แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๕ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง มนุษย์ที่สมบูรณ์ ตอนที่ ๘๑ กราบพระด้วยสติปัญญา ไม่หลงงมงาย มีจิตใจที่ชื่นบาน นี้เรียกว่า ยิ่งกราบยิ่งฉลาด
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ผู้ที่เกิดมาเป็นมนุษย์ ให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจนะที่เราได้ร่างกายที่ประเสริฐ เราต้องเอาพุทธะคือตัวผู้รู้ รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ความดับทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ที่พระพุทธเจ้าตรัสบอกว่าอริยสัจ ๔ รู้เหตุรู้ปัจจัยในการเวียนว่ายตายเกิดทางจิตใจ รู้การเวียนว่ายตายเกิดของวัตถุคือร่างกาย ที่มันเป็นกระบวนการเป็นกระแสปฏิจจสมุปบาท เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี
การเรียนการศึกษาจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ การประพฤติปฏิบัติจึงเป็นสิ่งที่สำคัญพระพุทธเจ้าทรงพระเมตตาบอกสอนพวกเราว่า สมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ นั้นมีอยู่ในอริยมรรคมีองค์ ๘ ที่เรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ที่เป็นกระบวนการของศีลสมาธิปัญญา มีทั้งความรู้ความเข้าใจและการประพฤติปฏิบัติไปพร้อมๆ กัน
ใจของเราทุกคนนั้นมันคิดได้ทีละอย่าง ถ้าเราเอาความไม่ถูกต้อง หรือเหตุปัจจัยที่เป็นไปเพื่อประกอบทุกข์ พุทธะก็เกิดขึ้นไม่ได้ พระพุทธเจ้าน่ะถึงให้พวกเราพากันรู้ความจริง คือรู้เรื่องอริยสัจ ๔ เราจะเอาความไม่รู้เอาความหลงดำรงชีวิตนั้นไม่ได้ นั่นคือการเวียนว่ายตายเกิดอย่างไม่จบไม่สิ้น เพราะความหลงนั้นมันไม่ใช่การทำที่สุดแห่งความดับทุกข์ ความหลงมันเป็นไปเพื่อประกอบทุกข์ เป็นได้แต่เพียงคน ความหลงนั้นคือวัฏฏะ ชีวิตของเราก็เวียนว่ายตายเกิด เป็นชีวิตที่ไม่รู้ทุกข์ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ไม่รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ความหลงความไม่รู้นี่แหละที่มันเป็นสัญชาตญาณ ที่มันเป็นนิติบุคคลเป็นตัวเป็นตน เป็นตัวก่อภพก่อชาติ
พระพุทธเจ้าน่ะท่านให้เราทั้งหลายพากันเห็นภายในวัฏสงสารนะ ที่เราได้พากันบริโภคความหลงนั้นเป็นอาหารอันเป็นสาเหตุของ ที่เราฆ่าสัตว์บริโภคสัตว์ หรือคนอื่นฆ่าแล้วเราซื้อมาบริโภคนั้นก็มาจากความหลง ที่เราพากันโลภทุจริตโกงกินคอรัปชั่นก็มาจากความหลง ที่เรามีภรรยาสามีก็มาจากความหลงใช่ไหม ที่เราโกหกหลอกลวงทำวจีกรรมเกี่ยวกับคำพูดก็เพราะความหลง ที่เรากินเหล้ากินเบียร์เสพสิ่งเสพติดต่างๆ ก็เพราะความหลงน่ะ
ให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจเรื่องอริยสัจ ๔ คือรู้ทุกข์รู้เหตุเกิดทุกข์รู้ความดับทุกข์รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เราจะตามอวิชชาความหลงไปนั้นมันไม่จบไม่สิ้น เป็นไปเพื่อประกอบทุกข์ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นไปเพื่อประกอบทุกข์ของตนเองและประกอบทุกข์ของคนอื่น มนุษย์เราต้องมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง พากันพัฒนาเรื่องจิตเรื่องใจพัฒนาวิทยาศาสตร์ไปพร้อมๆ กัน จะได้เป็นพุทธะทางจิตใจพุทธะทางวัตถุ ทุกท่านจะได้เข้าถึงความเป็นมนุษย์ที่มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง เข้าถึงความเป็นเทวดา พัฒนาวิทยาศาสตร์เพื่อไม่ให้หลงความสุขที่ได้จากการพัฒนานั้น การพัฒนาวิทยาศาสตร์ก็จะมีแต่คุณไม่มีโทษ ด้วยเข้าถึงความเป็นมนุษย์ที่มีสัมมาทิฏฐิมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ต้องเป็นเทวดาเป็นพระพรหมที่มีสัมมาทิฏฐิมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง มีความเมตตากรุณาที่บริสุทธิ์ มีปัญญาที่บริสุทธิ์ ที่ไม่ใช่นิติบุคคลไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน
ทุกท่านทุกคนต้องเข้าถึงความเป็นมนุษย์ตั้งแต่ปัจจุบัน เป็นเทวดาเป็นพรหมตั้งแต่ปัจจุบัน ที่มีสัมมาทิฏฐิมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง เป็นพระอริยเจ้าตั้งแต่ปัจจุบัน ทุกท่านจะได้ไม่สงสัยว่าตายแล้วเกิดหรือตายแล้วสูญ ให้ทุกท่านพากันเข้าใจ ใจของเราไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน อย่าไปตรึกในกามในพยาบาท เพราะความชอบใจไม่ชอบใจมันเป็นนิติบุคคลตัวตน เป็นกามสุขัลลิกานุโยค เป็นไปเพื่อเป็นอัตตกิลมถานุโยค ไม่ได้เป็นไปเพื่อความดับทุกข์
การเวียนว่ายตายเกิดเป็นสิ่งที่มีอยู่ นรก สวรรค์ พรหมโลก พระนิพพานเป็นสิ่งที่มีอยู่ ทุกท่านทุกคนให้พากันรู้จักนะที่เรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้องอย่างนี้แหละ มวลมนุษย์ทั้งหลายจะได้เดินไปด้วยการไม่ประกอบทุกข์ ด้วยความดับทุกข์ เอาชีวิตประจำวันของเรานี่แหละประพฤติปฏิบัติ หยุดนิติบุคคลตัวตน ช่างหัวมันที่แล้วก็แล้วไป พูดศัพท์สมัยพ่อขุนรามว่า ช่างพ่อช่างแม่มัน ที่มันแล้วก็ให้แล้วไป ทุกท่านต้องมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง เราจะเอาอวิชชาความหลงมาดำเนินชีวิตไม่ได้ มันเสียหาย เราปฏิบัติเพื่อความประกอบทุกข์อย่างนี้ไม่ได้ ความไม่เข้าใจน่ะมันได้พาเราทุกคนร้องโอ๊ยๆๆ ไป โดยที่เราไม่รู้ทุกข์ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ไม่รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เราทุกคนนะต้องพากันรู้จัก เพราะทุกอย่างนั้นมันเป็นเพียงเหตุปัจจัย ต้องมีสติคือความสงบ ไม่ต้องตามอวิชชาความหลง มีสัมปชัญญะคือตัวปัญญาที่รู้อริยสัจ ๔
ศีลน่ะคือการหยุดการยกเลิกหยุดโรงงานของอวิชชาของความหลง ปฏิบัติให้ติดต่อต่อเนื่อง การปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องจึงเป็นสัมมาสมาธิ ถึงแม้เราจะพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ที่ก้าวหน้าไปได้มากที่สุดของโลก มันก็ยังดับทุกข์ไม่ได้ ถ้าเรายังเอาอวิชชาความหลงเป็นที่ตั้งนะ ทุกท่านจึงต้องพัฒนาจิตใจให้มีสัมมาทิฏฐิไปพร้อมๆ กัน ที่เป็นทางสายกลาง
ใจของเราต้องมีปัญญา เอาความถูกต้องเป็นหลัก ถ้าเราไม่รู้เรื่องอริยสัจ ๔ การพัฒนาวิทยาศาสตร์ของเราก็เป็นไปเพื่อประกอบทุกข์ ที่ได้แข่งขันกันเรียนตั้งแต่อนุบาลจนถึงปริญญาเอก ก็นับว่าดี แต่เราต้องมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้องเป็นพุทธะ ความรู้นั้นต้องเป็นพุทธะ ไม่ใช่อวิชชาความหลง ความหลงนี่มันเผาตัวเองนะ มันเผาคนอื่นนะ เราต้องพากันมาพัฒนาเรื่องจิตเรื่องใจ และพัฒนาวิทยาศาสตร์ ทุกๆ คนต้องพากันมาเสียสละ มีความสุขในการเอาธรรมนำชีวิต ไม่เอาความสุขจากการเอานิติบุคคลตัวตนที่มันเวียนว่ายตายเกิด ปรับตัวเองเข้าหาเวลา มีความสุขในการปฏิบัติธรรม มีความสุขในการทำงาน
วันหนึ่งมี ๒๔ ชั่วโมง เวลานอนของคฤหัสถ์ผู้ครองเรือนก็ต้องนอนสัก ๖-๘ ชั่วโมง เพื่อสนองจะได้เอาไปสั่งร่างกาย สั่งการทำงาน ใช้เรียนใช้ศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับผู้ที่มาบวชทุกศาสนาน่ะ นอนสัก ๕-๖ ชั่วโมงก็เพียงพอแล้ว เวลาตื่นอยู่ของหมู่มวลมนุษย์ เป็นเวลาที่เรามีความสุขในการทำงานกับการปฏิบัติธรรม ต้องเป็นต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แยกกันไม่ได้ เพื่อ ๒ อย่างนี้จะได้ทำงานร่วมกัน ทางใจก็เป็นพุทธะ ทางกายก็เป็นเหตุแห่งความดับทุกข์ เราไม่ได้ทำงานเพื่ออวิชชาความหลง เมื่อเรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง การดำเนินชีวิตของเราก็ไม่ได้เป็นไปเพื่อประกอบทุกข์ การที่จะไปเอาความสุขจากความทุกข์ของคนอื่นสัตว์อื่นมันก็ไม่มี การที่จะโลภโกรธหลงมันก็จะไม่มีน่ะ ชีวิตของเราก็จะมีแต่สติคือความสงบ สัมปชัญญะคือปัญญา มีความสุขในการปฏิบัติธรรม ความเป็นคนของเราก็จะหมดไป จะได้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ เป็นเทวดา เป็นพระพรหม เป็นพระอริยเจ้า ชีวิตของเราจะเข้าสู่การทำที่สุดแห่งความดับทุกข์น่ะ
เมื่อเรามีความเห็นไม่ถูกต้อง มันก็เป็นไปเพื่อประกอบทุกข์อย่างเดียว พระพุทธเจ้าท่านถึงตรัสสอน ถ้าสงสัยในเรื่องมรรคผลพระนิพพานในเรื่องหลักการปฏิบัติ ก็ให้เอาหลักตัดสินธรรมวินัย ๘ ประการมาเทียบเคียง ทุกท่านทุกคนจะได้ไม่ดำเนินชีวิตด้วยการประกอบทุกข์ให้ตนเองและผู้อื่น เราจะไปเอาความสุขความดับทุกข์จากสิ่งที่มันไม่ถูกต้องนั้นเป็นไปไม่ได้ ท่านถึงบอกพวกเราน่ะ ไม่มีใครปฏิบัติให้เราได้ เรื่องรู้ทุกข์รู้เหตุเกิดทุกข์รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เป็นสิ่งที่ต้องพากันรู้พากันปฏิบัติเอาเอง เรื่องศีลเรื่องสมาธิเรื่องปัญญาเป็นเรื่องเฉพาะตนของเราทุกคน ไม่ใช่เรื่องของคนอื่นเลย เป็นเรื่องตัวเราแก้ไขตัวเรา ศีลสมาธิปัญญาเป็นยานที่จะให้เราออกจากวัฏสงสาร
ทุกท่านต้องมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง พระพุทธเจ้าไม่ให้พากันหลง เมื่อหลงแล้วก็ดำเนินชีวิตไปด้วยการประกอบทุกข์ สร้างความทุกข์พร้อมโอ๊ยๆ ไปเรื่อย จึงต้องมีความสุขในการประพฤติปฏิบัติ ต้องไม่เอาความรู้สึกที่มันเป็นสัญชาตญาณที่เป็นตัวเป็นตน ชีวิตของเราต้องดำเนินไปด้วยธรรมะ ถ้ามีตัวมีตนน่ะ มันก็ย่อมมีความรู้สึกหนาวร้อนอ่อนแข็งหย่อนตึง มีความสุขมีความทุกข์ มีความเอร็ดอร่อย มีความชอบไม่ชอบที่มันเป็นอารมณ์น่ะ เราเอาสิ่งเหล่านี้เป็นตัวเป็นตนไม่ได้เพราะอันนี้คือการเวียนว่ายตายเกิด อย่าได้เป็นนิติบุคคลเป็นตัวเป็นตน สิ่งเหล่านี้ถือว่ามันเป็นเกมส์เป็นข้อสอบในชีวิตประจำวันของเรา ถ้าไม่มีความรู้สึกนึกคิดที่มันเกิดจากผัสสะภายนอกภายใน เราก็ไม่มีข้อสอบข้อสอบในปัจจุบัน สิ่งเหล่านี้เป็นความรู้ในการปฏิบัติต้องมีกับเราในปัจจุบันนะ จึงต้องมีสติสัมปชัญญะ ปัจจุบันจึงเป็นข้อสอบข้อต่อ ด้วยเหตุปัจจัยนี้พระพุทธเจ้าตรัสบอกพวกเราว่า สมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ นั้นมีอยู่ในอริยมรรคมีองค์ ๘ ภิกษุเหล่านี้ พึงอยู่โดยชอบ โลกจะไม่พึงว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลาย
ความรู้นี้จะติดต่อต่อเนื่องเป็นสายน้ำเป็นแม่น้ำประกอบด้วยศีลสมาธิปัญญา ทุกท่านทุกคนอย่าไปเอาความหลง ความหลงงมงายเรียกว่าไสยศาสตร์ เราอย่าไปเอารูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ ทุกท่านจะต้องหยุดความหลงไม่ถือความหลงเป็นที่ตั้ง ต้องถือพุทธะ ถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งของเรา ถึงพระธรรมที่พระผู้มีพระเจ้าตรัสไว้ดีแล้วเป็นที่พึ่งของเรา ถึงพระอริยสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติตรงปฏิบัติเพื่อดับทุกปฏิบัติสมควรเป็นที่พึ่งของเรา พระพุทธเจ้าเป็นนามธรรมแห่งความดับทุกข์ พระพุทธเจ้าถึงเป็นสิ่งที่มีอยู่ที่เป็นอมตะ พระธรรมเป็นสิ่งที่มีอยู่อันเป็นอมตะ พระอริยสงฆ์เป็นสิ่งที่มีอยู่เป็นอมตะ ผู้ที่มาบวชในศาสนาพุทธ เรียกว่ามาบวชเป็นพระ เป็นพระธรรมพระวินัย ที่ไม่มีนิติบุคคลตัวตน จึงเรียกว่าพระ ถ้ามีตัวมีตนก็เรียกว่าพระไม่ได้
กามบรรลุธรรมนั้นเป็นอย่างไร ก็คือการมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ไม่เอานิติบุคคลตัวตนเป็น เรียกว่าบรรลุธรรม บรรลุธรรมกระดูกเป็นพระธาตุใช่ไหม กระดูกมันก็เป็นธาตุอยู่แล้ว เราจะเอาความดับทุกข์มาเป็นตัวเป็นตนไม่ได้ จะเป็นพระธาตุหรือไม่เป็นพระธาตุไม่ต้องไปสนใจ เพราะไม่ใช่เรื่องดับทุกข์ สิ่งที่ถูกต้องไม่มีใครแต่งตั้งให้ได้ พระพุทธเจ้าให้เรารู้ทุกข์รู้เหตุเกิดทุกข์รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ให้เราละเสียซึ่งนิติบุคคลตัวตน พากันประพฤติปฏิบัติในปัจจุบันอย่างนี้ ความเป็นพระนั้นก็มีอยู่ ๔ ระดับ คือพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ นั้นมีกับทุกๆ ท่านที่มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ศาสนาทุกศาสนาถ้ามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้องตามอริยมรรคมีองค์ ๘ ก็มีพระนิพพานอยู่ทุกศาสนานั่นแหละ เพราะการเวียนว่ายตายเกิดก็เพราะไม่รู้ทุกข์ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ไม่รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์มาจากสาเหตุเดียวกันหมดทั้งโลก ศาสนาเป็นการพัฒนาเรื่องจิตเรื่องใจ จึงเรียกว่าศาสนา
เราทุกคนที่มีอยู่ทั่วทุกมุมโลกเกือบ ๘,๐๐๐ ล้านคน ต้องพากันเข้าใจว่าเราต้องมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง เราจะเอาศาสนาไปทะเลาะกันไม่ได้ เราต้องเข้าใจเรื่องจิตเรื่องใจเรื่องวิทยาศาสตร์ จะได้พัฒนาไปพร้อมๆ กัน จะได้ไม่เป็นไปเพื่อประกอบทุกข์ เราอยู่ที่ไหนก็ต้องมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้องก็สามารถดับทุกข์ได้ ไม่ต้องไปตามอวิชชาความหลง เราจะพากันเป็นมนุษย์โง่มนุษย์หลงไม่ได้นะ เพราะเราก็ต้องหาความดับทุกข์ให้กับตัวเองไม่เกี่ยวข้องกับคนอื่น จึงให้พากันเข้าใจอย่างนี้ ตัวเราก็มีหน้าที่แก้ไขตัวเราเอง คนอื่นก็มีหน้าที่แก้ไขตัวเขา ถ้าเรามีตัวมีตนมันก็ขี้เกียจ ความมีตัวมีตนมันขี้เกียจ มันมีความเห็นผิดเข้าใจผิดจึงคิดว่า เรียนหนังสือก็เพราะความจำเป็น ทำงานก็เพราะความจำเป็น มันเป็นอบายเป็นความเสื่อม
ทุกท่านทุกคนต้องมีความสุขในการทำงานมีความสุขในการปฏิบัติธรรม ให้พากันมีความเห็นอย่างนี้นะ จึงต้องมาช่วยเหลือตัวเองปฏิบัติตนเอง ไม่ต้องอาศัยพ่อแม่อาศัยใคร อาศัยใครๆ ต้องอาศัยตัวเองนี่แหละ เน้นแก้ไขตัวเองโดยเฉพาะด้วยศีลสมาธิปัญญา พระพุทธเจ้าท่านจึงบอกว่าเราเกิดมาเพื่อทำประโยชน์ตนประโยชน์ผู้อื่นให้ถึงพร้อม เราเกิดมาเพื่อเสียสละ เราต้องให้สิ่งดีๆ กับคนอื่น พัฒนาวิทยาศาสตร์ให้ก้าวหน้าพัฒนาวัตถุมันไม่จบหรอก หมู่มวลมนุษย์ได้รับความสะดวกความสบายทางวัตถุ เราอย่าพากันขี้เกียจขี้คร้านเลย เพราะมันเป็นไปเพื่อประกอบทุกข์ มันเป็นสิ่งเสพติดมันเป็นสังโยชน์ เราอย่าไปสนใจมันเลย ตื่นขึ้นมาก็ต้องเสียสละ จิตใจตั้งมั่นเข้มแข็ง ทุกศาสนาก็ต้องมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้องอย่างนี้
เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานไป แต่ก่อนไม่มีพระพุทธรูป ต่อมาหลายร้อยปีประมาณ พ.ศ ๕๐๐ ถึงได้มีพระพุทธรูป เพื่อให้เป็นสัญลักษณ์แทนพระพุทธเจ้า เราไปเอาจริงเอาจังตั้งแต่พระปางโน้นปางนี้ได้อย่างไรกัน ให้ทุกท่านได้เข้าใจ พระก็คือพระธรรมคือพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ หยุดตรึกหยุดนึกหยุดคิดในกามในพยาบาท เราต้องปฏิบัติให้ติดต่อต่อเนื่องเหมือนสายน้ำ นั่นคือความเป็นพระน่ะ พระพุทธรูปพระปฏิมากร มีเพื่อให้เด็กมันเข้าใจเรื่องศาสนา ให้เราเข้าใจอย่างนั้น อย่าพากันไปโปรโมทโฆษณาว่าขลังว่าศักดิ์สิทธิ์อย่างโน้นอย่างนี้ พระศาสนานั้นขลังศักดิ์สิทธิ์แน่ละ ถ้าเราหยุดการเวียนว่ายตายเกิดได้ ถ้าเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันก็เวียนว่ายตายเกิดอยู่ ถ้าเอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันไม่ขลังไม่ศักดิ์สิทธิ์ เราต้องเข้าใจความเป็นพระนะ พระพุทธรูปของแต่ละประเทศก็มีศิลปะมีหน้าตาไม่เหมือนกัน อย่างพระพุทธรูปที่มีพระเกศแหลมเหมือนกับเป็นเครื่องหมายให้รู้ว่ามีปัญญาสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ไม่มีไสยศาสตร์ไม่มีความหลง
สิ่งที่เหมือนกันของรูปเปรียบของพระพุทธเจ้านี้ ที่สังเกตเห็น ได้มีอยู่ด้วยกัน ๕ ประการ คือ
๑. พระเศียรแหลม มีคำถามว่า ทำไมพระพุทธรูปจึงมี พระเศียรแหลมในเมื่อพระพุทธเจ้าของเรา ก็เป็นมนุษย์ ...ที่เป็นเช่นนี้เพราะ เขาสร้างพระพุทธรูปเพื่อให้คิดเป็น ปริศนาธรรม พระเศียรที่แหลมนั้น หมายถึง สติปัญญาที่เฉียบแหลม ในการดำเนินชีวิต สอนให้ชาวพุทธ แก้ปัญหาต่างๆ ด้วยสติปัญญา ไม่ใช่ใช้อารมณ์ หากใช้ปัญญาคิดพิจารณา ไตร่ตรองให้รอบคอบเสียก่อนแล้วจึง ทำ ความผิดพลาดก็เกิดขึ้นน้อย หรือ ไม่เกิดขึ้นเลย
๒. พระกรรณยาน หรือ หูยาน ในมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ เช่น มี “ฝ่าเท้าตั้งแนบสนิทดี” และ “ในฝ่าเท้ามีจักรลักษณะ” คือหมายถึงว่าเวลายืน ฝ่าเท้าทั้งหมดจะแนบลงกับพื้นเต็มทั้งฝ่าเท้า รอยพระพุทธบาทที่สร้างกันมาจึงต้องทำเป็นรูปรอยฝ่าเท้าเต็มๆ (ไม่มีอุ้งเท้าเว้าแหว่งให้เห็นแบบรอยเท้าคนทั่วไปเวลาเดินย่ำน้ำมา) และมักทำเป็นลวดลายธรรมจักรอยู่ตรงกลาง มหาปุริสลักษณะข้ออื่นๆ ก็มีได้แก่ “ส้นเท้ายาว” “นิ้วมือนิ้วเท้ายาว” “แข้งเหมือนแข้งเนื้อทราย” “ยืนตัวตรง ไม่โค้งลำตัว จะใช้ฝ่ามือลูบได้ถึงเข่า” ฯลฯ แต่ทั้งหมด ไม่มีข้อไหนเลยที่พูดถึงติ่งหูยื่นยาว ดังนั้นเรื่องนี้จึงไม่เกี่ยวกับมหาปุริสลักษณะ
หากแต่ช่างผู้สร้างพระพุทธรูปตั้งแต่โบราณมา ทำส่วนติ่งหูยื่นยาวนี้ เพื่อสื่อถึงชาติกำเนิดดั้งเดิมของพระพุทธเจ้า ที่ทรงเป็นคนในวรรณะกษัตริย์ คือเป็นเจ้าชายสิทธัตถะมาก่อน ตามประเพณี พระราชา หรือเจ้าชายเจ้าหญิงย่อมสวมต่างหูหรือ “ตุ้มหู” ที่มีน้ำหนักมาก ถ่วงหูไว้จนติ่งหูยื่นยานลงมา ลักษณะเช่นนี้คงนับถือกันในสมัยนั้นว่าเป็นความงาม เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะออกผนวชจึงทรงตัดมวยผมที่เป็นสัญลักษณ์ของชนชั้นสูง และถอดเครื่องประดับร่างกายต่างๆ ออกจนหมดสิ้น รวมถึงต่างหูนั้นด้วย หากแต่เนื้อส่วนติ่งหูที่เคยถูกถ่วงน้ำหนักไว้จนยืดยานด้วย “ต่างหู” ย่อมมิอาจหดกลับคืน จึงยังคงยื่นยาวอยู่เช่นนั้น ถ้าสังเกตให้ดี ช่างที่เข้าใจคติเรื่องนี้ นอกจากจะทำส่วนปลายพระกรรณ (ติ่งหู) ของพระพุทธรูปให้ยื่นยาวลงมาแล้ว ยังจะแสดงให้เห็น “ร่อง” ผ่ากลาง ยาวลงมาเกือบตลอดติ่งหูที่ว่านั้นด้วย เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่านี่คือ “ร่องรอย” ที่หลงเหลือตกค้างจากการสวมใส่ต่างหูเป็นเวลานาน อันสื่อถึงราชสถานะของพระพุทธองค์นั่นเอง
พระกรรณยาน หรือ หูยาน เป็นปริศนาธรรม ให้ชาวพุทธเป็นคนหูหนัก คือ มีจิตใจหนักแน่นมั่นคงนั่นเอง ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ แต่คิดพิจารณาไตร่ตรองด้วยสติปัญญาอันแยบคายแล้วจึงเชื่อ ในฐานะที่เป็น ชาวพุทธ ก็ต้องเชื่อในกฎแห่งกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เราต้องเชื่อมั่นในหลักเหตุและผล (Cause & Effect) เชื่อว่า... บุคคลหว่านพืชเช่นใดย่อมได้รับผลเช่นนั้น เชื่อว่า... สุดท้าย คนๆ เดียวที่จะสามารถทำให้เราสุขหรือทุกข์ ดีหรือเลวได้คือตัวเราเอง และชีวิตเราจะเสื่อมทรามหรือเจริญรุ่งเรือง ก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอำนาจภายนอกหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ขึ้นอยู่กับการทำ การพูด การคิดของตนเอง นี้เป็นการเชื่อตามหลักของพระพุทธศาสนา
๓. พระเนตรมองต่ำ พระพุทธรูปที่สร้างโดยทั่วไป จะมีพระเนตรมองลงที่พระวรกายของพระองค์ อย่างในพระอุโบสถของวัด ทั่วไป จะนั่งมองดูพระวรกาย ไม่ได้มองดูหน้าต่างหรือมองดูประตูพระอุโบสถว่าจะมีใครเข้ามาไหว้บ้าง
นี้เป็นปริศนาธรรม สอนให้มองตนเองพิจารณาตนเองก่อนเสมอ ตักเตือนแก้ไขตนเองก่อน ไม่ใช่คอยจับ ผิดผู้อื่น ซึ่งตามปกติของคนแล้วมัก จะมองเห็นความผิดพลาดของบุคคลอื่น แต่ลืมมองของตนเอง ทำให้สูญ เสียเวลา และโอกาสในการปรับปรุง พัฒนาตนเอง ใครเล่าจะตักเตือนตัว เราได้ดีกว่าตัวเราเอง จึงมีพุทธพจน์ ตรัสให้เตือนตนเองว่า "อตฺตนา โจทยตฺตานํ" = จงเตือนตน ด้วยตนเอง
จงเตือนตนของตน ให้พ้นผิด ตนเตือนจิตตนได้ ใครจะเหมือน
ตนเตือนตนเตือนไม่ได้ ใครจะเตือน ตนแชเชือน ใครจะเตือน ให้ป่วยการ
พระเนตรที่มองต่ำ คือ การสอนให้ใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน ไม่ใช่เหม่อฝันเฟื่องถึงเรื่องที่ยังไม่ได้เกิดขึ้น หรือมัวหลงอยู่ในอดีตที่ผ่านพ้นไปแล้วและไม่มีวันหวนกลับมาตาที่มองลงต่ำจะช่วยย้ำเตือนใจเราว่า “กลับมาก่อนเถิด กลับบ้านมาอยู่กับลมหายใจที่ปลายจมูก เพราะนั่นคือบ้านแท้จริง”
๔. พระพักตร์อันสงบนิ่ง (หน้าสงบนิ่ง) หมายถึง ไม่หวั่นไหวกับปัญหาต่างๆ ทั้งเล็กและใหญ่ ให้ความรู้สึกเย็นสบายใจต่อผู้พบเห็นเสมอ
๕.รอยยิ้มจากพระโอษฐ์ หมายถึง ปริศนาจากปากที่มีรอยยิ้ม เป็นสัญลักษณ์ของผู้ที่มีเมตตาต่อสรรพสัตว์ และเข้าใจความจริงของโลก... ทุกสิ่งย่อมเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเป็นธรรมดา ไม่มีอะไรแน่นอน ไม่มีอะไรคงทนถาวร ไม่มีอะไรเป็นของเราอย่างแท้จริง ฉะนั้น “ผู้ที่เข้าใจความจริง” จะสามารถสงบนิ่งอยู่ได้ในธรรมชาติของสรรพสิ่ง ไม่วิ่งตามกระแสโลกจนเหนื่อยเกินไป และสามารถใช้ชีวิตอย่างเบิกบานได้ท่ามกลางพายุที่โหมกระหน่ำ เพราะมีสัจธรรมเป็นที่พักพิง
ที่กล่าวมาทั้ง ๕ ประการนั้น เป็นการสอน โดยใช้ปริศนาธรรมจากพระพุทธรูปเป็นสื่อการสอนใจตนเอง ดังนั้น เราเมื่อมีปัญหาอะไร แก้ไขไม่ได้ คิดไม่ตก ก็กราบพระไหว้พระ หายใจเข้าหายใจออกให้สบาย เมื่อกราบพระพุทธปฏิมา จะมองเห็นพระเศียรแหลม สอนใจตนว่า "อย่าแก้ปัญหาด้วยอารมณ์นะ ใจเย็นเย็น ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโลกนี้ไม่มีอะไรแก้ไขไม่ได้ ค่อยๆ คิด ค่อยๆแก้ ด้วยสติปัญญา ที่เฉียบแหลม เหมือนพระพุทธเจ้าของเรา ที่พระองค์ใช้สติปัญญาในการแก้ไขปัญหา"
เห็นพระกรรณยานก็บอกตน เองว่า "สุขุมเยือกเย็นมีเหตุผลเข้าไว้ อย่าปล่อยใจตามอารมณ์ หรือหุนหัน พลันแล่น เดี๋ยวจะผิดพลาดได้ ต้องมีจิตใจหนักแน่นมั่นคง เชื่อในสิ่งที่มีเหตุผล"
เห็นสายพระเนตรที่มองต่ำก็บอกตน เองว่า "มองตนเองบ้างนะ อย่าไปมองคนอื่นมากนักเลยเดี๋ยวจะไม่สบายใจ การมองตนเองบ่อยบ่อย จะได้พิจารณาตนเองปรับปรุงตนเอง และแก้ไขตนเองให้ดีขึ้น"
เห็นพระพักตร์อันสงบนิ่ง (หน้าสงบนิ่ง) ก็บอกตนเองว่า “อย่าไปหวั่นไหวกับปัญหาต่างๆ ทั้งเล็กและใหญ่ ให้ใจดีใจสบายเข้าไว้”
เห็นรอยยิ้มจากพระโอษฐ์ ก็บอกตนเองให้มีรอยยิ้มกับผู้อื่นบ้าง
กราบพระด้วยสติปัญญา และจิตใจที่ชื่นบาน นี้เรียกว่า "ยิ่งกราบยิ่งฉลาด" ...สมกับเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ที่แท้จริง....
ให้ทุกท่านทุกคนเข้าใจความเป็นพระ จะได้น้องเข้ามาหาตัวของเรา จะได้ไม่หลงตัวพระที่เป็นตัวเป็นตน ถ้ามีตัวมีตนมันคือการก่อภพก่อชาติ พระที่แท้จริงคือความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ความเป็นพระไม่ได้อยู่ที่นักบวชอย่างเดียว มันอยู่กับทุกคน จะเป็นความสงบเป็นพระนิพพาน กับศาสนาไม่ใช่นิติบุคคลที่เรามาแบ่งมาหลงกัน เพราะเราไม่เข้าใจข้อมูลที่ถูกต้อง อย่างประเทศไทยของเราก็สร้างความเสียหาย มาแบ่งธรรมยุตมานิกาย สายวัดบ้านวัดป่า ซึ่งเป็นความเห็นไม่ถูกต้องเข้าใจไม่ถูกต้อง เลยเอามาเป็นตัวเป็นตน ความเป็นตัวเป็นตนนั้นเรียกว่าสังฆเภท ถ้าเรามีตัวมีตนกับธรรมะกับการพัฒนาวิทยาศาสตร์ มันก็ผิดน่ะ การดำเนินชีวิตแบบนี้เรียกว่าแตกแยก เอาแต่วัตถุ ถ้าเป็นศาสนาเขาเรียกว่าสังฆเภท ไม่ได้เอาความถูกต้อง ดำเนินชีวิตด้วยความไม่สงบ บ้านเราเมืองเรา จะเอาความหลงเอาอวิชชาเป็นการดำเนินชีวิต เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เราจะเอาความหลงมาบริหารตนเองและบริหารบ้านเมืองไม่ได้ เพราะมันเป็นไปเพื่อประกอบทุกข์ ไม่ใช่เพื่อความดับทุกข์ ถึงแม้เราจะขวนขวายเท่าไหร่ก็เป็นไปเพื่อดับทุกข์ไม่ได้
ทุกท่านทุกคนต้องมีความสุขในการพัฒนาใจ มีความสุขในการทำงาน เอาความถูกต้องเป็นการดำเนินชีวิต ชีวิตของเราถึงจะเรียกว่างามในเบื้องต้นด้วยศีล งามในท่ามกลางได้แก่ปัจจุบันนี่แหละ ที่เรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ที่เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม งานในเบื้องปลายคือมีปัญญาสัมมาทิฏฐิ ที่เรากลับมาแก้ไขตนเอง ไม่ได้ไปแก้ไขคนอื่น เราทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ก็มีความสุขมีความดับทุกข์อยู่ทุกหนทุกแห่ง มีความสงบวิเวก ผัสสะทั้งหลายที่เป็นอายตนะภายนอกภายในก็เป็นข้อสอบข้อตอบ ที่จะให้เราได้อบรมบ่มอินทรีย์ เราจะได้ถึงสมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ที่มีอยู่ในอริยมรรคมีองค์ ๘ ที่เป็นความขลังความศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีอะไรดีอะไรประเสริฐ เท่ากับเรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้องอีกแล้ว
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee