แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันพฤหัสบดีที่ ๑๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง มนุษย์ที่สมบูรณ์ ตอนที่ ๔๔ บุพพเปตพลี วิธีสร้างบุญบารมีด้วยการอุทิศบุญให้ผู้ล่วงลับ ต้องทำอย่างถูกต้อง
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
มีคนไปถามพระพุทธเจ้าว่าตายแล้วได้เกิดใหม่อีกไหม หรือว่าตายแล้วไม่ได้เกิด พระพุทธเจ้าไม่ได้ตอบว่าตายแล้วเกิดหรือตายแล้วสูญ ตอบว่า เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเกิดจากเหตุ ทุกท่านทุกคนต้องรู้จักภาษาทางร่างกายและก็ภาษาทางจิตใจ เพราะคนเรามันตายสองอย่าง ตายทางกายและก็ตายทางจิตใจ พระพุทธเจ้าถึงให้เรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ต้องพัฒนากายแล้วพัฒนาใจ แล้วก็เน้นที่ปัจจุบัน เราจะได้เข้าถึงความเป็นมนุษย์ทั้งทางร่างกายทั้งทางจิตใจ เราจะได้เข้าถึงความเป็นเทวดาทั้งกายและจิตใจ เข้าถึงความเป็นพรหมทั้งทางร่างกายทั้งทางจิตใจ เห็นโทษทางวัฏสังสาร เจริญภาวนาวิปัสสนา โดยอาศัยศีลที่เป็นยาน อาศัยสมาธิที่เป็นยาน อาศัยปัญญาคอยพัฒนา ปัจจุบันเราเกิดสองอย่าง เราเกิดทางกาย เราเกิดทางใจ ทุกขณะจิตมันเกิดดับ พระพุทธเจ้าถึงให้เรารู้ภาษากายภาษาใจปัจจุบันนี้ วาระจิตสุดท้ายจึงเป็นสิ่งสำคัญ
การตายมีด้วยกัน ๔ ประเภท สิ้นอายุ สิ้นกรรม สิ้นทั้งสอง กรรมตัดรอน มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
๑. สิ้นอายุขัย (อายุกขยมรณะ) คือ ตายเพราะสิ้นอายุ ซึ่งเป็นไปตามกฎธรรมชาติของสรรพสิ่งที่เกิดมา กล่าวคือ ทุกสิ่งตกอยู่ในกฎแห่งการเกิดขึ้น ดำรงอยู่ และดับไป ชีวิตของมนุษย์ที่เกิดมานั้น แม้จะไม่มีโรคภัยหรือเหตุอื่นให้เสียชีวิตไปก่อนวัยอันควร ก็ดำรงอยู่ได้ชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น ถ้าจะเปรียบก็คงจะเหมือนชิ้นส่วนอีเลคโทรนิคชิ้นหนึ่ง ซึ่งมีอายุการใช้งานจำกัดอยู่ระยะหนึ่ง เมื่อพ้นจากนั้นไป ชิ้นส่วนนั้นก็หมดสภาพ คือไม่สามารถทำหน้าที่ของมันได้ต่อไป ชีวิตของคนเราก็คล้ายกัน นั่นคือมีอายุขัยที่จำกัด นอกจากนี้ อายุขัยของคนเรายังไม่เท่ากัน และเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย
การตายแบบนี้อาจเปรียบได้กับตะเกียงที่ไส้หมด แม้น้ำมันจะยังเหลืออยู่ แต่ก็ไม่สามารถจะให้เปลวไฟที่มีแสงสว่างต่อไปได้ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยที่สนับสนุนและเอื้ออำนวยหลายด้าน เช่นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีด้านการแพทย์ สภาพแวดล้อมในการทำงาน และรูปแบบตลอดจนพฤติกรรมการดำรงชีวิตเป็นต้น
๒. สิ้นกรรม (กัมมักขยมรณะ) คือ ตายเพราะสิ้นกรรม กรรมนั้นคือการกระทำซึ่งมีผลสืบเนื่องตามมา (consequences) อาจเป็นกรรมที่ทำในอดีต ซึ่งอาจไกลออกไปจนถึงในอดีตชาติ หรืออาจเป็นกรรมที่ทำในปัจจุบัน เช่น การดูแลอนามัยเป็นต้น และอาจเป็น กุศลกรรมหรืออกุศลกรรม ก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าการกระทำที่ได้ทำลงไปนั้นเป็นฝ่ายดีหรือไม่ดี กรรมที่ทำไว้นั้นมีหน้าที่ช่วยสนับสนุนรูปและนาม (ชีวิต) ในภพที่เราเกิดมา เมื่อผลกรรมสิ้นไป ชีวิตก็สิ้นไป เปรียบเหมือนตะเกียงที่น้ำมันหมด แม้ไส้ตะเกียงจะยังเหลืออยู่ เปลวไฟและแสงสว่างก็หมดไป
๓. สิ้นทั้งอายุและกรรม (อุภยักขยมรณะ) คือ ทั้งอายุขัยและกรรม สิ้นไปในเวลาเดียวกัน การตายในกรณีเช่นนี้ จะเห็นได้เช่น การตายของผู้สูงอายุที่แก่หง่อม รูปและนาม (ร่างกายและจิตใจ) หมดสภาพ อีกทั้งกรรม คือ การกระทำที่จะเป็นแรงสนับสนุนให้รูปและนามทำหน้าที่ของมัน ก็หมดไป เปรียบเหมือนตะเกียงที่ทั้งน้ำมันและไส้หมดไปด้วยกัน
๔. มีเหตุหรือกรรมอย่างอื่นมาตัดรอน (อุปัจเฉทมรณะ) ทำให้ชีวิตสิ้นไปกะทันหัน ทั้งที่น่าจะอยู่ต่อไปได้ ในกรณีนี้ ทั้งอายุและกรรมยังไม่หมด แต่เกิดเหตุทำให้เสียชีวิตกะทันหัน เช่นการตายด้วยอุบัติเหตุ หรือโรคระบาดเฉียบพลันร้ายแรง ท่านเปรียบการตายในกรณีเช่นนี้เหมือนกับตะเกียงที่ทั้งน้ำมันและไส้ยังคงมีอยู่ แต่ไฟดับไปเพราะเหตุอื่น เช่น มีลมพัดมาแรง (เหตุภายนอก) จนทำให้เปลวไฟดับไป เป็นต้น (เปลวเทียนละลายแท่ง เพื่อเปล่งแสงอันอำไพ ชีวิตมลายไป ทิ้งสิ่งใดไว้ทดแทน)
ประเทศไทยของเราและหลายๆ ประเทศ ได้มีการบำเพ็ญบุญกุศลให้สำหรับผู้วายชนม์ ครั้นพุทธกาลยังไม่มีประเพณีอย่างนี้ เป็นประเพณีที่เกิดกันใหม่ คราวพุทธกาลท่านจะเน้นในการประพฤติในการปฏิบัติในปัจจุบัน อยู่ในพระสูตรที่พูดเรื่องพระเจ้าพิมพิสารอุทิศบุญกุศลไปให้ญาติที่ไปเกิดเป็นเปรต คนเราตายแล้วก็ไปเกิดทันที แล้วแต่จิตวาระสุดท้ายว่าจะเกิดอะไร ถ้าอยู่ในภพภูมิที่รับได้ ถึงได้มีประเพณีที่บำเพ็ญบุญกุศล สวดพระธรรมอุทิศบุญกุศล ผู้ส่งบุญส่งกุศลให้ได้ก็คือผู้ที่เป็นพระอริยเจ้า เพราะจิตใจท่านบริสุทธิ์ ให้ทุกคนพากันเข้าใจ ความสมัครสมานสามัคคีกันถึงเป็นสิ่งที่สำคัญ ที่ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงที่พากันมาบำเพ็ญกุศลอุทิศให้ จนประเทศเราเป็นพิธีโดยมีการจัดการงานถึงเน้นที่ผู้วายชนม์ไม่ได้เอาความสะดวกญาติพี่น้อง หรือว่าทำให้เป็นแค่ศาสนพิธี
ชีวิตหลังความตายยังเป็นความลับอยู่ ความไม่รู้ว่าตายแล้วจะไปไหนนั้น เปรียบเหมือนคนตาบอดปีนต้นไม้ แล้วพลาดพลั้งตกจากยอดไม้ที่สูงลิบ ขณะที่ร่วงหล่นลงมาก็อกสั่นขวัญแขวน ไม่รู้ว่าจะตกไปกระทบสิ่งใดบ้าง ถ้าตกลงถึงพื้นดินแล้ว แขนขาอาจจะหักหรือจะตายทันที รู้แต่เพียงว่าถ้าไม่ตายก็คางเหลือง คนส่วนใหญ่ก็เช่นเดียวกัน ทันทีที่มาเป็นมนุษย์ก็ชื่อว่า พลัดตกไปสู่ความตายทุกเวลา วัน เดือน ปีที่ผ่านไป ได้กลืนกินชีวิต พาเอาความตายใกล้เข้ามาทุกขณะ จะเหลียวหาคนช่วยแก้ไขให้พ้นจากความตายนั้นก็ไม่มี เพราะทุกคนต่างต้องตายหมด เหลือแต่ว่า เราจะต้องยอมรับความจริงที่กำลังดำเนินไปอยู่นี้ ต้องเตรียมตัวตายอย่างถูกวิธี ด้วยการสั่งสมบุญกุศลให้เต็มที่ อีกทั้งต้องปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระรัตนตรัย ซึ่งเป็นที่พึ่งที่ระลึกของสรรพสัตว์ทั้งในโลกนี้และในปรโลก มีพระบาลีที่ปรากฏใน ขุททกนิกาย เปตวัตถุ ว่า “อหํ ภทนฺเต เปตีมฺหิ ทุคฺคตา ยมโลกิกา ปาปกมฺมํ กริตฺวาน เปตโลกมิโต คตา ฯ ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าเป็นเปรตเข้าถึงทุคติ เพราะได้ทำบาปกรรมเอาไว้ จึงจากมนุษยโลกนี้ไปสู่เปตโลก”
เป็นคำกล่าวของเปรตตนหนึ่งที่ได้สารภาพว่า ที่ต้องมาเกิดเป็นเปรตก็เพราะได้ทำบาปอกุศลเอาไว้ สัตว์โลกส่วนใหญ่ที่มาเกิดในเปตโลก เนื่องจากได้ทำบาปอกุศลเอาไว้มาก ถ้าทำบาปมากชนิดที่ศีล ๕ ขาดหมด ไม่ได้ประพฤติธรรมอะไรเลย ก็ต้องไปเสวยกรรมในมหานรก เมื่อบาปลดหย่อนก็มาที่ขุมบริวาร มาที่ยมโลก แล้วมาเป็นอสุรกาย เป็นเปรต หรือสัตว์เดรัจฉานก็มี แต่บางคนก็ไปเกิดเป็นเปรตเลย ต้องรอคอยหมู่ญาติอุทิศส่วนกุศลไปให้ จึงจะสามารถหลุดพ้นจากเปตโลกมาเกิดในสุคติภูมิได้
การเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและซับซ้อนมาก บางครั้งก็พอเข้าใจได้ บางครั้งก็เหลือวิสัย ดังคำกล่าวที่ว่า “กมฺมวิปาโก อจินฺเตยฺโย” วิบากแห่งกรรมของสัตว์ที่ทำกรรมเอาไว้ เป็นเรื่องอจินไตย คือยากที่จะคาดเดาหรือคิดเองได้ แม้ลำพังบารมีญาณของพระสาวกก็ยังไม่สามารถแทงตลอดได้หมด ต้องอาศัยพระพุทธญาณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น จึงจะหยั่งรู้ได้แจ่มแจ้ง
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ในติโรกุฑฑสูตรว่า “น หิ ตตฺถ กสี อตฺถิ โครกฺเขตฺถ น วิชฺชติ วณิชฺชา ตาทิสี นตฺถิ หิรญฺเญน กยากยํ อิโต ทินฺเนน ยาเปนฺติ เปตา กาลคตา ตหึ - ในเปรตวิสัยนั้น ไม่มีกสิกรรม การเลี้ยงโคในเปรตวิสัยก็ไม่มี การค้าขายหรือการซื้อขายด้วยเงินก็ไม่มี สัตว์ทั้งหลายผู้ถึงกาลล่วงสิ้นไปแล้ว ย่อมยังอัตภาพให้เป็นไปในเปรตวิสัยนั้น ด้วยทานอันเขาให้แล้วในมนุษยโลก”
สังสารวัฏ คือการเวียนว่ายตายเกิด หาเบื้องต้น ท่ามกลาง และเบื้องปลายไม่ได้นี้ บางครั้งเราก็ไปเกิดบนสวรรค์ หรือบางทีก็พลัดตกไปสู่อบายภูมิ ซึ่งเป็นผลที่เกิดจากบุพกรรมที่ทำไว้ในสมัยที่เป็นมนุษย์ ในแต่ละภพภูมิมีความแตกต่างกันไป อย่างในภพภูมิของเปรต ซึ่งมีความเป็นอยู่แตกต่างกัน ตามผลกรรมที่ตนเองทำเอาไว้ บางพวกอดข้าวอดน้ำ เสวยทุกข์อย่างแสนสาหัส บางพวกไปหากินเศษอาหารที่ชาวบ้านทิ้งแล้ว บางพวกกินเสมหะ น้ำลาย อุจจาระ
เปรตมีอยู่ ๑๒ ตระกูล ตระกูลหลักๆ คือพวกปรทัตตูปชีวีเปรต เลี้ยงชีวิตอยู่โดยอาศัยอาหารที่ผู้อื่นให้ อีกพวกหนึ่งคือขุปปิปาสิกเปรต พวกนี้จะมีความหิวกระหายตลอดเวลา ต้องอดข้าวอดน้ำตลอดชีวิต อีกพวกหนึ่งคือนิชฌามตัณหิกเปรต จะถูกไฟเผาไหม้ให้เร่าร้อนอยู่ตลอดเวลา และกาลกิญจิกเปรต มีร่างกายสูงไม่มีเรี่ยวแรง เพราะมีเลือดเนื้อน้อย สรีระร่างกายคล้ายใบไม้แห้ง ปากเท่ารูเข็ม กินอาหารได้ทีละนิดเดียว ทำให้หิวโหยอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน
ในชีวิตของมนุษย์ทุกๆ คน ตราบใดที่ยังไม่หมดสิ้นอาสวะกิเลส ตราบนั้นก็ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดกันรํ่าไป การเวียนตายเวียนเกิดในสังสารวัฏ จำเป็นจะต้องมีเสบียงคือ บุญ คอยสนับสนุน ยังอัตภาพให้เป็นไป จนกว่าจะถึงจุดหมายปลายทางของชีวิต เสบียงคือบุญนี้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของมวลมนุษย์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสไว้ในติโรกุฑฑสูตรว่า "น้ำตกลงบนที่ดอน ย่อมไหลไปสู่ที่ลุ่ม ฉันใด ทานที่ทายกให้ไปจากมนุษย์โลกนี้ ย่อมสำเร็จผลแก่ฝูงเปรตฉันนั้นเหมือนกัน บุคคลเมื่อระลึกถึงกิจที่ท่านทำมาแต่ก่อน ว่าท่านได้ทำกิจแก่เรา ได้ให้แก่เรา ได้เป็นญาติมิตรเป็นเพื่อนของเรา จึงควรให้ทักษิณาแก่เปรตเหล่านั้น"
เปตติวิสัย คือภูมิของเปรต เป็นภพภูมิของสัตว์ที่ห่างไกลจากความสุข ถือเป็นอบายภูมิของผู้ที่ทำบาปอกุศลเอาไว้มาก ภูมิของเปรตก็มีหลายจำพวก เหมือนอย่างมนุษย์เราก็มีเพศภาวะ มีตระกูล ฐานะความเป็นอยู่ที่แตกต่างกันออกไป เปรตบางจำพวกกลางคืนเป็นเทวดาเสวยสุข กลางวันเป็นเปรตก็มี ต้องเสวยทุกข์กินนํ้าเลือดนํ้าเหลืองของตัวเองก็มี แต่ส่วนใหญ่แล้ว มักจะเสวยวิบากกรรมอย่างเดียว มีเปรตอยู่ชนิดหนึ่ง ที่รับส่วนบุญส่วนกุศลที่อุทิศไปให้ได้ ท่านเรียกว่า ปรทัตตูปชีวีเปรต มีบาปอกุศลเบาบางกว่าเปรตชนิดอื่น เมื่อมีผู้ตั้งใจทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้แล้วอนุโมทนา ผลบุญก็จะบังเกิดขึ้นทันที เหมือนเรื่องที่เกิดมาแล้ว
แขกที่ไม่ได้รับเชิญ ในคืนวันหนึ่ง ขณะที่พระสารีบุตรผู้เลิศด้วยปัญญา อัครสาวก เบื้องขวาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กำลังเดินจงกรมทำความเพียรอยู่ ทันใดนั้น ก็มีบุคคลผู้หนึ่งปรากฎขึ้นเบื้องหน้าท่าน ยืนนิ่งอยู่ท้ายที่จงกรม ท่านได้หยุด พิจารณาดูแล้วจึงเอ่ยถามขึ้นด้วยความแปลกใจว่า "เธอเป็นผู้เปลือยกาย มีรูปร่างน่าเกลียด ซูบผอมมีแต่ซี่โครง ท่านเป็นใครเล่ามายืนอยู่ในที่นี้ หญิงนั้นตอบว่า ข้าแต่พระคุณเจ้า ดิฉันเป็นเปรต เข้าถึงทุคติเกิดในยมโลก เพราะได้ทำกรรมอันชั่วไว้ พระเถระได้ไต่ถามถึงสาเหตุที่นางมาเกิดเป็นเปรต นางเปรตนั้นก็เล่าให้ฟังว่า
ผลของมิจฉาทิฏฐิผู้ไม่เชื่อเรื่องนรกสวรรค์ ในอดีตกาล
นับถอยไปจากนี้ ๕๐๐ ปี ดิฉันได้เกิดเป็นหญิง ในแคว้นมคธ เป็นคนมิจฉาทิฎฐิไม่เชื่อเรื่องบาปบุญ จึงได้ฆ่าตั๊กแตนเป็นจำนวนมาก เมื่อตายแล้วบังเกิดเป็นเปรต ต้องทนทุกข์ทรมานอดอยากหิวโหยไม่ได้กินอะไรเลยอยู่อย่างนี้ถึง ๕๐๐ ปี ต่อมาเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ทรงประกาศพระธรรมและประทับอยู่ในวัดเวฬุวันเมืองราชคฤห์ ดิฉันจึงได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง ในหมู่บ้านเดิมเมื่อชาติก่อน ในเวลาที่ดิฉันมีอายุได้ ๗-๘ ขวบ กำลังเล่นกับพวกเด็กหญิงอื่นๆ อยู่นั้น พระคุณเจ้าสารีบุตรเถระพร้อมด้วยพระภิกษุ ๑๒ รูป เดินผ่านมาทางนั้นพอดี เด็กหญิงคนอื่นๆ เป็นลูกของคนมีศรัทธา พอเห็นท่านเท่านั้นก็มีจิตเลื่อมใส พากันรีบวิ่งเข้ามากราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ตามที่เห็นมารดาบิดาของตนปฏิบัติ ส่วนดิฉัน เนื่องจากเกิดในตระกูลที่ไม่มีศรัทธา เพราะไม่ได้สั่งสมกุศลไว้ จึงยืนเฉยอยู่เหมือนคนไม่มีโชค แม้ถูกบังคับให้ไหว้ ก็ยังไม่ต้องไปนรก พระคุณเจ้าเห็นดังนั้น จึงตรวจดูด้วยญาณทัสสนะก็ทราบว่า เด็กหญิงคนนี้ มาเกิดจากเปรต แล้วเมื่อตายไปก็จักไปเกิดในนรก แต่ถ้าเด็กน้อยนี้ไหว้เรา จะบังเกิดบุญขึ้นก็จักไม่บังเกิดในนรก จะไปเป็นเพียงแค่เปรตเท่านั้น เพราะความกรุณาพระสารีบุตรจึงกล่าวว่า "หนูน้อย เจ้าจงไหว้ภิกษุทั้งหลายเถิด" แต่ดิฉันที่เป็นเด็กอยู่ในขณะนั้น ก็ยังยืนเฉยอยู่เหมือนเดิม พวกเพื่อนๆ เห็นอย่างนั้นจึงพากันจับมือดิฉันฉุดดึงมาให้ไหว้ที่เท้าพระเถระ สมัยต่อมา เมื่อดิฉันเจริญวัยและได้แต่งงาน แต่เพราะมีกรรมจากปาณาติบาตจึงทำให้อายุสั้น พอตั้งครรภ์แก่เต็มที่ก็ตายทั้งกลมไปบังเกิดเป็นเปรตอีกครั้ง และคืนนี้จึงได้มาปรากฎกายให้พระคุณท่านเห็นอีกครั้งหนึ่ง เจ้าค่ะ เปรตเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังด้วยความน่าสงสาร
อานุภาพข้าวหนึ่งคำ นํ้าหนึ่งขัน และผ้าหนึ่งฝ่ามือ
เมื่อพระเถระได้ฟังอย่างนั้นก็เกิดความกรุณาสงสาร อยากจะช่วยให้นางเปรตนั้นพ้นจากความทุกข์ รุ่งขึ้นจึงได้ถวายข้าวหนึ่งคำ นํ้าหนึ่งขัน ผ้าขนาดหนึ่งฝ่ามือ แก่ภิกษุรูปหนึ่งแล้วก็อุทิศส่วนกุศลไปให้ คืนต่อมาขณะที่พระเถระกำลังเดินจงกรมอยู่นั้น แสงสว่างก็ปรากฎวาบขึ้นตรงท้ายที่จงกรม ปรากฎเป็นเทพธิดาผู้เลอโฉมยืนอยู่ตรงด้านหน้า พระสารีบุตรเถระจึงถามว่า "ดูก่อนนางเทพธิดา ท่านมีผิวพรรณงดงามยิ่งนัก รัศมีกายส่องสว่างไสวไปทั่วทุกทิศท่านมีวรรณะเช่นนี้ เพราะได้ทำกรรมอะไร และโภคะสมบัติทุกสิ่งทุกอย่างอันเป็นที่รักที่ชอบใจ จึงเกิดขึ้นแก่ท่าน เทพธิดาผู้มีอานุภาพมาก เมื่อท่านเป็นมนุษย์ได้ทำบุญอะไรไว้ "
"นางเทพธิดา ก็บอกว่าตนเป็นนางเปรตผู้อดอยากผอมโซที่มาหาท่านเมื่อคืนที่ผ่านนั้นแหละ แต่ท่านพระสารีบุตรเมตตาได้ถวายข้าวคำหนึ่ง น้ำดื่มขันหนึ่ง ผ้าประมาณเท่าฝ่ามือผืนหนึ่ง แก่ภิกษุรูปหนึ่ง แล้วอุทิศส่วนกุศลไปให้จึงได้กลายมาเป็นเทพธิดาในวันนี้ แล้วเทพธิดาก็ได้กล่าวต่อไปว่า ขอท่านจงดูผลแห่งข้าวคำหนึ่งที่พระคุณเจ้าถวายแล้ว ดิฉันเป็นผู้ประกอบด้วยสิ่งที่น่าปรารถนา บริโภคอาหารมีกับข้าวมีรสหลายอย่าง ได้เป็นพันๆ ปี ดิฉันปราศจากภัยคือความหิวกระหาย ย่อมรื่นรมย์ชื่นชมบันเทิงใจยิ่ง ขอพระคุณเจ้าจงดูผลแห่งการถวายน้ำดื่มขันหนึ่ง ซึ่งดิฉันได้รับอยู่นี้ สระโบกขรณีที่สวยงามหาสิ่งเปรียบมิได้ อันบุญกรรมสร้างให้ดีแล้ว มีนํ้าใส มีท่าราบเรียบ มีนํ้าเย็น มีกลิ่นหอม ดารดาษไปด้วยดอกปทุมและดอกอุบล ผิวนํ้าก็ดารดาษไปด้วยเกษรบัวสวยงามยิ่งนัก ขอพระคุณเจ้าจงดูผลแห่งการถวายผ้าประมาณเท่าฝ่ามือ ที่ดิฉันได้รับนี้เถิด ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ผ้าในแว่นแคว้นของพระราชามีประมาณเท่าใด ผ้านุ่งผ้าห่มของดิฉันมีมากกว่านั้นอีก คือ ผ้าไหม ผ้าขนสัตว์ ผ้าป่าน ผ้าฝ้าย ผ้าแม้เหล่านั้นทั้งกว้างทั้งยาว ทั้งมีค่ามาก ห้อยอยู่ในอากาศดิฉันเลือกเอาแต่ผืนที่พอใจนุ่งห่ม ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ดิฉันมาเพื่อจะไหว้พระคุณเจ้าผู้เป็นมุนี ผู้มีความกรุณาในโลก"
จากเรื่องนี้จะเห็นได้ว่า ผลแห่งบุญนี้ไม่มีเล็กน้อยเลย มีผลที่ยิ่งใหญ่ไพศาลน่าอัศจรรย์ทีเดียว แม้จะเริ่มต้นจากชีวิตมิจฉาทิฏฐิไม่เชื่อเรื่องบาปบุญ ทำกรรมคือปาณาติบาตแล้วก็ไปเกิดเป็นเปรต แต่ก็ยังนับว่าโชคดีที่ได้มาเกิดในยุคที่มีพระพุทธศาสนา และได้กัลยาณมิตรเช่นพระสารีบุตรเถระ ก็พ้นจากอัตภาพเปรตนั้นได้ เราจะเห็นว่า แม้ว่าวัตถุทานเพียงเล็กน้อยที่พระเถระทำบุญไปแล้วอุทิศส่วนกุศลให้เปรตเกิดผลทันที จากอัตภาพของเปรตผู้น่าสงสาร ก็กลับกลายเป็นเทพธิดาผู้เรืองรองด้วยรัศมี มีทิพยสมบัติมากมายเกิดขึ้น ฉะนั้น เมื่อเราทำบุญแล้ว อย่าลืมอุทิศส่วนกุศลไปให้หมู่ญาติที่ล่วงลับไปแล้ว เราก็จะได้บุญในส่วนปัตตานุโมทนามัยด้วย แล้วยังเป็นการแสดงถึงความกตัญญูกตเวทีต่อบรรพบุรุษของเราอีกด้วย เพราะสิ่งที่หมู่ญาติผู้ที่ล่วงลับไปแล้วต้องการมากที่สุดก็คือบุญ ไม่ว่าท่านเหล่านั้นจะอยู่ในภพภูมิใดก็ตาม สิ่งที่เราทำไปนั้นไม่ไร้ผลเลย เพราะเราทำเราก็ได้บุญ แล้วยังเป็นประโยชน์แก่หมู่ญาติอีกด้วย
ให้คิดว่าเราได้บุญอย่างไร ขอให้หมู่ญาติของเรามีส่วนในผลบุญนั้นด้วย ให้เขามีความเป็นอยู่ที่สุขสบาย มีความสุขยิ่งๆ ขึ้นไป บางครั้งแม้บุญกุศลที่เราอุทิศไปให้จะยังไม่ถึง เพราะเขาอยู่ในภาวะที่ยังรับไม่ได้ อย่างน้อยเราก็ได้บุญจากการทำบุญแล้ว ผู้รับจะได้รับหรือไม่ได้รับนั้น ก็ขึ้นอยู่กับภพภูมิ แต่ถ้าผู้อุทิศให้เป็นพระอริยเจ้า สามารถเอาบุญไปให้ได้ ผู้รับจะได้รับอานิสงส์ผลบุญใหญ่ทันที หรือสามารถไปช่วยให้พ้นจากอบายภูมิก็ได้ จะพาไปอยู่ในสุคติภูมิก็ได้ เมื่อเราทราบดังนี้แล้ว ก็อย่าไปทำบาปอกุศล ให้หักห้ามใจไม่ให้ทำความชั่ว อย่าไปตามกระแสกิเลส เพราะจะต้องไปเสวยทุกข์ทรมานในอบายภูมิ ให้หมั่นสั่งสมบุญกันให้มากๆ บุญนี่แหละจะเป็นที่พึ่งของเรา เราจะไม่ต้องไปบังเกิดเป็นเปรตผู้หิวโหย รอคอยหมู่ญาติอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไปให้
บุคคลผู้เชื่อกรรมและผลของกรรม ย่อมพอใจทำความดี ก่อนทำก็มีใจผ่องใส กำลังทำก็ใจแช่มชื่น ทำเสร็จแล้วก็มีความสุขใจไม่หวนเสียดายไทยธรรม เป็นต้น เขาแสวงหาความสุขในชีวิตด้วยการประกอบกรรมดี แทนการหาความสนุกเพลิดเพลินอย่างอื่นอันเจือด้วยโทษและภัย
การประกอบกรรมดีอยู่เสมอ ทำให้จิตใจคุ้นกับความดี เมื่อคุ้นกับความดีเสียแล้ว ย่อมแขยงต่อความชั่ว เหมือนคนคุ้นกับความสะอาด ย่อมไม่ปรารถนาความสกปรกใดๆ การประกอบกรรมดีเป็นบันไดขั้นแรกแห่งความสุขทางใจ คนประกอบกรรมดีอยู่เสมอย่อมมีความสุข ในโลกทั้งสอง คือ ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า
ทุกคนต้องเอาธรรมะเป็นหลัก เอาธรรมะเป็นใหญ่ อย่าร้องครวญครางไปเรื่อย มันไม่ได้ มันเสียหาย สิ่งที่มันไม่ออกมาเป็นเสียง มันก็รู้อยู่แล้วว่า เพราะความกระหาย ความไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ ไม่รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เหมือนกับแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ มองภาพรวมดูก็รู้แล้ว เพราะอันนี้เป็นกรรมเป็นผลของกรรม เรื่องจิตเรื่องใจเราไม่รู้หรอก เพราะมันเป็นของละเอียด ปลูกต้นไม้ยืนต้นก็ใช้เวลา 10 กว่าปีหรือ 20 ปี กว่าจะเห็นมันเป็นป่าจากทุ่งที่เตียนโล่ง เราต้องรู้จัดการตัวเองในปัจจุบัน อย่ามองข้าง เรามองข้ามไม่ได้ เพราะสิ่งเหล่านี้ ความแซ็บ ความลำ ความหรอย ความอร่อย ความนัว เราต้องใจเข้มแข็ง เราต้องมีสติสัมปชัญญะ เพราะทุกอย่างมันมีคุณไม่มีโทษ เราต้องรู้จักสาสนา ศาสนานี้แหละมันจะจัดการระบบการเวียนว่ายตายเกิดของเรา เราทำอย่างนี้ไม่ได้เอาอะไรนะ เราจะเอาไม่ได้ไปเพิ่มก็ไม่ได้ เราต้องมีหน้าที่ เราต้องเสียสละซึ่งตัวตน เราต้องมีความสุขในการเสียสละ
ทุกท่านทุกคนต้องว่างจากความขี้เกียจขี้คร้าน ว่างจากเป็นคนเจ้าอารมณ์ อย่าให้มีอิทธิพลใส่เรา ว่างจากกินเหล้ากินเบียร์เล่นการพนัน ว่างจากทะเลาะกับลูกกับเมีย มันหลงไปเรื่อย เราไปทำอย่างไม่มีสติสัมปชัญญะ อย่างรถอย่างเครื่องบินมันก็มีเบรค เราเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐ เราต้องมีเบรคที่ดีกว่านั้น เราอย่าไปคิดอย่างนั้น ขอให้เป็นอย่างนู้นขอให้เป็นอย่างนั้น ขอให้รวย ขอให้ไม่เจ็บ ไม่ป่วย มันไปขอได้อย่างไง มันเสียหายนะคิดอย่างนี้ เพราะว่ามันขึ้นที่เหตุขึ้นที่ปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงจะมี เราก็พากันกราบพระไหว้พระ นั่งสมาธิ ท่องพุทโธ เราวางภาระหนักทั้งอดีต ทั้งอนาคต มาท่องพุทโธ เรียกว่าพักผ่อนสมองบ้าน เพราะกลางวันเราก็อยู่กับการกับงานเราต้องมีความสุขในการทำงานนะ ถ้าเราไม่มีความสุขในการทำงาน เราก็ต้องเป็นโรคจิต โรคประสาท เป็นโรคจิตโรคประสาทไม่พอ เราก็ยากจนอีก มีหนี้มีสิน การที่เราใช้เงินใช้สตางค์ เราต้องคิดนะ คิดรายรับรายจ่าย เราต้องควบคุมการใช้จ่าย เรียกว่าการควบคุมตัวเองอยู่ในรันเวย์ ในการเดินทาง เราต้องเข้าใจการใช้จ่าย พวกเหล้าพวกเบียร์เราต้องสมาทานหยุดหมด
เราจะเอาเพื่อนเอาฝูงเอาอะไรเป็นที่ตั้งไม่ได้ เพราะคนในโลกนี้ 7 พันกว่าล้าน มันล้วนแต่เป็นคนหลง ไม่ได้เป็นพระอรหันต์ที่ไหน เราเกิดมาไม่ใช่เพียงแต่มีผัวมีเมีย กินเหล้ากินเบียร์เล่นการพนัน พากันมีหนี้มีสินก็ถือว่าธรรมดาไม่ใช่แค่นั้น อันนั้นเป็นความล้มเหลวเป็นความเสียหาย ในการที่เราเกิดมาเป็นผู้ประเสริฐ ที่เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วได้เป็นเพียงแต่คน ไม่ถูกต้อง เราจัดการตัวเอง ไม่ใช่ระเหเร่ร่อนไปหาเงินที่ไหน พัฒนาที่บ้านเราที่ครอบครัวเรา ตั้งแต่ 7 โมงเช้า จนค่ำมืด เอาพระอาทิตย์เป็นที่ตั้ง ต้องหยุดว่ากันนินทากัน พวกโซเชียล มันต้องหยุด เขามีโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ก็เพื่อการใช้การใช้งาน ไม่ใช่เป็นเครื่องอยู่ของคนโง่คนหลงอะไรอย่างนี้นะ เอามาใช้ให้เกิดประโยชน์ เรามีร่างกาย มีวัสดุ เห็นไหมเราพัฒนาวิทยาศาสตร์ มีบ้าน มีรถ เพื่อเอามาทำประโยชน์ มีอะไรก็เอาไว้ทำประโยชน์ เราก็ทำหน้าที่ เพื่อสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปก็มี เราอย่าไปติดอะไร ไปหลงอะไร เพราะคนเราไม่ได้อะไร เพราะสิ่งที่ไม่ได้ไม่เสียมันเป็นความโง่ความหลงเฉยๆ เพราะทุกอย่างมันผ่านมาผ่านไป อย่างนี้เขาเรียกว่าการประพฤติการปฏิบัติธรรม
"ความสงบนี้มันมีกับทุกๆ คนนะ ไม่ว่าท่านผู้นั้นจะเป็นโยมหรือว่าเป็นพระ ถ้าเราประพฤติปฏิบัติกัน" พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เรามองข้ามสิ่งที่ดีๆ ที่มันกำลังเกิดกับเรา พระพุทธเจ้าท่านให้เราทุกๆ คนตั้งใจ ไม่ว่าผู้นั้นเป็นพระ ผู้นั้นเป็นญาติเป็นโยม เพราะทุกอย่างมันอยู่ที่กาย วาจา ใจทั้งหมด ทุกท่านทุกคนต้องสมาทานตั้งใจเอา ถ้าเราไม่ตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติเราก็เสียเวลาบริโภคอาหารปัจจัยสี่ก็เสียเปล่า ถ้าเรามัวไปแต่คิดว่า...เดี๋ยวก่อนๆ เพราะเรายังหนุ่มยังแข็งแรงอยู่ อีกหลายปีข้างหน้าเราค่อยปฏิบัติ ถ้าเราคิดอย่างนี้แหละ ท่านว่า... เรามีความเห็นผิด เดี๋ยวนี้เป็นปัจจุบัน แล้วอีกหลายวันก็เป็นปัจจุบันไปเรื่อย เพราะดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ที่มันให้กาลให้เวลาว่าวันพรุ่งนี้หรืออีกหลายๆ วัน แต่หัวจิตหัวใจของทุกๆ คน มันก็ยังเป็นปัจจุบันอยู่อย่างนั้น ถ้าเราไม่ตั้งใจประพฤติปฏิบัติเดี๋ยวนี้ มันก็จะผัดวันประกันพรุ่ง
ต้องสมาทานต้องตั้งใจ อันไหนไม่ดีก็ทิ้งให้หมด เปลี่ยนเอาสิ่งที่ดีๆ เมื่อเราตัดอาหารเค้าไม่ทำตามกิเลสน่ะ ใจของทุกท่านก็จะมีทุกข์ เพราะมันได้ตามใจแล้วเราไม่ทำตามใจเค้า เค้าก็เป็นทุกข์ เมื่อมันเป็นทุกข์แล้วเราต้องมาไปเรื่อยๆ แก้ที่ใจของเรา ให้ใจของเราสงบ ให้ใจของเราเกิดปัญญา อย่างเรารักษาศีล ๘ อย่างนี้นะร่างกายมันหิว เมื่อมันหิวแล้วใจมันก็ไม่สงบ นี่เรายังแก้ที่กายไม่ได้เราก็มาแก้ที่ใจ ให้ใจมันสงบ บอกเค้าสอนเค้าว่าไม่ต้องไปคิดมาก คิดมากเราก็ไม่ได้ทานแล้วเพราะเราถือศีล ๘ ทำใจให้สงบ ฝึกสมาธิให้ใจเย็น เมื่อใจของเราสงบ ปัญหาต่างๆ มันก็ไม่มี เพราะปัญหาที่เรามีทุกอย่างอยู่ที่ใจของเราไม่สงบ "สงบทางกายมันก็ระดับหนึ่ง แต่ก็ต้องเลื่อนขั้นเลื่อนฐานะมาสงบ 'ใจ' เพราะกายมันไม่จีรังยั่งยืน"
ทั้งพระภิกษุสามเณรพระพุทธเจ้าท่านก็ให้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรม ถึงจะมีผลใหญ่ เป็นอานิสงส์ใหญ่ เป็นบุญวาสนาบารมีของเรา ญาติโยมก็พากันตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติธรรม ถือว่า...ทุกท่านทุกคนมาสร้างบุญสร้างบารมี มาสร้างความดีร่วมรวมกัน มีความรักมีความเมตตากันมากๆ ที่ไหนมีเมตตาที่นั่นก็มีความสุขความสงบความอบอุ่น
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee