แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันศุกร์ที่ ๑๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง มนุษย์ที่สมบูรณ์ ตอนที่ ๔๕ ทุกอย่างย่อมดับสลายไป จึงต้องใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาท ทำแต่ความดีให้ใจสะอาดใจสว่างใจสงบ
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
มนุษย์เราต้องพากันมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง พากันปฏิบัติให้ถูกต้อง พากันประพฤติทางการปฏิบัติในปัจจุบัน เพราะปัจจุบันเป็นการประพฤติปฏิบัติของเราทุกๆ คน มีการประพฤติปฏิบัติให้เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาในปัจจุบัน เอาพระรัตนตรัยเป็นที่ตั้ง ไม่เอานิติบุคคลไม่เอาตัวไม่เอาตน เพื่อให้กายกับใจเดินทางไปพร้อมๆ กัน หยุดเวียนว่ายแต่เกิดของเราในปัจจุบัน ให้ก้าวไปในชีวิตประจำวัน ปัจจุบันคือธรรมะ เป็นการอบรมบ่มอินทรีย์ของเราทุกคนทุกท่านทุกคนก็พากันประพฤติปฏิบัติได้พอๆ กัน ให้ทุกคนรู้ว่าพระที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่ไหน ที่ใกล้ที่ไกล อยู่ที่กายวาจาของเราในปัจจุบัน ทุกท่านทุกคนต้องลบอดีตของตัวเองให้เป็นศูนย์ มีความสุขในการทำงานในการปฏิบัติธรรม เราจะได้ให้อาหารทั้งกายทั้งอาหารใจไปพร้อมๆ กัน ใครไม่ปฏิบัติก็ช่างหัวเขา ตัวของเราเองต้องเข้าสู่ภาคประพฤติปฏิบัตินะ ความดับทุกข์ทั้งกายทั้งใจมันมีกับเราทุกๆ คน
ให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจ วัดนั้นน่ะคือข้อปฏิบัติคือข้อวัตร คือศีลคือสมาธิคือปัญญา ที่เราจะเอามาเป็นข้อวัตรข้อปฏิบัติของเราทุกๆ คน ทุกคนที่เป็นฆราวาสต้องมีศีลให้ 100% ทั้งทางใจและทางกาย ให้เป็นศีลที่เป็นมรรคเป็นผลเป็นนิพพาน เพราะศีลนั้นไม่ใช่กฎหมายบ้านเมือง ศีลนั้นเป็นการหยุดอวิชชาความหลง หยุดภพหยุดชาติ คือหยุดความเกิดความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพราก มันต้องหยุดมาจากใจ เมื่อหยุดจากใจแล้ว กายเราก็หยุด เพราะร่างกายนี้ของมนุษย์เกือบจะเหมือนหุ่นยนต์นี่แหละ ทุกคนต้องเน้นเรื่องศีลเรื่องใจ พูดภาษาสมัยใหม่เรียกว่าหยุดมีเพศสัมพันธุ์ทางความคิด หยุดมีเพศสัมพันธุ์ทางจิตใจ เพราะเราทุกคนไม่รู้อริยสัจ 4 ไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ ไม่รู้ความดับทุกข์ ไม่รู้ถึงข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ปล่อยให้อวิชชาปล่อยให้ความหลง มาสร้างบ้านสร้างเรือนสร้างวัฏสงสารในใจของเราทุกคน เราต้องหยุดด้วยยานคือศีลคือข้อวัตรข้อปฏิบัติที่มีอยู่กับเราทุกคน เป็นชีวิตที่ประเสริฐได้พากันมาเกิดเป็นมนุษย์ ทุกคนพาไปปฏิบัติได้อยู่แล้ว ขอให้ไม่เอาตัวตน เพราะตัวตนมันแก่แต่อวิชชามันแก่แต่ความหลง ทุกท่านทุกคนต้องหยุด หยุดด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญาที่ทุกท่านทุกคนต้องเข้าสู่ภาคประพฤติปฏิบัติ ทุกคนพากันประพฤติเอาปฏิบัติเอา
ทุกคนมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ความจริงแท้แน่นอนของเราก็จะเกิดขึ้น ทุกท่านต้องพากันรู้จัก พากันไปปฏิบัติที่บ้านที่ครอบครัวที่ทำการทำงาน อย่าพากันเอาความสุขทางร่างกายที่เราได้บรรเทาทุกข์ด้วยอาหารด้วยการพักผ่อนด้วยการเปลี่ยนอิริยาบถ ให้ร่างกายที่เป็นมนุษย์นี้มาสร้างความดีสร้างบารมีเดินตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
โครงสร้างของเราทุกคนแหละ ถึงเป็นบ้านเป็นโรงเรียนเป็นวัด ที่เราต้องรู้จักบ้านทางร่างกายบ้านทางจิตใจ โรงเรียนทางกายโรงเรียนทางจิตใจ ต้องพากันประพฤติพากันปฏิบัติจะได้พัฒนาทั้งความรู้ความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์เพื่อดำรงชีพและพัฒนาใจไปพร้อมๆกัน โลกนี้ต้องมีโรงเรียนมีวัดมีบ้าน เราจะได้ไม่เป็นเพียงมนุษย์แต่เพียงแบรนด์เนม ไม่เป็นบ้านแต่เพียงแบรนด์เนม ไม่เป็นวัดแต่เพียงแบรนด์เนม ต้องเข้าสู่ภาคประพฤติปฏิบัติ นี้มันเป็นความมั่นคงของเราที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์เราต้องมีบ้านมีวัดมีโรงเรียน ทุกคนก็ต่างประพฤติต่างปฏิบัติ เพื่อจะส่งไม้ผลัดหากันและกันมัน ก็ไม่ใช่เรื่องยากหรอก มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายหรอก มันเป็นสิ่งที่จะต้องประพฤติปฏิบัติ เพราะความถูกต้องจะได้ไม่เป็นเพียงปรัชญา เพราะมันเป็นข้อวัตรเป็นกิจวัตร เป็นอริยมรรคมีองค์ ๘ เพราะสิ่งนี้มี สิ่งต่อไปถึงมี
เราจะหยุดวัฏสงสาร เราต้องเข้าสู่กระบวนการขององค์พระสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ถือนิสัยของพระพุทธเจ้า ต้องหยุดถือนิสัยของตัวเอง คนที่ถือนิสัยตัวเองเราอย่าไปถือนิสัยเขา เราต้องมีหลักการมีจุดยืน ศีลนั้นคือเจตนาคือความตั้งใจ เรามีเจตนาความตั้งใจให้แน่วแน่ เพราะอวิชชาความหลง มันจะทำให้ใจของเราอยาบ ทำให้ใจของเราเห็นแก่ตัว อะไรก็จะเอาแต่ปล่อยวาง จะเอาแต่ปล่อยวาง อย่างนั้นมันคือความเห็นแก่ ตัวอะไรก็ว่างไปหมด นั่นไม่ใช่พระพุทธศาสนา เป็นเพียงปรัชญาเป็นเพียงจิตวิทยา ให้เข้าถึงเจตนาที่หยุดตัวหยุดตนหยุดเราหยุดเขา เจตนาถึงเป็นยาน ศีลสิกขาบทน้อยใหญ่ของพระมี 21,000 พระธรรมขันธ์ เราเอามาสวดเพียง 227 ข้อ เพราะศีลนั้นหยุดไม่ทำบาปทั้งปวง ทั้งทางกายทั้งทางวาา ทั้งทางจิตใจ เป็นเจตนาที่หยุดก่อน สต๊อปไว้ก่อน เบรคไว้ก่อนวัฏสงสาร ศีลนั้นเป็นพื้นฐานของสมาธิศีลทั้ง 21,000 จะเป็นฐานของสมาธิ ศีลนั้นเปรียบเหมือนเครื่องบินที่ให้พวกเราขับเคลื่อนบินขึ้นสู่อากาศ ข้ามภูเขาข้ามทะเลข้ามมหาสมุทรอย่างปลอดภัย เมื่อข้ามวัฏสงสารแล้ว ก็เป็นธรรมชาติก็เป็นอัตโนมัติของเราเอง เป็นความถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง เป็นไปของมันเอง ความเป็นพระมีกับเราทุกๆ คน ทั้งที่เป็นฆราวาสนักบวช นักบวชก็ดีกว่า เพราะบ้านก็ไม่ต้องเช่า ข้าวก็ไม่ต้องซื้อ ทุกคนในโลกนี้สนับสนุน ดังนั้นต้องเข้าสู่ศีลเข้าสู่สมาธิเข้าสู่ปัญญา เรียกว่าเข้า Line เข้า Super Highway ขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า มีทางนี้ทางเดียว ทางอื่นไม่มี
ให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจ กลับเข้ามาหาความสงบคือศีล กลับเข้าหาความสงบคือสมาธิ กลับเข้ามาหาความสงบคือปัญญา เห็นภัยในวัฏสงสาร รู้จักอริยสัจ ๔ เข้าสู่ภาคประพฤติปฏิบัติอย่างนี้นะ ส่วนใหญ่ก็จะไม่มีใครรักเรา ส่วนใหญ่มีแต่คนรักเรา แล้วเราก็หลงคนอื่น พระพุทธเจ้าคือผู้มีพระปัญญาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาธิคุณ เราจะพากันมาหลงอะไร เราหลงในตัวตน หลงในลูกในหลาน หลงในเงินในทอง หลงในรูปเสียงกลิ่นรสลาภยศสรรเสริญ มันก็เป็นสักกายทิฏฐิมีตัวมีตน
ทุกท่านทุกคนต้องรู้อริยสัจ ๔ ความถูกต้องไม่ได้เป็นพี่เป็นน้องกับใคร ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่ประเสริฐ ให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจ พร้อมทั้งพากันประพฤติปฏิบัติ ทุกท่านทุกคนต้องพากันมาทำที่สุดแห่งการดับทุกข์ หยุดการเวียนว่ายตายเกิดให้กับตนเอง ทุกท่านทุกคนมันไม่ได้อะไรหรอก ทุกอย่างมันผ่านมาผ่านไป พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่มีอะไร ท่านไม่ได้อะไร มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้องเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เป็นพรหมจรรย์ไม่มีตัวไม่มีตน มันเป็นอย่างนี้ ไม่มีอะไรที่จะไปปรุงแต่ง เพราะว่าพระนิพพานไม่มีอะไรจะไปปรุงแต่งได้ เราดูตัวอย่างที่พระพุทธเจ้าก่อนที่ท่านจะดับเสด็จดับขันธปรินิพพาน เข้าสู่ฌานนั้นฌานนี้ ถอยกลับไปกลับมา แล้วก็ดับขันธปรินิพพานระหว่างรูปฌานกับอรูปฌาน เพราะฌานนั้นก็คือความสงบ ไม่ใช่ความวิมุติไม่ใช่ความหลุดพ้น ไม่ใช่ปัญญาวิมุติหลุดพ้น พระพุทธเจ้าก็เป็นลูกหลานของพราหมณ์มาก่อน พราหมณ์ก็ไปได้แค่เพียงฌานสมาบัติแค่พรหมโลก พราหมณ์ก็คุยกันแต่เรื่องสมาธิเรื่องฌานเรื่องการเข้าสมาธิ พระพุทธเจ้าไม่ได้พูดเรื่องสมาธิเป็นหนทางไปสู่พระนิพพาน มันยังไม่ใช่ความดับทุกข์ที่แท้จริง เราอย่าไปเอาความสงบเป็นนิพพาน เมื่อออกจากสมาธิเมื่อไหร่ออกจากสมาธิก็ยังมีตัวมีตน พระพุทธเจ้าถึงให้พิจารณาว่า สุขมันก็ไม่แน่มันก็ไม่เที่ยง ทุกข์มันก็ไม่แน่มันก็ไม่เที่ยง ไม่สุขไม่ทุกข์มันก็ไม่แน่มันก็ไม่เที่ยง เราก็ต้องหลุดพ้นด้วยสติสมาธิปัญญาวิปัสสนา
การปฏิบัติของเราน่ะกับการดำรงชีพของเราน่ะมันเกื้อกูลซึ่งกันและกัน อย่าไปแยกกายแยกใจออกจากกัน พระพุทธเจ้าให้เราปฏิบัติทั้งกายทั้งใจไปพร้อมๆ กัน ด้วยตั้งใจปฏิบัติคือศีล ด้วยตั้งใจปฏิบัติคือสมาธิ เผาผลาญกิเลสด้วยปัญญาด้วยวิปัสสนา ด้วยการรู้อริยสัจ 4 ด้วยการไม่เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ชั่งหัวมัน ถึงเราจะไม่รวยเป็นมหาเศรษฐีก็ช่างหัวมัน ความร่ำรวยทางวัตถุน่ะก็ยังเวียนว่ายตายเกิด แต่พระพุทธเจ้าสอนให้เป็นเศรษฐีทางวัตถุทางจิตใจไปพร้อมๆ กัน เพราะอริยมรรคมีองค์ ๘ พากันประพฤติได้ปฏิบัติได้ เราจะได้เข้าใจ ถ้าไม่อย่างนั้นมันจะมุ่งแต่ความรวยอย่างเดียว ความร่ำรวยนั้นได้มาจากการผิดศีลผิดธรรม ต้องไปเอาความสุขจากคนอื่นเอาความสุขจากสัตว์อื่น เราจะเป็นมนุษย์ที่เป็นโมฆะมนุษย์ โมฆะของมนุษย์เป็นผู้ที่สร้างภพสร้างชาติ สร้างความร่ำรวยจากคนอื่นจากสัตว์อื่น ด้วยการฆ่าสัตว์ลักทรัพย์ดื่มยาดองของเมา บริโภคของที่เป็นอวิชชาความหลงว่าเป็นสิ่งที่ประเสริฐ พระพุทธเจ้าให้พวกเราฉลาดมากกว่านั้น เราต้องเข้าใจชีวิต ถ้าไม่เข้าใจชีวิตก็คิดว่าว่างๆๆ ด้วยการเป็นอันธพาล ว่างด้วยการฆ่าสัตว์ลักทรัพย์ มันว่างจริง แต่มหานรกมหาอเวจีนั้นไม่ว่าง ต้องรู้จักว่า ต้องรู้จักรู้แจ้งว่าเราเดินทางผิดด้วยมิจฉาทิฏฐินั้นมันผิด เราจะเป็นมนุษย์ที่มันหลงขยะกันมาแย่งขยะกัน หมู่มวลมนุษย์ถึงพากันเป็นครอบครัวสังฆเภท เป็นโรงเรียนสังฆเภท เป็นวัดสังฆเภทคือความแตกแยก ไม่มีเมตตา ไม่มีกรุณา เพราะเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ชีวิตของมนุษย์ถึงเป็นสีดำสีเทา มีจิตสำนึกสีขาวนิดเดียวเอง
ให้ทุกท่านทุกคนถือตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตามธรรมะ ตั้งมั่นในพระรัตนตรัย อย่าได้พากันหลงประเด็น ทุกคนไม่ต้องไปก๋าไปกร่าง เพราะทุกคนก็ไม่พ้นจากความเกิดความแก่ความเจ็บ ไม่พ้นจากความตายความพลัดพรากซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอน เราจะหลงในความอร่อยหลงในอวิชชานั้น ไม่ได้
ทุกคนแสวงหาอาหารนั้นคือหาอาหารทางกาย อยู่ประเทศนั้นประเทศนี้คือหาอาหารทางกาย อาหารทางใจเราต้องรู้จัก ต้องเป็นศีลต้องเป็นสมาธิคือความตั้งใจมั่นในธรรม อาหารทางใจคือปัญญามีความเห็นถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ไม่ต้องอยู่ในความหลงความประมาท พิจารณาสู่ไตรลักษณ์ จะได้อาหารทางใจ หมู่มนุษย์ก็มีอาหารอยู่ ๒ อย่าง อาหารทางกาย อาหารทางใจ ให้เข้าใจพากันปฏิบัติ
เราบริโภคอาหาร พักผ่อน หรือทำอะไรทุกอย่างนั้น จุดมุ่งหมายนั้น ก็ให้ร่างกายของเราไม่มีทุกข์ ไม่ใช่เพื่อความเอร็ดอร่อย ไม่ใช่เพื่อความหลงของเรา พระพุทธเจ้าท่านถึงไม่ให้เราทานเผ็ดมาก เค็มมาก หวานมาก เน้นแต่ความอร่อยเป็นหลัก โดยทุกวันนี้...ยิ่งมีการสร้างสรรค์ในเรื่องกิน ท่านให้เรามีสติสัมปชัญญะในเรื่องกินน่ะ เราจะหลงไปเรื่อยๆ ไม่ได้ ต้องมี 'สติสัมปชัญญะ' ต้องให้จิตใจของตัวเองสงบ ให้อดเอาทนเอาถ้าไม่อย่างนั้นน่ะเราก็จะมีปัญหาทั้งทางกายและทางใจ เราทานอาหารนี้ก็เพื่อให้ร่างกายของเรามันสงบน่ะ และก็จิตใจของเรามันจะได้สงบ
ถ้าสมมุติว่า...เราเป็นคนรวย เป็นมหาเศรษฐีน่ะ ถ้าใจของเราไม่มีความสงบน่ะ เราจะมีความสุขมั๊ย...? เพราะความสุขความดับทุกข์มันอยู่ที่ใจสงบ ถึงเราจะรวยเราก็ยังตกนรกทั้งเป็น หมายถึงจิตใจของเรามันตกนรก
เราทุกคนน่ะไม่ว่าจะนั่งอยู่ในที่นี้ หรืออยู่ในที่อื่นก็ตาม ถ้าใจไม่สงบมันมีความทุกข์ทั้งนั้นน่ะ ก็ถือว่าบุคคลนั้นกำลังตกนรกทั้งเป็นนะ ความโลภ ความโกรธ ความหลงนี้มันเผาเราทั้งเป็นนะ บางทีเราก็มีทรัพย์สมบัติ ข้าวของ เงินทองอะไรก็ไม่บกพร่อง แต่จิตใจของเราก็ไม่สงบน่ะ มันสงบไปไม่ได้สาเหตุที่ไม่สงบน่ะ เพราะเราไม่รู้จักทำจิตใจให้มันสงบ ใจของเรามันไม่ได้อยู่กับเนื้อกับตัว มันอยู่กับอนาคตโน้น หรือมันอยู่กับอดีตที่เราทำอะไรผิด ทำอะไรไม่ถูกต้อง ใจของเราเลยไม่สงบ
คนเราจะ 'สงบ' ได้... มันต้องมี 'สติสัมปชัญญะ' ต้องใจอยู่กับเนื้อกับตัว ที่เราไม่สงบนั้น หมายถึง เราไม่มีสติสัมปชัญญะเลย
เมื่อเราไม่มีสติสัมปชัญญะ ใจของเราก็ไม่สงบ เพราะสาเหตุมาจากเรากำลังถูกไฟนรก คือ ความอยากความต้องการ ที่ต้องการจะให้มันเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ มันกำลังเผาจิตใจของเรา เรายังไม่ตายก็ถูกไฟนรก มันเผาเสียแล้วนะ
การประพฤติปฏิบัติต้องเน้นมาที่ตัวเรา เน้นมาที่จิตที่ใจของเรา มันถึงจะได้อบรมบ่มอินทรีย์ สร้างอริยมรรคให้มันสมบูรณ์ พระพุทธเจ้าท่านให้เราทุกๆ คน เข้าถึงความสุขความดับทุกข์ ตั้งแต่เมื่อเรายังมีชีวิตอยู่ ที่เรายังไม่ลาละสังขารนี้แหละ ความทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงเหมือนกับกองเพลิงกำลังไหม้เราอยู่ เผาเราอยู่ เราอย่าไปมองไกลเกิน มองเรื่องอนาคตน่ะ ปัจจุบันนี้แหละเราต้องละความอยากความไม่อยากที่มันกำลังเผาเราอยู่
'ความอยาก' อย่างนี้แหละเค้าเรียกว่า มันเป็นอาการของเปรตที่มันอยู่ในจิตใจของเรา พระพุทธเจ้าท่านสอนเรา 'ไม่ให้เราอยาก' ให้เรามี "สติสัมปชัญญะ' แล้วสร้างเหตุสร้างปัจจัยด้วยการเป็นผู้เสียสละ เพราะความร่ำความรวย ลาภ ยศ สรรเสริญนั้น อยู่ที่เราเป็น 'ผู้เสียสละ' ท่านให้เราเป็นคนเสียสละ ให้เราเป็นผู้ให้ทาน ให้เราเป็นผู้ให้ เพราะเรานี้เห็นแก่ตัวมาก เป็นผู้เอาจากพ่อจากแม่ จากเพื่อนจากฝูง จากสังคม ถือว่าเรานี้เป็นผู้ทำอาชีพบนความทุกข์ของคนอื่นอยู่นะ พระพุทธเจ้าท่านถึงสอนเราให้มาเป็นผู้ให้ เป็นผู้เสียสละ
ให้ทุกท่านทุกคนกลับมามองตัวเองว่า "เดี๋ยวนี้เราให้อะไรใครบ้างหรือยัง...?" เราให้ความสุขความดับทุกข์ แก่คุณพ่อคุณแม่ แก่คนในครอบครัวแล้วหรือยัง...? ถ้าเราเป็นผู้เอาเหมือนแต่ก่อน ตัวของเราก็ย่อมมีความทุกข์แน่ ผู้ที่เกี่ยวข้องกับเราเค้าก็ได้รับความทุกข์จากเรา
เมื่อเรามีความเห็นผิดเข้าใจผิด เราต้องมารักษาด้วยธรรมโอสถ ทุกคนต้องมายินดีในความแก่เพราะเราทุกคนเกิดมา ก็ต้องแก่เราก็ต้องมีความสุขในความแก่ คนแก่ที่เรามองเห็นอายุ ๖๐ ปี ๗๐ ปี ๘๐ ปี จนถึงร้อยปี เราต้องมีความยินดีในความแก่อย่างนั้น เราต้องมีปัญญาอย่างนี้แหละ คนเราไม่อยากแก่ ก็ต้องเป็นทุกข์ ๒ อย่าง ทุกข์ทางกายยังไม่พอ ยังต้องเป็นทุกข์ทางใจอีก ทุกคนต้องยอมรับอย่าไปปฏิเสธความแก่ ความไม่แข็งแรง ความไม่คล่องแคล่วว่องไว ความเซ่อๆเบลอๆของเรา เราต้องยินดีในความเจ็บไข้ไม่สบาย เพราะคนเราเกิดมามันต้องมีโรคประจำทางกายในตัว ถึง ๙๖ อย่าง แต่ในปัจจุบันมันมากมายกว่านั้นจนนับไม่ถ้วนที่เกี่ยวข้องกับไวรัส ไวรัสก็กลายพันธุ์พัฒนาสายพันธุ์ไปเรื่อยๆ ไม่รู้จบ
ทุกคนต้องยินดียอมรับในความเจ็บไข้ไม่สบาย ถ้าเราไม่มีความเจ็บไข้ไม่สบาย มันคงจะหลงไปมากกว่านี้ พวกที่ไปเกิดเป็นเทวดาส่วนใหญ่ จึงจะพากันติดสุขติดสบาย ไม่สามารถจะบรรลุธรรมได้ นอกจากจะเป็นสมาธิและเป็นพระอริยบุคคลอยู่แล้ว
คนเรามันไม่อยากเจ็บไม่อยากป่วย ยังไม่นั่งสมาธิ ก็ท้อใจไว้ก่อนแล้ว เริ่มปวดแข้งปวดขา จะถือศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๒๒๗ ข้อ ก็กลัวความเหน็ดความเหนื่อย กลัวความเจ็บไข้ไม่สบาย สิ่งที่แล้วไปแล้ว ก็ให้แล้วไป เมื่อทุกท่านทุกคนได้ฟังพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าให้ยินดีในความป่วยไข้ไม่สบาย ใจจะได้ไม่ปรุงแต่ง ใจจะได้ไม่ไปวุ่นวาย เพราะความเจ็บความตายไม่มีใครที่จะหนีพ้นได้สักคนเดียว พระพุทธเจ้าก็ยังทรงต้องแก่ ยังทรงพระประชวร และยังเสด็จดับขันธ ปรินิพพาน ยังต้องแก่เจ็บตายพลัดพราก ให้ทุกท่านทุกคนเพิ่มความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้องยอม รับแต่โดยดี เหมือนพระพุทธเจ้าพาเราให้เข้าใจและได้ปฏิบัติธรรม อันเป็นพระสัทธรรม เป็นสัจธรรมของจริงของแท้
พระพุทธองค์ทรงให้เราพิจารณา สิ่งที่ต้องพิจารณาอภิณหปัจจเวกขณ์ คือ ข้อปฏิบัติที่ควรพิจารณาทุกๆ วัน มีอยู่ ๕ ประการ ได้แก่
๑. เรามีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้ เมื่อพิจารณาอย่างนี้แล้ว ย่อมเป็นเครื่องบรรเทาความประมาท ความมัวเมา ความลุ่มหลงในวัย ไม่ให้ประมาทในการดำรงชีวิตในแต่ละวัยก่อนความแก่จะมาถึง
๒. เรามีความเจ็บเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเจ็บไปได้ ความเจ็บไข้ได้ป่วยย่อมเกิดขึ้นได้กับทุกคน และความเจ็บมีทั้งรักษาได้และรักษาไม่ได้ปะปนกันไปสักวันหนึ่งเราจะต้องเจ็บแน่นอน ดังนั้นพึงพิจารณาให้ได้ทุกๆ วัน
๓. เรามีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้ ความตายไม่มีนิมิตหมายจะตายเมื่อไรไม่มีใครรู้ แต่ที่รู้ ๆ ก่อนตายเราควรทำอะไรให้กับชีวิตที่มีอยู่ เพราะความตายเราหนีไม่พ้นแน่นอน
๔. เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น เป็นการย้ำเตือนอยู่ตลอดเวลาว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราทั้งสิ่งชอบใจและไม่ชอบใจ ต่างต้องมีอันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปในที่สุด เป็นการเตรียมใจรับกับ ภาพที่เป็นจริงที่จะเกิดขึ้น ไม่ว่าเราจะรู้ตัว หรือไม่รู้ตัวก็ตามเพื่อป้องกันความเศร้าโศกเสียใจ ให้คลายความยึดมั่นถือมั่นเสีย
๕. เรามีกรรมเป็นของตน เป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราทำกรรมใดไว้ เราทำดีจักได้ดี ทำชั่วจักได้ชั่ว เราจะต้องเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น
การพิจารณาทั้ง ๕ ประการนี้ พึงพิจารณาอยู่เนืองนิตย์ จะได้ไม่ประมาทในการเกิดมาเป็นมนุษย์แล้วได้พบพระพุทธศาสนา เราจะได้เอาธรรมโอสถมารักษาใจของเรา ใจของเราจึงจะหายจากโรค โดยเฉพาะโรคกิเลส โรคที่พาเราเวียนว่ายตายเกิด สักวันเราก็ต้องตาย พ่อแม่ญาติพี่น้องเราก็ต้องตาย คนที่เรารักคนที่เราเกลียดก็ต้องตาย คนที่ชอบไม่ชอบก็ต้องตาย แต่เพราะอวิชชาความหลงจึงทำให้เราไม่เข้าใจ ชีวิตในวันหนึ่งๆ ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เปรียบเสมือนหยาดน้ำค้างบนปลายยอดหญ้าเมื่อต้องแสงอาทิตย์ในยามเช้าก็เหือดแห้งหายไปโดยฉับพลัน ชีวิตเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วไปสู่ความเสื่อมสลายคล้ายฟองน้ำ เมื่อเวลาฝนตกหนักมีฝนหนาเม็ด เกิดเป็นฟองน้ำขึ้น แล้วก็แตกสลายไปในชั่วพริบตาเดียว ช่วงเวลาของชีวิตมนุษย์นั้นสั้นนัก เราไม่ควรประมาท พึงเร่งทำความเพียร เพื่อไปให้ถึงจุดหมายปลายทางของชีวิต เช่นเดียวกับพระอรหันตขีณาสพทั้งหลาย
คนเราเกิดมาคนเดียว เมื่อถึงเวลาตายก็ตายไปคนเดียว ทุกสิ่งทุกอย่างที่มาเกี่ยวข้องนั้นมาจากกรรมสัมพันธ์ทั้งด้านดีและไม่ดี ด้านดีก็มาจากกุศลกรรม ด้านไม่ดีก็มาจากอกุศลกรรม คนเราเมื่อเกิดมาร้องไห้พร้อมกับกำมือไว้แน่นเหมือนเป็นเครื่องหมายบอกว่า เกิดมาเพื่อจะเอา เอาทุกสิ่งทุกอย่าง เมื่อหลับตาลาโลกก็แบมือออกจากไปคนเดียว พระพุทธองค์เคยตรัสไว้ว่า "ไม่ว่าพาล หรือบัณฑิต ไม่ว่ากษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร หรือจัณฑาล ในที่สุดก็ต้องบ่ายหน้าไปสู่ความตาย เหมือนภาชนะไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ในที่สุดก็ต้องแตกสลายเหมือนกันหมด"
มนุษย์เราต้องมีความสุขในการทำงาน ในการปฏิบัติธรรม ไม่ว่าเราอยู่ที่ไหนทำอะไรก็ดับทุกข์ได้พอๆ กัน เพราะมันอยู่ที่ใจ อยู่ที่มีสัมมาทิฏฐิมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ขีณาสพ เป็นผู้ดับทุกข์ได้ตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ตั้งแต่ยังไม่ตาย ได้ทำประโยชน์ของตนเองอย่างสมบูรณ์ แล้วก็ทำประโยชน์ช่วยเหลือผู้อื่นอย่างสมบูรณ์
ความสุขทางส่วนร่างกาย เราแก้ปัญหาบรรเทาความทุกข์ด้วยการทานอาหารด้วยการพักผ่อนด้วยการผลัดเปลี่ยนอิริยาบถ อายุของเราส่วนใหญ่ก็ไม่เกิน 100 ปี แล้วทุกท่านทุกคนก็ต้องจากโลกนี้ไป ความเป็นจริงแล้วมันจากโลกนี้ไปทุกๆ อิริยาบถ ทุกๆ ลมหายใจ จิตใจของท่านต้องมีสติมีปัญญา พระพุทธเจ้าไม่ให้อาลัยอาวรณ์ในอดีตที่เราเกี่ยวข้อง ไม่ให้เราหลงอะไรในปัจจุบัน ท่านให้ระลึกถึงเสมอว่าทุกสิ่งทุกอย่างนี้เป็นเรื่องของธรรมะเป็นเรื่องของสภาวะธรรมเป็นเรื่องธรรมดา มันจะเกิดขึ้นมันจะดำรงอยู่มันจะหายไป สิ่งเหล่านี้ก็มีอยู่ประจำโลก เพราะนี่เป็นโลกธรรม
"เราก็ต้องรู้จักกำจัดขยะของชีวิต" ขึ้นชื่อว่า "ขยะ" ถ้าเราไม่ได้มีอาชีพเก็บขยะคงไม่สนใจที่จะเก็บไว้ " ขยะความคิด ขยะอารมณ์ ขยะหัวใจ ขยะจิตใจ เศษขยะ ไฟล์ขยะในโทรศัพท์ ไฟล์ขยะในคอมพิวเตอร์ล้วนเป็นสิ่งที่เราต้องการจะกด delete ทั้งนั้น พอเก็บไว้ก็จะเต็มโต๊ะ รกห้อง รกบ้าน ความจำในโทรศัพท์มือถือเต็มก็ใช้งานไม่ได้ บ้านรกโต๊ะรก ห้องรก "ก็ทำให้หาของที่ต้องการใช้ไม่เจอเสียเวลา เสียสุขภาพกาย เสียสุขภาพจิต"
"ขยะชีวิตของเราก็เหมือนกัน" ขยะทางความคิด ทางอารมณ์ความรู้สึกที่ไม่ดี เราต้องรู้จัก delete เสียบ้างชีวิตจะได้เบาสบายพร้อมที่จะเปิดรับสิ่งต่างๆ พร้อมที่จะลงมือทำสิ่งใหม่ๆ ได้อย่างเต็มที่
"ขยะในชีวิตของเรา" อธิบายง่ายๆ ก็คือ "ผู้คนหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเราสิ่งที่เราเห็นหรือฟังแล้วส่งผลกระทบกับความรู้สึกของเราไปในทิศทางที่ลบ ทำให้เราคิดลบ มองโลกในแง่ร้าย กลัว โกรธกังวล เศร้า เสียใจไม่มั่นใจในตัวเอง" เหตุการณ์หรือผู้คนที่นำพาเราไปสู่ "ความคิดลบ" สิ่งเหล่านี้คือขยะในชีวิตของเรา
คนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตทุกๆ คนรู้จักการทิ้งขยะชีวิตด้วยกันทั้งนั้น "ปิดหู ปิดตา ปิดปาก ปิดในเรื่องที่ไม่จำเป็นที่จะต้องพูด ต้องฟัง ต้องดู"
"ดูไปก็ไม่เกิดผลดีไม่เกิดประโยชน์กับชีวิตของเรา ฟังไปก็มีแต่จะทำให้เราคิดลบ โกรธ เศร้าใจ เสียใจ พูดไปก็มีแต่เอาเรื่องเดือดร้อนเข้ามาหาตัวเราเอง"
คนที่ประสบความสำเร็จพวกเขาเหล่านี้ "รู้จักวิธีเลือกที่จะพูด ที่จะฟังและที่จะดู" เพื่อให้ชีวิตของพวกเขาง่ายขึ้นขยะชีวิตน้อยลง
เมื่อขยะชีวิตน้อยลงก็จะมีสมอง มีความคิด มีปัญญาเหลือเฟือที่จะคิด เพื่อที่จะลงมือทำแต่ในเรื่องที่ดี เรื่องที่มีประโยชน์ เรื่องที่จะทำให้ตัวพวกเขาเหล่านั้นเข้าใกล้ความสำเร็จมากขึ้นเรื่อยๆ
ประโยชน์ของการทิ้งขยะชีวิตคือ "จะช่วยให้เราไม่เหนื่อยมากเกินความจำเป็น" ช่วยให้เวลาที่เราหลับพักผ่อนได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เต็มที่มากขึ้น "เพราะหลับสนิทไม่ฝัน ไม่มีอะไรมากวนใจ กวนสมอง"
ทุกท่านที่มาร่วมกันบำเพ็ญกุศลวันนี้ ต้องให้ได้รับประโยชน์จากงานนี้ ด้วยการตั้งใจเพียรมุ่งมั่นในการประพฤติปฏิบัติ พวกเราทั้งหลายควรต้องตายก่อนตายให้ได้ ตายก่อนตายเป็นอย่างไร ? ตายเมื่อตาย ย่อมกลาย ไปเป็นผี...
คนเราต้องมาตายก่อนตาย หมายความว่าภพชาติตาย ด้วยความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้ รู้แล้วต้องมาตัด เมื่อรู้แล้วก็ต้องปฏิบัติ เอาธรรมะเป็นหลักเอาธรรมะเป็นใหญ่ เอาธรรมเป็นที่ตั้งในการดำเนินชีวิต เรียกว่าเป็นการประพฤติพรหมจรรย์ คือความบริสุทธิ์ไม่มีตัวไม่มีตน
ดังนั้น ยามที่เรายังมีชีวิตอยู่ อะไรที่เราได้มา หลังจากที่เราเกิด ต้องคอยเตือนใจว่า ไม่มีอะไร อยู่กับเราได้ตลอดไป แม้แต่สังขาร ที่เรารักมากที่สุด วันหนึ่งก็ดับสลายไปเช่นกัน เราจึงต้องเป็นผู้ที่ใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาท เลือกทำแต่ความดี คิดดี พูดดี ทำดี ใจสะอาดใจสว่างใจสงบ จึงจะสมกับที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ ซึ่งเป็นผู้ที่ประเสริฐเกิดมาเพื่อพระนิพพานอย่างแท้จริง
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee