แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันจันทร์ที่ ๑๑ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง มนุษย์ที่สมบูรณ์ ตอนที่ ๔๑ ปฏิบัติตามธรรมนูญชีวิต เพื่อให้เกิดอิสรภาพทางจิตใจ
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
การดำเนินชีวิตของมนุษย์ต้องเอาธรรมนูญเป็นการดำเนินชีวิต ทุกท่านทุกคนต้องปรับตัวเข้าหาธรรมะเข้าหาเวลา พัฒนากายวาจาใจเข้าสู่ธรรมนูญ พระพุทธเจ้าท่านให้เรารู้อริยสัจ ๔ รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เราจะได้เดินทางสายกลาง เราจะได้ทำหน้าที่ของความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ส่งผลัดต่อๆ กัน โดยอาศัยพระพุทธเจ้าที่ท่านได้บำเพ็ญพุทธบารมีตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ทั้งภาคความรู้ความเข้าใจทั้งภาคประพฤติปฏิบัติไปพร้อมๆ กัน เราทุกคนจะได้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบ เพราะเราทุกคนนั้นเป็นผู้ที่ประเสริฐ จะได้ไม่ยากจน เราจะได้มีคุณธรรมพร้อมทั้งกายาวาจาใจ เรียกว่า สุปฏิปันโนเรียกว่าผู้ปฏิบัติดี สุปฏิปันโนในที่นี้ก็หมายถึงสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า คือพุทธบริษัททั้ง ๔ นี้แหละ ภิกษุ ภิกษุนี อุบาสก อุบาสิกา ทั้งฝ่ายบรรพชิตและฝ่ายฆราวาส ต้องดำเนินชีวิตด้วยธรรมนูญ มีความสุขที่สุดในโลกเลย ในการประพระพฤติปฏิบัติ เราจะได้มีสติมีปัญญาไม่หลง เพราะความมั่นคงของความเป็นมนุษย์เรื่องจิตใจ ความมั่นคงเรื่องเราจะได้ส่งผลัดต่อลูกต่อหลาน เพราะเราทุกๆ คนพากันมีร่างกายเป็นมนุษย์ก็จริง แต่จิตใจนั้นหาได้เป็นมนุษย์ไม่ เป็นพ่อเป็นแม่เป็นข้าราชการเป็นคุณครูเป็นผู้พิพากษาอัยการ เป็นทหารตำรวจ ที่เป็นนักบวช แต่ว่าเป็นแต่ชื่อ เป็นแต่รูปแแบบ เป็นแต่แบรนด์เนม
พระพุทธเจ้าถึงให้เข้าสู่ธรรมนูญแห่งชีวิต ปรับตัวเข้าหาเวลาเข้าหาธรรมะ มีความสุขในการประพฤติปฏิบัติ ที่เราเกิดมาบางคนก็หลายสิบปีแล้วบางคนก็เกิดมาไม่นานก็ได้รู้ได้เห็นว่า หมู่มนุษย์จะไปตามอวิชชาตามความหลงไม่ได้ ธรรมนูญแห่งชีวิต หัวใจเราจะได้สีขาว ไม่สีดำสีเทา เราจะได้เป็นพ่อเป็นแม่เป็นข้าราชการการเมืองที่แท้จริง ชีวิตของเรามันต้องดำเนินไปสู่อย่างนี้ เราทุกคนด้วยอาศัยผู้เก่าส่งผลัดให้ผู้ใหม่ ส่งผลัดในที่นี้ก็หมายถึงภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ปริยัติในส่วนที่เป็นแผน ก็ส่วนหนึ่ง ปริยัติคือเข้าสู่ภาคปฏิบัติ เน้นที่ปัจจุบัน มันถึงเป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาไปพร้อมๆ กัน เราจะได้หยุดวัฏสังสารที่ให้กับตัวเองทางจิตใจ ไสยศาสตร์อวิชชาความหลง มันต้องหยุดด้วยใจของเรา เอาธรรมนูญมาครองใจทุกๆ คน ไม่ต้องไปพึ่งใครหรอก พึ่งระบบความคิดกายวาจาใจอย่างนี้ ที่จะเข้าสู่ธรรมนูญ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน ภาคประพฤติภาคปฏิบัติให้มันเป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาในปัจจุบัน
พระพุทธเจ้าสอนให้หมู่มวลมนุษย์เข้าถึงสมาธิเข้าถึงปัญญาในปัจจุบัน เพราะสมัยไหนก็มีคนแก่คนเจ็บคนตาย แล้วก็มีร้อนมีหนาวมีสุขมีทุกข์อย่างนี้ มรรคผลนิพพานถึงเป็นสิ่งที่ไม่ล้าสมัย เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เป็นของสดสดชื่นเบิกบาน เรียกว่าเป็นของสด ที่เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เราต้องรู้จักพระนิพพานทางกายพระนิพพานทางใจ เราไม่ต้องไปเปลี่ยนใคร เราไม่ต้องไปอยากได้ของใคร เราไม่ต้องไปหลงในความสุขความสนุกความสบาย เราอย่าได้ไปหลงในกามอย่างนี้ เราไม่ต้องแย่งขยะกัน มัวเมาในความอร่อยรูปเสียงลาภยศสรรเสริญ ที่มันทั้งอร่อยทั้งแซ่บทั้งลำทั้งนัว…
เราเกิดมามันต้องมีพุทธะผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน ที่เราทะเลาะกันคืออุบัติเหตุ ที่เราหากินที่เราเป็นคนยากคนจนก็เพราะอุบัติเหตุในความรู้ความเข้าใจ ที่รถไปชนกันมันเรื่องการขาดสติขาดสัมปชัญญะ พระพุทธเจ้าถึงให้เข้าถึงปัจจุบัน เพื่อเอาทั้งความฉลาด เอาทั้งความปฏิบัติ เอาความตั้งมั่นไปในปัจจุบันนี้ มันแยกกันไม่ได้ เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี คำว่าพุทธะถึงไม่เซ่อไม่เบลอไม่งง ทำไปก็ชำนาญไป เหมือนวิศวกรที่เข้าใจ วิศวกรใหม่ยังไม่รู้ ไม่เข้าสู่ภาคปฏิบัติ มันก็จะยังไม่ค่อยรู้เรื่องอะไร มันต้องเข้าสู่ภาคปฏิบัติ ปริยัติปฏิบัติถึงต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ
หมอก็อยู่กับเรา หมอทางกายก็อยู่กับเรา หมอทางใจก็อยู่กับเรานี้แหละ แพทย์หมอทางกายน่ะที่จะทานอะไรเข้าไปในร่างกาย เราก็ต้องเป็นหมอเป็นแพทย์ที่จะทานอะไรเข้าไปทางจิตใจ ก็ต้องเป็นแพทย์ เข้าถึงปัจจุบัน เข้าถึงธรรม การประพฤติปฏิบัติมันอยู่ที่ปัจจุบัน มันต้องอาศัยญาณ อาศัยภาคประพฤติปฏิบัติ ยานก็เหมือนเครื่องบินที่นำเราขึ้นสู่บนฟ้าข้ามทะเลข้ามภูเขาข้ามมหาสมุทร ธรรมเป็นปัจจุบันธรรมเมื่อถึงจุดหมายปลายทางแล้ว เราก็ไม่ต้องไปแบกเครื่องบินมันอีก เพราะเราทำความถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง เราต้องเข้าถึงภาคประพฤติภาคปฏิบัติอย่างนี้ ธรรมะมันถึงเป็นสิ่งที่ปรับเข้าปัจจุบัน ที่เรากำลังทำอะไรอยู่ การงานทุกอย่าง ทำงานที่มีความสุข คนเราต้องมีความสุขในการทำงาน มีความสุขในการปฏิบัติธรรม ต้องทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ เราทำไปมันจะเป็นชำนาญ เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เพราะสิ่งนี้มีสิ่งงต่อไปมันก็มี มันจะเคลื่อนไปเรื่อยๆ หมู่มวลมนุษย์ก็จะมีความสุขอย่างนี้ เราทุกคนก็จะเข้าสู่ภาคปฏิบัติอย่างนี้ มันเป็นการยิงนกโป้งเดียว ได้ทั้งวัตถุได้ทั้งจิตใจ เป็นสัมมาทิฏฐิความเห็นถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ที่ทุกคนต้องหยุดอบายมุขอบายภูมิของตัวเอง ไม่มีใครหยุดให้เราอย่าได้ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง มันหลงในตัวเองหลงในลูกตัวเองหลงในหลานตัวเอง หลงในบ้านในสิ่งของเงินทอง เป็นคนไม่มีสติไม่มีปัญญา เราเอาร่างกายที่อายุไม่เกิน ๑๐๐ กว่าปีนี้ มาประพฤติปฏิบัติ มาหลงไม่ได้ หลงในตัวเองยังไม่พอ หลงในลูกในหลานในข้าวของเงินทองอะไรอีก เพราะเราต้องรู้สภาวธรรมทางส่วนร่างกายทางวัตถุทางส่วนจิตใจไปพร้อมๆ กันอย่างนี้
ถ้าเราทำอย่างนี้ ตัวเราเองก็ยอมรับได้ คนอื่นก็ยอมรับได้ เราอย่าเป็นคนเอาตัวตนเป็นใหญ่ ต้องเอาธรรมะเป็นใหญ่ เพราะว่าประชาธิปไตยในทางเห็นแก่ตัวมันเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ธรรมเหล่าใดเป็นเพื่อตัวเพื่อตนนั้น ไม่ใช่ธรรมาธิปไตย เราต้องรู้จักสิ่งที่เป็นธรรมนูญ เราก็คิดว่าอันไหนเป็นธรรม อันไหนไม่เป็นธรรมนั้นไม่คิด เพื่อเราจะได้หยุดความหลง หยุดไสยศาสตร์ของตัวเอง เราทุกคนพากันปฏิบัติให้มันได้ ให้มันเป็น เราถึงจะเป็นสุปฏิปันโน ผู้ปฏิบัติดี อุชุปฏิปันโน ผู้ปฏิบัติตรง ญายะปฏิปันโน ผู้ปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์ สามีจิปฏิปันโน เป็นผู้ปฏิบัติสมควร พัฒนาถึงเหตุ ผลมันถึงปรากฏ ทุกท่านทุกคนไม่ต้องไปหาพระที่ไหน เพราะพระมันอยู่ในเราทุกคน ให้เราเข้าสู่หลักเหตุ หลักผล หลักของธรรมนูญชีวิต
ทุกคนมันติดนะ ถ้าเราไม่เสียสละ ธรรมนูญมันก็ไม่ติด มันไม่รู้ว่าอันไหนเป็นคุณ อันไหนเป็นโทษ หลวงพ่อถึงบอกว่า อันไหนเป็นคุณ อันไหนเป็นโทษ ที่คำว่ากตัญญู คือ รู้คุณ กตเวที คือการประพฤติปฏิบัติแทนคุณ มันติด ทุกคนหน่ะลืมหนทางเดิน คือลืมมรรคผล คือลืมพระนิพพาน ได้ภรรยาก็ลืมพ่อลืมแม่ ได้สามีก็ลืมพ่อลืมแม่ ได้ลูกได้หลานก็ลืมพ่อลืมแม่ ได้เจอรูป เสียง กลิ่น รส ลาภ ยศ สรรเสริญ มันลืม ลืมธรรมนูญแห่งชีวิต ชีวิตของเรามันต้องเสียสละ เพราะเราต้องเอาพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่นมาประพฤติปฏิบัติ เราจะได้ก้าวไปอย่างพุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่นในปัจจุบัน
การปฏิบัติจะเดินไปก็ไม่ใช่ จะหยุดอยู่ก็ไม่ใช่ จะชอบจะไม่ชอบก็ไม่ใช่ เราต้องรู้จัก รู้แจ้ง ว่าทุกท่านทุกคนต้องเสียสละคืนซึ่งตัวซึ่งตน จิตใจเราทุกคนต้องเอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นที่ตั้ง ต้องพากันก้าวไปในปัจจุบัน เราอย่าเอาความสะดวก ความสบายของเรา เราต้องเอาธรรมะ ความกตัญญูกตเวทีจะเป็นเครื่องหมายของคนดี ที่จะนำชีวิตนี้เข้าสู่ธรรมนูญ ยิ่งเราทำไปปฏิบัติไปเราก็ยิ่งเก่งยิ่งฉลาดไปเรื่อยในปัจจุบัน ปัจจุบันนี้เราต้องตั้งใจ ตั้งเจตนา ถ้าไม่อย่างนั้นธรรมนูญชีวิตของเราก็จะหายไปหมด เพราะเรามาหลงในโลก ในวัฏฏะ มาถือตัวถือตนเป็นพระเจ้า มาถือเงินเป็นพระเจ้า ตระกูลทั้งหลายถึงตั้งอยู่ไม่ได้ ถึงทิ้งเรื่องกตัญญูกตเวทีไป เรื่องธรรมะ เรื่องธรรมนูญ เรื่องควรคิด ควรพูด ควรกระทำ มันเป็นสิ่งที่สำคัญ
บางคนหน่ะเป็นเศรษฐี เป็นมหาเศรษฐีก็ยังไม่รู้จัก พ่อแม่คนเดียวก็พากันทิ้งพ่อทิ้งแม่ มันต้องเอาตัวอย่าง อย่างพระโพธิสัตว์ อย่างพระพุทธเจ้า ที่จะได้เป็นพระเจ้านี้ก็เพราะเห็นธรรมนูญ เห็นธรรม เห็นการเสียสละ เห็นการเกิดเป็นมนุษย์นี้เป็นสิ่งสำคัญ เพราะการเกิดนี้ต้องอาศัยพ่อแม่ ที่ได้มาสร้างคุณงามความดี พระโพธิสัตว์ทุกภพทุกชาติก็เลี้ยงพ่อ เลี้ยงแม่ คนทุกวันนี้พากันร่ำรวยแล้วทิ้งพ่อทิ้งแม่ ออกสังคม พากันหรูหรา ฟู่ฟ่าไปแข่งรถหรู แข่งอะไรกัน ทั้งที่เงินก็มีหลายร้อยล้าน จะหารถคันดีๆ ให้พ่อแม่นั่งไปในสถานที่ควรไป เพราะทุกวันนี้รถสมัยใหม่เขาก็แต่งได้ เป็นรถคนแก่ รถไฟฟ้า ขึ้นลงบันไดสะดวก เขาก็ทำได้ เราไม่ได้ไปอุ้มคนแก่ขึ้นรถลงรถ เพราะคนแก่เมื่อเขายังไปได้ ก็ต้องให้ไปพบครูบาอาจารย์ที่เป็นพระอริยเจ้า อย่างนี้เป็นต้น เพราะชีวิตเขาไม่นานก็ต้องจากโลกนี้ไป เมื่อเขาได้พบกับพระอริยเจ้าเขาก็มีกำลังใจ ที่จะหายใจต่อไป ทุกวันนี้มีความสะดวกความสบาย ก็น่าจะสร้างความกตัญญูกตเวทีให้กับพ่อกับแม่ สำหรับคนที่ไม่รวยไม่มีทรัพย์สมบัติ มันก็ง่ายพอสมควร โทรศัพท์ไปหาพ่อหาแม่ ไลน์ไปก็ได้ แต่เพราะไปมัวเพลิดเพลิน ลืมพ่อลืมแม่ ลืมธรรมะ ลืมธรรมนูญชีวิตไป เป็นสิ่งที่ไม่ดี
ถ้าลืมมันก็ลืมคิดในสิ่งที่ดี เช่น ไปคิดว่าตอนเช้าเราก็ต้องกราบพระไหว้พระ นั่งสมาธิ ท่องพุทโธ ตอนเย็นก็ไหว้พระ ท่องพุทโธ คนดีระลึกถึงพ่อถึงแม่ แล้วกลับมาทบทวนดูตัวเอง มาพิจารณาว่าเราเองก็มีความแก่เป็นธรรมดา มีความเจ็บเป็นธรรมดา มีความตายเป็นธรรมดา มีความพลัดพรากเป็นธรรมดา เราต้องเสียสละ เพื่อเข้าหาหลักธรรม คือธรรมนูญแห่งชีวิต
เราจะเป็นพ่อ เป็นแม่ได้ยังไง เพราะว่าศีล ๕ เราไม่มี ศีล ๕ มันไม่ใช่กฏหมายบ้านเมือง ใจมันเป็นคุณธรรม ถ้าเราไปหลงทางวัตถุ หลงแต่ยกขวดเหล้าชนกัน ยกขวดเบียร์ชนกัน คุยแต่เรื่องคอนเสิร์ต เรื่องเดินกิน เดินเที่ยว อันนั้นอร่อย อันนั้นมันเป็นการลืมธรรมะ ลืมธรรมนูญชีวิต ทุกคนต้องมีปฏิปทาที่ดีๆ พ่อแม่ตัวเองสุขใจ สบายใจ สิ่งไหนมันเป็นอบายมุข อบายภูมิ ต้องหยุดตัวเองเพื่อดำเนินการสู่ธรรมะ สู่ธรรมนูญชีวิต เราก็พากันแต่งบ้านแต่งรถ เราต้องแต่งใจ ใจคืออะไร ใจก็คือธรรมะ มันไม่ใช่ความเห็นแก่ตัว ไม่ใช่ความหลง ไม่อย่างนั้นมันก็เป็นอคติ ลำเอียง ลำเอียงเพราะรัก เพราะชัง เพราะหลง เพราะกลัว
พระพุทธเจ้าทรงตรัสอุปมาไว้ว่า มหาสมุทรแม้จะกว้างใหญ่เพียงใดก็ตาม แต่น้ำในมหาสมุทรที่มีมากมายเหล่านั้นล้วนมีรสเดี่ยวเหมือนกันทั้งหมด คือ "รสเค็ม"
ดังนั้น ธรรมวินัยของพระพุทธองค์ที่กล่าวคำสอนไว้มากมายทั้งหมดก็มีรสเดี่ยวกันเหมือนมหาสมุทร คือ "วิมุตติรส" การหลุดพ้นจากทุกข์ และกิเลสทั้งปวงเป็นเป้าหมาย ดังนั้น ธรรมวินัยของพระพุทธองค์ที่กล่าวคำสอนไว้มากมายทั้งหมดก็มีรสเดียวกันเหมือนมหาสมุทร คือ "วิมุตติรส" การหลุดพ้นจากทุกข์ และกิเลสทั้งปวงเป็นเป้าหมาย
วิมุตติ คือ ความหลุดพ้น เป็นวัตถุประสงค์มุ่งหมายของการปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา ดังพุทธภาษิตว่า พรหมจรรย์นี้มิได้มีลาภสักการะสรรเสริญเป็นอานิสงส์ มิได้มีกามสุขในสวรรค์เป็นอานิสงส์ มิได้มีการเข้าถึงความเป็นอันเดียวกับพรหมในพรหมโลกเป็นอานิสงส์ แต่ว่ามีวิมุตติเป็นอานิสงส์ ดังนี้
พระพุทธเจ้าเคยตรัสสอนภิกษุทั้งหลายว่า “เธอทั้งหลายถ้าถูกสอบถาม พึงตอบแก่อัญญเดียรถีย์ปริพาชกทั้งหลายว่าดังนี้” พระพุทธเจ้าตรัสแจกแจงออกไปว่า ถ้าเขาถามว่าอย่างนี้ให้ตอบว่าอย่างนี้ ถามอย่างนั้นให้ตอบว่าอย่างนั้นหลายข้อ แล้วมาถึงข้อท้ายๆ ข้อหนึ่ง “ถ้าเขาถามว่าอะไรเป็นสาระของธรรมทั้งหลาย หรือธรรมทั้งหลายทั้งปวงมีอะไรเป็นสาระ เธอทั้งหลายพึงตอบว่า “ธรรมทั้งปวงมีวิมุตติเป็นสาระ หรือว่าธรรมทั้งหมดทั้งสิ้นมีวิมุตติ คือ ความหลุดพ้นนี้เป็นแก่นสารเป็นเนื้อแท้”
พุทธพจน์อีกแห่งหนึ่งก็มีว่า พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “ภิกษุทั้งหลายอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ คือดำเนินชีวิตประเสริฐ อันมีสิกขาเป็นอานิสงส์ มีปัญญาเป็นยอด มีวิมุตติเป็นแก่นสาร และมีสติเป็นอธิปไตย” ในที่นี้ก็คือมีวิมุตติเป็นสาระเป็นแก่นสาร แม้แต่ในคำอุปมาอีกแห่งหนึ่ง พระพุทธเจ้าตรัสพระธรรมวินัยนี้หรือพระพุทธศาสนานี้ โดยเทียบกับ มหาสมุทรว่า “มหาสมุทรมีรสรสเดียว คือ รสเค็มฉันใด “อยํ ธมฺมวินโย เอกรโส วิมุตฺติรโส” ธรรมวินัยนี้ก็มีรสเดียว คือ วิมุตติรส รสคือความหลุดพ้น ฉันนั้น” อาจจะถือได้ว่า นี้เป็นคำตอบว่า อะไรคือหัวใจของพระพุทธศาสนา ได้แก่วิมุตติ คำว่าสาระ แก่นสาร และรส ในที่นี้มีความหมายอย่างเดียวกัน
วิมุตติที่เป็นผล โดยเฉพาะอรหัตตผลนั้น ท่านมักแยกให้เห็นชัดเป็น 2 ด้าน คือเป็น เจโตวิมุตติ และ ปัญญาวิมุตติ เจโตวิมุตติ คือความหลุดพ้นทางด้านจิต แปลกันว่า ความหลุดพ้นแห่งจิต หรือความหลุดพ้นด้วยกำลังจิตคือด้วยสมาธิ หมายถึง ภาวะจิตที่ประกอบด้วยสมาธิซึ่งกำราบราคะลงได้ ทำให้หลุดพ้นจากกิเลสเครื่องผูกมัดทั้งหลาย (ราคะในที่นี้และในบาลีทั่วไป ไม่มีความหมายแคบอย่างที่เข้าใจกันในภาษาไทย คือ ไม่ใช่เรื่องกามเท่านั้น แต่หมายถึง ความติดใจความใคร่ ในอารมณ์ต่างๆ ทั้งรูปธรรมและนามธรรม เป็นไวพจน์ของตัณหา และกินความถึงโทสะด้วย เพราะโทสะก็คือแรงผลักที่เป็นปฏิกิริยาของราคะนั่นเอง) ปัญญาวิมุตติ คือ ความหลุดพ้นด้านปัญญา แปลกันว่า ความหลุดพ้นด้วยปัญญา แต่ควรจะแปลว่า ความหลุดพ้นแห่งปัญญาด้วย เพราะหมายถึง ปัญญาบริสุทธิ์ หรือความรู้ถูกต้องสมบูรณ์ไม่มีกิเลสบดบังหรือบิดเบือน ซึ่งเกิดขึ้นแก่ผู้บรรลุอรหัตตผล ในเมื่อปัญญานั้นกำจัดอวิชชาได้แล้วทำให้ผู้นั้นหลุดพันจากกิเลสเครื่องผูกมัดทั้งปวง ดังบาลีว่า "เพราะสำรอกราคะได้ จึงจะมีเจโตวิมุตติ, เพราะสำรอกอวิชชาได้ จึงจะมีปัญญาวิมุตติ"
"ปัญญาวิมุตติ เจโตวิมุตติ"
" .. "บางคนทำสมาธิยาก" เพราะอะไร เพราะจริตแปลกเขา "แต่ก็เป็นสมาธิ แต่ก็ไม่หนักแน่น ไม่ได้รับความสบายเพราะสมาธิ แต่จะได้รับความสบายเพราะปัญญา" เพราะปัญญา ความคิด "เห็นความจริงของมัน แล้วก็แก้ปัญหาถูกต้อง เป็นประเภทปัญญาวิมุตติ* ไม่ใช่เจโตวิมุตติ*" มันจะมีความสบาย ทุกอย่างที่จะได้เกิดขึ้น เป็นหนทางของเขาเพราะปัญญา
"สมาธิมันน้อย" คล้าย ๆ กับว่าไม่ต้องนั่งสมาธิพิจารณา "อันนั้นเป็นอะไรหนอ" แล้วแก้ปัญหาอันนั้นได้ทันที เลยสบายไป เลยสงบ "ลักษณะผู้มีปัญญาต้องเป็นอย่างนั้น" ทำสมาธินั้นไม่ค่อยได้ง่ายและไม่ค่อยดีด้วย "มีสมาธิแต่เพียงเฉพาะเลี้ยงปัญญาให้เกิดมีขึ้นมาได้" โดย มากอาศัยปัญญา ..
.. "บางคนปัญญาน้อย นั่งสมาธิได้ง่าย สงบ สงบเร็วที่สุด ไว แต่ไม่ค่อยมีปัญญา" ไม่ทันกิเลสทั้งหลาย "ไม่รู้เรื่องกิเลสทั้งหลาย แก้ปัญหาไม่ค่อยได้" พระโยคาวจรเจ้าผู้ปฏิบัติมีสองหน้าอย่างนี้ .. " (หลวงปู่ชา สุภทฺโท)
* ปัญญาวิมุตติ คือปัญญาเป็นกำลังสำคัญ หรือปัญญานำหน้า
* เจโตวิมุตติ คือสมาธิเป็นกำลังสำคัญ หรือสมาธินำหน้า
วิมุตตินั้นเป็นศัพท์ที่รู้กันดีในวงการธรรมะ เช่น เราได้ยินคำว่าวิโมกข์หรือโมกขธรรม ก็คือความหลุดพ้นหรือวิมุตตินั่นเอง หลวงพ่อพุทธทาสใช้ตั้งชื่ออารามว่า สวนโมกขพลาราม อารามที่เป็นกำลังแห่งโมกษะ คือ ความหลุดพ้น เพราะท่านก็มุ่งเข้าถึงหัวใจของพระพุทธศาสนาคือ โมกษะ หรือวิมุตตินี้นั่นเอง โมกษะหรือวิมุตตินี้ ถ้าเราจะเอาความหมายตามพยัญชนะก็เพียงว่า เป็นความหลุดพ้น แต่ก็ต้องดูว่าท่านต้องการเนื้อหาสาระว่าอย่างไร ความหลุดพ้นนั้นหมายถึงความปลอดพ้นจากภาวะบีบคั้น บังคับ ครอบงำ จำกัด ขัดขวาง บกพร่อง ขาดแคลนทั้งหลาย แล้วก็ไม่ต้องขึ้นต่ออะไรๆ ต่อใครๆ มีความพร้อมที่จะทำอะไรๆ ก็ได้ตามต้องการหรือตามที่รู้ว่าควรจะทำ อันนี้คือภาวะที่เราเรียกว่า วิมุตติ
เรามักจะใช้ภาษาไทยว่า อิสรภาพ อิสรภาพนี้เป็นคำไทยที่ใช้ในความหมายเดียวกับวิมุตติที่ได้กล่าวมานั้น เพราะฉะนั้น ถ้าพูดในภาษาไทยแล้ว อาจจะบอกว่า อิสรภาพนั่นเองเป็นจุดหมายของพระพุทธศาสนา แต่ทีนี้มันมีปัญหาอยู่ว่า คำว่าอิสรภาพนั้น มันก็มาจากภาษาบาลี อิสร+ภาวะ เป็นอิสรภาพ แปลว่าความเป็นอิสระ คำศัพท์บาลีที่มาใช้ในภาษาไทยแล้ว ความหมายมักเคลื่อนคลาดบ่อยๆ คำว่าอิสรภาพนี้ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งของคำที่ได้มีความหมายคลาดเคลื่อนไป คำว่าอิสรภาพนั้น เดิมในภาษาบาลี ไม่ได้แปลว่า หลุดพ้นปลอดพ้นจากสภาวะบังคับบีบคั้น แต่แปลว่า ความเป็นใหญ่ อิสระแปลว่า เป็นใหญ่ เช่น พระอิศวรก็แปลว่าผู้เป็นใหญ่ เป็นเจ้า อิสรภาพ แปลว่า ภาวะที่เป็นใหญ่ แต่ถ้าเราจะตีความหมายให้คล้ายๆ ก็คือ ความเป็นใหญ่ในตัว ไม่ต้องขึ้นกับผู้อื่น แต่อิสระนั้นบางทีหมายความว่า เป็นใหญ่เหนือผู้อื่นหรือครอบงำผู้อื่นไปด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม คำว่าอิสรภาพนั้น ภาษาไทยเราใช้กันติดแล้ว กลายเป็นว่าเราจะต้องแปลวิมุตติว่า “อิสรภาพ” ในที่นี้จะต้องใช้คำว่า “อิสรภาพ” ต่อไป ก็ขอให้รู้ว่า ในทางพระศาสนานั้นต้องการให้หมายถึง วิมุตติ ในที่นี้จะพูดว่า แกนกลางหรือหัวใจของพระพุทธศาสนาคือ อิสรภาพก็ได้ จะเป็นวิมุตติก็ได้ ให้เข้าใจว่าเป็นอันเดียวกัน
เรื่องอิสรภาพหรือวิมุตติ ความปลอดพ้นจากสิ่งบีบคั้นบังคับ เป็นอิสระ ไม่ขึ้นต่ออะไรนั้น เป็นสิ่งที่พระพุทธศาสนาจะกล่าวถึงว่าเป็นแก่นสารสำคัญในทุกขั้นตอนของธรรม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการปฏิบัติธรรมชั่วคราวหรือถาวร เป็นการเข้าถึงจุดหมายของพระพุทธศาสนาในระดับต้น กลางหรือปลายก็ตาม
ดังนั้นคนเราต้องมีอิสระทั้งภายนอก ทั้งภายใน รู้จักปลดปล่อยจิตใจให้เบาสบาย ก็จะใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข ยิ่งถ้าเราเครียดหรือกังวลก็ยิ่งตกเป็นทาสความคิดของตัวเราเอง การแสวงหาทางออกตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่เรียกว่า “แก่นของพุทธธรรม” หรือแก่นของศาสนา นั่นก็คือ “วิมุตติ” คือ ความหลุดพ้น
ปัญหาทั้งหลายเปรียบดั่งทรายที่ทับถมเข้ามาในชีวิต บางคนปล่อยให้ทรายทับถมเห็นภาพที่ไม่อยากเห็นก็ทุกข์ ฟังเสียงที่ไม่อยากได้ยินก็ทุกข์ คิดถึงเรื่องที่ไม่อยากคิดก็ทุกข์ ภาพ รส กลิ่น เสียงมาท่วมทับ เมื่อเจอปัญหาต้องรู้จักวาง สะบัดทิ้งให้เป็นด้วยสติและปัญญา
ทุกท่านทุกคนไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น อะไรจะเกิด ถือว่าเป็นสิ่งที่โชคดีให้เราได้ประพฤติปฏิบัติ เป็นข้อสอบเป็นบททดสอบ ให้เราได้ประพฤติปฏิบัติ ปัจจุบันเราต้องตอบต้องแก้ไข ให้ผ่านไปให้ได้ ทุกคนไม่ต้องลังเลสงสัย พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว เราคิดดีๆ พูดดีๆ รับผิดชอบดีๆ จะผ่านไปได้เป็นเปาะๆ ทุกๆ ขณะ เราทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ โลกจะไม่ว่างจากพระอรหันต์
ปัญหาต่างๆ ไม่มีหรอก อยู่ที่ตัวเรา เรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ทุกอย่างไม่มีปัญหา เพราะเป็นศีลสมาธิปัญญา เป็นวิมุตติหลุดพ้นของเราในปัจจุบัน พระพุทธเจ้าพระอรหันต์จึงเป็นผู้ไม่มีปัญหา เพราะเอาธรรมะเป็นหลัก เอาธรรมะเป็นใหญ่ จึงไม่มีปัญหา เราต้องตั้งธง ปักธงชัยเอาไว้ด้วยสัมมาสมาธิ มีความตั้งมั่น มั่นคงตรงต่อพระนิพพาน มีความเสียสละ มีความศรัทธา มีความสุขเพราะเราได้ทำถูก คิดถูก ปฏิบัติถูกต้องแล้ว
ทุกคนต้องมีความสุขใจในปัจจุบันไปเรื่อยๆ อานาปานสติเราก็เจริญไปเรื่อยๆ ทุกๆ อิริยาบถ หายใจเข้าสบายหายใจออกสบาย หายใจเข้ามีความสุขหายใจออกมีความสุข เราจะได้อยู่กับตัวเรา อยู่กับภายใน เราจะได้ไม่ปล่อยใจล่องลอยไปเหมือนสัมภเวสี ใจล่องลอยลุ่มหลงอยู่กับกามคุณ รูป เสียง กลิ่น รส ลาภ ยศ สรรเสริญ ที่มันฝังอยู่ในใจ เพราะไม่รู้จักคุณค่าของสติ ไม่รู้จักคุณค่าของอานาปานสติ อานาปานสตินี่แหละช่วยเราได้ เพื่อให้กลับมาหาธรรม กลับมาหาสติ คนเรามีความสุขในการหายใจเข้า หายใจออก ก็เป็นบุญเป็นกุศลมากมาย ทำงานอย่างอื่น ก็มีความสุขกับสิ่งที่ทำ ชีวิตเราทุกคนพระพุทธเจ้าให้ทำแบบนี้ปฏิบัติแบบนี้ ไม่เกี่ยวกับสมัยเก่าสมัยใหม่ บางคนหลงลูกเป็นห่วงลูกมากเกินไป คิดแต่ว่ามาบวชแล้ว เคร่งครัด ปฏิบัติเข้ม จะทนได้ จะอยู่ได้ไหม ความจริงคนสมัยใหม่ต้องเก่งกว่าคนสมัยเก่า เพราะมาต่อยอดความรู้ของคนรุ่นเก่า คนสมัยเก่าหรือคนสมัยใหม่ ก็หายใจพอๆ กัน อย่าไปหลงประเด็น จะเป็นความวิตกกังวลเฉยๆ ทุกคนทำได้อยู่แล้ว เมื่อยังหายใจอยู่ ไม่มีคำว่าสาย ไม่ได้สงวนลิขสิทธิ์ว่า อยู่เฉพาะที่วัด อยู่เฉพาะตรงนี้ อยู่ทุกหนทุกแห่งที่มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง แต่เพราะความเห็นผิด ก็เลยทำให้เสียเวลามากมาย
การปฏิบัติธรรมต้องฉลาดขึ้น ไม่ใช่เอาแต่สมาธิ แต่ความฉลาดไม่มีเลย คนปฏิบัติธรรมต้องเก่ง ต้องฉลาด มีความตั้งมั่นในธรรม มีศีล 5 สำหรับผู้ที่อยู่บ้านอยู่ในสังคม ส่วนผู้ที่อยู่ในวัด อยู่ในอาราม ก็ต้องพัฒนาตนเองให้เยี่ยมยอดไปเลย เอาพระวินัยทุกข้อ ทุกสิกขาบทมาประพฤติปฏิบัติ อันไหนไม่ดี ไม่คิด ไม่พูด ไม่ทำ เป็นการประพฤติพรหมจรรย์อย่างละเอียด ไม่ขาดตกบกพร่อง ทุกอย่างอยู่ที่ใจอยู่ที่เจตนาของเราไม่เกี่ยวกับสมัยเก่าสมัยใหม่ สมัยไหนๆ ถ้าทิ้งธรรม ก็เสียหายเหมือนๆกันหมด เพราะว่ามันขาดตัวอย่างแบบอย่าง เพราะเราไปหลงแบบทำตามๆ กันทั้งโลก พี่เอาตัวตนเป็นใหญ่ จึงเป็นพวกส่วนใหญ่ที่เห็นแก่ตัว พากันเวียนว่ายตายเกิดถ้วนหน้า เราต้องมาเอาธรรมาธิปไตยเป็นหลัก ธรรมนูญชีวิตของเราก็คือธรรมาธิปไตย
เราคิดผิด คิดแต่จะเอา จะเอา ใจจึงเป็นมิจฉาทิฏฐิ จึงต้องมารู้จักตนเองเพื่อจะได้เป็นธรรม เป็นปัจจุบันธรรม เราจึงจะได้ไม่หลงทิศหลงทาง ได้เดินตามพระพุทธศาสนาที่แท้จริง เพราะพระพุทธศาสนาปัจจุบัน 99% เป็นเนื้องอก พระพุทธศาสนาที่แท้จริงนั้น พระพุทธเจ้าทรงสอนแต่เรื่องทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทางดับทุกข์ วิธีปฏิบัติเพื่อให้ถึงการดับทุกข์ การเทศน์การสอนของพระพุทธเจ้า ไม่มีอะไรแอบแฝงไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง เหมือนพระอาทิตย์ส่องแสง ให้แสงสว่างทั่วหล้า เราต้องทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า มันเป็นศาสนาที่แท้จริง ปฏิบัติตามคำสอนที่แท้จริง จะได้เข้าถึงแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา คือ วิมุตติ ความหลุดพ้นจากทุกข์ และจะเป็นวิมุตติสุขอย่างแท้จริง
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee