แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันพฤหัสบดีที่ ๑๘ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง มนุษย์ที่สมบูรณ์ ตอนที่ ๗๔ ปฏิบัติศีลสมาธิปัญญาให้ติดต่อต่อเนื่องเป็นสายน้ำ เพื่อทำมรรคผลนิพพานให้แจ้ง
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ทำไมพระพุทธศาสนาถึงมีศีลมีสมาธิมีปัญญา ให้ทุกท่านทุกคนในการเข้าใจนะ เพื่อจะได้มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องแล้วปฏิบัติให้ถูกต้อง เพราะศีลสมาธิปัญญาสัมมาทิฏฐิ เป็นขบวนการของเหตุของปัจจัยเรียกว่าปฏิจจสมุปบาท เพราะอันนี้เป็นเรื่องกรรมเรื่องกฎแห่งกรรม การดำเนินชีวิตของเราต้องมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องแล้วปฏิบัติให้ถูกต้อง พื้นฐานเดิมของเราทุกๆ คนนั้นมีความเห็นผิดเข้าใจผิดมีการปฏิบัติผิด เมื่อแต่ก่อนเราเลยเอารูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณเป็นเรา นี้มันไม่ใช่ นี่มันคือการเวียนนว่ายตายเกิด ในวัฏสงสาร นี้มันเป็นไปเพื่อความประกอบทุกข์ ทุกข์จึงเป็นสิ่งที่มีอยู่ ความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพรากจึงเป็นสิ่งที่มีอยู่ ชีวิตของเราได้ดำเนินไปเพื่อประกอบทุกข์ พระพุทธเจ้าท่านได้บอกพวกเราว่านั่นไม่ได้นะ มันเป็นไปเพื่อความประกอบทุกข์ หนทางที่ประเสริฐเป็นสิ่งที่มีอยู่ เราไม่ต้องไปพากันเวียนว่ายตายเกิดกันอีก
ความรู้เก่าความรู้เดิมของเรามันผิด เราหยุดสิ่งเก่าๆ สิ่งที่เดิมๆ ได้ด้วยข้อวัตรข้อปฏิบัติ ที่ติดต่อต่อเนื่องไม่ขาดสาย เปรียบเสมือนสายน้ำ อะไรเปรียบเสมือนสายน้ำ ศีลนั่นแหละเปรียบเสมือนสายน้ำ สมาธิเปรียบเสมือนสายน้ำ ปัญญาตัวพุทธะเปรียบเสมือนสายน้ำ ต้องมีการปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องเหมือนสายน้ำ ได้พูดไปแล้วเมื่อวันก่อนว่า ใจของเรามันคิดได้ทีละอย่าง พระพุทธเจ้าท่านถึงบอกว่า เราต้องพากันหยุดหรือว่าไม่มีความรู้สึกว่าเป็นเราเป็นของเรา ความรู้สึกว่าเป็นเราเป็นของเรานี้คือการตรึกในตัวในตน การตรึกในตัวตน เรียกว่าเราตรึกในอวิชชาในความหลง เป็นผู้ตรึกในกาม ความรู้สึกของทุกๆ คนที่เรามีความรู้สึกว่าเป็นตัวเป็นตนนี้ เรียกว่าเราทุกคนมีความตั้งมั่นในอวิชชาในความหลง ความหลงก็คือความไม่รู้ มันเป็นความรู้ที่เป็นอวิชชาเป็นความหลง ที่เราทุกคนเอารูปร่างกายนี้เป็นเรา เอาเวทนาที่มันเป็นสุขเป็นทุกข์เป็นเรา ไม่ให้เป็นเราจะให้ไปเป็นอะไร ด้วยเหตุนี้จึงต้องมีศีลมีสมาธิมีปัญญา เพราะธรรมทั้งหลายทั้งปวงนั้นมันมีเหตุมีปัจจัย เหตุปัจจัยที่จะแก้ไขได้นั้นคือศีลคือสมาธิคือปัญญา ไม่ใช่อวิชชาไม่ใช่ความหลง เราทำไปอย่างเก่าก็เป็นไปเพื่อประกอบทุกข์ เราต้องมีศีลมีสมาธิมีปัญญา
กุลบุตรลูกหลานเมื่อออกบวชครั้งพุทธกาลเพื่อมาแก้ปัญหาเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด ที่พากันประพฤติพรหมจรรย์ จุดมุ่งหมายอย่างเดียวคือนิพพาน ได้แก่การหยุดเวียนว่ายตายเกิด มันจะหยุดเวียนว่ายตายเกิดได้มันก็ต้องมีศีลมีสมาธิมีปัญญา ไม่ได้ออกบวชเพราะอย่างอื่น จุดมุ่งหมายของการบวชคือพระนิพพาน จะนิพพานได้ก็ต้องมีศีลมีสมาธิมีปัญญา นี่มันเป็นยานที่จะนำเราออกจากวัฏสงสาร เน้นที่จิตที่ใจของเราทุกคนในปัจจุบัน การบวชในสมัยครั้งพุทธกาลเป็นการส่งผลัดรุ่นพี่สู่รุ่นน้อง ทั้งภาคความรู้ทางภาคปฏิบัติ มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง 100% สละคืนซึ่งนิติบุคคลซึ่งตัวซึ่งตน ศีลนี้เปรียบเสมือนสมถะคือความหยุด ถ้าเราไม่มีศีลเราก็ไม่มีสมถะ ศีลนี้คือหยุดนึกหยุดคิดหยุดตรึกในกามในพยาบาท ที่พูดว่าใจของเรามันคิดได้ทีละอย่าง เราต้องหยุดได้ด้วยศีลนี่แหละ การหยุดนี้คือหยุดให้อาหารของอวิชชาอาหารแห่งความหลง การหยุดนี้มันต้องติดต่อต่อเนื่องเหมือนสายน้ำ ศีลนั้นก็จับกันเป็นสายน้ำ ที่เกิดเป็นสัมมาสมาธิ เมื่อศีลกับสมาธิติดต่อต่อเนื่อง ศีลกับสมาธิมันจะเป็นความสุข พระพุทธเจ้าไม่ให้เราติดในความสุข เพราะความสุขมันทำให้มนุษย์เพลิดเพลิน เทวดาเพลิดเพลิน พรหมเพลิดเพลิน ท่านถึงพูดถึงโทษของความสุข และความสุขนั้นมันผ่านไปเร็ว มันทำให้เราทุกคนมีความหลงความเพลิดเพลิน
พูดถึงเรื่องของกาม กามนี้คือมันเป็นความสุขเป็นทั้งคุณเป็นทั้งโทษ พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าสรีระร่างกายของเรานี้มันอยู่ได้ไม่นาน ส่วนใหญ่มันก็ไม่เกิน ๑๐๐ ปี ต้องพากันมาภาวนาเพื่อเจริญด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา เพื่อให้เราทุกคนมีสติมีสัมปชัญญะที่ติดต่อต่อเนื่อง การปฏิบัติธรรมเป็นศีลสมาธิปัญญาติดต่อต่อเนื่อง เราพากันคิดดูนะ ไก่มันฟักไข่มันใช้เวลา ๓ อาทิตย์ มันถึงออกลูกเป็นลูกไก่ฉันใด ศีลสมาธิปัญญามันก็ต้องติดต่อต่อเนื่องไม่ขาดสายฉันนั้น ถ้าผู้ประพฤติผู้ปฏิบัติการปฏิบัติต่อเนื่อง มันจะไม่มีโอกาสฟุ้งซ่าน เพราะศีลสมาธิปัญญามันเป็นเรื่องของนิพพาน มันเป็นแอร์คอนดิชั่น มันเป็นความสงบอบอุ่นด้วยสมถะคือศีลติดต่อเป็นสายน้ำ ติดต่อเป็นสมาธิด้วยพุทธะคือปัญญา ศีลสมาธิปัญญานี้คือคุณคือประโยชน์ คือมรรค ถ้ามีมรรค มันก็มีผล เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าให้ทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ เรียกว่าประพฤติพรหมจรรย์ เอาวินัยเป็นที่ตั้ง เอาธรรมเป็นที่ตั้งเรียกว่าพรหมจรรย์
การส่งผลัดรุ่นพี่สู่รุ่นน้อง อย่างที่เราไปรวมกันอยู่เป็นวัดเหมือนกับสมัยก่อนเมื่อปลายพุทธศักราช ๒๔๐๐ คือ ปลายศตวรรษที่ ๒๔ สมัยก่อนประเทศไทยของเราเป็นป่าดงพงไพร ครูบาอาจารย์สมัยนั้นได้พากันไปมอบกายถวายชีวิตเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต หลวงปู่มั่นก็บอกว่าเราต้องเอาอย่างพระพุทธเจ้า ละเสียซึ่งนิติบุคคลตัวตน ไม่ให้ผู้ที่ไปอยู่กับท่านเป็นนิติบุคคลเป็นตัวเป็นตน ต้องเข้าสู่ธรรมวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ เพื่อจะได้เป็นกระบวนการแห่งธรรมวินัย หยุดถือนิสัยของตนเอง ต้องถือนิสัยของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าคือธรรมะคือธรรมวินัย ถึงแม้ใครจะเป็นคนเก่งเป็นคนฉลาดระดับท้องถิ่นระดับโลก ทุกคนก็ต้องหยุดตัวเองโดยศีล เรียกว่า สมถะ เพื่อให้เป็นสายน้ำที่จะได้เป็นสัมมาสมาธิ เพื่อหยุดนิติบุคคลหยุดตัวหยุดตน ผู้ที่ไปอยู่กับครูบาอาจารย์ที่เป็นสายธรรมวินัย ผู้ที่ไปอยู่กับครูบาอาจารย์ถึงไม่มีใครพูดอะไรออกความเห็นอะไร ถึงจะจบปริญญาเอกเปรียญธรรม ๙ ประโยค ก็ไม่มีใครเป็นเป็นตัวเป็นตน วัดทั้งวัดถึงมีแต่ความเงียบไม่มีใครพูดคุยกัน เพราะต่างคนก็ต่างที่ไม่มีตัวไม่มีตน มีแต่สติมีแต่สัมปชัญญะ มีแต่ศีลมีแต่สมาธิมีแต่ปัญญา การปฏิบัติมันต้องติดต่อต่อเนื่องนะ ไม่ติดต่อต่อเนื่องไม่ได้ วัดแต่ละวัดถึงมีแต่ความเงียบ นอกจากเสียงทำวัตรเช้าทำวัตรเย็น นอกจากนั้นก็มีแต่ความเงียบ
พระกรรมฐานน่ะ คำว่ากรรมฐาน คือฐานจิตใจคือธรรมะคือพระวินัย ที่ไม่มีตัวไม่มีตนที่เป็นธรรมเป็นวินัย เรียกว่าการงานเป็นฐานที่ตั้งแห่งการดำเนินชีวิต พระกรรมฐานถึงมีระเบียบมีวินัยยิ่งกว่าระดับวินัยของบุคคลกลุ่มอื่นเพราะวินัยที่เป็นพระวินัยปิฎก ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ที่เอามาสวดในภิกขุปาฏิโมกข์ทุกกึ่งเดือนเพียง ๒๒๗ ข้อ วัดพระกรรมฐานพากันซักผ้าสบงจีวรส่วนใหญ่ก็จะ ๑๕ วัน ครั้งหนึ่ง เพื่อความสงบเพื่อไม่รบกวนคนอื่น ก็จะพร้อมเพียงกันซักผ้าสบงจีวร ซักด้วยน้ำต้มแก่นขนุน พระทุกรูปรักษาพระวินัยทุกข้อทุกสิกขาบท ทำเหมือนๆ กัน พระทุกรูปพากันตัดสิ่งภายนอกหมด ไม่มีธุรกิจภายนอก เป็นการเจริญเมตตาให้กับตนเองด้วยการรักษาศีลด้วยการประพฤติปฏิบัติธรรม ตัดเรื่องพ่อเรื่องแม่เรื่องญาติเรื่องตระกูลเรื่องเพื่อนเรื่องฝูง ไม่สนใจเรื่องก่อเรื่องสร้าง ไม่รับเงินรับปัจจัย ไม่เก็บของฉันอะไรไว้ ฉันอาหารจากการรับบิณฑบาตจากประชาชนในหมู่บ้าน ไม่มีใครประจบคฤหัสถ์ ประจบข้าราชการนักการเมือง เรียกว่าพากันเป็นพระธรรมพระวินัย มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ พระพุทธเจ้าบอกว่าถ้าเราทำอย่างนี้ติดต่อต่อเนื่องทุกคนจะได้ผลเหมือนกันหมด เพราะเราไม่ได้ถือนิสัยของตัวเองแล้ว เพราะนิสัยของตัวเองไม่มี มีแต่สติมีแต่สัมปชัญญะ มีแต่พระธรรมมีแต่พระวินัย
พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า “ภิกษุทั้งหลาย! เพราะเหตุนั้น ในเรื่องนี้ พวกเธอทั้งหลาย พึงสำเหนียกว่า "เราทั้งหลาย จักไม่เป็น ผู้มักมาก, จักไม่เป็นผู้ร้อนใจเพราะความมักมาก, แต่เป็นผู้รู้จักพอด้วยผ้านุ่งห่ม อาหาร ที่อยู่อาศัย และ หยูกยาแก้ไข้ ตามมีตามได้; จักไม่ตั้งความปรารถนาลามก เพื่อให้ได้รับการคอยเอาอกเอาใจจากคนอื่น และเพื่อให้ได้ลากสักการะและเสียงเยินยอ; จักไม่วิ่งเต้น ขวนขวาย พยายาม เพื่อให้ได้รับการคอย เอาอกเอาใจจากคนอื่น, และเพื่อให้ได้ลากสักการะและเสียงเยินยอ; จักเป็นผู้อดทนต่อหนาว ร้อน หิว ระหาย ต่อสัมผัสแห่งเหลือบ ยุง ลม แดด และสัตว์เสือกคลานทั้งหลาย, ต่อถ้อยคำหยาบคายร้าย แรงต่างๆ, เป็นผู้อดทนต่อเวทนา ที่เกิดในกาย อันเป็นทุกข์ กล้าแข็ง เผ็ดร้อน ขมขื่น ไม่เจริญใจ ถึง ขนาดจะคร่าเอาชีวิตเสียได้" ดังนี้. ภิกษุทั้งหลาย! พวกเธอทั้งหลาย พึงสำเหนียกใจไว้อย่างนี้แล.
ที่พึ่งของเราถึงเป็นความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง เป็นพระธรรมเป็นพระวินัย อยู่ที่ไหนมันก็เป็นความสุขเป็นความดับทุกข์อยู่ทุกหนทุกแห่ง เพราะเราตัดสิ่งภายนอกออกหมด กลับมาหาตัวผู้รู้กลับมาหาสติกลับมาหาสัมปชัญญะ ผู้จะรู้หนังสือไม่รู้หนังสือเรียนมากเรียนน้อยนั้นไม่สำคัญ ทุกคนมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ไม่เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ทุกคนนั้นย่อมจะไม่มีทุกข์ทางจิตทางใจ เพราะเราไม่ได้ตรึกในตัวในตน เพราะเราไม่ได้ตรึกในกามในพยาบาท ความขี้เกียจคร้านของเราทุกคนมันก็ไม่มี ถ้าเรามีสติมีความสงบถ้าเรามีปัญญาที่ใจเป็นพุทธะ ไม่มีตัวไม่มีตน ความขี้เกียจที่คร้านมันก็ไม่มี ผู้ที่อยู่กับสติอยู่กับสัมปชัญญะมากๆ พระพุทธเจ้าถึงส่งวางระบบไว้ ถ้าเรามีสติกับสัมปชัญญะที่ไม่ใช่นิติบุคคลไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ไม่เกิน ๕ ปีหรอก บุคคลนั้นก็จะเป็นบุคคลที่ละนิสัยแห่งความเป็นฆราวาส ผู้ที่มาบวชถึงหยุดถือนิสัยที่เป็นสัญชาตญาณที่มันเป็นนิติบุคคลตัวตน เมื่อเราไม่มีความขี้เกียจขี้คร้าน การเจริญภาวนาวิปัสสนาด้วยการเจริญสติสัมปชัญญะมันก็ย่อมมีทั้งวัน พระปฏิบัติธรรมตามที่หลวงปู่มั่นสั่งสอน ต้องเอาธรรมเอาพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ทุกข้อ ท่านต้องไม่เป็นนิติบุคคลตัวตน ให้เอาธาตุเอาขันธ์เอาอายตนะว่ามันเป็นธรรมะ ว่ามันเป็นเหตุเป็นปัจจัยที่เวียนว่ายตายเกิด เราก็เอารูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณมาเป็นข้อสอบมาเป็นข้อตอบ มาเป็นการประพฤติมาเป็นการปฏิบัติในปัจจุบัน เพราะทุกท่านทุกคนจะได้เจริญสติเจริญสัมปชัญญะกัน ถ้าเราไม่มีรูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ เราจะเอาอะไรมาประพฤติมาปฏิบัติ หลวงปู่มั่นสอนให้พระกรรมฐานรุ่นนั้นให้เข้าใจอย่างนี้ หลวงปู่มั่นถ้ามีปฏิปทาเป็นพระธรรมเป็นพระวินัยแล้วก็เคร่งครัดโดยธุดงค์กรรมฐาน ฉันอาหารวันหนึ่งเพียงหนเดียว ไม่มีอาหารว่างตอนเช้า เช่นดื่มนมโอวัลตินข้าวต้มไม่มี ฉันอาหารครั้งเดียว ถ้ามีนมมีโอวัลตินก็ดื่มครั้งเดียวพร้อมกับอาหารเช้า ไม่มีถ้วยไม่มีจาน มีบาตรอย่างเดียว หลวงปู่มั่นฉันสำรวมในบาตรอย่างเดียว ไม่มีสำรวมในถ้วยในจาน แม้หลวงปู่มั่นจะเจ็บป่วยไข้ไม่สบายก็จะไม่มีอนุโลมฉันอาหารเพล จะไม่อนุโลมฉันอาหารในถ้วยในจาน ท่านได้ปฏิบัติเป็นตัวอย่างแบบอย่างที่ดีมากดีพิเศษ ท่านจะไม่มีน้ำปานนะเหมือนภิกษุสามเณรรุ่นใหม่นี้นะ พระภิกษุรุ่นใหม่มีน้ำปานะแทนอาหารเย็น เราคิดดูดีๆ น่ะ น้ำปานะนี้ทำให้ทุกคนใจอ่อน ถ้าเราไปติดในน้ำปานะเท่ากับเราติดอาหารตอนเย็น ตามพระธรรมพระวินัยแล้วน้ำปานะสำหรับพระภิกษุสามเณรป่วย
พวกที่หวังที่จะฝึกตัวเองต้องพากันเจริญสติเจริญสัมปชัญญะ อย่าพากันใจอ่อน ถ้าใจอ่อนมันก็จะมีจิตใจอยู่ระดับศีล ๕ ไม่ขึ้นสู่ระดับศีล ๘ ผู้ที่ ติดใจในน้ำปานะมันเท่ากับจิตใจอยู่ในระดับศีล ๕ พระพุทธเจ้าถึงให้มีวันพระ ๘ ค่ำ ๑๕ ค่ำ เพื่อให้ฆราวาสได้พากันเจริญสติสัมปชัญญะ เพื่อทุกคนจะได้มีจิตใจที่สูงขึ้นกว่าศีล ๕ เพราะศีลนี้แปลว่าสงบเย็น แปลว่าหยุด หยุดความใจอ่อน หยุดสิ่งที่เสพติด มันติดในอะไร มันติดในความเป็นนิติบุคคลเป็นตัวตน ความติดนี้เรียกว่าฆราวาส คาแปลว่ามันไปไม่ได้ มันติดในตัวในตน เราต้องพากันยกจิตยกใจขึ้น เดี๋ยวนี้ภาพรวมของประเทศจะเห็นการดื่มน้ำปานะแทนอาหารเย็นกัน ให้ทุกคนพากันเข้าใจนะ อย่าพากันใจอ่อน ถ้าเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ศีลสมาธิปัญญามันก็ไม่มี เป็นได้แต่นิติบุคคลเป็นได้แต่ตัวตน
ส่วนใหญ่มีความเห็นผิดเข้าใจผิดนะ เรื่องทางสายกลาง เพราะเราเอาอวิชชาเอาความหลงเป็นทางสายกลาง เราจะเอาอวิชชาเอาความหลงเป็นทางสายกลางนั้นไม่ได้ เราจะตั้งอยู่ในสีลัพพตปรามาส การไม่เอาจริงไม่เอาจังในศีลในข้อวัตรในข้อปฏิบัติ มันเป็นการตรึกในกามหมกมุ่นในกามในอวิชชาความหลง มันไม่เป็นสติสัมปชัญญะ ศีลกับธุดงควัตรเป็นศีลเป็นสมถะ ใจที่มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องเสียสละตัวตน เป็นสิ่งที่ต้องมีสติมีสัมปชัญญะมีปัญญา เพื่อจะให้ศีลเป็นการหยุดเหมือนสายน้ำที่ติดต่อต่อเนื่องกัน เราจะได้อบรมบ่มอินทรีย์ให้ติดต่อต่อเนื่อง
ความย่อหย่อนอ่อนแอทำให้เราทำอะไรตามอัธยาศัย มันไม่ได้ ทำให้จิตใจของเราตกต่ำ พากันไปรับเงินรับสตางค์ พากันไปเก็บอาหารเก็บสังฆทาน พากันย่อหย่อนอ่อนแออย่างนี้ เราไม่ได้ถือนิสัยของพระพุทธเจ้า เราถือนิสัยของตนเอง เพราะเราได้เอาอวิชชาเอาความหลงครองใจเรา ยังพากันตรึกในกามในพยาบาท พระสงฆ์องคเจ้าพากันรู้นะ ตำแหน่งที่เราได้รับสิทธิพิเศษจากโลก ที่บ้านก็ไม่ต้องเช่าข้าวก็ไม่ต้องซื้อ ที่ได้ปัจจัย ๔ มาสนับสนุน ก็เพราะเป็นตำแหน่งที่เราได้เสียสละสักกายทิฏฐิ สละตัวสละตน ด้วยพระวินัยด้วยธุดงควัตร
ผู้ที่มาบวชทั้งหลายอย่าพากันเพี้ยนนะ มันเพี้ยนเหลือเกิน เราได้รับตำแหน่งที่ทรงเกียรติแล้ว เราทุกคนต้องพากันทำหน้าที่อันทรงเกียรติให้สมบูรณ์ ด้วยการสละเสียซึ่งนิติบุคคลตัวตน เราจะเป็นพระวัดบ้านวัดป่า เป็นพระเถรวาท เป็นพระมหายาน เป็นพระวัชรญาณ เราก็ปฏิบัติได้พอๆ กัน พระพุทธเจ้าให้พวกเราพากันปฏิบัติอย่างนี้ ประเทศไทยของเราเอามรรคผลนิพพานเป็นการปกครองประเทศ คือเอาธรรมะเป็นหลัก กฎหมายในรัฐธรรมนูญของประเทศไทย ถึงได้แต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช สมเด็จพระราชาคณะ เจ้าคณะใหญ่หนต่างๆ เจ้าคณะภาคเเจ้าคณะจังหวัดเจ้าคณะอำเภอเจ้าคณะตำบลและเจ้าอาวาส นี้เป็นตำแหน่งที่ให้เสียสละนิติบุคคล พากันเสียสละมาออกกฎหมายซ้อนพระธรรมพระวินัย เพื่อกำจัดพวกอลัชชีผู้ไม่มีความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป ที่มาเอาพระศาสนามาพากันหาเลี้ยงชีพหาอยู่หาฉัน ยังกลัวอีกว่าประชากรของประเทศไทยไม่มีความรู้ไม่มีความเข้าใจ มันจะไปไม่ได้ จึงได้ตั้งโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกต่างๆ รวมทั้งมหาวิทยาลัยสงฆ์ เช่น มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย มหามกุฎราชวิทยาลัย เป็นต้น เหล่านี้เป็นตำแหน่งที่ทรงเกียรตินะ ไม่ใช่ตำแหน่งที่จะมาพากันหลง ตำแหน่งผู้ปกครอง คือตำแหน่งที่ต้องแก้ไขตัวเองให้มันเต็มร้อย ให้เป็นพระอรหันตขีณาสพ เพื่อส่งผลัด เพื่อจะได้กำจัดผู้ทำมาหาเลี้ยงชีพในพระศาสนา เมื่อเราไม่เข้าใจ เมื่อเราไม่เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เราจะไปบอกใครได้ เราจะไปสอนใครได้ ท่านอาจารย์ชาบอกกับลูกศิษย์ลูกหาว่า ผมนี่แหละบอกสอนตัวเอง 100% สอนสอนพวกท่าน 5% ผมถึงมีสติปัญญาสอนตนเองในการดำเนินชีวิต
การแก้ไขมันก็ไม่ยากหรอก เพราะมันแก้ที่ตัวเอง ทุกคนมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องก็ต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ทุกท่านเพียงแต่ไม่เป็นนิติบุคคลไม่เป็นตัวเป็นตน จะได้สละคืนอวิชชาสละคืนความหลง แห่งการเวียนว่ายตายเกิด เพราะการประพฤติการปฏิบัติมันเป็นเรื่องของเราไม่ใช่เรื่องของคนอื่น “มันเป็นไปไม่ได้นะ ตัวเองมันไม่ได้แก้ มันจะไปแก้ไขคนอื่น” “มันเป็นไปไม่ได้นะ ตัวเองมันไม่ได้แก้ มันจะไปแก้ไขคนอื่น” “มันเป็นไปไม่ได้นะ ตัวเองมันไม่ได้แก้ มันจะไปแก้ไขคนอื่น”
ความดับทุกข์การหยุดเวียนว่ายตายเกิดพระพุทธเจ้าก็บอกสอนไว้ดีแล้ว ที่มันเสียหาย มันเป็นไปไม่ได้ ที่เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง มันเป็นไปไม่ได้ ทุกอย่างนั้นมันไม่สายนะ ทุกอย่างนั้นมันเป็นปัจจุบันมัน ไม่ใช่เรื่องอนาคตมันไม่ใช่เรื่องอดีต เป็นเรื่องสติสัมปชัญญะ อย่าคิดว่าตัวเองมันแก่แล้ว เราเอาตัวเอาตนเป็นที่ตั้งเราจะบรรลุธรรมได้ยังไง เพราะตัวตนมันไม่ใช่การบรรลุธรรม การบรรลุธรรมคือการเอาธรรมวินัยเป็นที่ตั้ง ที่ติดต่อต่อเนื่องเรียกว่าการบรรลุธรรม ถ้าเราไม่มีตัวไม่มีตนเรียกว่าการบรรลุธรรม ถ้าเรามีตัวมีตนเรียกว่าไม่มีการบรรลุธรรม มีแต่การเวียนว่ายตายเกิด เราต้องเข้าใจธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เป็นสติที่เป็นสัมปชัญญะที่เป็นปัญญาติดต่อต่อเนื่องเป็นสายน้ำ ทำที่สุดของความดับทุกข์ ไม่มีทุกข์ ความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้องมันเป็นสิ่งที่มีอยู่ เมื่อมีมรรคก็ต้องมีผลมีพระนิพพาน เหมือนเมื่อมีมืดก็มีสว่าง ด้วยที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาเป็นญาณที่จะนำเราออกจากวัฏสงสาร ศีลสมาธิปัญญาถึงมีได้เกิดได้เพราะอย่างนี้ ให้ทุกท่านทุกคนเข้าใจ จะไปเอาเรื่องจิตเรื่องใจ แต่ไม่เอาศีลที่ติดต่อต่อเนื่อง สมาธิปัญญาจะเกิดได้อย่างไร มันเกิดได้แต่อวิชชามันเกิดได้แต่ความหลงเท่านั้น
ขึ้นชื่อว่า 'ความผิด' พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราคิด แม้แต่เราคิดก็ยังไม่ได้ เพราะว่าพระนิพพานมันเป็นเรื่องจิตเรื่องใจ เราปกบิดคนอื่นได้ แต่เราปกปิดตัวเองไม่ได้ อินทรีย์บารมีของเรามันยังอ่อน ยังไม่แก่กล้า ให้เราถือนิสัย ถือวินัยของพระพุทธเจ้าไว้ ให้มีความเชื่อ มีความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้าไว้ เพราะว่าพระพุทธเจ้าพาเราทำอย่างนี้ อย่างนี้ ท่านถึงได้เป็นพระพุทธเจ้า ท่านถึงได้เป็นพระอรหันต์
ให้ทุกท่านทุกคน ตั้งใจดีๆ อธิษฐานจิตให้ดีๆ ให้มีหลัก ให้มีเกณฑ์ แล้วก็บังคับตัวเองอย่าให้คนอื่นบังคับ "การบังคับตัวเองเขาเรียกว่า ศีล" เมื่อ 'ศีล' เข้าถึงจิต ถึงใจ ถึงเจตนา สมาธิที่มันเป็นธรรมชาติ ที่มันเป็นกฎของธรรมชาตินั้น มันจะเกิดขึ้นมาเอง ปัญญาตัวที่ดับทุกข์ที่แท้จริงมันถึงจะเกิดศีล สมาธิ ปัญญา มันจะรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
อาการที่มันรักษาศีล อาการที่มันนั่งสมาธิ อาการที่มันทำข้อวัตรปฏิบัติก็กลัว นี้ก็คือ "อาการของกิเลสที่มันกลัว" มันกลัวที่จะหมดภพหมดชาติ มันกลัว มันอาลัยอาวรณ์ มันไม่อยากไปพระนิพพาน มันอยากจะขออยู่ต่อ
เหมือนเราเกิดมานี้ ถึงจะทุกข์ยากลำบากด้วยการดำรงธาตุดำรงขันธ์ทั้งการทำมาหากิน แต่ทุกๆ คน มันก็ไม่อยากตาย
กิเลส อวิชชา-ตัณหา-อุปาทาน มันก็ไม่อยากตายเหมือนกัน มันติดอดีต ติดภพติดชาติ มันติดพ่อ ติดแม่ ติดลูกติดหลาน มันติดสมบัติข้าวของเงินทอง มันติดมาก ติดจริงๆ นี้คือเรื่องอวิชชา เรื่องความหลง เรื่องตัว เรื่องตน เรามันถึงเป็นคนอ่อนแอ
เรื่องศีลเรื่องธรรมเรื่องคุณธรรม ยิ่งเป็นสิ่งที่สำคัญพระพุทธเจ้าหมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายเนี่ย พัฒนาทั้งกายทั้งวาจาทั้งจิตใจตามธรรม เรียกว่าพัฒนาวิทยาศาสตร์พร้อมกับพัฒนาใจไปพร้อมกัน เราจะได้ไม่หลง ท่านถึงบอกว่า สิ่งที่เราใช้สอยบริโภค มันจะได้เป็นคุณ ก็เรียกว่ากามคุณ เพราะความสุขสำหรับผู้ที่มีสติมีปัญญา ไม่ใช่ความสุขที่มีความหลง เราเอาแต่วัตถุไม่ได้เอาจิตใจไปพร้อมๆ กัน ให้พากันเข้าใจ อย่าพากันลังเลสงสัย อย่าพากันลูบคลำในศีลในข้อวัตรปฏิบัติ เป็นสีลัพพตปรามาส เราอย่าพากันมาสงสัยว่าตายแล้วเกิดตายแล้วศูนย์ พระพุทธเจ้าบอกว่า ถ้าเรายังมีพลังงานคือมีเหตุปัจจัยอยู่ ก็ย่อมมีการเวียนว่ายตายเกิด แต่ถ้าจะพูดตรงไปตรงมาก็ เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนั้นมันถึงมี ถ้าสิ่งนี้ไม่มีก็สิ่งนั้นก็ไม่มี มันอยู่ที่ปัจจุบัน ที่เรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ทุกคนต้องมีฉันทะ มีความพอใจ มีความสุข ในการเสียสละในการปฏิบัติไม่มีอะไรที่ยิ่งไปกว่านี้หรอก
ครั้งพุทธกาล ผู้ที่เป็นพระอริยะเจ้าเขามีความสุข มีความสุขกว่ามหาเศรษฐีอีก ลูกมหาเศรษฐี ไม่รู้ธรรมะ พ่อจ้างไปฟังธรรม ครั้งแรกได้เงิน ก็ยิ้มแย้มแจ่มใส ทีนี้แหละได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันนะ อายแล้วไม่เอาเงินเลย “เพราะโสดาปัตติผล ประเสริฐกว่าสมบัติของพระเจ้าจักรพรรดิ ประเสริฐกว่าสมบัติใดๆ ในเทวโลก ตลอดจนถึงพรหมโลก” เรียกว่าในภพทั้ง ๓ สมบัติใดๆ ทั้งหมดไม่ประเสริฐเท่าการบรรลุธรรม เพราะบุคคลที่บรรลุโสดาปัตติผลย่อมเป็นผู้ที่ปิดประตูอบายภูมิได้ แล้วจะเกิดอีกไม่เกิน ๗ ชาติ เป็นผู้มีคติแน่นอน คือ หลุดพ้นจากวัฎฎะ ส่วนความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิได้ปกครองทวีปทั้ง ๔ ที่อยู่รอบเขาพระสุเมรุนั่น เมื่อสวรรคตแล้วย่อมไปสู่สุคติ เสวยทิพยสมบัติ แวดล้อมด้วยเหล่านางอัปสร พร้อมบำรุงบำเรอด้วยเบญจกามคุณ แต่ก็ยังวนๆ เวียนๆ อยู่ในวัฏสงสาร ถ้าหากพระเจ้าจักรพรรดิไม่ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการแล้ว ย่อมไม่พ้นจากนรก คือ ถ้าทำชั่วก็ยังต้องไปอบาย ย่อมไปเกิดในภูมิแห่งสัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย อบาย ทุคติ วินิบาต พระเจ้าจักรพรรดิถ้าทำชั่วแล้วก็ต้องไปเกิดในอบายภูมิ ๔ ส่วนอริยสาวก ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ คือ
๑. มีความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า โดยระลึกถึงพระพุทธคุณ
๒. มีความเลื่อมใสในพระธรรม โดยระลึกถึงพระธรรมคุณ
๓. มีความเลื่อมใสในพระสงฆ์ โดยระลึกถึงพระสังฆคุณ
๔. มีศีลที่ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย เป็นไท
อริยสาวกนั้นจึงเป็นผู้รอดพ้นจากนรก ไม่ไปเกิดในสัตว์เดรัจฉานหรือภูมิแห่งเปรต ไม่ไปเกิดในภูมิแห่งอสุรกาย ทุคติ วินิบาต
นี่แหละเป็นการปฏิบัติที่ถูกต้อง ถูกตรง สมควรและเป็นบุคคลที่น่ากราบน่าไหว้ เป็นบุคคลที่เกิดมามีประโยชน์ไม่สูญเปล่า เป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น บุคคลเช่นนี้น่าจะมีมากๆ จะได้นำความสงบ ความสุข ความร่มเย็น แก่ชาวโลกทุกๆ คนที่เกิดโลกเดียวกันกับเรา เราต้องเปลี่ยนแปลงตนเองด้วยการมีศีล สมาธิ ปัญญา จะได้เป็นผู้มีความสุข ความดับทุกข์สู่ตนเองที่ถาวร
เมื่อกิเลส ไหลนอง ยึดครองโลก มันสุดแสน โสโครก ที่โกรกไหล
เมื่อกระแส ไฟตัณหา ไหม้พาไป ทิ้งซากไว้ ระเกะระกะ นิจจัง
กลับยกย่อง ว่านั้นสิ่ง ศิวิไลซ์ ยั่วความใคร่ เพิ่มเหยื่อ แก่เนื้อหนัง
เป็นเครื่องล่อ กามา บ้าติดตัง ทั่วโลกคลั่ง ก็ยิ่งคล้าย อบายภพ
ทั้งแก่เฒ่า สาวหนุ่ม ล้วนจมกาม เกลียดศีลธรรม เห็นเป็นหนาม ระคายขบ
อาชญากรรม ลุกลาม สงครามครบ ร้อนตลบ โลกกิเลส สังเวชจริงฯ
ความเป็นพระ คือจิตพราก จากกิเลส รู้สังเกต ไม่ประมาท ฉลาดเฉลียว
สำรวมระวัง รักษาใจ ไปท่าเดียว เพื่อหลีกเลี้ยว ภัยทั้งสาม ไม่ตามตอม
จากเรื่องกิน เรื่องกาม และเรื่องเกียรติ เห็นเสนียด ในร้อนเย็น ทั้งเหม็นหอม
ไม่ยินดี ไม่ยินร้าย ไม่ออมชอม กิเลสล้อม ลวงเท่าไร ไม่หลงลม
จิตสะอาด ใจสว่าง มโนสงบ ทั้งครันครบ กายวจี ที่เหมาะสม
ความเป็นพระ จึงชนะ เหนืออารมณ์ โลกนิยม กระหยิ่มใจ จึงไหว้แล ฯ
พุทธทาส อินทปัญโญ
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee