แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันพุธที่ ๑๓ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง มนุษย์ที่สมบูรณ์ ตอนที่ ๔๓ รู้ท่าทันผัสสะที่มากระทบ ย่อมพบความสงบ ณ ปัจจุบัน
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ความเห็นถูกต้องความเข้าใจถูกต้องการปฏิบัติถูกต้อง การประพฤติการปฏิบัติอยู่ที่ปัจจุบัน มีความสงบ ใจอยู่กับเนื้ออยู่กับตัวอยู่กับการทำงานในปัจจุบัน ปรับใจเข้าหาความถูกต้อง ปรับใจเข้าหาธรรมะเข้าหาเวลา และสิ่งที่เป็นอดีตให้เป็นเลขศูนย์ ปัจจุบันก็ให้มีสติมีความสงบมีสัมปชัญญะคือธรรมะไม่ใช่นิติบุคคลไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เราจะได้พัฒนาการพัฒนาใจไปพร้อมๆกัน เจริญอานาปานสติทุกๆ อิริยาบถ เวลาทำงานก็ให้ใจอยู่กับการทำงาน ผัสสะที่เกิดขึ้นแก่เราทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ ให้ทุกคนรับรู้ รู้แล้วก็ปฏิบัติกับผัสสะให้ถูกต้อง ด้วยสติสัมปชัญญะในปัจจุบัน เพื่อจะได้ไม่หลงในผัสสะ ผัสสะนั้นเป็นปริยัติ ใจของเราจะได้เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เมื่อยังมีชีวิตอยู่ทุกผู้ทุกคนก็ย่อมมีผัสสะ นั้นคือนิมิตที่มาปรากฏ พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราหลงผัสสะไม่ให้หลงนิมิต เพื่อใจจะได้เป็นธรรมะเป็นปัญญา ไม่ให้ผัสสะเป็นสัตว์บุคคลตัวตนเราเขา ผัสสะนั้นเป็นอาหารทางจิตใจ ถ้าเราหลงยินดียินร้าย นั่นคือการเวียนว่ายตายเกิดทางจิตใจ ถ้าเรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง ผัสสะนั้นก็จะเป็นอุปกรณ์ให้เกิดธรรมะให้เกิดปัญญา แต่เราถึงจะมีศีลมีสติมีสมาธิ รู้จักผัสสะ รู้จักภาวนาวิปัสสนาในปัจจุบันไปเรื่อยๆ
คนเรานี้มีช่องทางติดต่อกับภายนอกอยู่ ๖ ทาง คือ ๑. ตา ๒. หู ๓. จมูก ๔. ลิ้น ๕. กาย ๖. ใจ เหมือนกับบ้านก็มีประตูหน้าต่าง เป็นทางติดต่อกับภายนอก คนเราก็เหมือนบ้านที่มีประตูหน้าต่างอยู่ ๖ ช่องทาง สิ่งต่างๆ ภายนอกที่เราจะรับรู้ รับทราบก็มาจาก ๖ ทางนี้ จะเป็นสิ่งที่ดีทำให้ใจของเราสงบผ่องใสก็มาจาก ๖ ทางนี้ จะเป็นสิ่งที่ทำให้ใจของเราฟุ้งซ่าน ขุ่นมัว ก็มาจาก ๖ ทางนี้เหมือนกัน ช่องทางทั้ง ๖ นี้ นับว่ามีความสำคัญมาก เราจึงควรมารู้จักถึงธรรมชาติของช่องทางทั้ง ๖ นี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเปรียบช่องทางทั้ง ๖ ไว้ ดังนี้ ๑. ตาคนเรานี้เหมือนงู งูไม่ชอบที่เรียบๆ แต่ชอบที่ที่ลึกลัยซับซ้อน ตาคนเราก็เหมือนกัน ไม่ชอบดูอะไรเรียบๆ ชอบดูสิ่งที่มีลวดลายวิจิตรสวยงาม ยิ่งสิ่งที่เขาปกปิดไว้ละก็ยิ่งชอบดู แต่อะไรที่เปิดเผยออกแล้ว ไม่ลับแล้ว ความอยากดูกลับลดลง
๒. หูคนเรานี้เหมือนจระเข้ คือชอบที่เย็นๆ อยากฟังคำพูดเย็นๆ ที่เขาชมตัว หรือคำพูดเพราะๆ ที่เขาพูดกับเรา
๓. จมูกคนเรานี้เหมือนนก คือชอบโผขึ้นไปในอากาศ พอได้กลิ่นอะไรหน่อยก็ตามดมทีเดียวว่ามาจากไหน
๔. ลิ้นคนเรานี้เหมือนสุนัขบ้าน คือชอบลิ้มรสอาหาร วันๆ ขอให้ได้กินของอร่อยๆ เถอะ เที่ยวซอกแซกหาอาหารอร่อยๆ กินทั้งวัน
๕. กายคนเรานี้เหมือนสุนัขจิ้งจอก คือชอบที่อุ่นๆ ที่นุ่มๆ ชอบซุก เดี๋ยวจะไปซุกตักคนโน้น เดี๋ยวจะไปซุกตักคนนี้ ชอบอิงคนโน้น ชอบจับคนนี้
๖. ใจคนเรานี้เหมือนลิง คือชอบซน คิดโน่น คิดนี่ ประเดี๋ยวก็ฟุ้งซ่านถึงเรื่องในอดีต ประเดี๋ยวก็สร้างวิมานในอากาศถึงเรื่องในอนาคต ไม่ยอมอยู่นิ่ง ไม่ยอมสงบ
จึงต้องมีอินทรีย์สังวร คือ สำรวมระวังตัว ก็คือระวังช่องทางทั้ง ๖ นี้ เมื่อรู้ ถึงธรรมชาติของมันแล้วก็ต้องคอยระวัง ใช้สติเข้าช่วยกำกับ อะไรที่ไม่ควรดูก็อย่าไปดู อะไรที่ไม่ควรฟังก็อย่าไปฟัง อะไรที่ไม่ควรดมก็อย่าไปดม อะไรที่ไม่ควรลิ้มชิมรสก็อย่าไปชิม อะไรที่ไม่ควรสัมผัสก็อย่าไปสัมผัส อะไรที่ไม่ควรคิดก็อย่าไปคิด หรือถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไปเห็นสิ่งที่ไม่ควรดูเข้าแล้ว ก็ให้จบแค่เห็น ไม่คิดปรุงแต่งต่อว่า สวยจริงนะ หล่อจริงนะ อะไรทำนองนี้ ต้องไม่นึกถึงโดยนิมิต หมายถึง เห็นว่าสวยไปทั้งตัว เช่น “เออ คนนี้สวยจริงๆ” ต้องไม่นึกถึงโดยอนุพยัญชนะ หมายถึง เห็นว่าส่วนใดส่วนหนึ่งสวย เช่น “ตาสวยนะ” หรือแขนสวย ขาสวย อะไรอย่างนี้
อินทรีย์สังวรนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก เราสู้กับกิเลสชนะหรือแพ้ก็อยู่ตรงนี้ ถ้าเรามีอินทรีย์สังวรดีแล้ว โอกาสที่กิเลสจะรุกรานเราก็ยาก คุณธรรมต่างๆ ที่เราตั้งใจรักษาไว้ก็จะสามารถทำได้อย่างที่ตั้งใจ เหมือนบ้าน ถ้าเราใส่กุญแจดูแลประตูหน้าต่างอย่างดีแล้ว ถึงแม้ตามลิ้นชักตามตู้จะไม่ได้ใส่กุญแจก็ย่อมปลอดภัย โจรมาเอาไปไม่ได้ แต่ถ้าเราขาดการสำรวมอินทรีย์ ไปดูในสิ่งที่ไม่ควรดู ฟังในสิ่งไม่ควรฟัง ดมในสิ่งไม่ควรดม ลิ้มรสในสิ่งไม่ควรลิ้ม จับต้องสัมผัสในสิ่งที่ไม่ควรสัมผัส คิดในสิ่งที่ไม่ควรคิด แม้เราจะ มีความตั้งใจรักษาศีล รักษาคุณธรรมต่างๆ ดีเพียงไร ก็มีโอกาสพลาดได้มาก เหมือนบ้านที่ไม่ได้ปิดประตูหน้าต่าง แม้จะใส่กุญแจตู้ลิ้นชักดีเพียงไร ก็ย่อมไม่ปลอดภัย โจรสามารถมาลักไปได้ง่าย
เรื่องความเอร็ดความอร่อย ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่เป็นสิ่งที่ไคลแม็ก climax กับทุกๆ คนต้องเข้าใจ อันนี้มันเป็นทางที่เราจะต้องผ่าน เพราะเราทุกคนเป็นมนุษย์เป็นผู้ประเสริฐ เราสร้างบ้าน สร้างเรือน สร้างที่อยู่อาศัย ทำเกษตรกรรม เกษตร พัฒนาอุตสาหกรรม อย่างนี้มันดีแล้ว ประเสริฐแล้ว เราทุกคนต้องรู้จักว่าอันนี้เป็นการดำเนินชีวิตที่ประเสริฐ ที่ทางสายกลาง ทางความรู้ความเข้าใจ ต้องรู้จักอริยสัจ ๔ รู้จักทุกข์ เหตุเกิดทุกข์ ความดับทุกข์ ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ ทุกคนต้องจัดการกับตัวเอง
จิตใจของเรานี้ สองคำนี้ ก็ถือว่าเป็นอันเดียวกันก็ได้ เพราะว่าใจที่ยังไม่ได้เป็นพระอริยเจ้า เป็นจิตใจที่เป็นไปตามสัญชาตญาณ เป็นใจที่มีอวิชชาเป็นพื้นฐาน แต่ใจที่มีสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกต้อง ความเข้าใจถูกต้อง เราปฏิบัติถูกต้อง เอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นใหญ่ ก็เป็นใจที่บริสุทธิ์ที่ประกอบด้วยปัญญา พระพุทธเจ้าถึงต้องให้เราพัฒนาจิตใจ จิตใจของเราต้องมีปัญญา
ปกติแล้วเราเจอผัสสะ อายตนะภายนอกภายในอย่างนี้มันก็จะไปตามสัญชาตญาณ เราทุกคนต้องมาพัฒนาใจของตัวเองในปัจจุบัน ปกติแล้วความเคยชินอย่างนี้ หรือความยึดมั่นถือมั่นอย่างนี้ เขาทรงไว้ซึ่งความยึดมั่นถือมั่น ทรงไว้ซึ่งความหลง เราถึงต้องมาเจริญภาวนาให้ใจของเราเกิดปัญญา ให้ใจของเราสู่ปัญญาสู่วิปัสสนา เพราะว่าคนเราจะก้าวหน้าได้ก็ต้องภาวนาให้เกิดปัญญา เราเอาสิ่งที่เรารับรู้ในปัจจุบันสู่พระไตรลักษณ์ เมื่อตาเห็นรูปอย่างนี้ มันก็จะไม่อยากพิจารณาเข้าสู่พระไตรลักษณ์ เข้าสู่ความเป็นอนิจจัง เข้าสู่ทุกขัง เข้าสู่อนัตตา เขายินดี เขาเพลิดเพลิน เขาย้อมจิตย้อมใจ ปัจจุบันเราถึงเอาใจของเรามาทำงาน เป็นการทำงานทางจิตใจในปัจจุบัน เรามีตาก็เพื่อฉลาด มีหูก็เพื่อฉลาด มีจมูก มีลิ้น มีกาย มีใจก็เพื่อฉลาด เพื่อจะได้พัฒนาตัวเอง เพื่อไม่ให้ชีวิตของเราผ่านไปโดยไม่มีประโยชน์อะไร เพราะร่างกายนี้ส่วนใหญ่ไม่เกินร้อยปี ทุกคนก็ต้องจากโลกนี้ไป
การทำความเพียรของเราการปฏิบัติของเราหน่ะ ....อย่างพระหน่ะ พระพุทธเจ้าถึงให้มีศีลมากมาย จนนับไม่ไหว จึงได้แยกย่อยเป็นสิกขาบทอะไรๆ เพื่อจะให้รู้แง่มุมในสิ่งต่างๆ ว่า ทุกอย่างมันเกิดขึ้น ทุกอย่างมันตั้งอยู่ ทุกอย่างมันดับไป ถ้าเราตามไปก็ถือเราไปตามสัญชาตญาณแล้ว เรามาภาวนา มาตัดภพตัดชาติ
อย่างประชาชนอย่างนี้ก็ให้เอาศีลห้าเป็นหลัก เน้นที่เจตนาทุกคน มันอยู่ที่เจตนา เราจะเข้าถึงความบริสุทธิ์ได้ด้วยเจตนา ถ้าเราไม่ทำอย่างนี้ ไม่ปฏิบัติอย่างนี้ เราก็ไม่ได้ปฏิบัติเลย เราปล่อยเวลาของเราให้เพลิดเพลินให้ลุ่มหลงไป อะไรเป็นความเนิ่นช้า นั่นคือความเพลิดเพลิน ความประมาท เราจะไปประมาทไม่ได้ เราต้องไฟท์ติ้งกับตัวเอง เพราะชีวิตของเราเป็นชีวิตที่ประเสริฐมาก เราทำอย่างนี้แหล่ะ ทุกคนก็จะได้ดีหมดทุกคน
เราทำอย่างนี้หล่ะมันก็ไปเรื่อยๆ ในปัจจุบัน เพราะการปฏิบัติมันอยู่ที่ปัจจุบัน มันจะฉลาดเร็ว เพราะเป็นปัจจุบัน นี่เราเล่นไม่ได้ปฏิบัติอะไรเลย ปล่อยไปตามสัญชาตญาณ มันจะได้บรรลุธรรมได้อย่างไร เพราะว่าไม่ได้ปฏิบัติ คนเราทุกคนต้องประพฤติปฏิบัติ ประชาชนกับพระก็มีสิทธิ์ประพฤติปฏิบัติทางจิตใจได้พอๆ กัน
เราจะเดินตามรอยของพระพุทธเจ้า ทำไมพระพุทธเจ้าท่านไม่ท้อแท้บำเพ็ญพุทธบารมีตั้งหลายล้านชาติเพราะท่านมีความสุขในการที่พัฒนาใจ พัฒนาพระนิพพาน การเรียนหนังสือทุกวัน ทำไมมันเครียดแท้ เพราะเราหน่ะ ปัญญาของเรามันไม่บริสุทธิ์ เราเรียนเพื่อจะทำมาหากิน ทำงาน เรียนเพื่อจะเอาใบประกาศ แม้แต่เรียนธรรมะก็เครียด เพราะว่ามันเรียนเพื่อตัวตน การเจริญปัญญาอย่างนั้นมันปัญญาที่ทำร้ายตัวเอง เพราะเราดูแล้ว เพราะคนเราปัญญาจะเกิดขึ้นได้มันต้องเรียนต้องศึกษาต้องปฏิบัติ ปัญญามันต้องไม่มีตัวไม่มีตน มันถึงจะไม่เครียด มันถึงจะเป็นปัญญาหัวใจติด air condition เพราะเป็นมิจฉาทิฏฐิ นึกว่าการเรียนการศึกษาเพื่อเอายศ เอาตำแหน่ง เอาเจ้าอาวาส เอาพระครู เอาเจ้าคณะ เอาปริญญา เอาใบประกาศ เพราะเราเน้นเพื่อความยึดมั่นถือมั่น เพื่อความเห็นแก่ตัว มันเป็นความคิดผิด เข้าใจผิด ปฏิบัติผิด ความเครียดถึงเกิดมา ความเครียดมันแย่เลยทำให้คนเป็นมะเร็ง เป็นมะเร็งทางร่างกาย มาจากความเครียด มาจากอาหาร มาจากอากาศ มาจากจิตใจ
มนุษย์เราต้องเจริญปัญญา แต่ปัญญาต้องเป็นปัญญาที่บริสุทธิ์ เราจะพัฒนาตามหลักเหตุผล ตามหลักวิทยาศาสตร์ เพื่อจะเสียสละ คนเรามันเห็นแก่ตัว เพื่อผู้อื่นอย่างนี้น่ะมันไม่อยากทำอย่างนี้นะ ทุกคนก็ทำเพื่อตัวเอง เพื่อพ่อเพื่อแม่เพื่อครอบครัว มันไม่เครียดมันจะอยู่ได้อย่างไร เพราะว่ามันเป็นมิจฉาทิฏฐิ เราเสียสละ เราก็ได้บ้านได้รถ ลาภยศ สรรเสริญ เพราะบุคคลที่ควรเคารพกราบไหว้ก็คือ ผู้ที่เสียสละ ผู้มีศีล ศิลปะในการดำเนินชีวิตที่ประเสริฐ ที่ละความเห็นแก่ตัว มีความตั้งมั่นในความดี เพราะอันนี้มันเข้าใจผิดกันมาก เค้าเรียกว่าการศึกษามันเป็นการขุดหลุมฝังตัวเอง เพราะเราเป็นมิจฉาทิฏฐิ เพราะทำความดีเพื่อความเห็นแก่ตัว มันไม่ใช่ความดี ไม่ใช่ความดีที่บริสุทธิ์ มันมีตัวตนแอบแฝง ให้ทุกคนทั้งผู้ที่แก่เรียนและผู้ที่ไม่แก่เรียนพากันเข้าใจ เพราะพระพุทธศาสนาคือพระพุทธเจ้า ก้าวไปไกลกว่านั้น ก้าวไปกว่า คลื่น 4G 5G 100G
ในการทำธุรกิจหน้าที่การงาน เราก็จะรู้แจ้งทีละอย่างไปเลย เป็นคนที่รู้เหตุรู้ผล อย่างนี้เก่ง แต่เก่งในปัจจุบัน แต่ว่าปัจจุบันนั้นไม่ได้เป็นปัจจุบันธรรม ยังเอาปัญญาไปใช้ในทางสวรรค์ ในทางมนุษย์ ในทางทำมาหากิน แต่ยังเป็นปัญญาโลกีย์อยู่ อย่างบางคนก็คิดเรื่องวิทยาศาสตร์ได้ย้อนไปเป็นหลายร้อยปี หลายพันปี เป็นหมื่นๆ ปี อย่างนักวิทยาศาสตร์....คำนวณไว้ข้างหน้าว่า หนึ่งปี สองปี สามปี สี่ปี ห้าปี สิบปี อะไร ๆ ก็ว่าไปได้ แต่ปัญญานั้นมันยังเป็นโลกียะปัญญา ไม่ใช่ปัญญาในทางธรรมแบบโลกุตตระ ไม่ใช่ปัญญาที่เป็นความบริสุทธิ์ เราต้องเอาปัญญานั้นมาย่อย มาปฏิบัติให้มันเข้าสู่สัมมาทิฏฐิเพราะทิฏฐินี้ก็ ถ้าเป็นปุถุชนก็มีทิฏฐิเหมือนกัน พระอริยเจ้าก็มีทิฏฐิเหมือนกัน แต่ว่ามันเป็นสัมมาทิฏฐิ ปุถุชนก็มีทิฏฐิเหมือนกันแต่ก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ
การที่เราพัฒนาเทคโนโลยีอะไรๆ นี้ มันก็เป็นปัญญาที่เพื่อวัตถุ ถ้าเราเอาปัญญานั้นมาพัฒนาให้เป็นสัมมาทิฏฐิปัญญานั้นก็ถือว่าใช้ได้ เพราะว่ามีรถ มีเรือ มีเครื่องบิน มีคอมพิวเตอร์อย่างนี้ มันก็ดีอยู่แล้ว มันสะดวกอยู่แล้ว ปัญญาของพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่เหนือวิทยาศาสตร์ เป็นสิ่งทันสมัย พวกนี้ยังต้องพัฒนาไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึงยุคพระศรีอาริย์ เพื่อจะได้ให้ปัญญาสัมมาทิฏฐิจะได้ตั้งอยู่ได้นาน ยุคพระศรีอาริย์นั้นจะตั้งอยู่ได้นานถึงแปดหมื่นปี พระศาสนาของพระโคดมนี้ก็จะได้ตั้งอยู่ถึงห้าพันปี
การพัฒนาของปัญญา ถ้าเราปัญญาไม่มีนี้ มันก็จะเอาวัตถุกับจิตใจมาใช้ด้วยกันไม่ได้ เหมือนพระเจ้าพระสงฆ์ที่มีความเป็นอยู่ทุกวันนี้ การพัฒนาจิตใจมันไม่ก้าวหน้าเท่าทางวัตถุ ทำให้ผู้ที่ดำรงชีวิตอยู่ยังเป็นคนที่ไม่ทันสมัย ไม่ทันสมัยนี้ก็แปลว่าหลงนั่นแหล่ะ หลงทางนั่นแหล่ะ ไม่พัฒนาจิตใจให้ทันเทคโนโลยีภายนอก เพราะไปหลงเอาความร่ำรวย ไปหลงเอาสวรรค์เป็นที่ตั้ง
ถ้าเราไม่พัฒนาอย่างนี้แหล่ะ เราก็แย่เลย เราไม่มีโอกาสได้ทานอาหารที่อร่อยที่แท้จริงเลย ไม่มีสิทธิ์ได้นั่งรถได้นั่งเครื่องบินที่ประกอบด้วยปัญญาเลย เพราะปัญญาที่แท้จริงมันมีน้อย มันมีไม่เพียงพอ เพราะในปัจจุบันนี้เราไม่ได้เอาธรรมะกับวัตถุไปพร้อมๆ กัน ไม่ได้เอาใจกับวัตถุนี้ไปพร้อมๆ กัน
เราต้องมีการกระทำให้ติดต่อต่อเนื่องไปในอิริยาบถทั้ง 4 เป็นฐานประพฤติฐานปฏิบัติ เรียกว่าสติปัฏฐานทั้ง 4 ทุกอิริยาบถ ทุกท่านทุกคนต้องเอาใจใส่เป็นพิเศษ ต้องสมาทานต้องตั้งใจ ทุกท่านทุกคนที่มีการเวียนว่ายตายเกิดเป็นของตัวเอง ไม่มีใครมาประพฤติปฏิบัติให้เราได้ พุทธะถือเป็นเรื่องของเราอยู่ที่ปัจจุบัน เราไม่ต้องไปหาพระที่ไหน เพราะพระที่แท้จริงอยู่ที่กายใจของเราในปัจจุบัน การดำรงชีพทางส่วนร่างกายก็ต้องไปพร้อมกัน เป็นทางสายกลาง
มนุษย์เราต้องมีความสุขในการทำงาน ในการปฏิบัติธรรม ไม่ว่าเราอยู่ที่ไหนทำอะไรก็ดับทุกข์ได้พอๆกัน เพราะมันอยู่ที่ใจ อยู่ที่มีสัมมาทิฏฐิมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ขีณาสพ เป็นผู้ดับทุกข์ได้ตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ตั้งแต่ยังไม่ตาย ได้ทำประโยชน์ของตนเองอย่างสมบูรณ์ แล้วก็ทำประโยชน์ช่วยเหลือผู้อื่นอย่างสมบูรณ์
ความสุขทางส่วนร่างกาย เราแก้ปัญหาบรรเทาความทุกข์ด้วยการทานอาหารด้วยการพักผ่อนด้วยการผลัดเปลี่ยนอิริยาบถ อายุของเราส่วนใหญ่ก็ไม่เกิน 100 ปี แล้วทุกท่านทุกคนก็ต้องจากโลกนี้ไป ความเป็นจริงแล้วมันจากโลกนี้ไปทุกๆ อิริยาบถ ทุกๆ ลมหายใจ จิตใจของท่านต้องมีสติมีปัญญา พระพุทธเจ้าไม่ให้อาลัยอาวรณ์ในอดีตที่เราเกี่ยวข้อง ไม่ให้เราหลงอะไรในปัจจุบัน ท่านให้ระลึกถึงเสมอว่าทุกสิ่งทุกอย่างนี้เป็นเรื่องของธรรมะเป็นเรื่องของสภาวะธรรมเป็นเรื่องธรรมดา มันจะเกิดขึ้นมันจะดำรงอยู่มันจะหายไป สิ่งเหล่านี้ก็มีอยู่ประจำโลก เพราะนี่เป็นโลกธรรม
พระอรหันต์ขีณาสพถึงเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ เป็นผู้ทำที่สุดแห่งความไม่มีทุกข์ มีพระนิพพานมาจากวิปัสสนาญาณที่อบรมบ่มอินทรีย์ที่สมบูรณ์ด้วยสติสัมปชัญญะ ที่ไม่ได้เอามาเพิ่มไม่ได้เอามาตัดออก แต่เป็นธรรมเป็นสภาวะธรรมเป็นเรื่องของสังขารของมันเอง เป็นผู้รู้จักรู้แจ้งในธาตุในขันธ์ในอายตนะในผัสสะ ว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นอย่างนั้นเอง ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิด นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับ
ส่วนใหญ่ทุกคนไม่รู้การประพฤติการปฏิบัติ ปล่อยให้วันเวลาผ่านไปโดยไม่ได้ประพฤติปฏิบัติ ไม่รู้เรื่องผัสสะไม่รู้เรื่องธรรมะ ไม่รู้จักอวิชชาความหลง จึงต้องปรับตัวเข้าหาธรรมะเข้าหาเวลา ถ้าเอาตัวตนเป็นที่ตั้งนั่นคือการเวียนว่ายตายเกิด ปล่อยให้ตัวเองตรึกนึกคิดไปในกามไปในพยาบาทได้อย่างไร ปล่อยให้ตัวเองช้าไม่ตามเวลาได้อย่างไร เพลิดเพลินอวิชชาความหลงได้อย่างไร เพราะปัจจุบันเป็นสิ่งที่ต้อง Fighting ต้องรีบด่วน ปล่อยให้ตัวเองเอาแต่หลับเอาแต่โยกเอาแต่โงก ง่วง ฟังเทศน์ฟังธรรมก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง มันต้องใจเข้มแข็ง ใจมีสติมีปัญญา
การเข้าถึงธรรม เราต้องเข้าถึงในปัจจุบัน มันจะเลื่อนไปเรื่อย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งนี้ถึงมี เราจะเป็นคนจน คนรวย คนแขก คนไทย คนจีน คนฝรั่ง ก็เข้าถึงความดับทุกข์ได้เหมือนกัน พระพุทธเจ้าถึงไม่ถือเรื่องวรรณะ มันเป็นเรื่องสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ในปัจจุบัน ถ้าเราปฏิบัติแล้วมันแก้ปัญหาได้เอง เราต้องเข้าใจศาสนา มันเป็นการพัฒนาทั้งทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นสัมมาทิฏฐิ และพัฒนาใจที่เป็นสัมมาทิฏฐิพร้อมๆ กัน ศาสนาถึงไม่มีไสยศาสตร์มาเกี่ยวข้อง พระพุทธเจ้าถึงไม่สรรเสริญเรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ ถ้าไม่จำเป็นพระพุทธเจ้าจะไม่เอาอิทธิปาฏิหาริย์มาใช้งาน พระพุทธเจ้าสรรเสริญตั้งแต่อนุสาสนีปาฏิหาริย์ คือทรงพูดให้ผู้ฟังเข้าใจเรื่องธรรมะ
การฟังธรรมถึงเป็นสิ่งที่สำคัญ ถึงให้ตั้งใจฟัง ไม่ใช่ฟังไปหลับไป พระพุทธเจ้าฟังสาวกแสดงธรรมพระพุทธเจ้าก็นั่งฟัง สงบ เคารพในธรรม ฟังดูว่าอรหันต์สาวกจะแสดงธรรมถูกต้องไหม กลัวจะคลาดเคลื่อน เวลาฟังธรรมถึงให้ตั้งใจดีๆ บางแห่งถึงมีประเพณีฟังธรรม ก็ต้องประนมมือเพื่อจะได้ตั้งอกตั้งใจ เหมือนไปเรียนหนังสือเราก็ต้องมีความสุขในการเรียนหนังสือ อันนี้ก็ต้องมีความสุขในการฟัง อันไหนไม่เข้าใจจะได้ผ่านไป การฟังธรรมนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ
การที่เราไปพบกับพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่สำคัญ การที่เราไปพบกับพระอรหันต์เป็นสิ่งที่สำคัญ การที่เราได้ฟังธรรมเป็นสิ่งที่สำคัญ การที่ทำวัตรสวดมนต์ นั่งสมาธิ ตอนเช้า ตอนเย็นถึงเป็นสิ่งที่สำคัญ การที่เรารู้จักความคิด รู้จักอารมณ์เป็นสิ่งที่สำคัญ
ความดับทุกข์มันขึ้นอยู่ที่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติของเรา ถึงเวลาเราทำอย่างไรเราก็ตั้งใจทำอย่างนั้นให้เต็มที่เต็มร้อย ให้ใจของเราสงบอยู่กับการปฏิบัติ อยู่กับการทำงาน เวลานอนของเราก็นอนให้เพียงพอ นอนพอสัก 2 ตื่นประมาณ 6 ชั่วโมงก็เพียงพอ ไปเอาความสุขกับการทำงานกับการปฏิบัติในชีวิตประจำวันอีก 10 กว่าชั่วโมง ด้วยการไม่ตามใจตัวเองไม่ตามอารมณ์ตัวเอง ตั้งใจประพฤติปฏิบัติในการทำงาน นั่นคือชีวิตความเป็นพระ นั่นคือการบวช อบรมบ่มอินทรีย์ ผู้ที่มาบวชเป็นพระให้บวชทั้งกายบวชทั้งใจ ผู้ที่เป็นฆราวาสก็ให้บวชใจ อันไหนไม่ดีไม่คิดไม่ตรึก ปรับตัวเข้าหาธรรมะเข้าหาเวลา คือการบวชทางใจ เป็นปัจจุบันธรรมไปเรื่อยๆ
ทุกท่านพากันมาดู คนนั้นก็แก่ คนนั้นก็ป่วย คนนั้นก็เจ็บ คนนั้นก็ตาย แสดงถึงทุกสิ่งทุกอย่างว่าไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน มันเป็นสภาวธรรมที่เกิดมาจากอวิชชาความหลง เราต้องมีพุทธะมีการประพฤติมีการปฏิบัติ มันก็จะง่ายอยู่หรอก มันไม่ได้แก้ใครที่ไหน มันแก้ที่ตัวเรา ที่อาศัยพระพุทธเจ้าที่ได้บำเพ็ญพุทธบารมีจนได้ตรัสรู้แล้วมาบอกมาสอน ชีวิตของเราจะมีแต่ความดับทุกข์ทางจิตใจไปเรื่อยๆ บรรเทาทุกข์ทางร่างกายไปเรื่อยๆ เป็นปัจจุบันเป็นปัจจุบันธรรมไปเรื่อยๆ
ความเป็นพระก็คือเรานี้แหละ เราไม่ต้องไปหาพระภายนอก ต้องหาพระที่ตัวเรา เราเป็นประชาชนก็เป็นพระได้ตั้งแต่พระโสดาบัน จนถึงพระอนาคามี ผู้ที่มาบวชเป็นพระก็ต้องได้เป็นพระโสดาบันถึงพระอรหันต์อย่างนี้เป็นต้น อันนี้มันไม่มีใครแต่งตั้งให้กันได้ ต้องมาประพฤติ มาปฏิบัติด้วยตนเอง เราจะได้หยุดโลก หยุดวัฏฏะสงสาร เราต้องมีความสุขในการรักษาพระวินัย สิกขาบทน้อยใหญ่ เราถึงจะเป็นพระ นี้คือความสุขความดับทุกข์ของเราทุกๆ คน อย่าไปทำให้ตัวเอง เป็นตาลยอดด้วน เราอย่าไปทำตัวเองให้มีปัญหา สร้างปัญหา คนเราน่ะคิดหลายครั้ง เราแก้ระบบความคิดนะ เพราะคนเรานี้แหละ เรื่องความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพราก เค้าเรียกว่ามันเอาพระนิพพานมาให้เรา ให้เรารู้ด้วยปัญญาว่าสภาวะธรรมนั้นไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน คนเราจะเจ็บปวดเท่าไหร่ ความดับทุกข์มันอยู่ที่ใจ ที่ความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง เราต้องรู้จักแล้วก็อย่าไปวุ่นวาย หรืออยากให้มันเป็นอย่างนู้น อย่างนี้ มันเพิ่มความทุกข์ เพราะความสุข ความดับทุกข์ มันมีอยู่ที่ความคิด คนเรานั่งสมาธิทั้งคืน มันก็ไม่มีความทุกข์หรอกนะ เพราะว่าความทุกข์มันอยู่ที่เราไปคิดเอา เราไปปรุ่งแต่งเอา เราไม่รู้จักอริยสัจ ๔ เราอยากให้เป็นอย่างนู้น อย่างนี้ ความสุขความอะไร ความหลงเราต้องรู้จัก เราอย่าทำตัวเป็นหมาคนรวย หมาคนรวยเดี๋ยวนี้มันเดินไม่เป็น ไปที่ไหนก็ต้องขึ้นรถ บางทีไม่มีรถก็เจ้าของอุ้ม
วัดบ้าน วัดป่า คนที่ไหนมันก็พากันประพฤติปฏิบัติได้ทั้งนั้น เพราะเดี๋ยวนี้มันน่าจะดีกว่าครั้งพุทธกาลอีก เพราะว่ามันอำนวยความสะดวกสบาย มันมีบ้าน มีรถ มีเครื่องบิน มีคอมพิวเตอร์ ต้องเข้าใจนะ พวกคนรุ่นใหม่ คนสมัยใหม่ อย่าพากันโง่หลงวัตถุ เราก็ต้องพัฒนาใจ อย่าเอาความสุขแค่กิน แค่นอน แค่พักผ่อน เที่ยวเพลิดเพลิน อบายมุข อบายภูมิแค่นี้แหละ เค้าเรียกว่ามันรวยอย่างโง่ๆ เราเป็นพระศีลเยอะเท่าไหร่ยิ่งดี เราจะได้ไม่ตามใจ ตามอารมณ์อย่างนี้เราจะไปตัดออกสิกขาบทน้อยใหญ่ เราะพระอรหันต์ทั้งหลายที่ท่านทำสังคายนาครั้งแรก ท่านพิจารณากันแล้วว่าพระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว อย่าไปถอดถอนสิกขาบทน้อยใหญ่ออก
สิกขาบทบทน้อยใหญ่นี้ดี จึงต้องเข้าสู่ระบบความคิดนะ ระบบใจของเราต้องหยุดมีเพศสัมพันธุ์กัน ประชาชนก็หยุดมีเพศสัมพันธุ์ทางจิตใจ ผัวเดียว เมียเดียวก็พอแล้ว ยังเป็นหนุ่มเป็นสาวอยู่ก็ พ่อแม่ยังหวงอยู่ก็อย่าไปทำผิด มันตามความคิด ตามอารมณ์ไปอย่างนั้น มันไม่ใช่คนฉลาด คนมีปัญญานะ ความอดทนนี้คือความสุขน ความอดทนคือเราต้องหยุดวัฏฏะสงสารนะ มันก็จะเป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา เราจะได้เฉิดฉาย มรรคผลนิพพานพร้อม พัฒนาวัตถุไปพร้อมๆ กันอย่างนี้ เราจะไปแยกโลกแยกธรรมอะไร มันแยกอะไร คนเราขาขาดมันก็เดินไม่ได้ มันต้องมีกายกับมีใจ มันต้องไปพร้อมๆกัน เค้าเรียกว่าทางสายกลาง ไม่ต้องไปสุดโต่ง
ศาสนาทุกศาสนาก็ไปอันเดียวกันนี่แหละ คำว่าศาสนานั้นไม่ใช่นิติบุคคล คือธรรมะ เราไม่ต้องไปทะเลาะกัน ไม่ต้องไปกัดกัน ทุกคนต้องรักกัน เมตตากัน สงสารกัน กรุณากัน ทุกๆ ศาสนาต้องไปอย่างนี้นะ เราอย่าเป็นคนใจหยาบ ใจกระด้าง หน้ามืด หน้าด้าน หน้ามึน เราต้องกลับมาหาพระธรรมคำสั่งสอนที่ประเสริฐ เราไม่ต้องหาพระนิพพานที่ไหน พระนิพพานอยู่ที่ใจของเรามีความเห็นถูกต้อง และก็พากันปฏิบัติถูกต้อง ให้เกิดศีล เกิดสมาธิ เกิดปัญญา เราจะรู้จักว่าของดีนะคือพระนิพพาน เรายังไม่ถึงนิพพาน สวรรค์ก็ต้องผ่านอยู่แล้ว มนุษย์รวยก็ต้องผ่านอยู่แล้ว มันต้องไปอย่างนี้ๆ แหละ ทุกคนต้องพากันเข้าใจ
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee