แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันศุกร์ที่ ๒๙ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง มนุษย์ที่สมบูรณ์ ตอนที่ ๕๖ เมื่อโลกถูกไฟแห่งกิเลสและความทุกข์เผาผลาญ ถูกความมืดปกคลุม จึงต้องหาที่พึ่งคือแสงสว่างแห่งปัญญา
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ช่วงนี้เป็นช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าเพื่อจะต้อนรับปีใหม่พุทธศักราช ๒๕๖๗ ประสบการณ์ที่ผ่านมาที่ทุกคนได้ประมาทเพลิดเพลิน พากันเอาอวิชชาเอาความหลง พากันหมกมุ่นในกาม ไม่เห็นภัยในวัฏสงสาร กามเป็นสิ่งเสพติดที่ทุกคนยากที่จะเห็นโทษเห็นภัยในความเกิดความแก่ความตายความพลัดพราก เพราะกามนี้เป็นของอร่อย ทุกคนถึงไม่รู้ทุกข์ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์จึงได้พากันยินดีในกาม การพัฒนาชีวิตของเราทุกๆ คนพระพุทธเจ้าให้เราพัฒนาทางวัตถุเพื่อความสุขความสบายทางร่างกาย ความสะดวกความสบายที่เราได้พัฒนาทางวัตถุถือว่าเป็นกามคุณ ถ้าเราไม่ได้พัฒนาใจ สิ่งที่เป็นคุณนั้นก็จะเป็นโทษ มันจะไม่ได้เป็นกามคุณ มันจะเป็นกามโทษ ในชีวิตประจำวันของเรา เราต้องพัฒนาทางวัตถุพัฒนาใจไปพร้อมๆ กัน เรียกว่าทางสายกลาง ปรับตัวเองเข้าหาธรรมะเข้าหาเวลา มีความสุขในการปฏิบัติธรรม มีความสุขในการทำงาน เพราะเราทุกคนนั้นที่เกิดมาไม่ใช่นิติบุคคลไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน คือธรรมะ คือเหตุคือปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปนี้มี
ชีวิตนี้ทุกคนต้องพากันให้เข้าใจ ให้ทุกท่านทุกคนมีสติมีความสงบ มีสัมปชัญญะมีปัญญา เพื่อจะได้เข้าถึงธรรมะที่ไม่ใช่นิติบุคคลไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน การปกครองในการดำเนินชีวิตต้องเอาธรรมาธิปไตยเป็นธรรมนูญ ไม่เอานิติบุคคลไม่เอาตัวไม่เอาตน อดีตที่ผ่านมาทุกท่านทุกคนต้องลบอดีตด้วยสัมมาทิฏฐิที่เป็นสุญญตา ให้กลับมาหาสติกลับมาหาสัมปชัญญะ ให้ทุกท่านทุกคนนึกเสียว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน มันเป็นเหตุเป็นปัจจัย เราอย่าไปติดอกติดใจ หลงอยู่ในธาตุ ในขันธ์ ในอายตนะ พระพุทธเจ้าท่านให้เราละสักกายะทิฏฐิละตัวละตน เข้าสู่สุญญตาวิหารคือความว่างจากตัวจะตนด้วยมีสติมีสัมปชัญญะ เราทุกคนเมื่อกลับมาหาสติหาสัมปชัญญะ มีสติมีสัมปชัญญะชัดเจน ก็ย่อมละอดีตละอนาคต ปัจจุบันก็จะมีแต่สติสัมปชัญญะ ทุกท่านทุกคนอย่ามีสักกายะทิฏฐิ อย่ามีตัวอย่ามีตน ให้เรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ชีวิตของเรามันก็จะเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเราไม่ได้เอามาเพิ่มเราไม่ได้เอามาตัดออก มันก็จะเป็นสติสัมปชัญญะ ศีลสมาธิปัญญาของเราก็จะเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม
ความเป็นพระนั้นก็จะมีกับเราทุกคน เพราะไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ประชาชนที่เป็นฆราวาสก็เป็นพระได้ บรรพชิตนักบวชก็เป็นพระได้ ทุกท่านทุกคนต้องมีสติ ต้องมีสัมปชัญญะ ถึงจะละอดีตได้ จิตใจถึงจะมีกำลังมีพลัง จึงต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เริ่มจากใจจากความตั้งใจจากเจตนา เห็นภัยในวัฏสงสาร ถ้าเรากลับมาหาสติกลับมาหาสัมปชัญญะให้ติดต่อต่อเนื่อง ใจของเราก็จะมีพลัง เดี๋ยวนี้ใจเรานั้นถูกอวิชชาถูกความหลงครองใจอยู่ มันเป็นสิ่งเสพติด ทุกอย่างนั้นมันเป็นคุณ ถ้าเราไม่เห็นภัยในวัฏสงสาร เราไม่มีสติไม่มีสัมปชัญญะ สิ่งเสพติดที่เป็นอวิชชาที่เป็นความหลงนั้นมันจะครองใจของเรา
ความเป็นพุทธะที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ทุกท่านทุกคนต้องพากันปฏิบัติติดต่อต่อเนื่อง เพื่อจะได้สละอดีตสละอนาคต เพื่ออยู่กับปัจจุบัน ที่เป็นธรรมวินัยที่เป็นอุปการะคุณ พระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่เป็นอุปการะคุณ พระพุทธเจ้าถึงไม่ให้เราหมกมุ่นอยู่ในกามตรึกนึกคิดอยู่ในกาม หมกมุ่นอยู่ในกาม อย่าไปให้อาหารทางกายด้วยการตรึกการนึกคิด ด้วยความยินดีด้วยความหลงต้อง พากันเห็นภัยในวัฏสงสาร สัมมาสมาธิของเราทุกคนต้องแข็งแรงสัมมาปัญญาต้องแข็งแรง พระพุทธเจ้าท่านให้เรายกใจเข้าสู่พระไตรลักษณ์ว่า ทุกอย่างมันไม่แน่ไม่เที่ยง มีความเปลี่ยนแปลงไป ไม่สามารถบังคับบัญชาได้ ไม่อยู่ในอำนาจของตน
เราทุกคนต้องรู้ทุกรู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เพื่อพากันเสียสละ เพื่อมีสติเพื่อมีสัมปชัญญะ เพราะสิ่งเหล่านี้คือความเกิดความแก่ความเจ็บความตาย นี่คือการเวียนวายตายเกิด เราให้อาหารกายเพื่อให้กายของเราดำรงชีพอยู่ได้ ไม่ใช่ให้เรามาติดมาหลง เราต้องให้อาหารใจคือสติคือสัมปชัญญะ ที่ทุกคนต้องเสียสละด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา การดำรงชีวิตของมนุษย์คือความเป็นอริยมรรค เอาการทำงานกับการปฏิบัติธรรมเป็นอันเดียวกัน ต้องให้ได้ทั้งงานทั้งธรรมะไปพร้อมๆ กัน ถึงแม้ว่าเราจะเป็นบรรพชิต ถึงแม้ว่าเราจะเป็นนักบวช ถึงแม้ว่าเราจะเป็นประชาชนก็ตาม ประชาชนที่ทำงานอยู่ในครอบครัว ก็ต้องทำการทำงานเอาการปฏิบัติธรรมไปพร้อมกัน ชีวิตความเป็นมนุษย์ถึงจะไม่เสียหาย
ทุกท่านทุกคนต้องพากันปฏิบัติที่ตัวของเราเอง เราอย่าไปว่าเราทำไม่ได้ ทุกคนทำได้ปฏิบัติได้ ต้องมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องแล้วปฏิบัติให้ถูกต้อง ทุกท่านทุกคนต้องมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติธรรม ที่เราไม่มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เรายังมีมิจฉาทิฏฐิอยู่ ไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ ไม่รู้ข้อปฏิบัติให้ดับทุกข์ เราถึงไม่มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เราทุกคนนั้นดำเนินชีวิตอยู่กับความฟุ้งซ่านอยู่กับความหลง ไม่มีสติคือความสงบไม่มีสัมปชัญญะ ชีวิตอยู่กับความฟุ้งซ่าน ทุกท่านทุกคนต้องเน้นที่สติกลับมาหาตัวผู้รู้ กลับมามีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติธรรม พากันมามีความสุขในการทำงาน เพื่อความฟุ้งซ่านของเราจะได้อ่อนกำลังลง ความสงบของเราทุกคนมันมีอยู่แล้ว ถ้าเรากลับมาหาตัวเอง กลับมาหาธรรมะ แม้สิ่งภายนอกจะเต็มไปด้วยรูปเสียงกลิ่นรสลาภยศสรรเสริญ เต็มไปด้วยโลกธรรมทั้งหลายทั้งปวง ถ้าเรากลับมามีสติรู้ตัวก็พร้อมกลับมาหาธรรมะ ความสงบวิเวกก็ย่อมมีอยู่กับเราทุกคน ด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญาที่เป็นอริยมรรคมีองค์ ๘
ทุกท่านทุกคนไม่ต้องไปหาความสุขความดับทุกข์ที่ไหนน่ะ เอาความสุขความดับทุกข์อยู่กับเรานี่เอง ต้องหยุดความฟุ้งซ่านอย่างนี้ เราไม่ต้องไปหาสวรรค์มรรคผลนิพพานที่ไหนหรอก เราต้องมาหาสวรรค์มรรคผลนิพพานด้วยตัวของเราเอง มาหาศีลสมาธิปัญญาที่เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม ถ้ามีความสุขในการทำงาน การขาดแคลนทางวัตถุมันก็ไม่มี เรามีความสุขในการปฏิบัติธรรม เราทุกคนก็ละเสียซึ่งตัวของตนได้ ด้วยความสงบด้วยสติด้วยสัมปชัญญะ โดยมีอัตโนมัติในตนอยู่แล้ว ทุกท่านทุกคนต้องพากันประพฤติปฏิบัติตัวเองให้เต็มที่สิ่งภายนอกก็ดำเนินไปด้วยธรรมะ ภายในจิตใจก็เดินไปด้วยธรรมะ
ส่วนใหญ่มนุษย์ที่ไม่มีสัมมาทิฏฐิ ไม่ได้พัฒนาใจไม่ได้พัฒนากายไปพร้อมกัน นี่เป็นสิ่งที่เสียหาย เราทุกคนต้องมีความสุขในการทำงานให้เต็มที่ เพราะงานคือความสุขงานภายนอกคือการพัฒนาวัตถุพัฒนาเศรษฐกิจ งานภายในคือจิตใจของเราต้องมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องต้อง มีความสุขในการรักษาศีลปฏิบัติศีล เพราะศีลนี้เป็นยานนำเราออกจากวัฏสงสารออกจากทุกข์ แต่ทุกคนต้องมีความสุขในการรักษาศีลมีความสุขในการประพฤติปฏิบัติธรรม ทุกท่านทุกคนต้องเจริญสติเจริญปัญญา เพื่อให้พุทธะได้เจริญก้าวหน้าที่มันติดต่อต่อเนื่อง ความทุกข์ย่อมเกิดขึ้นไม่ได้สำหรับผู้มีสัมมาทิฏฐิ แต่ก่อนเรายังไม่เข้าใจ ยังไม่มีความสุขในการทำงานการปฏิบัติธรรม ทุกท่านทุกคนนั้นมันติดในตัวในตน ติดในความขี้เกียจขี้คร้าน ทุกท่านอย่าพากันไปสนใจ มันต้องหยุดให้อาหารอวิชชา หยุดให้อาหารความหลง ด้วยการปรับตัวเข้าหาธรรมะเข้าหาเวลา ศีลกับสมาธิกับปัญญาต้องไปพร้อมกัน ส่วนใหญ่ส่วนภาพรวม ศีลสมาธิปัญญามันไม่ได้ไปพร้อมๆ กัน ทุกท่านทุกคนให้ดูความตามบกพร่องของตัวเองที่ผ่านมาว่า มันเสียหาย คืนวันที่มันผ่านไปในปัจจุบัน มันกลืนกินชีวิตของเรา ด้วยความเกิดด้วยความแก่ด้วยความตายความพลัดพราก เพราะเรามัวแต่หลงอยู่ในความผิดพลาดพากันมาตั้งอยู่ในความประมาท
ทุกท่านทุกคนพากันมาอยู่กับสติกับสัมปชัญญะ กลับมาเจริญอานาปานสติ อานาปานสติไม่ใช่เฉพาะเวลานั่งอย่างเดียวนะ อานาปานสติใช้ได้หมดทุกอิริยาบถ เพราะเป็นการเจริญสติเป็นการกลับมาหาเนื้อหาตัว อานาปานสติเป็นได้ทั้งสมถะเป็นได้ทั้งวิปัสสนา เป็นได้ทั้งความสงบเป็นได้ทั้งปัญญา ทุกท่านทุกคนอย่าพากันซบเซาซบเซากับความขี้เกียจขี้คร้าน กับความง่วงเหงาหาวนอน กับอวิชชากับความหลง นั่นมันไม่ถูกต้อง การประพฤติการปฏิบัติในชีวิตประจำวันมันต้องครบวงจรเรียกว่าเป็นสติปัฏฐาน เราต้องปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องทุกอิริยาบถน่ะ ไม่มีเวลาไหนเลยไม่มีการประพฤติการปฏิบัติ วันหนึ่งคืนหนึ่งของเราทุกคนคือการปฏิบัติธรรมคือการทำงาน การนอนของเราก็วันหนึ่งต้องให้สมองของเราได้พักผ่อนนอนหลับ ๖ ชั่วโมง สมองเราถึงจะเอาไปสั่งการทำงานทั้งทางร่างกายและทางจิตใจ เวลาเราตื่น ๑๘ ชั่วโมงเราต้องมีความสุขในการทำงานมีความสุขในการปฏิบัติธรรม
ผู้ที่มาบวชพวกที่เป็นบรรพชิตต้องพากันเข้าใจ พากันประพฤติปฏิบัติเต็มที่นะ ตำแหน่งที่พวกเราพากันมาบวชคือตำแหน่งที่เราพากันมาเสียสละ มีแต่สัมมาทิฏฐิมีแต่ธรรมวินัย ให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจ เอาพระพุทธเจ้าเป็นหลัก พระพุทธเจ้าคือธรรมวินัย ทุกท่านทุกคนต้องหยุดตัวหยุดตน ละตัวละตน ให้เป็นความว่างเปล่าจากความเป็นตัวเป็นตน มีสติสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อม มีความสุขในการทำงานในการปฏิบัติธรรม ชีวิตของเราถึงจะเข้าถึงสติเข้าถึงความสงบเข้าถึงสัมปชัญญะที่ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ที่เราพากันมาบวชนั้น เป็นการแต่งตั้งให้เราเป็นพระธรรมพระวินัย ไม่ใช่นิติบุคคลไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ทุกท่านทุกคนต้องพากันเสียสละซึ่งตัวซึ่งตน พระศาสนาคือธรรมะ ธรรมะคือพระศาสนา เราอย่าพากันเอาพระศาสนาหาอยู่หาฉันหาเลี้ยงชีพ ผู้ที่มาบวชในพระพุทธศาสนา 99.9% เห็นว่าพระพุทธศาสนาเป็นโอกาสพิเศษให้ผู้ที่ด้อยพัฒนาด้านการศึกษาไม่สามารถที่จะหาเลี้ยงชีพได้ จึงได้พากันมาบวช เราพากันไปคิดอย่างนั้นมันไม่ได้ พระพุทธศาสนาไม่ใช่ทางออกของคนจนนะ พระพุทธศาสนาไม่ใช่ทางออกของคนตกงาน ไม่ใช่ทางออกของคนติดเหล้าติดเบียร์ติดการพนัน พระพุทธศาสนาเป็นเรื่องสัมมาทิฏฐิมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง มีความสุขในการเจริญสติเจริญสัมปชัญญะ เพื่อให้เป็นธรรมะเป็นพระวินัยด้วยเห็นภัยในวัฏสงสาร เราจะเป็นพระวัดบ้านวัดป่า เป็นเถรวาทมหายานวัชรยาน ทุกคนก็ปฏิบัติได้พอๆ กัน ไม่มีใครด้อยไปกว่ากัน
ทุกท่านทุกคนต้องเสียสละซึ่งสักกายะทิฏฐิซึ่งตัวซึ่งตน สละคืนเสียซึ่งตัวตน พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราหมกมุ่นในตัวตน หมกมุ่นในความหลงเรียกว่าหมกมุ่นในกามน่ะ ต้องพากันเป็นพระธรรมเป็นพระวินัย ไม่ต้องไปมีตัวมีตนปรับตัวเองเข้าหาธรรมะเข้าหาภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ปรับตัวเองเข้าหาเวลา เราจะได้เป็นพระแต่งตั้ง เป็นทั้งพระธรรมพระวินัย พระพุทธศาสนาในประเทศของเรา 99.9% ที่พากันมาบวชแล้วทำความเสียหายให้แก่ประเทศชาติส่วนรวม จนกลายเป็นประชาธิปไตย จนคนส่วนใหญ่พากันยอมรับ ถึงคนจะยอมรับทั้งประเทศ ยอมรับทั้งโลก นี้ยังไม่ใช่พุทธศาสนายังไม่ใช่พระธรรมยังไม่ใช่พระวินัย มีข้อความในพระไตรปิฎกว่า “ต่อให้ภิกษุทั้งโลกพูดอย่างหนึ่ง แต่ถ้าพระพุทธเจ้าตรัสอีกอย่างหนึ่ง ข้าพระองค์จะฟังพระผู้มีพระภาคเจ้า ขอพระผู้มีพระเจ้าโปรดจงจำหม่อมฉันว่า เป็นผู้มีความเลื่อมใสอย่างนี้”
ตำแหน่งที่แต่งตั้งตั้งให้เราเป็นพระเป็นคนที่เสียสละซึ่งตัวซึ่งตน เราเสียสละได้อย่างไร เช่น ตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช สมเด็จพระราชาคณะ ท่านเจ้าคุณ ท่านเจ้าคณะต่างๆ ล้วนแต่เป็นตำแหน่งที่เสียสละ เพื่อมาทำงานเสียสละแก่พระศาสนาและประเทศชาติ เหมือนตำแหน่งข้าราชการนักการเมืองเป็นต้น ที่พากันมาเสียสละ ไม่ใช่ตำแหน่งที่พากันมาเอา เป็นตำแหน่งที่เสียสละ ให้ทุกคนรู้ว่าตำแหน่งที่ได้รับคือตำแหน่งที่พากันมาเสียสละ เขาให้เรามาเรียนหนังสือตั้งแต่อนุบาลจนถึงปริญญาเอก หลายๆ ปริญญาเอก เป็นตำแหน่งที่ให้เรามีสัมมาทิฏฐิ เพื่อจะได้พัฒนาเทคโนโลยี เพื่อประโยชน์ตนประโยชน์บุคคลอื่น มีการเรียนการศึกษาธรรมะตั้งแต่นักธรรมตรีจนถึงก็เปรียญธรรม ๙ ประโยค เป็นตำแหน่งสัมมาทิฏฐิไม่ใช่ตำแหน่งมิจฉาทิฏฐิ เพื่อหมู่มวลมนุษย์จะได้พัฒนาทางวิทยาศาสตร์ทางใจไปพร้อมๆ กัน
ให้ทุกๆ คนพากันเข้าใจ ในวาระส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ทุกท่านทุกคนให้มีสติมีสัมปชัญญะ เพื่อจะได้มีจิตสำนึกระลึกถึงว่า เราได้พากันเกิดมาทำไม เราเกิดมาเพื่อทำที่สุดแห่งความดับทุกข์ทั้งทางกายดับทุกข์ทั้งทางจิตใจด้วยความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง เราทุกคนไม่ต้องไปโทษคนอื่นหรอก เพราะปัญหาต่างๆ นั้นมันไม่ได้อยู่ที่คนอื่น สิ่งแวดล้อมนั้นทำให้เราเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เราทุกคนให้พากันมีสติมีสัมปชัญญะ เราจะเอาความหลงเป็นที่ตั้งนั้นไม่ได้ สติสัมปชัญญะต้องให้สมบูรณ์เต็มที่ จิตใจของเราต้องเป็นขณิกสมาธิ มีวิตกวิจารณ์ปิติสุขเอกัคคตา พัฒนาเป็นอุปจารสมาธิ เราจะได้รู้เรื่องอริยสัจ ๔ ว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเราต้องมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องและปฏิบัติถูกต้อง เพราะความเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม สติปัฏฐานทั้ง ๔ ที่มีอยู่ในตัวของเรา ยืนเดินนั่งนอน ต้องเอามาประพฤติมาปฏิบัติ มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เพราะเรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง อันไหนไม่ถูกต้องเราไม่ต้องไปนึกไปคิด ปัจจุบันเราต้องเอาพุทธะชนะอวิชชาชนะความหลง ชนะความใจอ่อนของเราทุกคน ทุกท่านทุกคนนั้นมันใจอ่อนนะ ทำผิดแล้วผิดเล่า คนเรามันต้องหยุดตัวเอง Stop ตัวเอง ด้วยพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ ถ้าไม่หยุดด้วยสติไม่ได้ ก็ให้ Stop ลมหายใจของตัวเอง ใจจะขาดจะหมดลมหายใจ เดี๋ยวมันก็จะกลับมา ทำอย่างนี้หลายๆ ครั้งเพื่อเอาชนะความใจอ่อนของตัวเอง เอาวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่เพื่อเอามา Stop มาหยุดตัวเอง การหยุดตัวเองนั่นคือการดำริออกจากกาม ไม่มีเพศสัมพันธ์ทางความคิดทางอารมณ์ เราต้องหยุดมีเพศสัมพันธ์ทางความคิดทางอารมณ์ เราอย่าปล่อยให้ตัวเองมีผัวมีเมียทางจิตใจไปเรื่อย มันไม่ได้ ทุกคนต้องหยุดตรึกนึกคิด มีความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป ต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติติดต่อต่อเนื่อง
พระพุทธเจ้าท่านมีเมตตาต่อเราทุก ๆ คน ให้กลับมาดูตัวเอง มาพิจารณาตัวเองว่าส่วนไหนตัวเองมีความบกพร่อง เมื่อรู้ว่าตัวเองมีส่วนบกพร่องแล้วจะได้แก้ไข ส่วนใหญ่...คนเรามันจะมีความเห็นแก่ตัว จะเข้าข้างตนเอง จะไม่มองเห็นความบกพร่องของตนเอง
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภพวกหญิงสหายของนางวิสาขา ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า โก นุ หาโส กิมานนฺโท เป็นต้น
พวกผู้ชาย ๕๐๐ คนในกรุงสาวัตถี ได้นำภรรยาของตนๆมามอบให้นางวิสาขามหาอุบาสิกา ช่วยขัดเกลานิสัยเพื่อให้เป็นแม่บ้านที่ดี และ “เป็นผู้อยู่ด้วยความไม่ประมาท” หญิงเหล่านี้จึงได้ไปไหนมาไหนกับนางวิสาขา ตามที่ต่างๆ มีที่สวนและที่วัด เป็นต้น อยู่มาวันหนึ่ง นางวิสาขาได้เข้าไปเฝ้าพระศาสดาพร้อมด้วยหญิง ๕๐๐ นางเหล่านี้ ซึ่งก่อนจะเข้าเฝ้าพวกนางได้แอบดื่มสุราจนเกิดอาการมึนเมาครองสติไม่อยู่ ประจวบพวกนางกับถูกมารเข้าสิงในร่างกาย ก็ถึงกับร้องรำทำเพลงต่อเบื้องพระพักตร์ของพระศาสดาเลยทีเดียว พระศาสดาทรงแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ บันดาลให้เกิดความมืดมนอนธการ หญิงเหล่านั้นเกิดหวาดหวั่นกลัวตาย สุราในท้องจึงคลายฤทธิ์สร่างเมา พระศาสดาทรงหายไปจากบัลลังก์ที่ประทับนั่ง ประทับยืนอยู่บนยอดเขาสิเนรุ ทรงเปล่งพระรัศมีจากพระอุณาโลม ทำให้เกิดแสงสว่างไสวเหมือนพระจันทร์ขึ้นพันดวง พระศาสดาได้ตรัสเรียกหญิงเหล่านั้นมาแล้ว ตรัสว่า “พวกเธอ เมื่อมาสำนักของเรา ประมาทแล้ว หาควรไม่ เพราะความประมาทของพวกเธอนั่นเอง เทวดาซึ่งนับเนื่องในหมู่มารจึงได้ช่อง ให้พวกเธอมีกิริยาอาการวิปริตต่างๆ มีส่งเสียงหัวเราะเป็นต้น ในที่ซึ่งไม่ควรหัวเราะเป็นต้น บัดนี้ พวกเธอทำความอุตสาหะ เพื่อมุ่งให้ไฟมีราคะเป็นต้นดับไป จึงควร”
จากนั้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถานี้ว่า “โก นุ หาโส กิมานนฺโท นิจฺจํ ปชฺชลิเต สติ อนฺธกาเลน โอนทฺธา ปทีปํ น คเวสถ ฯ เมื่อโลกสันนิวาสอันไฟลุกโพลงอยู่ เป็นนิตย์ พวกเธอยังจะร่าเริง บันเทิงอะไรกันหนอ เธอทั้งหลายอันความมืดปกคลุมแล้วแล้ว ทำไมจึงไม่แสวงหาประทีปเล่า.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเป็นคำอธิบายไว้ดังนี้ว่า "เมื่อโลกสันนิวาสนี้ อันไฟ ๑๑ อย่าง มีราคะเป็นต้นลุกโพลงแล้วเป็นนิตย์, เธอทั้งหลายจะมัวร่าเริง หรือเพลิดเพลินอะไรกันหนอ? นั่นไม่สมควรทำเลย มิใช่หรือ? ก็เธอทั้งหลายอันความมืดคืออวิชชาซึ่งมีวัตถุ ๘ ปกคลุมไว้ เหตุไร จึงไม่แสวงหา คือไม่ทำประทีปคือญาณ เพื่อประโยชน์แก่การกำจัดความมืดนั้นเสีย?"
อันว่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทั้งมนุษย์และเทวดา ได้ถูกไฟ ๑๑ กองเผาอยู่เสมอ เป็นเหตุให้รับทุกข์นานาประการ ๑๑ กอง คือ ๑. ราคะ ความกำหนัดชอบใจ อยากได้กามคุณ ๕ อันมี รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เป็นต้น ๒. ไฟโทสะ คือ ความโกรธ มีความไม่พอใจเป็นลักษณะ ๓. ไฟโมหะ ความลุ่มหลงใน รูป กลิ่น เสียง รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ลังเลใจฟุ้งซ่านไปตามอารมณ์ ๔. ชาติ คือ ไฟแห่งความเกิดอันเป็นทุกข์ ๕. ความชรา คือ ไฟแห่งความแก่อันเป็นทุกข์ 6. มรณะ คือ ไฟแห่งความตายอันเป็นทุกข์ ๗. โสกะ คือ ไฟแห่งความเศร้าโศก ๘. ปริเทวะ คือ ไฟแห่งความทุกข์ลำบากกายใจ ๙. ทุกขัง คือ ไฟแห่งความทุกข์ลำบากกายใจ ๑๐.โทมนัส คือ ไฟแห่งความเสียใจ ๑๑. อุปายาส คือไฟแห่งความคับแค้นใจ
ไฟทั้ง ๑๑ กองนี้แหล่ะที่เผาผลาญสรรพสัตว์ทั้งหลาย ให้พากันงมงาย เวียนว่าย ตายเกิด ได้รับทุกข์ต่างๆ
อวิชชา ๘ อันมี ๑. ความไม่รู้ใน "ทุกข์" ๒. ความไม่รู้ใน "สมุทัย" ๓. ความไม่รู้ใน "นิโรธ" ๔. ความไม่รู้ใน "มรรค" ๕. ความไม่รู้ใน "ความไม่รู้อดีต" ๖. ความไม่รู้ใน "ความไม่รู้อนาคต" ๗.ความไม่รู้ในทั้ง "อดีตและอนาคต" ๘. ความไม่รู้ใน "ปฏิจจสมุปบาท"
ผู้รับคำเตือนย่อมได้ผล ในเวลาจบพระธรรมเทศนา หญิง ๕๐๐ ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผลแล้ว. พระศาสดาทรงทราบความที่หญิงเหล่านั้นเป็นผู้ตั้งมั่นอยู่ในอจลศรัทธาแล้ว เสด็จลงจากยอดเขาสิเนรุ ประทับนั่งบนพุทธอาสน์.
ลำดับนั้น นางวิสาขาได้กราบทูลพระพุทธองค์ว่า "พระเจ้าข้า ขึ้นชื่อว่าสุรานี้ เลวทราม, เพราะว่าหญิงเหล่านี้ ชื่อเห็นปานนี้ นั่งตรงพระพักตร์พระพุทธเจ้าเช่นพระองค์ ยังไม่สามารถจะยังแม้เพียงอิริยาบถให้เรียบร้อยได้ เริ่มจะลุกขึ้นปรบมือ ทำการหัวเราะ ขับ และฟ้อนเป็นต้น."
พระศาสดาตรัสว่า "นั่นแหละวิสาขา ขึ้นชื่อว่าสุรานี้ เลวทรามแท้ เพราะประชาชนอาศัยสุรานี้ ถึงความพินาศแล้วตั้งหลายร้อย."
พระพุทธเจ้าท่านถึงให้เรามีเมตตาตนเอง กลับมารู้ตนเองนะ ว่าตัวเองกำลังคิดอะไรอยู่ ว่าตัวเองกำลังพูดอะไรอยู่ ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ มันตรงต่อคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วหรือยัง ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า "การไม่ทำบาปทั้งปวง การทำกุศลให้ถึงพร้อม การทำจิตใจให้ขาวรอบ" ท่านให้เราตั้งอยู่ในความไม่ประมาท เราจะไปเก่งกว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้...! ถ้าสิ่งไหนพระพุทธเจ้าท่านว่าไม่ดีไม่ถูกต้อง เราก็ไม่ต้องคิด ไม่ต้องพูด ไม่ต้องทำ
การหยุดตัวเอง...การเบรกตัวเอง...เห็นคุณค่าในการที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง ไม่มีใครที่จะมาเปลี่ยนแปลงตัวเองได้แก้ไขตัวเองได้นอกจากตัวเรา นี่มันเป็นเรื่องของเราปัญหาของเรา เราจะหลบไปไหน หนีไปไหนมันก็ไม่พ้น เมื่อรู้แล้วว่าเราจะหลบไปไหน...หนีไปไหน...ก็ไม่พ้น พระพุทธเจ้าไม่ให้เราเสียเวลาที่จะต้องผัดวันประกันพรุ่ง มันผัดไม่ได้อีกแล้ว เพราะวันเวลามันเปลี่ยนไปทุกวัน มันไม่ได้เปลี่ยนแปลงแต่เวลา
เรื่องการเจริญสติสัมปชัญญะมันจำเป็นนะ เช่น เราเดินอยู่ ก็ให้ใจอยู่กับการเดิน เวลานั่งก็ให้ใจของเราอยู่กับการนั่ง เวลานอนก็ให้ใจของเราอยู่กับการนอน พระพุทธเจ้าท่านให้เราเจริญสติสัมปชัญญะ เราจะทำการทำงานอะไร ให้ใจของเราอยู่กับการกับงานที่เรา กำลังทำอยู่ ทำตามอย่างนี้ดี ทำให้สติสัมปชัญญะของเรามันดีขึ้น ทำให้ใจของเราเย็นขึ้น พยายามอย่าส่งใจออกไปภายนอกเพราะจิตใจที่ส่งออกไปภายนอก เค้าเรียกว่า 'คนฟุ้งซ่าน' คนสติสัมปชัญญะไม่สมบูรณ์ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เป็นคนจิตใจชอบท่องเที่ยว
พวกเราทุกๆ คนนี้มันติดท่องเที่ยวนะ ใจมันชอบไปเที่ยว มันอยู่กับบ้านไม่เป็น มันติดเที่ยว ใจของเราอยู่กับเนื้อกับตัวไม่ค่อยจะได้สติสัมปชัญญะมันถึงไม่ค่อยสมบูรณ์ "จิตไม่มีพลัง จิตละกิเลสไม่ได้"
เราส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ด้วยการหยุดกรรมหยุดเวรหยุดวัฏสงสาร ด้วยพระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่อย่างนี้แหละ นี่คือการอบรมบ่มอินทรีย์ของเราทุกคน ตัวตนของเรามันมีมาก ความยึดมั่นถือมั่นในอัตตาตัวตนมันมีมาก นี่เป็นความรุนแรงของเราทุกคน ที่มันยินดีในความเกิดความแก่ความเจ็บความตาย แล้วเราจะไปโทษใคร เราต้องเห็นภัยในวัฏสงสาร ปัจจุบันคือ fighting ที่ทุกท่านทุกคนต้องพากันประพฤติปฏิบัติ เดี๋ยวนี้ที่เรามีความเศร้าหมอง เพราะเราไม่รู้อริยสัจ ๔ ไม่รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ ไม่รู้ความดับทุกข์ ไม่รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เป็นผู้พ่ายแพ้ เป็นผู้มีหัวใจปาราชิกน่ะ มันไม่ได้ หัวใจเราต้องให้มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง เน้นการประพฤติปฏิบัติในปัจจุบันให้เต็มที่
เราจะมามัวอร่อยมาแซ่บมารำมานัวอย่างนี้ไม่ได้ เวลามันกลืนกินชีวิตของเรา อย่ามัวมาหลงอยู่ในความประมาทอยู่ในความเพลิดเพลิน พระพุทธเจ้าท่านเป็นห่วงเรานะ ในวาระสุดท้ายพระองค์ทรงประทานพระพุทโธวาทที่สำคัญที่สุดในความเป็นมนุษย์ นั้นคือให้ทุกท่านตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท ทุกท่านทุกคนนี้ประมาทนะ ความประมาทความเพลิดเพลินนี้มันเป็นยางเหนียว มันเป็นกาม เป็นความสนิทเนื้อเดียวกันกับใจ ที่มันครองด้วยอวิชชาด้วยความหลง พระธรรมวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่นี่แหละ เป็นยานที่จะนำเราออกจากวัฏสงสาร มีอยู่กับเราในปัจจุบันท่านทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม จากที่ได้พากันมองเห็นเทวทูตทั้ง ๔ เกิดแก่เจ็บตายพลัดพราก เราเกิดมาในวัฏสงสารไม่มีอะไรน่าหลงน่าเพลิดเพลิน ให้ทุกท่านทุกคนได้มองเห็นภัยในวัฏฏสงสาร กลับมาหาสติกลับมาหาสัมปชัญญะไม่ต้องปล่อยให้ตัวเองยืดเยื้อขอโอกาสเวียนว่าตายเกิดในวัฏสงสารไม่มีที่สุดไม่มีที่สิ้น เพราะปัจจุบันเป็นธรรม ชีวิตนี้คือปัจจุบันเพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปถึงมี ทุกท่านทุกคนต้องเอาปัจจุบันให้ได้ ศีลสมาธิปัญญาของเราต้องเต็มที่ในปัจจุบัน เพื่อจะได้ไม่เป็นตัวเป็นตน เป็นธรรมะ มีแต่การเสียสละซึ่งตัวซึ่งตน นี่เป็นวาจามีในครั้งสุดท้ายของพระตถาคตเจ้า
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee