แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันอังคารที่ ๒ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง มนุษย์ที่สมบูรณ์ ตอนที่ ๕๙ ส่งอดีตส่งอวิชชาส่งความหลงไป ให้พระรัตนตรัยเกิดขึ้นที่กายวาจาใจตน
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
อดีตได้ผ่านไปอนาคตยังมาไม่ถึง เราทุกท่านทุกคนต้องพากันดำเนินชีวิตเพื่อพัฒนาวัตถุพัฒนาใจไปพร้อมๆ กัน เพราะธรรมทั้งหลายทั้งปวงเกิดจากเหตุจากปัจจัย สิ่งที่เป็นอวิชชาที่เป็นความหลงนั้นเกิดจากเหตุเกิดจากปัจจัย พระรัตนตรัยคือพระธรรมวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ที่มาในพระไตรปิฎก ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ที่มาในภิกขุปาติโมกข์ที่ภิกษุสวดกัน ๒๒๗ ข้อนั้นน่ะ สำหรับฆราวาสผู้ครองเรือนพระรัตนตรัยนั้นคือธรรมะ ธรรมะคือพระรัตนตรัยฆราวาสทั้งหลายต้องมีความเห็นถูกต้องมีความเข้าใจถูกต้อง ให้ทุกคนเสียสละ ต้องพากันให้ทานเสียสละทั้งวัตถุ เสียสละสิ่งที่ฆราวาสทั้งหลายได้พากันยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวเป็นตน ต้องปรับตัวเข้าหาศีลเข้าหาปัญญาเจริญปัญญา เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติคือทานศีลสมาธิปัญญา เพื่อชีวิตของเราจะได้พัฒนาวัตถุพัฒนาจิตใจไปพร้อมๆ กัน เมื่อวานได้กล่าวไว้ว่าจิตใจของเราทุกคนมันคิดได้อย่างเดียวคิดได้ทีละขณะจิต พระพุทธเจ้าถึงให้เราทุกคนไม่ให้ตรึกในกาม ไม่ให้ยินดีในกามในพยาบาท เพื่อเราจะได้หยุดการทำงานของสมองเรียกว่าหยุดเรียกว่า Stop สมองไว้ก่อน ให้ใจของเรารู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เพื่อเราทุกคนจะได้ปฏิบัติติดต่อต่อเนื่อง เหมือนกับสายน้ำที่มันไหลสู่มหาสมุทร พระพุทธเจ้าท่านให้พวกเรามีความสุขในการทำงานมีความสุขในการปฏิบัติธรรม เพราะว่าพระรัตนตรัยคือพระพุทธเจ้า คือพระธรรม คือพระอริยสงฆ์ อยู่ในกายอยู่ในใจของเราในปัจจุบัน
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ใน ขุททกนิกาย ธรรมบท ว่า
“ธมฺมปีติ สุขํ เสติ วิปฺปสนฺเนน เจตสา อริยปฺปเวทิเต ธมฺเม สทา รมติ ปณฺฑิโต
บุคคล ผู้เอิบอิ่มในธรรม มีใจผ่องใส ย่อมอยู่เป็นสุข บัณฑิต ย่อมยินดีในธรรมที่พระอริยเจ้า ประกาศแล้วทุกเมื่อ”
มนุษย์ทุกคนในโลกล้วนแสวงหาความสุขด้วยกันทั้งสิ้น บ้างก็แสวงหาจากการดื่ม จากการกิน จากการเที่ยว หรือจากการได้รับของที่ถูกใจ แต่ความสุขเหล่านั้น เป็นความสุขชั่วคราว ไม่ยั่งยืน เมื่อได้รับแล้วต้องแสวงหากันใหม่อยู่ร่ำไป ถ้าจะเรียกให้ถูก ต้องเรียกว่าเป็นความเพลินมากกว่า แล้วอะไรคือความสุขที่แท้จริง อยู่ที่ไหน มีลักษณะอย่างไรบ้าง
ความสุขที่แท้จริง ต้องเป็นความสุขที่เป็นอมตะ แล้วเป็นความสุขที่เข้าถึงได้ สัมผัสได้ นั่นคือความสุขที่เกิดจากการเข้าถึงพระรัตนตรัยภายใน เป็นสุขล้วนๆ ที่ปราศจากความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นความสุขที่คู่ไปกับความบริสุทธิ์ จะเข้าถึงความสุขนี้ได้ ด้วยวิธีการทำใจให้สงบผุดผ่องใส เหมือนอย่างพระมหากัปปินะ เมื่อมีความสุขภายในแล้ว ท่านมักจะอุทานอยู่เสมอๆ ว่า “สุขจริงหนอ สุขจริงหนอ”
เรื่องมีอยู่ว่า ในสมัยพุทธกาล มีพระราชาพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า มหากัปปินะ ทุกๆ เช้าพระองค์จะส่งทหารออกไปสืบข่าวว่า ขณะนี้มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บังเกิดขึ้นแล้วหรือยัง ทรงทำเช่นนี้อยู่เป็นเวลานาน ก็ยังไม่ทราบคำตอบ
ต่อมาในวันหนึ่ง ขณะที่พระองค์เสด็จประพาสอุทยาน พร้อมกับมหาอำมาตย์หนึ่งพันคน เห็นพ่อค้า ๕๐๐ คนเดินทางผ่านมา จึงตรัสถามว่า “ท่านทั้งหลายเดินทางมาจากที่ไหนล่ะ?” พ่อค้ากราบทูลว่า “ข้าพระองค์มาจากเมืองสาวัตถี ซึ่งอยู่ไกลจากเมืองนี้ ๑๒๐ โยชน์ พระเจ้าข้า” พระองค์ตรัสต่อว่า “ในบ้านเมืองของท่าน มีข้าวปลาอาหารบริบูรณ์ดีหรือ พระราชาของพวกท่านตั้งอยู่ในศีลในธรรมดีหรือ”
“บ้านเมืองของข้าพระองค์สมบูรณ์ทุกอย่าง ทั้งพระราชาก็ทรงตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม พระเจ้าข้า” พระองค์ทรงถามว่า “แล้วมีเรื่องอะไรน่าสนใจเกิดขึ้นในประเทศของพวกท่านบ้างล่ะ” พ่อค้ากราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงเป็นสมมติเทพ บัดนี้ พุทธรัตนะบังเกิดขึ้นแล้วในประเทศของข้าพระองค์ พระเจ้าข้า” ทันทีที่พระมหากัปปินะได้ทรงสดับว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นแล้วในโลก ทรงเกิดความปีติแผ่ซ่านไปทั่วพระวรกาย จนมิอาจจะข่มความปีตินั้นได้ จึงตรัสถามซ้ำไปอีกว่า “พวกท่าน กล่าวว่าอะไรนะ ?”
“พวกข้าพระพุทธเจ้ากราบบังคมทูลว่า พุทธรัตนะบังเกิดขึ้นแล้วพระเจ้าข้า” ทรงสดับนิ่งอยู่ครู่หนึ่งด้วยปีติอันแรงกล้า แล้วตรัสถามซ้ำเป็นครั้งที่ ๓ พวกพ่อค้าก็ยืนยันเช่นเดิม พระองค์ทรงเบิกบานพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้ทราบข่าวดีนี้ จึงพระราชทานทรัพย์ ๑ แสนเป็นรางวัลแก่พ่อค้า พระราชาได้ตรัสถามต่อไปอีกว่า “มีข่าวดีอะไรเกิดขึ้นอีกบ้างไหม?” พ่อค้ากราบบังคมทูลว่า “มีพระเจ้าข้า พระธรรมได้บังเกิดขึ้นแล้วพระเจ้าข้า”
พระอาการปีติใหญ่หลวงได้เกิดขึ้นอีก ทรงนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แล้วตรัสถามยํ้าถึง ๓ ครั้ง พ่อค้าก็ตอบเช่นเดิม ทรงเบิกบานพระทัยเป็นอย่างยิ่ง จึงพระราชทานรางวัลให้แก่พ่อค้าอีก ๑ แสน พระองค์ได้ตรัสถามต่ออีกว่า “มีข่าวดีอะไรเกิดขึ้นอีกไหม?” พ่อค้าตอบว่า “มีพระเจ้าข้า พระสงฆ์ได้บังเกิดขึ้นแล้วพระเจ้าข้า” พระองค์ทรงมีปีติแผ่ซ่านไปทั่วพระวรกาย แล้วตรัสถามยํ้าถึง ๓ ครั้ง พระราชาพระราชทานทรัพย์อีก ๑ แสนให้เป็นรางวัล
พระเจ้ามหากัปปินะตรัสกับเหล่าอำมาตย์ทั้งหลายว่า “ท่านทั้งหลาย บัดนี้ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ได้บังเกิดขึ้นแล้ว เรามิอาจจะครองราชย์ได้อีกต่อไป เราจะออกบวชในวันนี้แหละ” เหล่าอำมาตย์ได้เคยสั่งสมบุญมาร่วมกับพระราชา จึงพากันทูลว่า “ พวกข้าพระองค์จะขอบวชกับพระองค์ด้วย พระเจ้าข้า” แล้วทั้งหมดก็มุ่งตรงไปยังสำนักของพระบรมศาสดาทันที
ในระหว่างทาง พระเจ้ามหากัปปินะและอำมาตย์พันคน เสด็จมาถึงฝั่งแม่น้ำอารวปัจฉา มีขนาดกว้าง ๒ คาวุต ลึก ๑ คาวุต แม่น้ำเต็มฝั่ง จะหาแพหรือเรือก็ไม่มี พระองค์ดำริว่า “ถ้าจะทรงตระเตรียมเรือแพจะเสียเวลามาก ซึ่งถูกความชรารุกรานอยู่ทุกวินาที นำเราทั้งหลายเข้าไปสู่ความตาย” พระองค์จึงทรงตั้งสัตยาธิษฐานว่า “เราไม่มีความคลางแคลงสงสัยในพระรัตนตรัย และออกบวชอุทิศชีวิตเพื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยอานุภาพแห่งพุทธรัตนะ ขอแม่น้ำนี้จงเป็นเหมือนแผ่นดินเถิด” ตรัสแล้วทรงควบม้าวิ่งไปบนผิวน้ำพร้อมอำมาตย์พันคน ม้าเหล่านั้นวิ่งไปบนผิวน้ำดุจวิ่งไปบนแผ่นดิน แม้เพียงปลายกีบก็ไม่เปียกน้ำ
เมื่อพระองค์เสด็จมาถึงแม่น้ำสายที่ ๒ ชื่อ นีลวาหนา ซึ่งมีความกว้างและลึกประมาณครึ่งโยชน์ พระองค์จะหาแพหรือเรือก็ไม่มี พระองค์ดำริถึงการเสียเวลาในการแสวงหา จึงตั้งสัตยาธิษฐานว่า “เราไม่มีความคลางแคลงสงสัยในพระรัตนตรัย และออกบวชอุทิศชีวิตเพื่อพระธรรม ด้วยอานุภาพของธรรมรัตนะ ขอแม่น้ำนี้จงเป็นเหมือนแผ่นดินเถิด” ตรัสแล้วทรงควบม้าไปบนผิวน้ำได้อย่างอัศจรรย์
เมื่อมาถึงแม่น้ำสายที่ ๓ ชื่อ จันทภาคา กว้างและลึกประมาณ ๑ โยชน์ แม่น้ำนั้นเต็มเปี่ยม จะหาแพหรือเรือก็ไม่มี พระองค์ดำริเช่นเดิม และตั้งสัตยาธิษฐาน “ระลึกถึงคุณของพระสงฆ์” แล้วได้เสด็จไปบนผิวน้ำได้อย่างอัศจรรย์เช่นเดียวกัน
ในเวลาย่ำรุ่ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรวจดูสัตว์โลกว่า ผู้มีบุญท่านใดหนอ จะเข้ามาในข่ายพระญาณ ทรงทราบว่าพระมหากัปปินะออกผนวชอุทิศเฉพาะพระองค์ จึงทรงเหาะไปประทับรออยู่ใต้ต้นไทรใหญ่ ทรงนั่งสมาธิคู้บัลลังก์ แล้วเปล่งฉัพพรรณรังสีไปหาพระราชา จนทำให้บริเวณนั้นมีสีเหลืองทองอร่ามเปล่งปลั่งดั่งทองคำ
พระเจ้ามหากัปปินะพร้อมอำมาตย์เห็นฉัพพรรณรังสีส่องสว่างนำทาง จึงดำริว่า แสงสว่างนี้ไม่ใช่แสงของดวงจันทร์ ไม่ใช่แสงของดวงอาทิตย์ ไม่ใช่รัศมีของเทวดา พรหม อรูปพรหม จะต้องเป็นแสงแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าแน่นอน ทรงเสด็จตามแสงนั้นไป แล้วน้อมพระวรกายเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมอันไพเราะ บริสุทธิ์บริบูรณ์ พร้อมทั้งอรรถะและพยัญชนะ งดงามในเบื้องต้น ท่ามกลาง และเบื้องปลาย โปรดพระราชาและอำมาตย์ทั้งหลาย ทำให้พระเจ้ามหากัปปินะพร้อมอำมาตย์ บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน และได้รับการอุปสมบทจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ฝ่ายพระมเหสีพร้อมด้วยภรรยาของเหล่าอำมาตย์ เมื่อได้ทราบข่าวการบังเกิดขึ้นของพระรัตนตรัยจากพ่อค้าแล้ว ทรงปีติยินดี ได้พระราชทานทรัพย์ถึง ๙ แสน เป็นรางวัลให้แก่พ่อค้าแล้วตรัสว่า “บัดนี้ พระรัตนตรัยบังเกิดขึ้นแล้ว พระราชาทิ้งราชสมบัติให้เรา ทำให้เราเป็นทุกข์ สมบัตินี้อุปมาเหมือนพระเขฬะ หรือน้ำลายที่พระองค์ทรงบ้วนทิ้งแล้ว เราไม่อาจจะรับไว้ได้ เราจะออกบวชเช่นกัน” บรรดาภรรยาอำมาตย์ก็ขอออกบวชตามด้วย แล้วทั้งหมดก็ออกเดินทางไปเข้าเฝ้าพระบรมศาสดา
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทราบด้วยญาณทัสสนะถึงการเสด็จมาของพระมเหสีและภรรยาอำมาตย์ เพื่อให้ใจของทุกคนคลายจากความตื่นเต้น แล้วมีใจสงบพร้อมที่จะรองรับธรรมะอันบริสุทธิ์ได้ จึงทรงแสดงปาฏิหาริย์ด้วยพุทธานุภาพ ไม่ให้พระมเหสีและคณะมองเห็นพระราชาและเหล่าอำมาตย์ เมื่อพระมเหสีพร้อมคณะเสด็จมาถึง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมให้ฟัง ทำให้พระมเหสีและคณะ บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน ในขณะเดียวกันพระมหากัปปินะและอำมาตย์หนึ่งพัน ได้ฟังพระธรรมเทศนาซ้ำอีกรอบหนึ่ง จึงได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ในที่นั้นเอง
พระมหากัปปินะเมื่อบรรลุอรหัตผลแล้ว ไม่ว่าพระองค์จะประทับนั่ง นอน ยืน เดิน หรือจะพำนักใต้โคนไม้ บนกองฟาง หรือที่ใดก็ตาม พระองค์มักจะเปล่งพระอุทานว่า “สุขจริงหนอ สุขจริงหนอ” อยู่เสมอๆ พระภิกษุทั้งหลายที่ยังเป็นพระปุถุชน หรือเป็นสมมติสงฆ์อยู่ ยังไม่รู้จักความสุขอันประณีตที่เกิดจากการเข้าถึงธรรม ต่างก็คิดว่า พระองค์ยังทรงรำพึงถึงความสุขเมื่อครั้งยังเป็นพระราชาอยู่
พระบรมศาสดาทรงทราบเรื่องนั้น จึงตรัสว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุตรของเราไม่ได้เปล่งอุทานถึงความสุขในครั้งที่เคยเสวยราชสมบัติ แต่ว่ามีความสุขจากการได้เข้าถึงธรรมที่บังเกิดขึ้น บัดนี้ เธอได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์แล้ว” ครั้นตรัสรับรองดังนี้แล้ว จึงตรัสต่อไปว่า “บุคคลผู้เอิบอิ่มในธรรม มีใจผ่องใส ย่อมนอนเป็นสุข บัณฑิตย่อมยินดีในธรรม ที่พระอริยเจ้าประกาศแล้วทุกเมื่อ”
จะเห็นว่า บัณฑิตนักปราชญ์ในกาลก่อน เมื่อทราบการบังเกิดขึ้นของพระรัตนตรัยแล้ว ต่างไม่รอช้า มุ่งที่จะแสวงหาว่า ทำอย่างไรจะได้เข้าถึงพระรัตนตรัย พวกเราก็ควรจะเป็นเช่นนั้น บัดนี้ เรารู้แล้วว่า พระรัตนตรัยอยู่ที่ตรงไหน จะเข้าถึงได้อย่างไร เหลืออยู่เพียงอย่างเดียวคือ ต้องลงมือปฏิบัติจริงๆ จังๆ การประพฤติปฏิลัติเป็นแก่นของพระพุทธศาสนาเป็นสรณะที่ช่วยดับทุกข์ได้อย่างถาวรส่วนสรณะอื่นนอกนี้ไม่อาจดับทุกข์ให้หมดสิ้นได้ ดังพุทธดำรัสว่า "มนุษย์เป็นอันมากถูกภัยคุกคามแล้ว ย่อมถึงภูเขา ป่า อาราม และรุกขเจดีย์ ว่าเป็นที่พึ่งสรณะนั่นแลไม่เกษมสรณะนั่นไม่อุดม เพราะบุคคลอาศัยสรณะนั่นย่อมไม่พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้ส่วนบุคคลใดถึงพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ว่าเป็นที่พึ่ง ย่อมเห็นอริยสัจ ๔ (คือ) ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความก้าวล่วงทุกข์ และมรรคมีองค์ ๘ อันประเสริฐ ซึ่งยังสัตว์ให้ถึงความสงบแห่งทุกข์ ด้วยปัญญาชอบสรณะนั่นแลของบุคคลนั้นเกษมสรณะนั่นอุดมเพราะบุคคลอาศัยสรณะนั่น ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้”
เมื่อวานนี้เราได้ส่งอดีตได้ส่งอวิชชาส่งความหลงไปแล้ว พุทธะ ธัมมะ สังฆะ เป็นสิ่งที่ประเสริฐที่เป็นธรรมวินัย ที่เป็นทานที่เป็นศีลที่เป็นสมาธิที่เป็นปัญญา ทุกท่านทุกคนก็พากันปรับทั้งกายปรับทั้งใจ เพื่อเข้าหาธรรมะเข้าหาเวลา นี้เป็นความสุขเป็นความดับทุกข์
สัญชาตญาณที่มันเป็นความเกิดความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพราก ที่ได้ก่อภพก่อชาติ ก่ออวิชชาก่อความหลง จนกลายเป็นธาตุเป็นขันธ์เป็นอายตนะ นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยเป็นอวิชชาความหลงน่ะ ทุกท่านทุกคนจึงต้องหยุดตรึกนึกคิดในกาม หยุดตรึกนึกคิดในพยาบาท เราต้องหยุดต้องพักต้อง Stop พระพุทธเจ้าท่านให้เรามีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เพราะสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้องเมื่อเรามีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ ใจของท่านก็จะมีอิทธิมีพลังมี Power ถ้าเราไม่มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติใจของเราจะเหี่ยวแห้งหมดอะไรตายอยาก เหมือนหน้าแล้งเดือนเมษายนของประเทศไทยภาคกลางภาคเหนือภาคอีสานเดือนเมษายนจะแห้งแล้ง เราทุกท่านทุกคนต้องมีความสุขในการทำงานมีความสุขในการปฏิบัติธรรม เพราะหัวใจของเราคิดได้ทีละอย่างนะ มันต้องอาศัยเวลาติดต่อต่อเนื่อง
ความดับทุกข์ทั้งทางกายทั้งทางใจของมนุษย์ มันอยู่ที่มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้องในปัจจุบัน เมื่อเรามีสติมีสัมปชัญญะติดต่อต่อเนื่อง ความชอบความชังความฟุ้งซ่านความง่วงเหงาหาวนอน วิจิกิจฉาความลังเลสงสัยที่เป็นนิวรณ์เป็นอวิชชาเป็นความหลง ก็จะครอบงำจิตใจของเราไม่ได้ ความหลงที่เป็นนิวรณ์เป็นตัวเป็นตน เมื่อก่อนมันครอบงำธรรมะ เมื่อเราไม่ตรึกไม่นึกไม่คิด ธรรมะก็ย่อมครอบงำโลกด้วยสติด้วยสัมปชัญญะ ด้วยความที่จิตใจของเราออกจากกามออกจากพยาบาท ด้วยสติด้วยสัมปชัญญะที่เป็นธรรมที่เป็นปัจจุบันธรรม
นิวรณ์ คือ เครื่องกั้นศักยภาพของจิตไม่ให้บำเพ็ญกุศลขั้นสูง คือ ฌาน วิปัสสนา มรรค และผล บุคคลที่ถูกนิวรณ์ครอบงำย่อมไม่รู้ประโยชน์ตนและผู้อื่น ไม่อาจบรรลุสมาธิและปัญญา นิวรณ์มี ๕ ประการ คือ
๑. กามฉันทะ คือ ความยินดีพอใจในกาม คือ สิ่งที่น่าชอบใจอัน ได้แก่ รูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย และสิ่งที่สัมผัสอ่อนนุ่ม จิตที่ถูกนิวรณ์นี้ครอบงำ จะมีสภาพถูกปรุงแต่งไปตามอารมณ์นั้นๆ เหมือนน้ำที่ผสมด้วยสีต่างๆ
๒. พยาบาท คือ ความไม่พอใจ หงุดหงิด ขุ่นเคือง คิดประทุษร้าย ปองร้าย จิตที่ถูกนิวรณ์นี้ครอบงำจะมีสภาพกระวนกระวาย เหมือนน้ำต้มที่กำลังเดือดพล่าน
๓. ถีนมิทธะ คือ ความง่วงซึมเซา จิตที่ถูกนิวรณ์นี้ครอบงำจะมีสภาพไม่แจ่มใส เหมือนน้ำที่มีจอกแหนปกคลุม
๔. อุทธัจจกุกกุจจะ คือ ความฟุ้งซ่านเดือดร้อนใจ จิตที่ถูกนิวรณ์นี้ครอบงำมีสภาพไม่สงบนิ่ง เหมือนน้ำที่ถูกลมพัดเป็นระลอกคลื่น
๕. วิจิกิจฉา คือ ความลังเลสงสัยในพระพุทธเจ้าผู้ทรงรู้แจ้งธรรมทั้งปวง สงสัยในพระธรรมคือมรรคผลนิพพาน สงสัยในพระอริยสงฆ์ผู้บรรลุธรรม สงสัยในรูปนามด้วยเหตุจากอวิชชา สงสัยในแนวทางการปฏิบัติ หรือสงสัยในคำแนะนำของครูบาอาจารย์เป็นตัน จิตที่ถูกนิวรณ์นี้ครอบงำมีสภาพตัดสินใจไม่ได้ เหมือนน้ำที่ถูกวางไว้ในที่มืดผสมด้วยโคลนตม
ในสังคารวสูตร พระพุทธองค์ตรัสว่าบุรุษผู้มีจักษุไม่อาจเห็นเงาใบหน้าได้ในน้ำที่ผสมด้วยสีต่างๆ ในน้ำที่ถูกต้มจนเดือดพล่าน ในน้ำที่มีจอกแหนปกคลุม ในน้ำที่ถูกลมพัดเป็นระลอกคลื่น และในน้ำที่ผสมด้วยโคลนตมอยู่ในที่มืด ฉันใด บุคคลย่อมไม่รู้ประโยชน์ตน ประโยชน์คนอื่นประโยชนทั้งสองฝ่าย และไม่เกิดปัญญาหยั่งเห็นสภาวธรรมอย่างแท้จริง ด้วยอำนาจของนิวรณ์ ฉันนั้น
เราต้องพากันประพฤติ พากันปฏิบัติ เราให้เพิ่มศรัทธาให้กับตัวเอง ตามใจตัวเอง ตามอารมณ์ตัวเอง ก็คือนิวรณ์ทั้ง ๕ เพราะว่านิวรณ์ทั้ง ๕ มันตามใจได้เมื่อไหร่ ความสุข ความขี้เกียจ ความขี้คร้าน ความสบาย เราไปยินดีในอารมณ์ของสวรรค์ เพราะสวรรค์มันก็หมดอายุ มันก็ต้องไปสู่นรก คนจะเอา มันก็คือคนหาเรื่องให้ตัวเอง ไม่ได้ตามใจมันก็ฟุ้งซ่าน ทุกคนต้องลบเรื่องอดีตให้เป็นเลขศูนย์ให้หมด ทุกอย่างต้องลบให้เป็นศูนย์ ทุกอย่างมันต้องเป็นธรรม เป็นปัจจุบันธรรม
ทุกท่านทุกคนต้องพากันจัดการตัวเอง อย่าให้ใจของเราแช่อยู่ในกามอยู่ในพยาบาท อย่าให้ใจของเราหมกมุ่นอยู่ในกามในพยาบาท เพราะใจของเราคิดได้อย่างเดียว เรื่องตัวเรื่องตนนี้ให้ทุกคนพากันรู้จัก มันเป็นยางเหนียว มันไม่อยากเสียสละ เราต้องเสียสละสิ่งที่มันเป็นความรู้สึกนึกคิด เพื่อปรับเข้าหาธรรมะเข้าหาเวลา ต้องมีความสุขในการปฏิบัติธรรมในการทำงาน
ธุระในศาสนา ๒ ประการ คือ คันถธุระ คือ การศึกษาเล่าเรียนธรรมวินัยตามสมควรแก่ปัญญาของตน แล้วบอกกล่าวกันต่อๆไป ส่วน วิปัสสนาธุระ นั้นคือ การพิจารณาสังขารโดยความเป็นของไม่เที่ยงเป็นทุกข์และเป็นอนัตตา จนสามารถบรรลุอรหัตตผล เป็นจุดมุ่งหมายสูงสุด
คันถธุระ คือการเรียนการศึกษา เพื่อรู้ทุกรู้เหตุเกิดทุกข์รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ด้วยความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง เพื่อจะได้ปฏิบัติถูกต้องเป็นวิปัสสนาธุระ คือการประพฤติปฏิบัติ เพื่อไม่ให้ใจของเราตรึกในกาม หมกมุ่นในกามในพยาบาทเบียดเบียน
ทุกท่านทุกคนเมื่อได้ฟังพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ต้องมาสร้างเหตุสร้างปัจจัย เพื่อพัฒนาวัตถุพัฒนาทั้งใจไปพร้อมๆ กัน
พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้นเป็นพระธรรมอันบริสุทธิ์ เพราะว่าพูดมาจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าพูดออกจากใจที่บริสุทธิ์ ที่มีแต่พระมหากรุณา พระเมตตา พระปัญญาบริสุทธิคุณ ท่านพูดออกจากใจ ออกจากพระนิพพาน พูดได้ยินได้ฟัง ถึงรู้ถึงจุดมุ่งหมายปลายทางของพระพุทธศาสนา คือ เอาพระนิพพาน ไม่หลงอยู่ในมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ หรือว่าในพรหมโลก พระพุทธเจ้ารู้แจ้งหมด เอาสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เดินผ่านเหยียบผ่าน พระเรายังไม่เข้าใจ พากันบวชเอาแค่ความเป็นมนุษย์ เอาแค่ความเป็นเทวดาทางอารมณ์ มันเลยไปไม่ได้ เพราะว่ามันตั้งเป้าหมายยังไม่ถูก สมัยนี้กับสมัยครั้งพุทธกาลก็อย่างเดียวกันนั้นแหละ มีความแก่มีความเจ็บมีความตาย มีความพลัดพราก มันก็เหมือนกันหมด มีการปฏิบัติธรรม เราทำกรรมอันใดไว้มันก็เป็นอย่างนั้นน่ะ เพราะสิ่งนี้มีสิ่งนี้ต้องมี มันเป็นกระบวนการ เป็นกระแสแห่งปฏิจจสมุปบาท ให้ทุกคนเข้าใจว่า สิ่งไหนก็ไม่ดีไม่ประเสริฐเท่ากับการประพฤติปฏิบัติธรรม
พระพุทธเจ้าเพียงแต่เราได้ยินชื่อ มีบุญได้กุศลเยอะ เราได้ประพฤติได้ปฏิบัติยิ่งมีความสุข มีปีติ เราดูตัวอย่างพระองค์ไหนปฏิบัติธรรม ได้บรรลุธรรมครั้งแรก ทุกองค์ น้ำตาล่วงแทบทุกรูป มันสงสารตัวเองที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร เพราะว่าคนเรามันเกิดมาเพราะความไม่รู้ มันมาเอา ตามใจตามอารมณ์ ตามความรู้สึก มันคิดว่ามันจะเข้าถึงความดับทุกข์ มันเป็นการที่ไปเร้าอารมณ์ตัวเอง เร้าความหลงของตัวเอง มันเป็นแมลงที่บินเข้ากองไฟ น่าสลดสังเวช เราถึงเป็นผู้ที่โชคดี เราพากันมาระพฤติปฏิบัติ เราอย่ามาหลงเลยในวัฏสงสาร เราเป็นมหาเศรษฐีมันก็แค่นั้นน่ะ มันยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ เป็นเทวดามันก็แค่นั้นก็ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ เป็นพระพรหมก็ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ เราต้องมาทำความรู้จัก เรามาคิดดูดีๆ ทุกวันนี้มันก็มีเทคโนโลยีเยอะเลย เทคโนโลยีมันก็มีคุณ การประพฤติปฏิบัติคือยานที่นำเราไป ให้เข้าใจนะ ยานก็คือศีลนะ คือสมาธินะ สมาธิก็คือความตั้งมั่นหนักแน่น ใจต้องเข้มแข็งนะ ไม่ใจอ่อน ทุกคนใจอ่อนถ้าใจอ่อนมันตัดกรรม หรือ ตัดกามไม่ได้ มันไม่แข็งพอ ไม่คมพอ พลังไม่เพียงพอ คำว่ากรรมกับกามมันก็อันเดียว มันติดมันแน่น กว่ามันจะตกลงปลงใจได้ แผ่นดินมันไหวในความรู้สึก เราต้องพากันประพฤติ พากันปฏิบัติ เราให้เพิ่มศรัทธาให้กับตัวเอง ตามใจตัวเอง ตามอารมณ์ตัวเอง ก็คือนิวรณ์ทั้ง ๕ เพราะว่านิวรณ์ทั้ง ๕ มันตามใจได้เมื่อไหร่ ความสุข ความขี้เกียจ ความขี้คร้าน ความสบาย เราไปยินดีในอารมณ์ของสวรรค์ เพราะสวรรค์มันก็หมดอายุ มันก็ต้องไปสู่นรก คนจะเอา มันก็คือคนหาเรื่องให้ตัวเอง ไม่ได้ตามใจมันก็ฟุ้งซ่าน ทุกคนต้องลบเรื่องอดีตให้เป็นเลขศูนย์ให้หมด ทุกอย่างต้องลบให้เป็นศูนย์ ทุกอย่างมันต้องเป็นธรรม เป็นปัจจุบันธรรม
เราจะพากันหลงไสยศาสตร์ เรานั่งสมาธิก็เอาแต่หลับ หลับมันจะเป็นสุขยังไง ถึงเวลาเรานั่งสมาธิก็ต้องนั่ง เพื่อพิจารณาธรรม เพื่อสู่กับความใจอ่อนให้มันเข้มแข็ง คนเราจะสุขหรือทุกข์ก็เป็นเพียงเวทนา มันไม่ได้เป็นธรรมอะไร มันเป็นความยึดมั่นถือมั่น เพราะคนทั้งโลกส่วนใหญ่พากันหลงหมด เราก็อยู่กับแต่คนพาล พาเราฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม เรากินเหล้ากินยา สูบบุหรี่หนักเข้าไป ก็ไปยาม้า ยาอี อย่างนี้ไม่ได้ เราต้องมาระลึกถึงพระพุทธเจ้าที่เป็นบัณฑิตที่แท้จริง เราทุกคนจะค่อยๆ ดีขึ้น ครอบครัวเราก็จะมีความสุข ครอบครัวเราก็จะอบอุ่น ขจัดความขี้เกียจ ขี้คร้าน มันก็ทำให้ฐานะของเราดีขึ้น พออยู่พอกิน ไม่มีหนี้ไม่มีสิน เพราะความสุขของเราอยู่ที่ปัจจุบัน
เราไม่ไปหลงในสมาธิ หลงในสมาธิมันจะไม่อยากจะทำอะไร มันไม่ได้ มันไม่ถูก เพราะศาสนาพุทธเรามันไปไกลกว่านั้นไม่ใช่มาเป็นคนเข้าใจผิด ยิ่งขยันกว่าเก่า รับผิดชอบกว่าเก่า เราดูตัวอย่างแบบอย่างของพระพุทธเจ้า ของพระอรหันต์ อย่างใครเป็นพระอริยเจ้าเป็นพระอรหันต์ก็ต้องทำงานเสียสละ ถ้าเขาไม่ทำงานเสียสละ ร่างกายก็ไม่แข็งแรง เขาไม่รู้จะอยู่ไปทำไม อยู่แล้วไม่ได้เสียสละ ผู้ที่เสียสละจิตใจถึงจะแข็งแรง ถึงมีพลัง เราจะไปติดทำไมสมาธิ ติดสมาธิหมายถึงว่ามีความตั้งมั่นในศีล ในธรรม นั้นคือนิยามของสมาธิ มันไม่ได้ติดสมาธิจริงๆ มันจะติดในขี้เกียจขี้คร้าน ติดสมาธิแล้วมันจะเสื่อมนะ ถ้ายังมีตัวมีตน ฌานมันจะเสื่อมนะ เพราะว่ามันไม่มีวิปัสสนาภูมิ ฌานมันจะเสื่อม พระเทวทัตฌานก็เสื่อมเพราะมันจะเอา เพราะยังมีความโลภ ความโกรธ ความหลง ไม่ได้เป็นพระอริยเจ้า
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็มารวมอยู่ที่จิตใจของเรานั้นแหละ เราพยายามสร้างกายของเรา สร้างวาจาของเรา สร้างใจเราให้มันเป็นพระ พระแปลว่าผู้เสียสละ เห็นภัยในวัฏสงสาร พระคือผู้ไม่มีตัว ไม่มีตน ไม่มีพี่ ไม่มีน้อง ไม่มีลูก ไม่มีหลาน ไม่มีทรัพย์สมบัติ อะไรๆ ที่มันมีอยู่มันเป็นของชั่วคราว เหมือนลมผ่านมาผ่านไป เหมือนพยับแดดเดี๋ยวมันก็ไม่มี
พระพุทธเจ้าให้เราฝึกใจอย่างนี้ๆ ทุกๆ วัน อินทรีย์บารมีของเราจะค่อยๆ แก่กล้าขึ้น นี่เป็นงานของเราทั้งทางกายทางจิตใจในชีวิตประจำวัน เราปฏิบัติแบบนี้ชื่อว่าเป็นนักปฏิบัติธรรม
ทุกๆ คนต้องตั้งใจประพฤติปฏิบัติ ไม่มีใครมาปฏิบัติแทนเราได้ เราถือว่าเราเป็นคนมีบุญ มีชีวิตอยู่ที่เรายังไม่ตาย มัจจุราชคือความตายยังให้โอกาสเราได้ทำความดี สร้างบารมี ด้วยเหตุนี้เราถึงต้องปฏิบัติเดินตามรอยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee