แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันจันทร์ที่ ๒๒ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง มนุษย์ที่สมบูรณ์ ตอนที่ ๗๘ การเรียนการศึกษาที่กิเลสตัณหานำใจจึงไม่ฉลาด ย่อมตกเป็นทาสของอวิชชาความหลง
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
การเรียนการศึกษาความรู้ความเข้าใจ เพื่อให้เราทุกคนมีสัมมาทิฏฐิมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง เพื่อให้เรามีพุทธะทั้งทางจิตใจและทางวัตถุไปพร้อมๆ กัน ถ้าไม่อย่างนั้น เราก็ไม่รู้ทุกข์ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ไม่รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ มนุษย์เราจะเอาความไม่รู้ความไม่เข้าใจเป็นไปเพื่อดำเนินชีวิตนั้นไม่ได้ เราทุกท่านทุกคนจะเป็นได้แต่เพียงคน คนคือความไม่รู้ คำว่าคนแปลว่ายังไม่รู้ทุกข์ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ไม่รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ คือไม่รู้ความจริงทางวัตถุไม่รู้ความจริงทางจิตใจ เรียกว่าไม่รู้อริยสัจ ๔ การเรียนการศึกษาของเรามันต้องคู่กัน
เมื่อเราได้เกิดมาเป็นมนุษย์เป็นผู้ที่ประเสริฐ ที่เราเรียนหนังสือกันตั้งแต่อนุบาลจนถึงปริญญาเอกเรา หรือเรียนธรรมะตั้งแต่นักธรรมตรีจนถึงเปรียญธรรม ๙ ประโยคเพราะทุกอย่างนั้นมันคือเหตุคือปัจจัย ไม่ใช่นิติบุคคลไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ทุกท่านทุกคนต้องพากันเข้าใจ เราจะได้พากันหยุดความไม่ถูกต้อง หยุดความไม่รู้ การศึกษาซึ่งเป็นไปเพื่อการกระทำที่สุดแห่งการดับทุกข์ทั้งกายทั้งใจไปพร้อมๆ กัน ความดับทุกข์จะมีได้ด้วยการทำให้ถูกต้อง เมื่อมีเหตุผลก็ย่อมมี ความดับทุกข์จึงมีอยู่ที่เหตุที่ปัจจัย ถ้าเรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง มันก็ดับทุกข์ได้ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเป็นไปเพื่อความถูกต้อง เราจะได้หยุดเสียซึ่งความเป็นนิติบุคคลเป็นตัวเป็นตน ชีวิตของเราจะได้ไม่เป็นไปเพื่อความประกอบทุกข์ ทุกข์ของเราก็มีอยู่ ๒ อย่างคือ ทุกข์ทางกายกับทุกข์ทางใจ
: ทุกข์โดยสภาวะ หรือเกิดจากเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติของร่างกาย เช่น การเกิด การเจ็บไข้ ความแก่ และความตายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งรวมเรียกว่า กายิกทุกข์
: ทุกข์จรหรือทุกข์ทางใจ อันเป็นความทุกข์ที่เกิดจากสาเหตุที่อยู่นอกตัวเรา เช่น เมื่อปรารถนาแล้ว ไม่สมหวังก็เป็นทุกข์ การพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก ก็เป็นทุกข์ รวมเรียกว่า เจตสิกทุกข์
ทุกข์ทางกายมันมีได้ ก็เพราะเรามีความเห็นไม่ถูกต้องเข้าใจไม่ถูกต้องปฏิบัติไม่ถูกต้อง การดำเนินชีวิตของเราจึงเป็นไปด้วยการประกอบทุกข์ เราไม่มีความสุขในการทำงาน เราไม่มีความสุขในการเรียนหนังสือ เราก็ย่อมมีความทุกข์ทั้งส่วนของร่างกาย ส่วนความทุกข์ทางจิตใจ เป็นความทุกข์ที่เรามีความเห็นผิดเข้าใจผิด ความเห็นผิดเข้าใจผิดมันได้ก่อภพก่อชาติเป็นนิติบุคคลเป็นตัวเป็นตน ความคิดนี้มันได้เป็นพลังงานติดต่อต่อเนื่องกันเป็นสายน้ำเหมือนกระแสไฟฟ้าที่มันมาเป็นคลื่นถี่ๆๆ ที่รวมกันเป็นกระแสไฟฟ้า เหมือนกระแสน้ำที่มันเกิดจากอุณหภูมิขั้วบวกขั้วลบที่กระทบกันตกสู่พื้นดินมารวมกัน ที่เราเรียกว่าฝน มันได้รวมจนเป็นสายน้ำจนเป็นแม่น้ำจนเป็นทะเลจนเป็นมหาสมุทร ใจของเราที่เป็นอวิชชาเป็นความหลงมันได้ก่อภพก่อชาติ ด้วยเหตุด้วยปัจจัยอย่างนี้เป็นการเวียนว่ายตายเกิด ที่เป็นภพเป็นชาติแก่เจ็บตายพลัดพราก
พระพุทธเจ้าถึงได้บำเพ็ญบารมีได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เพื่อหยุดกระบวนการแห่งการเวียนว่ายตายเกิด โดยรู้ทุกข์รู้เหตุเกิดทุกข์รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เพื่อเราทุกคนจะได้หยุดนิติบุคคลหยุดตัวตน เพราะมนุษย์เราคิดได้ทีละอย่าง จึงต้องมาหยุดตัวเองด้วยความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง การหยุดตัวเองนั้นเรียกว่าศีล ศีลนั้นคือการหยุดตัวเอง การหยุดด้วยการไม่ตรึกไม่นึกไม่คิด ทำอย่างนี้ติดต่อต่อเนื่องกัน เพราะใจของเราทุกคนมันคิดได้ทีละอย่าง ถ้าเรารู้ทุกข์รู้เหตุเกิดทุกข์รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เราจะหยุดด้วยศีลที่ติดต่อต่อเนื่อง มันจะเป็นสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิเปรียบเสมือนขายของแม่น้ำแม่น้ำสายใหญ่ที่มันไหลสู่ทะเลไหลสู่มหาสมุทร ที่มีความตั้งมั่นเป็นทะเลเป็นมหาสมุทร ทำอย่างนี้ติดต่อต่อเนื่องเป็นสัมมาสมาธิ
การปฏิบัติของเราทางกายกับทางใจ ต้องประพฤติปฏิบัติไปพร้อมๆ กัน ด้วยความเห็นถูกต้องของเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง เราจะไปแยกใจกับกายออกจากกันไม่ได้ เพราะ ๒ อย่างนี้มันไปด้วยกัน ถ้ามีกายมันก็ไม่มีใจ ถ้ามีใจมันก็ไม่มีกาย ถ้าแยกกันแสดงว่าแตกแยกแสดงว่าตายแล้ว มันหมดเหตุหมดปัจจัยแห่งความเป็นมนุษย์แล้ว กายกับใจมันต้องเดินไปพร้อมๆ กัน ติดต่อต่อเนื่องสมัครสมานสามัคคี เราจะเอาแต่เรื่องจิตเรื่องใจไม่เอาวัตถุคือกายก็ไม่ได้ เพราะทุกคนต้องทานอาหารมีบ้านมีที่อยู่อาศัยมีสิ่งอำนวยความสะดวก ต้องไปด้วยกัน มันต้องเป็นพุทธะ ถ้าแยกกายออกจากใจหรือว่าแยกกายออกจากจิต ชีวิตนี้ทั้งนักบวชเรียกว่าสังฆเภท ถ้าทางฆราวาสที่ไม่ได้บรรพชาอุปสมบทเรียกว่าแตกสามัคคีกัน ชีวิตของเราพระพุทธเจ้าท่านให้เข้าใจอย่างนี้ ที่เป็นทางสายกลาง
เราจะเอาเฉพาะแต่ใจมันก็ได้แต่ความสงบ พูดถึงเรื่องความสงบพระพุทธเจ้าก็เป็นลูกหลานของพราหมณ์มาก่อน พราหมณ์ก็ไปได้แค่ความสงบ เอาแต่เรื่องจิตเรื่องใจ ไม่ได้พัฒนาวินัยไปพร้อมกัน ยังไม่ใช่รู้อริยสัจ ๔ ไม่ใช่รู้ทุกข์ไม่ใช่รู้เหตุเกิดทุกข์ จะเอาแต่ความสงบอย่างเดียว ความสงบที่เป็นโลกียะ พวกที่เข้าสมาบัติเข้าฌานเข้าได้ก็ไม่เกิน ๗ วัน มันก็ต้องออกมาทานข้าวทานอาหารมาเกี่ยวข้องกับทางร่างกายอีก พระพุทธเจ้าบอกว่าเรื่องความดับทุกข์นั้นมันดับทุกข์ได้ เพราะเรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ที่เป็นศีลที่ไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน ที่ติดต่อต่อเนื่องที่เป็นสัมมาสมาธิ เป็นเรื่องที่รู้ความจริงเรียกว่าพุทธะทางจิตใจพุทธะทางวัตถุที่เป็นเหตุเป็นปัจจัย ทุกคนจะพากันแก้ปัญหาได้ด้วยเหตุด้วยปัจจัยนี้ ให้หมู่มวลมนุษย์เข้าใจเรื่องการเรียนการศึกษา เพื่อการเรียนการศึกษาจะได้เป็นสัมมาทิฏฐิ เพื่อเข้าหาความดับทุกข์ที่แท้จริง ไม่ใช่การเรียนการศึกษาที่เป็นไปเพื่อประกอบทุกข์ ตัวตนนี้ล้วนทำให้เครียด ให้เราพากันเข้าใจ หนังสือจะกองสูงใหญ่ยิ่งกว่าภูเขา แต่สำคัญอยู่ที่การรู้ทุกข์รู้เหตุเกิดทุกข์รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ทั้งทางกายทั้งทางจิตใจ ความถูกต้องคือเป็นสิ่งที่ไม่ตาย สิ่งที่ไม่ถูกต้องคือมันตาย ตายจากอะไร ตายจากความดับทุกข์ มีร่างกายมีจิตใจก็เป็นไปเพื่อประกอบทุกข์ มันเป็นการศึกษาผิดเข้าใจผิด
อุปกรณ์ในชีวิตประจำวันที่เราดำเนินชีวิต ได้แก่ตาหูจมูกลิ้นกายใจ ซึ่งเป็นอวัยวะเพื่อเป็นอุปกรณ์ที่เป็นข้อสอบข้อตอบที่เป็นการเรียนการศึกษา เพื่อให้เกิดพุทธะ เพื่อให้ทุกคนจะได้ไม่เอาความหลงเป็นการดำเนินชีวิต ทุกท่านทุกคนต้องดำเนินชีวิตด้วยพุทธะ ด้วยไม่เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เรียกว่าศีล นี่คือความหยุด คือการ Stop คือสมถะให้ติดต่อต่อเนื่องด้วยหลักเหตุ หลักผล ด้วยเรารู้ความจริงในอริยสัจ ๔ ด้วยปัญญา เพื่อพุทธะทางจิตใจ ด้วยเราอบรมบ่มอินทรีย์ พระพุทธเจ้าถึงให้พวกเราปฏิบัติอย่างนี้ เรามีตาหูจมูกลิ้นกายใจสำหรับเป็นข้อสอบเป็นข้อตอบ ธรรมะเป็นเรื่องปัจจุบัน เป็นเรื่องที่หยุดตรึกหยุดนึกหยุดคิดหยุดมีตัวตนในปัจจุบัน เพราะใจของทุกคน มันคิดได้อย่างเดียว พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า ความสงบหรือว่าสันติภาพหรือว่านิพพานมันอยู่ในภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เพราะทุกอย่างไม่ได้เอามาเพิ่มไม่ได้เอามาตัดออก ทุกอย่างมันเป็นการประพฤติเป็นการปฏิบัติให้ติดต่อต่อเนื่องเป็นสายน้ำ
พระพุทธเจ้าคือความถูกต้องคือความรู้ทุกข์รู้เหตุเกิดทุกข์รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เราจะพากันเป็นได้แต่เพียงคนนี้ไม่ได้ เราจะหลงเอาตัวตนเป็นเราเป็นของเรา นั่นมันเป็นทางตัน เป็นความหลง ต้นทางมันหลง เดินไปถนนที่มันตัน มันก็ไปไม่ได้ เราปฏิบัติเป็นไปเพื่อประกอบทุกข์ อยู่ดีๆ ก็ทุกข์ เพราะมันตัน เรียกว่าตัณหา เพราะความทะยานอยากในกามในความอยากมีอยากเป็น มันกดดันจนทำให้ถึงทางตัน มันดับทุกข์ไม่ได้ มันแก้ปัญหาไม่ได้ ความรู้ในอวิชชาจึงเป็นไปเพื่อความประกอบทุกข์
แต่ก่อนเราไม่เข้าใจนะ ประเทศไทยเราหลายร้อยปีวัดกับโรงเรียนอยู่ที่เดียวกัน แล้วก็ให้ผู้ชายเรียนหนังสือ เพราะว่าเด็กผู้หญิงมาเรียนหนังสือที่วัดไม่ได้ เพราะพระกับผู้หญิงมาใกล้กันไม่ได้ เพราะว่ายังไม่เป็นพระอรหันต์ขีณาสพ ปัจจุบันเราก็ไปแยกโรงเรียนออกจากวัด เพราะการเรียนการศึกษามันเป็นแสงสว่าง มันเป็นพุทธะทางวิทยาศาสตร์ เพื่อจะดำรงชีพดำรงชีวิต เพราะมนุษย์เราดำรงอยู่ได้ด้วยอาหาร เหมือนรถยนต์จะดำเนินไปได้ด้วยน้ำมัน แต่ปัจจุบันมันพัฒนาด้วยไฟฟ้า เราเป็นพวกมนุษย์ที่ไม่รู้อริยสัจ ๔ ก็แยกกันไปเลยเพื่อให้เป็นสัดส่วน เพื่อไม่ให้พระเกี่ยวข้องกับผู้หญิง เพราะการเกี่ยวข้องเปรียบเสมือนไวรัสเสมือนโรคภัยไข้เจ็บมันเป็นไวรัส เราต้องพากันรักษาพระศาสนาไว้ ทุกท่านทุกคนนั้นให้พากันเข้าใจ ไปแยกศาสนาออกจากการดำเนินชีวิตของเรานั้นไม่ได้ เพราะการดำเนินชีวิตของเรามันต้องพัฒนาใจพัฒนาวัตถุไปพร้อมๆ กัน การเรียนการศึกษามันถึงจะเป็นไปเพื่อความดับทุกข์ ไม่ได้เป็นไปเพื่อประกอบทุกข์ เหมือนมองโลกนี้หมุนไปด้วยความประกอบทุกข์ เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง แข่งขันกันตั้งแต่อนุบาลนี้ไม่ใช่สัมมาทิฏฐิ ไม่ใช่ความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง ถึงเราจะแยกออกเป็นสัดเป็นส่วน ทุกคนที่มีร่างกายเป็นมนุษย์ต้องพากันเข้าใจ เราจะไปแยกธรรมะออกจากใจของเราไม่ได้ เพราะเราทุกคนต้องเอาธรรมะนำใจ ไม่ใช่เอานิติบุคคลตัวตนนำใจ ถ้าไม่อย่างนั้นมันเป็นไปไม่ได้ ที่จะเข้าถึงความสุขความดับทุกข์ที่ไม่มีโทษไม่มีภัย
ถ้าเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ทั้งโลกนี้จะไม่มีข้าราชการ คำว่าข้าราชการหมายถึงธรรมะคือเพื่อช่วยเหลือสังคมเพื่อเข้าหาความดับทุกข์ เพื่อข้าราชการทุกคนเป็นมือเป็นเท้า ทุกอย่างข้าราชการ ทุกอย่างข้าราชการ ถ้าเอาความหลงเป็นที่ตั้ง เราจะเป็นข้าราชการได้ยังไง เราจะเป็นข้าราชการเราทุกคนก็ต้องมีความสุขในการทำงาน เราจะมีความสุขในการทำงาน เพราะเรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง ไม่ใช่เรียนหนังสือเพราะว่าจำเป็น ไม่ใช่ทำงานเพราะจำเป็น อย่างนี้ไม่ใช่ความเห็นที่มีสัมมาทิฏฐิ มันเป็นความเห็นของคนที่มีมิจฉาทิฏฐิ ข้าราชการต้องพากันเข้าใจอย่างนี้ เราจะไปคิดว่า เราทำแต่งาน ก็มีความทุกข์น่ะสิ ความคิดอย่างนี้มันเป็นคนที่ไม่รู้อริยสัจ ๔ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันก็ทุกข์ ถ้าเราไม่มีตัวตนย่อมไม่คิดอย่างนี้ เพราะวันหนึ่งคืนหนึ่งของข้าราชการต้องนอนวันละ ๖-๘ ชั่วโมงเราไม่ต้องไปพากันคอรัปชั่นเวลานอน ผู้มีครอบครัวผู้ทำงานก็มีความสุขมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง มันเป็นความสุขไม่มีตัวตน เรียกว่ารู้ความจริงรู้อริยสัจ ๔ เมื่อเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ข้าราชการมันก็ไปไม่ได้ มีนักการเมือง นักการเมืองคือผู้บริหารกระทรวงต่างๆ ต้องมีสัมมาทิฏฐิมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง พากันมาเสียสละ เพื่อให้การให้งานมีความรับผิดชอบชัดเจนขึ้น เพื่อให้งบประมาณที่ได้มาจากภาษีอากรของเราทุกๆ คนที่เกิดมาภายในประเทศหรือคนต่างประเทศที่มาประเทศเราก็เสียภาษีอากร เราใช้สอยยังไงก็เป็นภาษีอากร เพื่อไม่ให้ข้าราชการเป็นสีดำสีเทาพากันมาโกงกินคอรัปชั่น นักการเมืองก็ไม่พากันมาโกงกินคอร์รัปชั่น อย่างนั้นมันไม่ได้ เป็นการมากินโต๊ะทั้งส่วนราชการทั้งฝ่ายการเมือง มันเป็นการเรียนรู้เรียนฉลาดเพื่อเป็นนิติบุคคลเป็นตัวตน
การเป็นข้าราชการเป็นนักการเมืองเป็นนักบวช ชีวิตนี้ถึงไม่ใช่นิติบุคคลไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน มันเป็นการดับทุกข์ทั้งตนเองทั้งส่วนรวม ทุกท่านทุกคนต้องเข้าใจ ความจริง ความจริงนั้นคือเหตุคือปัจจัยไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เราต้องพัฒนาด้วยการเรียนการศึกษาที่เป็นสัมมาทิฏฐิ เราจะได้เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติไปพร้อมๆ กัน เดี๋ยวนี้โลกทางวัตถุก็ก้าวไปไกลแล้ว แต่จิตใจของเรายังเป็นไสยศาสตร์ยังเป็นความหลงมันไม่ได้นะ การที่เรามีความเห็นผิดเข้าใจผิด มันก็ทำให้กิจกรรมเป็นลายเซ็น ที่เราพากันเซ็นที่ให้เรามาโกงกินคอร์รัปชั่น มันเป็นกระบวนการสีดำสีเทา ลายเซ็นของนักการเมืองหรือลายเซ็นของข้าราชการที่เป็นไปด้วยความเห็นผิดเข้าใจผิด มันจะเป็นลายเซ็นให้หมู่มวลมนุษย์เป็นได้แต่เพียงคน เป็นนิติบุคคลตัวตน เพื่อให้สีดำมันเดินได้ สีเทามันเดินได้ เพราะมันเริ่มจากความเห็นผิดตั้งแต่การเรียนการศึกษา มันเป็นความคิดที่ลงทุนที่เป็นนายทุน ดูสิเราลงทุนส่งลูกไปเรียนในโรงเรียนดีๆ โรงเรียนต่างประเทศ ลงทุนด้วยความเห็นผิด ถ้าเราไม่เข้าใจก็เพื่อเป็นคนเก่งคนฉลาดกว่าคนอื่น เพราะเรามีความหลงในความว่านี่คือเรานี่คือญาติเรานี่พ่อแม่ของเรานี่วงศ์ตระกูลของเราว่าประเทศเป็นเราเป็นของเรา
ให้ทุกคนทั้งหลายพากันเข้าใจใหม่นะ ที่มันไม่เข้าใจก็ให้มันแล้วไป เมื่อมีการเรียนการศึกษา ใจของเราต้องพัฒนาไปพร้อมๆ กัน สิ่งที่เป็นสีดำสีเทาที่เป็นไปเพื่อประกอบทุกข์ ก็ให้หยุด เราเรียนเราศึกษาเพื่อเราจะได้ปฏิบัติตัวเองแก้ไขตัวเอง ไม่ใช่ไปแก้ไขคนอื่น เรื่องของคนอื่นก็เป็นเรื่องของคนอื่น แก้ไขด้วยความถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องเป็นสายน้ำ ที่เป็นกระบวนการแห่งความดับทุกข์อย่างแท้จริง ที่พระพุทธเจ้าบอกว่าปฏิบัติดีปฏิบัติชอบปฏิบัติตรงปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์ปฏิบัติสมควร ทุกอย่างในการดำรงชีวิตต้องเป็นคุณไม่เป็นโทษ ถ้าเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง มันก็เป็นโทษ ถ้าเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เราก็พยายามที่จะไปจัดแจงทุกอย่างให้เต็มที่ ภายนอกก็จัดแจงให้เต็มที่ ภายในก็จัดแจงให้เต็มที่ ปัญหาต่างๆ มันไม่ได้อยู่ที่ภายนอก มันอยู่ที่มีความเห็นผิดเข้าใจผิดปฏิบัติผิด ด้วยเหตุนี้เองเราจึงไม่ต้องไปบ่นให้ลูกให้หลานให้รัฐบาลให้คนอื่นให้ดินฟ้าอากาศ เป็นเพราะเราหลงเอง หลงไม่เข้าใจ เราหลงยังไง เพราะความคิดความเห็นเป็นไปเพื่อประกอบทุกข์ เหมือนพ่อแม่ปู่ย่าตายายว่าเด็กสมัยนี้มันไม่รู้จักผู้หลักผู้ใหญ่ ไปโทษเขาทำไม เพราะเรามีตัวมีตน เพราะเรามีตัวมีตนนี่แหละ เราจะไปแก้ไขพวกเด็ก พวกเด็กก็ต้องออกมาเดินขบวน ถ้าพ่อแม่ไม่ได้มีภรรยาสามี ลูกหลานจะมาจากไหน ก็เรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้องเราก็มีพุทธะ เราต้องแก้ตัวเองอย่างนี้ เราต้องพากันเข้าใจว่าชาติศาสน์กษัตริย์จะมั่นคงอยู่ได้เพราะการเรียนการศึกษา ที่มาจากสัมมาทิฏฐิพัฒนาใจพัฒนาวัตถุไปพร้อมๆ กัน นี้ไปทางสายกลาง ไม่ต้องเป็นนิติบุคคลเป็นตัวเป็นตนเหมือนแต่ก่อน ความดับทุกข์นิพพานถึงจะเกิดแก่เราได้ สันติคือการหยุดฟุ้งซ่าน หยุดตามอวิชชาตามความหลง หยุดเป็นทาสของอวิชชาความหลง คนไทยจึงจะหยุดเป็นทาสของอวิชชาของความหลงได้
คนเก่ง คนฉลาด คนมีทรัพย์มากก็มีมากอยู่แล้ว แต่คนดีนี้มีน้อย คนดีเป็นคนที่ตั้งมั่นอยู่ในศีลในธรรม ฆราวาสก็ต้องมีศีล ๕ คุณแม่ชีก็ศีล ๘ สามเณรก็ศีล ๑๐ พระก็ศีล ๒๒๗ เป็นคนที่เมตตา ซื่อสัตย์ กตัญญูกตเวที เป็นผู้ที่ไม่ลุ่มหลงในอัตตา และเป็นคนที่รู้จักสัจธรรมว่าเราเกิดมาก็ไม่ได้เอาอะไรมา ตอนตายก็ไม่ได้เอาอะไรไป นี้คนดีที่พระพุทธเจ้าท่านยกเอาเกณฑ์มาพิจารณา
ขอให้ปรับตัวเองเข้าหาธรรมวินัย อย่าไปถือสักกายทิฏฐิ ถือตัวถือตน ทำอะไรตามสบายว่าเป็นทางสายกลาง มันต้องฝืน ต้องอดทน ต้องเคารพนอบน้อมในศีล ในระเบียบ ในวินัย ถึงจะตายก็ยอม เพราะศาสนาพุทธเป็นของประเสริฐของสูง ถ้าเราไม่ประพฤติปฏิบัติ มันก็เป็นเพียงปรัชญา เป็นธรรมดาเหมือนทั่วๆ ไป ไม่มีประโยชน์อะไร เรามีของมีค่า จึงไม่ทำให้มีค่าอะไร พยายามสำรวจตนเองว่าเรามีข้อบกพร่องในธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าอะไรบ้าง แล้วพยายามตั้งตัว แก้ตัวใหม่
อะไรคือที่พึ่งอันแท้จริง ของบุคคลผู้เวียนว่ายอยู่ในทะเลแห่งความทะยานอยากนี้? ...ธรรมอย่างไรเล่า พระพุทธองค์ตรัสว่า “จงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด อย่ามีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งเลย” และทรงชี้บอกว่า “ธรรมคือความไม่กังวล ไม่ยึดมั่นถือมั่น นั่นแหละคือที่พึ่ง (ของใจ) หาใช่อย่างอื่นไม่ ภิกษุทั้งหลาย ! คนเขลายึดมั่นอยู่ว่า นั่นบุตรของเรา นั่นทรัพย์ของเรา จึงต้องเดือดร้อนอยู่ร่ำไป ตามความเป็นจริงแล้ว ตนของตนยังไม่มี บุตรและทรัพย์จะมีที่ไหนเล่า”
คนยิ่งมีความยึดถือมากก็ยิ่งมีความกลัวมาก ไม่มีอะไรจะกลัวเฉพาะหน้า ก็กลัวอนาคต กลัวเสียจนหาความสุขความสงบให้แก่ชีวิตในปัจจุบันไม่ได้ แม้บัณฑิตจะบอกธรรมพร่ำสอนอยู่ว่า “จงทำปัจจุบันให้ดีที่สุดเถิด อนาคตจะจัดตัวมันเอง” ก็ตาม เขาก็หารับฟังไม่ หาว่าคนบอกเป็นคนเขลา ไม่รู้จักเตรียมการเพื่ออนาคต
คนพวกนั้นพออนาคตที่เขาหวังไว้มาถึงเข้าจริง เขาก็คงหาความสงบสุขให้แก่ชีวิตไม่ได้อยู่นั่นเอง เพราะมันตกมาเป็นปัจจุบันเสียแล้ว เขาคงแบกก้อนหินแห่งชีวิต คือ ความหนักอกหนักใจ วิ่งฝ่ากองไฟ คือความทะยานอยากออกไปสู่ภูเขาแห่งความว่างเปล่า เพราะ ‘มันไม่มีอะไร’ แต่เพราะเขาสำคัญมั่นหมายว่า ‘มันมี’ จึงแบกต่อไป และต่อไป พร้อมกับร้องว่า “ร้อน หนัก - ร้อน หนัก” อย่างนี้เรื่อยไป
ความจริงอันน่าพิศวงมีอยู่ว่า ความสงบเยือกเย็นของดวงจิต เพราะความเป็นผู้ “ไม่ต้องการอะไร” นั้นมีค่ายิ่งกว่าสมบัติบรมจักรแห่งกษัตราธิราช หรือมหาจักรพรรดิผู้เร่าร้อนอยู่ด้วยความปรารถนาอันไม่มีที่สิ้นสุด มิฉะนั้นแล้วไฉนเล่าพระบรมครูของพวกเราจึงทรงสละสมบัติบรมจักร เพื่อแสวงหาความสงบเย็นให้แก่ดวงจิต
เมื่อพระองค์ประสบความสำเร็จในทางนี้แล้ว ก็กลายเป็นที่พึ่งที่บูชาของโลกมาจนตราบเท่าทุกวันนี้ ตัวอย่างที่เกี่ยวกับพระพุทธองค์นี้ชี้ให้เห็นความจริงอีกประการหนึ่งว่า ผู้นำโลกที่แท้จริง คือผู้นำทางจิตหรือวิญญาณ หาใช่ผู้มีอำนาจราชศักดิ์แต่ประการใดไม่
คนจำนวนไม่น้อย แบกก้อนหินแห่งชีวิต คือ ความหนักอกหนักใจ วิ่งฝ่าออกไปคือ ความทะยานอยาก ไปสู่ภูเขาแห่งความว่างเปล่า
สมมติว่ามีใครสักคนหนึ่ง กลิ้งหินอันแสนหนักขึ้นสู่ยอดเขา แล้วปล่อยให้หินนั้นตกลงมายังภาคพื้น ตามลงมากลิ้งขึ้นไปอีกแล้วปล่อยลงมา เขากลิ้งหินขึ้นยอดเขาอยู่อย่างนี้วันแล้ววันเล่าปีแล้วปีเล่า ท่านจะรู้สึกอย่างไรต่อบุคคลผู้นั้น
เขาถูกบังคับให้เข็นก้อนหิน โดยที่ตัวเขาเองไม่รู้ว่าจะต้องเข็นทำไม
บุคคลสมมติดังกล่าวฉันใด คนส่วนมากในโลกนี้ก็ฉันนั้น ได้ลงทุนลงแรงเป็นอย่างมากเข็นก้อนหิน คือภาระอันหนักของตนเพื่อไปสู่ยอดเขาแห่งความว่างเปล่า ต่างคนต่างก็กลิ้งขึ้นไป ถูกความทะยานอยากของตน ผลักดันให้กลิ้งขึ้นไปด้วยเข้าใจว่าบนยอดเขานั้นจะมีอะไร บางพวกก็กลิ้งหินกระทบกัน แย่งทางกันแล้วทะเลาะกัน เบียดเบียนฆ่าฟันกัน แข่งกันว่าใครจะถึงยอดเขาก่อน เมื่อถึงยอดเขาแล้วจึงได้รู้ว่ามันไม่มีอะไร คนทั้งหมดต้องนั่งลงกอดเข่ารำพันว่า “เหนื่อยแรงเปล่า”
มนุษย์จะถูกลงทัณฑ์ให้ประสบชะตากรรม คือการลงแรงที่สิ้นหวัง และไร้ผลตอบแทนอันคุ้มเหนื่อย ก็เพราะความเขลาของมนุษย์เอง แม้มนุษย์จะพอฉลาดบ้างแล้วในเรื่องอื่นๆ ในสาขาวิชาการมากหลาย แต่มนุษย์ยังเขลาต่อเรื่องราวแห่งชีวิต
มนุษย์ส่วนมากยังเข้าไม่ถึงสิ่งที่ชีวิตควรจะต้องการและขึ้นให้ถึง ส่วนใหญ่ยังถือเอากาม กิน และเกียรติ เป็นจุดหมายของชีวิต นั่นคือความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงของสังคมมนุษย์ ตามความเป็นจริงแล้ว การงานทุกอย่างของมนุษย์ ควรเป็นเครื่องมือไปสู่การพัฒนาตน ให้ขึ้นสู่ฐานะอันสูงสุด เท่าที่มนุษย์จะขึ้นให้ถึงได้ นั่นคือความสะอาดแจ่มใสแห่งดวงจิต ข้ามแดนแห่งความมืดมนของชีวิตเสียได้
คำสอนของท่านพุทธทาสภิกขุ ในโลกนี้มี ๓ เรื่อง เรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ นี้เป็นเหยื่อของโลก ในโลกได้ทั้งนั้น
เรื่องที่ ๑ เรื่องกิน ก็อย่าให้มันติดเบ็ด เกิดปัญหาขึ้นเพราะการกิน วินาศไปเพราะการกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกินที่ไม่ต้องกิน เช่นกินเหล้าหรือกินอะไรที่มากเกินความจำเป็นที่ไม่ต้องกิน แม้แต่กินอาหารก็กินกันจนเกิน จนเสียนิสัยที่จะต้องกินเกินกินแพงจนเงินเดือนไม่พอใช้ อย่าให้มีลักษณะเหมือนกับติดเบ็ดในโลกเกี่ยวกับการกิน
เรื่องที่ ๒ เรื่องกาม นี้ไม่ใช่เรื่องจำเป็น แต่ก็เกินกว่าที่มนุษย์จะบังคับได้ เพราะธรรมชาติมันเป็นผู้กำหนดมา ใส่อวัยวะภายในบางอย่างมา ต่อมแกลนด์ประเภทนั้น ซึ่งจะต้องเกิดความรู้สึกในทางกามหรือทางเพศขึ้นมา อย่างที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แล้วธรรมชาติอันสูงสุดหรือพระเจ้านี้ฉลาดเหนือมนุษย์ ใส่รสอร่อยสูงสุดมาในสิ่งที่เรียกว่ากาม เพื่อให้คนหลงแล้วก็ตกเป็นทาสของกาม แล้วก็ทำหน้าที่ที่น่าเกลียด น่าชัง สกปรก เหน็ดเหนื่อยที่สุด คือการสืบพันธุ์ ถ้าไม่มีอะไรมาล่อหลอกกันขนาดหนัก คือรสแห่งกามแล้ว คนก็ไม่สืบพันธุ์ พันธุ์ก็สูญ ธรรมชาติไม่ต้องการให้สูญพันธุ์ หรือพระเจ้าไม่ต้องการให้สูญพันธุ์ ก็ใส่เรื่องกามมาในชีวิตนี้อย่างเหนียวแน่น อย่างทุกคนก็ตกอยู่ใต้อำนาจ ฉะนั้น ถ้าเราไม่รู้เท่าทัน เราก็ตกเป็นทาสของกาม ก็ติดเบ็ดของกาม ถ้ารู้เท่าทันกินเหยื่อไม่ติดเบ็ด บริโภคกามโดยไม่ต้องรับทุกข์ของกามก็เรียกว่าความงดงามได้
เรื่องที่ ๓ คือ เรื่องเกียรติ คนเราหลงใหลในเกียรติ ถ้าเรื่องกินเรื่องกามหมดไปก็มาติดเรื่องเกียรติ หลงเกียรติ ยอมตายเพื่อเกียรตินี้ก็ไม่งดงาม ถ้าจะมีเกียรติอย่างที่ไม่ต้องทุเรศตา ก็จะน่าดูและงดงาม
ฉะนั้น กินเหยื่อแล้วก็ไม่ติดเบ็ดของเรื่องกิน เรื่องกาม และเรื่องเกียรติ นี้เป็นศิลปะอย่างยิ่งในการที่จะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ นี้เป็นแง่หนึ่งที่ต้องมองเพื่อดำรงชีวิตอยู่ในโลกให้งดงาม
พุทธทาสภิกขุ
ถ้าศีลธรรม ไม่กลับมา โลกาวินาศ มนุษยชาติ จะเลวร้าย กว่าเดรัจฉาน
มัวหลงเรื่อง กิน กาม เกียรติ เกลียดนิพพาน ล้วนดื้อด้าน ไม่เหนี่ยวรั้ง บังคับใจ
อาชญากรรม เกิดกระหน่ำ ลงในโลก มีเลือดโชก แดงฉาน แล้วซ่านไหลเพราะบ้ากิน บ้ากาม ทรามเกินไป บ้าเกียรติก็ พอไม่ได้ ให้เมาตน
อยากครองเมือง ครองโลก โยกกันใหญ่ ไม่มีใคร เมตตาใคร ให้สับสน
ขอศีลธรรม ได้กลับมา พาหมู่คน ให้ผ่านพ้น วิกฤตการณ์ ทันเวลา ฯ
ท่านจึงให้เราทำตามคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงได้ชื่อว่าเป็น "สุคโต" คือไปด้วยดี เรามาสว่างเราก็ให้ไปสว่างด้วย ฐานะความเป็นอยู่เราก็ดี มีความสุข มีความร่ำรวย เราก็อย่าไปหลงในความสุขความสบายเหล่านั้น ดูอย่างพระพุทธเจ้าท่านมีความสุขท่านก็ไม่ติด ไม่หลง ให้เราเอาความสบายความสะดวกนี้มาให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ถ้ายังไม่ถึงพระนิพพานอันสูงสุดเราก็มีโอกาสได้มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ พรหมสมบัติ เป็นพระอริยเจ้าตามลำดับไป ก็เป็นสิ่งที่ประเสริฐแล้ว ชีวิตนี้ไม่เป็นหมัน ชีวิตนี้ไม่สาย ขอให้ทุกท่านทุก คนประพฤติปฏิบัติตั้งแต่โอกาสบัดนี้ไป อย่าได้ผัดวัน ประกันพรุ่งต่อรองเรื่อยไป ต้องให้มีความเห็นความเข้าใจ อย่างถูกต้องชัดเจน และมีเจตนาตั้งอกตั้งใจปฏิบัติอย่างเต็มที่ด้วยความสม่ำเสมอ
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee