แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันอาทิตย์ที่ ๒๘ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง มนุษย์ที่สมบูรณ์ ตอนที่ ๘๒ มีธรรมที่เป็นที่พึ่งพิง เป็นเหมือนพนักพิง เป็นแนวทางการดำเนินชีวิตที่เรียบง่ายถูกต้องดีงาม
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ปัจจุบันนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ ทุกคนจะประมาท ทุกคนจะเพลิดเพลินไม่ได้เพราะอดีตเป็นสิ่งที่เราเอากลับคืนมาไม่ได้ ปัจจุบันก็คือรายรับพร้อมทั้งรายจ่าย กรรมใดใครก่อ เราต้องมีความเห็นถูกต้อง มีความเข้าใจถูกต้อง เอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นใหญ่ เอาธรรมเป็นที่ตั้ง มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เพราะปัจจุบันมันเป็นไฟท์ติ้ง การดำเนินชีวิตของเรามันจำกัด แล้วมันเสียหาย เราอย่าคิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา มันเป็นไฟท์ พระพุทธเจ้าถึงเป็นห่วงเรา ท่านจะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ก็ตรัสเตือนว่า จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด ถ้าเราคอนโทรลตัวเองไม่ได้ เราจะไปเอาตอนไหน เพราะปัจจุบันนี้อย่าให้เราหลุดโค้ง อย่าให้เราเนิ่นช้า เพราะเรามีโอกาสพิเศษ
ฐานะของประชาชนมันยากจนเพราะไม่มีความเห็นถูกต้อง ไม่มีความเข้าใจถูกต้อง ไม่ปฏิบัติถูกต้องในปัจจุบัน ปล่อยให้เวลา ผ่านไปโดยที่ไม่เห็นความสำคัญ เพราะปัญญาสัมมาทิฏฐิเป็นสิ่งที่สำคัญ เราตามใจตัวเอง ทำตามอารมณ์ตัวเอง ไม่เข้าสู่หน้าที่การงานของตัวเองที่ถูกต้อง ที่ปฏิบัติถูกต้อง มันไม่ได้ พวกที่ปล่อยให้เวลา โอกาสผ่านไป มัวแต่เพลิดเพลินในกาม ในความสุข ความสะดวก ความสบาย ปล่อยให้กรรมมันดำเนินต่อไปในทางที่ไม่ดี เพราะว่าทุกคนต้องอยู่บนความเพลิดเพลิน ความประมาท ไม่รู้จักว่าไฟกำลังไหม้ตัวเอง
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “อุฏฐานวโต สตีมโต สุจิกมฺมสฺส นิสมฺมการิโน สญฺญตสฺส จ ธมฺมชีวิโน อปฺปมตฺตสฺส ยโสภิวฑฺฒติ = ยศย่อมเจริญแก่บุคคลผู้มีความเพียร, มีสติ, มีการงานสะอาด, ใคร่ครวญก่อนแล้วจึงทำ, เป็นผู้สำรวม, มีชีวิตอันประกอบด้วยธรรม, และไม่ประมาท”
ในที่นี้ได้ ธรรม ๗ ประการอันเป็นเหตุให้ยศเจริญ คือ ความเพียร, สติ, การงานอันสะอาด, การใคร่ครวญก่อนทำ, ความสำรวม, ชีวิตอันประกอบด้วยธรรม และความไม่ประมาท
ความเพียร นั้น คือสภาพอันตรงกันข้ามกับความเกียจคร้าน กล่าวคือ ความไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคในการทำงาน ในการประกอบการกุศล ความกล้าในการประกอบกิจอันชอบให้ลุล่วงไปด้วยดี มีความบากบั่นมั่นคงไม่ถอยหลัง ไม่ทอดธุระ ไม่เป็นคนอยู่เฉยโดยไม่ทำงาน
สติ คือ ความรอบคอบ และความระวัง จะทำจะพูดอะไรก็คิดโดยรอบคอบก่อน ระวังเกรงความผิดพลาด เพราะความพลาดบาง อย่างต้องใช้เวลาแก้นาน จึงจะกลับคืนสู่สภาพเดิมได้
การงานสะอาด นั้น คือ การประกอบการงานอันสุจริต เว้นงานที่ทุจริตผิดกฎหมาย และศีลธรรมทั้งปวง
ใคร่ครวญก่อนแล้วจึงทำ คือ ไตร่ตรองด้วยดีว่า เมื่อทำอย่างนี้ ผลอย่างไรจะเกิดขึ้น เว้นการกระทำอันจักอำนวยผลเป็นทุกข์เสีย ประกอบกระทำแต่เฉพาะเหตุอันจักอำนวยผลเป็นสุขให้
ความสำรวม นั้น คือความสำรวมอินทรีย์ทั้ง ๖ ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ ไม่ให้ความยินดียินร้ายครอบงำได้
ชีวิตอันประกอบด้วยธรรม คือ มีชีวิตอยู่อย่างแนบสนิทกับธรรม ไม่เหินห่างจากธรรม ระลึกถึงธรรมอยู่เสมอ ได้พบได้เห็นอะไรก็นำเข้าไปหาธรรม เทียบกับธรรม หรือน้อมธรรมเข้ามาใส่ตนอยู่เสมอ
ความไม่ประมาท มีสติไม่ห่างเหิน สิ่งที่ไม่ควรประมาทอย่างยิ่ง
ให้ถือคติธรรมที่องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าได้บอก ได้สั่งสอน ได้ให้ประทีบแสงสว่าง แม้พระองค์จะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ก่อนพระองค์จะหมดลมหายใจก็ยังได้ดำรัสตรัสว่า "...ขยวยธมฺมา สงฺขารา อปฺปมาเทน สมฺปาเทถ" สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสิ้นไปเป็นธรรมดา พวกเธอทั้งหลาย จงยังประโยชน์ตนและท่านให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด"
ให้ทุกท่านทุกคนรู้จักทุกข์ รู้จักเหตุเกิดทุกข์ รู้จักข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เราถึงจะแก้ปัญหาได้ ชีวิตของเราถึงจะดำเนินสู่มรรค มรรคก็คือในทางที่ดี ผลก็คือความดับทุกข์แก้ปัญหาได้ ทั้งทางเศรษฐกิจและทางจิตใจ ต้องพัฒนาพร้อมๆ กัน ทุกคนเกิดที่ไหน มาจากไหนไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่ที่การประพฤติ การปฏิบัติของเรา ถ้าเราไม่รู้จัก เราก็ทำตามสัญชาตญาณนั้นไม่ได้ ที่มันสร้างปัญหาที่ทำให้เราให้เราต้องเวียนว่ายตายเกิดในทางที่ไม่ดี เราต้องเอาพระพุทธเจ้าเป็นหลัก พระพุทธเจ้าคือใคร พระพุทธเจ้าคือธรรมะ ธรรมะก็คือพระพุทธเจ้า ศาสนาก็คือพระธรรม เราต้องพากันเข้าใจ อันไหนมันไม่ฉลาดไม่เข้าใจก็ต้องให้เข้าใจ เมื่อเข้าใจแล้วก็ต้องประพฤติปฏิบัติ
คนเราต้องมีความตั้งมั่น มีความเข้มแข็งเพื่อจะประพฤติปฏิบัติตัวเองในปัจจุบัน มันจะไปอย่างนี้แหละ คนเราจะไปใจอ่อนไม่ได้ เพราะเราจะข้ามวัฏฏะสงสารอย่างนี้ เราก็มีความเห็นถูกต้อง ความเข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง มันจะเป็นยานนำเราไป ไม่มีใครมาทำให้เราจน มาทำให้เรารวยหรอก มันอยู่ที่เรา คนเหมือนกัน มันก็ไม่เหมือนนะ มันอยู่ที่เราประพฤติปฏิบัติ เรายังไม่หมดลมหายใจ เราก็ยังปฏิบัติธรรมได้ เราจะไม่ได้มีหนี้มีสิน ในการดำเนินชีวิต เราจะมีธรรมอีกด้วยที่ชีวิตของเราจะได้ไม่ผิดพลาด ที่มันไม่ดี แสดงว่า เรายังไม่รู้จักทุกข์ ไม่รู้จักเหตุเกิดทุกข์ เราไม่บังคับตัวเอง ไม่ Control ตัวเอง เราทำอย่างไรก็ได้อย่างนั้น เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนั้นมันก็ต้องมี คนเราทุกคนกลัวสังขารร่างกายนี้จะลาละจากนี้ไปก็เกือบ 100 ปี ต้องใช้ชีวิตนี้ให้คุ้มค่า
ต้องคิดเก่ง วางแผนเก่ง ปฏิบัติเก่ง พร้อมทั้งเป็นคนดีที่มีศีลธรรมมีคุณธรรม เราทุกคนคิดดูสิ พ่อแม่เราเป็นอย่างนี้ ญาติพี่น้องเป็นอย่างนี้ ก็เพราะว่าคิดไม่เก่ง วางแผนไม่เก่ง ปฏิบัติไม่เก่ง ไม่ได้เอาธรรมะเป็นหลัก เอาธรรมะเป็นใหญ่ เอาธรรมะเป็นที่ตั้งในการดำเนินชีวิต พากันดำเนินชีวิตตามอัธยาศัย คนเราน่ะ เรามีร่างกายครบอาการ ๓๒ มีมันสมอง มีไว้ให้เราคิด ให้มีสติมีปัญญา ไม่ใช่ปล่อยตัวเองไปตามอัธยาศัยนะ เรามีตาก็เพื่อฉลาด มีหูก็เพื่อฉลาด มีจมูกมีลิ้นมีกายมีใจ ก็เพื่อฉลาด เรียนหนังสือศึกษาธรรมะก็เพื่อฉลาด เมื่อฉลาดแล้วยังไม่พอ ต้องมีความสุขในการทำงาน มีความสุขในการเสียสละ ขยัน รับผิดชอบ ด้วยการเอาธรรมะเป็นหลักเป็นใหญ่ พระพุทธเจ้าจึงให้เราทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ คนเราอยู่เฉยๆ จะรวยได้ยังไง จะมีทรัพย์ได้ยังไง ทุกสิ่งทุกอย่างมีเหตุปัจจัยทั้งหมด เราต้องคิดเป็น วางแผนเป็น วางแผนเป็นยังไม่พอ ต้องมีความสุขในความขยันประหยัดซื่อสัตย์กตัญญูกตเวที เราถึงจะรวยได้ เฮงได้ จะไปคิดมากไปปรุงแต่งมากไม่ได้ ยิ่งเพิ่มโรคเครียด โรคจิตโรคประสาท โรควิตกกังวล เพิ่มเป็นทวีคูณ เป็นทั้งโรคกายเป็นทั้งโรคใจ
เราต้องมีความ สุขในความขยันประหยัดซื่อสัตย์กตัญญูกตเวที เพื่อไม่ให้มีอบายมุข ทางสู่อบายภูมิเกิดขึ้นในใจ จึงต้องมาปิดทางอบายภูมิ คือ อบายมุข ให้แก่ตนเองจึงจะถูก เราทุกคนต้อง สร้างขึ้นมา ทำขึ้นมาปฏิบัติขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรงด้วยมันสมองสองมือ ด้วยแรงกาย แรงวาจาสัมมาวาจา และแรงพลังใจจากการประพฤติปฏิบัติ
การดำเนินชีวิตของเราถือว่ายังไม่ถูกต้องนะ ที่เราเรียนหนังสือ ที่เราทำงาน ทำอะไรก็ทำเพื่อที่จะให้ตนเองมีแต่ความสุข ทำงานเพื่อให้ตนเองมีความสุข อย่างนี้เขาเรียกว่ายังมีตัวมีตนแอบแฝงอยู่ มีผลประโยชน์แอบแฝงอยู่ พระพุทธเจ้าให้เรามีปัญญาฉลาดกว่านั้น เราไม่ต้องไปอยากมีความหลงแอบแฝง ให้มีความสุขในการเรียนหนังสือ มีความสุขในการทำงาน มีความสุขในความขยันอดทนรับผิดชอบ โดยไม่ได้หวังอะไรตอบแทน ถึงจะได้ความสุขทั้งกายทั้งใจ เป็นความสุขที่ประกอบด้วยปัญญา ที่เป็นกามคุณคือเป็นคุณ ใจจะได้ไม่เป็นโทษ ถ้าเราเรียนหนังสือ ทำงาน ขยันอดทน รับผิดชอบ เพื่อความสุขความสะดวกสบาย จะได้แค่เพียงอารมณ์ของสวรรค์สมบัติ ใจเราจะไม่สะอาดไม่อาจก้าวไกลไปถึงพระนิพพานได้ เป็นเพียงความสุขความดับทุกข์ แค่ระดับต้นและระดับกลางเท่านั้น ไม่ใช่ความสุขความดับทุกข์ที่สูงสุด ความสุขเหล่านี้ให้เราพากันเข้าใจนะ ถ้าเรายังไม่ถึงพระนิพพานที่สมบูรณ์ สวรรค์เราก็ได้อยู่แล้ว มันไม่ได้หนีไปไหนหรอก เพราะว่าหนทางมันเป็นไปอย่างนั้น เมื่อเรามีความสุขในการเรียนหนังสือมีความสุขในการทำงาน มีความสุขในการขยันรับผิดชอบ ประหยัดซื่อสัตย์กตัญญูกตเวทีอย่างนี้ สุคติโลกสวรรค์เหล่านั้นก็ได้อยู่แล้ว เราไม่ต้องไปสนใจ สนใจแต่หน้าที่ของเรา ที่ต้องรับผิดชอบในการประพฤติปฏิบัติธรรม ในการเสียสละ
มีความสุขในการเสียสละอย่างนี้ ทุกคนจะได้ไม่มีคำว่ายากจน มันจะพอดี มันจะไม่บกพร่อง มันจะไม่เกิน จะพอดีอย่างนี้เรียกว่าทางสายกลาง เราพัฒนาทั้งกายทั้งใจ มีอยู่มีกินมีใช้ และมีปัญญาไม่หลงไม่ติด เพราะชีวิตเราคือการเสียสละ เราทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ ชีวิตเรามีความสุขนะ
ความเป็นอยู่หรือว่าธรรมชาติของมนุษย์มันพอดี อายุขัยก็ไม่ยาวเกินไป สั้นเกินไป เราก็ได้เกี่ยวข้องกับเทวทูตทั้ง 4 คือ ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพราก ความหนาวร้อน ความสุขความทุกข์ รวมทั้งเห็นวิถีชีวิตของผู้สละเรือนไม่เกี่ยวข้องด้วยเรือน บำเพ็ญพรตบำเพ็ญตบะเพื่อเข้าถึงความเป็นสมณะผู้สงบระงับ เมื่อใจของเรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง มีใจเสียสละในปัจจุบัน เราจะมีความสุขความดับทุกข์ได้ทันตา ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงทั้งหลาย เราจะยินดีในความแก่ของเรา ยินดีในความเจ็บของเรา ยินดีในความตายของเรา ยินดีในความร้อนความหนาว ในความยากดีมีจน เราจะมีความสุข เพราะใจเราเป็นสัมมาทิฏฐิ ใจของเราเสียสละ
อบายมุขเป็นสิ่งที่หยาบ พวกขี้เกียจขี้คร้าน พวกฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ดื่มเหล้าดื่มเบียร์ เจ้าชู้ เล่นการพนัน เสพยาเสพติดต่างๆ สิ่งเหล่านี้มนุษย์เราต้องพากันรู้จักโทษ พิจารณาเห็นโทษให้แจ่มแจ้ง รู้จักยังไม่พอนะ ต้องไม่บริโภคสิ่งเหล่านี้ แม้แต่คนอื่นจะบริโภค เราก็อย่าไปยินดี ดังที่พระพุทธองค์ทรงแสดง อปัสเสนธรรม หมายถึง ธรรมที่เป็นที่พึ่งพิง เป็นแนวทางการดำเนินชีวิตที่เรียบง่ายถูกต้องดีงาม มี 4 ประการ คือ
๑. พิจารณาแล้วเสพ คือ การเลือกพิจารณาเสพไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นสิ่งของ วัตถุ บุคคล ปัจจัย ธรรมใดๆ ให้เลือกเฟ้นในการเสพ (สงฺขาเยกํ ปฏิเสวติ)
๒. พิจารณาแล้วอดกลั้น คือ การอดทนอดกลั้นต่อภาวะที่มากระทบที่ไม่เจริญใจ ให้หัดข่มใจไม่ให้โมโหฉุนเฉียวได้ (สงฺขาเยกํ อธิวาเสติ)
๓. พิจารณาแล้วละเว้น เมื่อพิจารณาสิ่งที่จะเสพแล้วเห็นว่าเป็นโทษนำความทุกข์มาสู่ตนในภายหลัง ให้ละเว้นการเสพของสิ่งนั้นเสีย (สงฺขาเยกํ ปริวชฺเชติ)
๔. พิจารณาแล้วบรรเทา การพยายามลดละเลิกความคิดที่เป็นไปในทางอกุศล (สงฺขาเยกํ ปฏิวิโนเทติ)
ถ้าตัวเรามีอบายมุขอยู่อย่างนี้ ตัวเองก็ยังเอาตัวเองไม่รอด เราจะนำพาครอบครัวของเรารอดได้อย่างไร คนทั้งหลายส่วนใหญ่พากันติดอบายมุข ชีวิตจึงตกต่ำไปในอบายภูมิ นี่คือสาเหตุแห่งความยากลำบาก สาเหตุแห่งความยากจน ทุกท่านทุกคนอย่าไปมองไกลให้เสียเวลา กลับมามองตนเองมายับยั้งชั่งใจให้เสียสละ หลงทางเสียเวลา หลงกิเลสตัณหาต้องเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จบ มันจะนำพาตัวเองพร้อมลูกหลานวงศ์ตระกูลไปสู่ความลำบาก ซึ่งส่งทอดมาจากบรรพบุรุษ ปู่ย่าตายาย จนมาถึงเรา เราจะไปทำตามบรรพบุรุษปู่ย่าตายายพ่อแม่ญาติพี่น้องที่มีความเห็นผิดไม่ได้ ไม่ใช่เราเป็นคนหัวแข็งหัวดื้อนะ แต่เรามีปัญญารู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก รู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว จึงต้องมีความสุขในการที่จะแก้ไข มีความสุขที่จะไม่ทำตามใจตามอารมณ์ตามความรู้สึก เพราะนั่นคือทางไปสู่อบายภูมิ ที่พ่อแม่บอกเราได้ไม่เต็มปากเต็มคำ ก็เพราะว่ายังปฏิบัติไม่ได้ เพราะกายวาจาใจยังจมอยู่ในอบายมุข อบายภูมิ
เราจะเอาปทัฏฐานของคนพาล ที่มีอยู่ในสังคมส่วนใหญ่ ทั้งในประเทศและต่างประเทศไม่ได้ นั่นคืออบายมุข ถึงจะรวยล้นฟ้าก็ช่างหัวมัน ถ้าเป็นคนพาลก็คือคนพาล ขี้เหล้าก็คือขี้เหล้า ผีพนันก็คือผีพนัน เมื่อเราไม่รู้จักอบายมุข ทางสู่อบายภูมิ เลยกลายเป็นคนขี้เกียจขี้คร้าน กินเหล้า เจ้าชู้ เล่นการพนัน การดำรงชีพในครอบครัวมันก็เป็นไปไม่ได้ เพราะกรรมไม่ดีมันตัดรอน เงินเดือนไม่พอใช้ สามีภรรยาที่ว่ารักกันที่สุด ก็รักกันไม่ได้ ไปด้วยกันไม่ได้ มันเครียดนอนไม่หลับ มีหนี้มีสิน เพราะวันเสาร์วันอาทิตย์ดอกเบี้ยมันก็ไม่เคยหยุดนะ ช่วงโควิดพักงานตกงานแต่ว่าดอกเบี้ยธนาคารมันก็ไม่หยุด ชีวิตที่ตกอยู่ในอบายมุขทางสู่อบายภูมิมันก็เผาเราให้เดือดร้อนเห็นๆ ปัญหาในครอบครัวก็เกิดกับทุกคนที่เอาอบายมุขในการดำเนินชีวิต ความทุกข์ของมนุษย์คือความเจ็บไข้ไม่สบาย มีหนี้มีสิน ทุกท่านทุกคนให้เข้าใจอบายมุข ความเห็นแก่ตัวที่ไม่เสียสละ
เราจะได้มีความสุขในการไม่ทำตามอบายมุข มีความสุขในการทำงาน ซื่อสัตย์กตัญญูที่มีศีลมีธรรม มีความสุขในการวางแผนรายรับรายจ่าย คนเราจะไปเอาอะไรมาก ทานอาหารอิ่ม มีที่พักอาศัย พอสบาย ก็เพียงพอแล้ว ความสุขเราอยู่ที่ปัจจุบันที่ได้เสียสละ
ทุกท่านทุกคนพากันทำร้ายตนเองนะ ที่เป็นคนขี้เกียจขี้คร้าน เป็นผู้ที่ไม่เมตตาตนเอง ที่ไม่เอาร่างกายอันประเสริฐนี้มาเสียสละ ไม่มีศิลปะชีวิตในการเหินห่างจากอบายมุข การดำเนินชีวิตของเราจะได้เข้าถึงสุคติ ยังไม่ตายก็ได้เข้าถึงมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติแล้ว
ทุกคนนะ แต่งหน้าแต่งตา ทำผม แต่งเสื้อผ้าอาภรณ์เพื่อให้คนรักเคารพนับถือ เมื่อใจของเราเต็มไปด้วยอบายมุข ใจของเรามันตกไปสู่อบายภูมิ ตัวเราเองก็เคารพนับถือตัวเองไม่ได้ ให้พวกเราพากันคิดดีๆนะ ต้องเข้มแข็ง ต้องสมาทาน ต้องตั้งใจ ให้มีพลัง ถ้าใจของท่านหลงอยู่อย่างนี้ ใจไม่มีพลังหรอก เรื่องที่จะชนะคนอื่นให้ตัดไปเลย มันโง่ที่อยากชนะคนอื่น คนเรามันต้องชนะตนเอง ตนเองยังชนะตัวเองไม่ได้แล้วจะไปชนะคนอื่น เถียงกันอยู่นั่นแหละ จะเอาแพ้เอาชนะอยู่นั่นแหละ แต่ไม่เอาชนะตนเอง ความชนะที่ยิ่งใหญ่คือชนะใจของตนเอง ชนะอารมณ์ตัวเอง ชนะความรู้สึกตัวเอง เอาธรรมเป็นใหญ่ เอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นที่ตั้ง ชีวิตจึงต้องทวนกระแสเช่นนี้
ทุกคนต้องมาแก้อบายมุขที่อยู่ในตนเอง เมื่อแก้ตัวเองได้แล้ว จะได้แก้ลูกหลานวงศ์ตระกูล วงศ์ตระกูลของเราจะได้ยั่งยืน เขาเรียกว่า รวยแบบไม่ฉลาด แข่งขันเป็นเถ้าแก่อบายมุขอบายภูมิ ตระกูลของท่านไม่ถึง 2-3 ชั่วคนหรอก ไปไม่ได้แน่นอน เราอย่าไปคิดแบบคนหลงที่คิดว่า กินเหล้ากินเบียร์ เล่น เที่ยว เพื่อพวกพ้อง เพื่อสังคม เพื่อธุรกิจหน้าที่การงาน คิดอย่างนี้นะ คือการคิดอย่างคนไร้สติไร้ปัญญา ไร้ศักยภาพแห่งความคิด นี่คือความพ่ายแพ้ที่ยิ่งใหญ่ ถ้าไม่ดื่มไม่เที่ยว เดี๋ยวเราจะไม่มีพรรคไม่มีพวก มันไม่ใช่อย่างนั้น มันไม่ใช่อย่างนั้น
ถ้าใครมีเงิน เงินนั้นได้มาจากการเสียสละ ไม่ใช่ได้มาจากการโกงบ้าน กินเมือง ทุจริตคอรัปชั่น ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ทุกคนก็จะรักเคารพนับถือ แต่ถ้าใจยังจมอยู่ในอบายมุข อบายภูมิอย่างนี้ ยังถือเงินถือวัตถุ ถืออวิชชาหรือความหลงเป็นพระเจ้าอย่างนี้ มันคือสุดโต่ง เอาความหลง เอาวัตถุไม่ได้พัฒนาใจ ไม่ได้เอาชนะใจ อย่างนี้ไม่ใช่นะ ไม่ถูกนะ
ผู้นำจิตวิญญาณของโลก อย่างเช่น พระพุทธเจ้า พระเยซู ศาสดานบีมูฮัมหมัด ฤาษีวยาส ศาสดาคุรุนานัก ผู้นำศาสนาทุกศาสนา คือผู้ที่สลัดเสียแล้วซึ่งอบายมุขอบายภูมิ ทุกคนก็เคารพนับถือพระพุทธเจ้า เคารพนับถือในพระเยซู เคารพนับถือในพระอัลเลาะห์ เคารพนับถือในศาสดาของศาสนาต่างๆ เคารพนับถือในท่านผู้ที่เสียสละ ผู้ไม่ทำตามใจตนเอง ตามอารมณ์ตนเอง ศาสนาทุกศาสนาก็ไปในทางเดียวกัน สอนให้เป็นคนดีมีความสุข ศาสนาคือความเป็นธรรมความถูกต้อง ความยุติธรรม ความเสียสละ ปราศจากซึ่งตัวซึ่งตน เหินห่างจากอบายมุข ไม่ตกในความลุ่มหลงทางวัตถุ ต้องพัฒนาทั้งเทคโนโลยีทั้งใจไปพร้อมๆกัน ทุกท่านทุกคน ต้องเข้มแข็ง ถ้าท่านไม่เข้มแข็งท่านก็ไม่ใช่ผู้นำ ประการแรกต้องนำตนเองก่อนนี่แหละ นำตนเองออกจากวัฏสงสาร ออกจากความทุกข์ ออกจากอบายมุข ออกจากอบายภูมิ ไม่ต้องไปเป็นกาฝากของคนอื่น
ต้องพากันคิดเป็นวางแผนเป็นรับผิดชอบเป็น มีความสุขในการดำเนินชีวิตที่ประเสริฐ เราไม่ต้องพากันยากจน เหมือนพ่อแม่ปู่ย่าตายายที่พาเราทำมา เราไม่ต้องไปกลัวความจนมันเสื่อม ไม่ต้องไปรักษาวงศ์ตระกูลที่ยากจนไว้ ยากจนมาจากอะไร ทำไมสงวนไว้นักหนา ยากจนก็มาจากความขี้เกียจขี้คร้าน กินเหล้าเมายา เจ้าชู้เล่นการพนัน ชอบเที่ยว คบคนชั่วเป็นมิตร ไม่ขยันไม่รับผิดชอบในการทำงาน อย่าไปกลัวความยากจนเสื่อม เราต้องเป็นผู้ที่ตื่นเถิดชาวมนุษย์ผู้มีจิตใจสูง อย่าได้พากันหลงใหลต่อไปอีกเลย ถึงคราวแล้วถึงเวลาแล้ว ทุกคนต้องพากันมาเสียสละ
การดำเนินชีวิต การสร้างบารมีของเรา ต้องทำติดต่อเนื่อง อย่าไปประพฤติลูบคลำย่อหย่อนอ่อนแอ อย่าไปลังเลสงสัย ต้องมีความตั้งมั่น มีศรัทธามีฉันทะมีความพอใจ เราประพฤติปฏิบัติไปก็จะมีความสุข ก็จะมีปัญญา เรามีปัญญาก็จะมีความสุข ก็จะพัฒนาไปอย่างนี้ ยิ่งแก่ยิ่งเฒ่า ก็ยิ่งอุทานได้ว่า โอ้! ทำไมมีความสุขอย่างนี้ น่าอัศจรรย์จริง ธรรมะของพระพุทธเจ้าช่างประเสริฐแท้ สอนมวลมนุษย์ให้เข้าถึงความสุขความดับทุกข์ได้อย่างแท้จริง
เราจะพากันไปรักไปหลงเลย อบายภูมิที่ตกต่ำแบบนี้ ที่เราท่องเที่ยวมานานเป็นอเนกชาติ น่าจะสมควรสมเวลาแล้ว ที่เราจะต้องมีสติมีปัญญาให้รู้ว่า เป็นสิ่งที่พวกคนเขลาพากันหลงอยู่ แต่ท่านผู้รู้หาข้องอยู่ไม่ ต้องปิดอบายมุขให้กับตนเอง ปิดอบายภูมิให้กับตนเอง
อย่าคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ทรงเกียรติ มันไม่ใช่ทรงเกียรติมันเสียเกียรติ เกียรติของความเป็นมนุษย์มันหมดแล้ว มันจะเหลืออะไร เหลืออยู่แต่กายเท่านั้นเอง แต่ว่าใจมันดิ่งลงในอบายภูมิไปหมดแล้ว ลองคิดดูสิ! หมู่มวลมนุษย์ทั้งหลาย เกียรติของความเป็นมนุษย์ยังเหลืออยู่ไหม? ที่กล่าวมานี้ เพื่อจะให้ทุกคนรู้แจ้งว่า เราทุกคนสมควรแก่เวลาแล้ว ที่จะต้องมาประพฤติปฏิบัติ มีศีลเสมอกันมีปัญญาเสมอกัน มีความตั้งมั่นเสมอกัน มีปัญญาที่จะออกจากวัฏสงสาร เราจะได้มีจิตใจสว่างไสว ไหลไปสู่กระแสแห่งพระนิพพาน อันเป็นจุดหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา
ฝึกให้ใจสงบ ให้ใจอยู่กับกาย ฝึกปล่อยวางเรื่องที่เป็นอดีต ปล่อยวางที่วิตกกังวลในเรื่องอนาคต พยายามให้ใจสงบอยู่กับปัจจุบัน ความสงบนี้มีความจำเป็นมาก เพราะว่าความสงบเป็นที่อยู่ที่อาศัยของใจ ถ้าใจเราไม่สงบมันเสียศูนย์ไปหมด สมดั่งพุทธภาษิตว่า “ความสุข ความดับทุกข์ อันไหนก็สู้ความสงบไม่ได้ ไม่มี”
เราฝึกหายใจเข้าสบายออกสบายทุกๆ อิริยาบถ ใจของเราจะได้อยู่กับปัจจุบันพระพุทธเจ้าท่านตรัสพุทธภาษิตในโอวาทปาติโมกข์ไว้ว่าสพฺพปาปสฺส อกรณํ คือ การไม่ทำบาปทั้งปวง คนเราต้องทำความดีตั้งแต่เช้าจนหลับ ตื่นขึ้นก็ทำความดีต่อ เสียสละต่อการปฏิบัติอย่างนี้เขาเรียกว่าเป็นคนรักษาศีล เป็นผู้ปฏิบัติธรรม มีสมาธิอยู่กับการรักษาศีล
สมาธิก็แปลว่าความสงบ ความสุข ความดับทุกข์ ความเย็นใจ ความสบายใจ ศีลกับสมาธิมันก็ต้องไปด้วยกัน ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ใจมีความสุข ใจเย็น ใจสบาย ปัญญาคือความฉลาด ความเฉลียว รอบคอบ คิดได้ดี คิดได้เก่ง เป็นคนมีเหตุมีผล
แต่ปัญญานี้ยังใช้งานไม่ได้ถ้าไม่มีศีลถ้าไม่มีสมาธิ ปัญญาเราจะไม่ได้ผล ไม่สามารถที่จะละกิเลส ละตัวละตนได้ ต้องอาศัยศีลคือความประพฤติดีปฏิบัติชอบ ต้องอาศัยสมาธิคือความตั้งมั่น หนักแน่น ไม่หวั่นไหว ไม่ง่อนแง่น ไม่โยกคลอน ทนต่อการท้าทาย ต่อการพิสูจน์ จิตใจที่สงบเป็นจิตใจที่ความปรุงแต่งเข้ามาก่อกวนไม่ได้
เราถึงจำเป็นต้องฝึกสมาธิให้เป็นธรรมชาติในชีวิตประจำวัน ให้ใจมันมีความสุข ให้ใจมันอยู่กับเนื้อกับตัว ไม่ให้จิตใจมันหลงโลก หลงอารมณ์ หลงสิ่งแวดล้อม เป็นจิตใจที่ไม่ถูกอิทธิพลของสิ่งแวดล้อม ไม่ว่ารูป เสียง กลิ่น รส ลาภ ยศ สรรเสริญ ในชีวิตประจำวันมันมาครอบงำ
ถ้าเรามีสมาธิแล้วมันจะแยกกันไปคนละเรื่อง สิ่งภายนอกมันก็เป็นภายนอก กายมันก็เป็นกาย ใจมันก็เป็นใจ มันจะสงบอยู่ เป็นสุขอยู่ ดับทุกข์อยู่ เราต้องทำไปอย่างนี้ ทำไปเรื่อยๆ ทำไปทุกวัน เราทำงานก็ให้ใจเรามีความสุขกับการทำงาน เราทำกิจวัตรก็ให้ใจเรามีความสุขกับการทำกิจวัตรประจำวัน เราอย่าไปแยกว่าการปฏิบัติธรรมก็อย่างหนึ่ง การทำงานก็อย่างหนึ่ง ที่แท้มันเป็นอันเดียวกัน มันจะแยกกันไม่ได้ เหมือนกับเรามีลมหายใจ เราอยู่ที่ไหนเราต้องหายใจ
ถ้าเราปฏิบัติอยู่อย่างนี้อินทรีย์ของเราก็จะแก่กล้า เราก็จะได้รู้ว่าเขาทำอย่างนี้เอง เขาปฏิบัติอย่างนี้เองคือการปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมคือการเสียสละละตัวละตน การทำงานก็คือการเสียสละละตัวละตน ละความขี้เกียจขี้คร้าน ละความติดสุขติดสบาย ผลที่ได้รับก็คือเราจะเป็นผู้ที่มีความสุข ร่ำรวยด้วยโภคทรัพย์และก็ร่ำรวยด้วยคุณธรรม
ทำไปเรื่อยๆ อย่าไปใจร้อน คนเรามันใจร้อน ทำอะไรนิดหน่อยก็อยากได้มาก ปฏิบัตินิดหน่อยก็อยากบรรลุ กิเลสมันเผาตัวเอง มันเผาทั้งที่ยังไม่ตาย เรียกว่ามันตกนรกทั้งเป็นทั้งที่ยังไม่ตาย มันเผาตนเองยังไม่พอ มันเผาคนอื่นเผาพี่เผาน้อง สารพัดที่มันจะเผา เราไม่ต้องอยาก เราสร้างเหตุสร้างปัจจัยให้พร้อมให้เต็มที่ ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ที่จริงเราก็ไม่อยากประมาท แต่บางทีธาตุขันธ์ของเราไม่อำนวย เลยกลายเป็นคนประมาท เราเป็นคนใจอ่อน จิตใจไม่เข้มแข็ง ไม่ตั้งมั่น ใจไม่มีสมาธิ มันเลยไม่มีกำลัง เราก็ต้องเข้มแข็ง ต้องหนักแน่น ต้องกล้าหาญ ต้องกล้าตัด กล้าละ กล้าวาง เราต้องตายคือตายจากความคิดอย่างนี้ อารมณ์อย่างนี้ ตายจากความยึดมั่นถือมั่นอย่างนี้
ถ้าเราไม่ตาย เราก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงตัวเองไปทางที่ดี ส่วนมากมันติด มันอาลัยอาวรณ์ มันไม่อยากทิ้ง เพราะว่าสิ่งเหล่านี้มันสร้างบารมีมาด้วยกันนานแล้ว มันไม่อยากพลัดพรากจากกัน เราจำเป็นต้องตัด ต้องละ ต้องวาง เราต้องตัดสังโยชน์ตัดสังสารวัฏด้วยความจำเป็น เพราะการเกิดทุกข์คราวเป็นทุกข์ร่ำไป การแก่ทุกคราวเป็นทุกข์ร่ำไป การเจ็บทุกคราวเป็นทุกข์ร่ำไป การตายทุกคราวเป็นทุกข์ร่ำไป มันเป็นสิ่งที่น่าเบื่อ มันไม่มีอะไรนอกจากทุกข์เท่านั้นเกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นดับไป
การที่เรามาสงบระงับสังขารทั้งหลายจะเป็นสุขอย่างยิ่ง เรามีสมาธิมีความตั้งมั่น พระพุทธเจ้าท่านถึงหายใจเข้าก็สบาย ออกสบาย มีปีติ สุข เอกัคตา ไม่วิ่งไปตามอารมณ์ ตามสังขาร ชื่อว่าความปรุงแต่งมันเป็นทุกข์อย่างยิ่ง ให้เรากลับมาที่ใจเรา มันเป็นของง่าย ปัญหาต่างๆ ในโลกนี้มันมาจบที่ใจเรา เรื่องภายนอกมันไม่จบ เรามาทำปริญญาทำเรื่องดับทุกข์ภายในจิตใจให้กับตัวเอง
นี่แหละเป็นการปฏิบัติที่ถูกต้อง ถูกตรง สมควรและเป็นบุคคลที่น่ากราบน่าไหว้ เป็นบุคคลที่เกิดมามีประโยชน์ไม่สูญเปล่า เป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น บุคคลเช่นนี้น่าจะมีมากๆ จะได้นำความสงบ ความสุข ความร่มเย็น แก่ชาวโลกทุกๆ คนที่เกิดโลกเดียวกันกับเรา เราต้องเปลี่ยนแปลงตนเองด้วยการมีศีล สมาธิ ปัญญา จะได้เป็นผู้มีความสุข ความดับทุกข์สู่ตนเองที่ถาวร
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee