมีความสุข อยู่ไหนก็คิดว่ารวยยิ่งๆ ขึ้นไปถึงจะมีความสุข สุดท้ายก็เป็นโมฆะบุรุษ โมฆะสตรี ไม่ได้เข้าถึงความดับทุกข์อะไร ก็เพราะความเห็นไม่ถูกต้อง เข้าใจไม่ถูกต้อง เป็นเด็กก็ทุกข์อย่างเด็ก เป็นหนุ่มสาวก็ทุกข์อย่างหนุ่มสาว เป็นกลางคนก็ทุกข์อย่างกลางคน เป็นคนแก่ก็ทุกข์อย่างคนแก่ เพราะว่าเราไม่รู้เรื่องวัตถุไม่รู้เรื่องใจ เรียกว่าไม่รู้ความจริงไม่รู้อริยสัจ ๔ มีมหาเศรษฐีของมหาเศรษฐีของทุกประเทศ มีมหาเศรษฐีของมหาเศรษฐีของโลก จะพูดเหมือนกันหมดว่ามีความทุกข์ใจตั้งแต่ยังไม่รวย เพราะจนเวลาทำงานก็ทุกข์เพราะทำงาน เวลารวยก็เป็นทุกข์ เพราะญาติพี่น้องลูกหลานแย่งมรดกกัน พ่อแม่ที่เป็นเศรษฐีแบ่งมรดก ให้คนละหลายหมื่นล้าน ก็ยังทะเลาะกันอยู่ ความทุกข์นั้นย่อมมีอยู่แก่ผู้ที่ไม่รู้อริยสัจ ๔ พระพุทธเจ้าถึงสอนให้อย่าไปตามอวิชชาตามความหลงไปเรื่อย มันไม่จบ
ให้ทุกท่านทุกคนกลับมาหาสติความสงบ กลับมาหาสัมปชัญญะคือตัวธรรมะนี่แหละ สละคืนซึ่งสักกายะทิฏฐิ ซึ่งตัวซึ่งตน อย่าให้โลกธรรมทั้งหลายครองใจของเรา อริยมรรคมีองค์ ๘ มันเป็นคู่ของโลกธรรม มันเป็นคู่ปรับกัน ต้องรู้ความจริงของการเวียนว่ายตายเกิด ภาวนาพิจารณาทุกอย่างเข้าสู่พระไตรลักษณ์ ต้องพากันเห็นเทวทูตทั้ง ๔ เห็นความเกิดความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพราก เมื่อเห็นแล้วก็น้อมมาใส่ใจของเรา เราจะได้รู้ว่าทุกอย่างเป็นกระบวนการเป็นเหตุเป็นปัจจัย ไม่ใช่นิติบุคคลไม่ใช่ตัวตน ล้วนแต่เป็นเหตุเป็นปัจจัยทั้งนั้น เพราะทุกอย่างนั้น จบด้วยความว่างเปล่าจากตัวตน ให้ทุกท่านรู้ว่าเพราะสิ่งเหล่านี้มีสิ่งต่อไปถึงมี เมื่อหมดเหตุหมดปัจจัยแล้วก็ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรไม่ได้เป็นอะไร มันเป็นของสองสิ่งที่ติดต่อต่อเนื่อง มีตาก็มีรูป มีหูก็มีเสียง ถ้ารู้จักสองอย่างนี้ เราก็จะได้รู้อริยสัจ ๔ ชัดเจนขึ้น เราถึงพัฒนา ๒ อย่างนี้ คือพัฒนาใจพัฒนาวัตถุไปพร้อมๆ กัน ถ้าเราไม่รู้จักอริยสัจ ๔ โลกธรรมมันก็ครอบงำใจของเรา ถ้าเราเข้าใจเรื่องอริยสัจ ๔ ธรรมมันก็ครอบงำโลกธรรม พระมหากษัตริย์หมายถึงปัญญา ที่มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง
ทุกคนมองเห็นไหมพระพุทธรูปที่มีพระเศียรแหลมๆ อยู่บนหัว อันนั้นเรียกว่า เกตุมาลา มีสองลักษณะ รูปแบบแรกคือ เกตุมาลารูปดอกบัวตูม หรือ “เกตุบัวตูม” และอีกรูปแบบหนึ่งคือ เกตุมาลารูปรัศมีแบบเปลวเพลิง (เปลวไฟ) เรียกย่อๆ ว่า “รัศมีเปลว”
นัยยะของเกตุบัวตูม “ดอกบัว” เป็นสัญลักษณ์ของ “พุทธิปัญญา” ส่วน “เปลวไฟ” หมายถึงเพลิงเผาผลาญกิเลส
ส่วน “เกตุมาลา” หมายถึงอะไร คำว่า “เกตุ” เป็นภาษาบาลี แปลตรงตัวว่า “ธง, ผ้า, แสงสว่างที่อยู่ด้านบน” “มาลา” ภาษาบาลีแปลว่า “ระเบียบ” มาจากรากศัพท์ว่า “ดอกไม้ที่นำมาร้อยเรียงให้เกิดระเบียบ” นอกจากนี้ มาลายังใช้กับสิ่งสูงค่า การให้เกียรติ สิ่งที่ควรเคารพ เช่น พวงมาลา พระมาลา (หมวก)
ดังนั้น “เกตุ+มาลา” แปลตามรูปศัพท์หมายถึง “ระเบียบแบบแผน หรือวงแห่งรัศมีที่อยู่ข้างบน” พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 อธิบายว่าหมายถึง “พระรัศมีซึ่งเปล่งอยู่บนพระเศียรของพระพุทธเจ้า”
คือชีวิตของเราต้องนำด้วยสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ที่เอาธรรมนำใจพระนี้ก็หมายถึงความถูกต้องไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่นิติบุคคล มหาแปลว่าใหญ่มั่นคง หาที่สุดหาประมาณไม่ได้คือเอาความถูกต้องครอบงำความไม่ถูกต้อง พระมหากษัตริย์คือผู้ที่นำชีวิต ถึงเรียกว่าพระมหากษัตริย์ ทุกวันนี้ถึงมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีเพราะความมั่นคงของโลก ขึ้นอยู่กับชาติ ศาสน์ กษัตริย์ที่เอาธรรมนำใจ เอาธรรมนำวัตถุ เป็นวิทยาศาสตร์เป็นพุทธะทางจิตใจ เป็นพุทธะทางวัตถุ
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee