แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันพฤหัสบดีที่ ๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง มนุษย์ที่สมบูรณ์ ตอนที่ ๓๗ เราได้อัตภาพร่างกายเป็นมนุษย์ นับว่าเป็นตำแหน่งที่ประเสริฐ ที่ต้องต่อยอดตนเองให้จิตใจสูงส่งขึ้นไป
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
เราเกิดมาร่างกายเป็นมนุษย์ เป็นผู้ที่ประเสริฐ เราต้องมีสัมมาทิฏฐิมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง เอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นการดำเนินชีวิต ปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์แปด เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปถึงมี เราจะหยุดวัฏสงสารได้ ก็ด้วยเอาธรรมวินัย เอาศีลเอาสมาธิเอาปัญญา ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ มาเป็นการดำเนินชีวิตที่ประเสริฐ ถ้าเราไม่ดำเนินชีวิตอย่างนี้เราก็เป็นได้แต่เพียงคน ตำแหน่งเราก็เป็นได้แต่เพียงเปรต ผี ยักษ์ มาร อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน
มนุษย์เราก็พัฒนา พัฒนาตัวเองทั้งเรื่องของกายและเรื่องของทางจิตใจ พัฒนาเรื่องหน้าที่การงานเพื่อสร้างเหตุสร้างปัจจัย เพียงแค่ความฉลาดของมนุษย์ยังไม่เพียงพอ ต้องเป็นคนดีด้วย ดีในที่นี้คือไม่เบียดเบียนตนเอง ไม่เบียดเบียนคนอื่น ไม่เบียดเบียนตนเอง ก็คือเป็นผู้มีศีล ไม่เบียดเบียนคนอื่น ด้วยการไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่โกหกหลอกลวง การแก้ไขทางร่างกาย ด้วยการสร้างเหตุสร้างปัจจัย ด้วยการมีความสุขในการทำงานอย่างนี้
ผู้ต้องเศร้าโศกในโลกทั้งสอง
อิธ โสจติ เปจฺจ โสจติ ปาปการี อุภยตฺถ โสจติ โส โสจติ โส วิหญฺญติ ทิสฺวา กมฺมกิลิฏฺฐมตฺตโน
ผู้ทำบาป ย่อมเศร้าโศกในโลกทั้งสอง คืออยู่ในโลกนี้ ก็เศร้าโศก ละโลกนี้ไปแล้วก็เศร้าโศก เขาย่อมเศร้าโศกเดือดร้อน เพราะเห็นกรรมอันเศร้าหมองของตน
บางคนเชื่อกรรม คือเชื่อว่า ทำดีย่อมได้รับผลดี ทำชั่วได้รับผลชั่ว แต่เฉพาะในโลกนี้เท่านั้น เขาไม่เชื่อโลกหน้า ชีวิตและกรรมย่อมสิ้นสุดลงเมื่อตาย
บางคนเชื่อเพียงครึ่งเดียวว่าทำดีได้ดี คือหมายความว่า บางทีทำดีก็ไม่ได้ดี ทำชั่ว บางทีก็ไม่ได้ผลชั่ว บางทีก็ได้ แล้วแต่ใครเห็นหรือไม่เห็น
บางคนก็เชื่อกลับกันเสีย คือเชื่อว่า ทำชั่วได้ดีก็มี ทำดีได้ชั่วก็มาก เรื่องทำนองนี้เป็นเรื่องใหญ่อย่างหนึ่งในพุทธศาสนา
ตราบใดที่เขายังไม่เชื่อชาติก่อน ชาติหน้า ความลังเลสงสัยในเรื่องกรรมก็คงยังวนเวียนอยู่ในจิตใจตราบนั้น เพราะเขาไม่อาจมองเห็นผลแห่งกรรมโดยตลอด เหมือนคนไปอยู่ที่ใดที่หนึ่งเพียงวันเดียว จะรู้เรื่องราวของที่นั้นให้ตลอดปลอดโปร่งยากอยู่
ชีวิตเพียงชาติเดียว สั้นเกินไปที่จะพิสูจน์กรรม และผลของกรรม เพราะกรรมมีการยอดไปให้ผลในชาติหน้าอยู่เสมอ การจะเชื่อเรื่องกรรมอย่างแน่นแฟ้นต้องเชื่อเรื่องการเกิดใหม่ หรือชาติหน้าด้วย เมื่อวัวผูกติดอยู่กับเกวียนล้อ เกวียนและโคจะต้องไปด้วยกันอยู่เสมอฉันใด กรรมและผลของกรรมก็ฉันนั้น จะต้องติดตามให้ผลจนกว่าจะหมดแรงของมัน
บาปให้ผลเป็นทุกข์ บุญให้ผลเป็นสุข คนทำบาปไว้ ย่อมเป็นทุกข์ใจทั้งในโลกนี้และโลกหน้า เมื่อถึงคราวกรรมชั่วจะให้ผล ใครจะห้ามก็ไม่ได้ พระศาสดาจึงทรงเตือนว่า "ถ้ากลัวต่อทุกข์ก็อย่าทำบาปทั้งในที่ลับและที่แจ้ง" และว่า "บาปจะไม่ให้ผลนั้นเป็นไม่มี"
การเชื่อเรื่องบาป เรื่องบุญ เรื่องโลกนี้ โลกหน้า มีแต่กำไรไม่ขาดทุน และทำให้เป็นผู้มั่นคงในความดี ไม่ท้อถอยง่าย การไม่เชื่อมีแต่ขาดทุน เพราะอาจถลำตัวลงไปในกรรมชั่วหนักๆ ได้ กว่าจะรู้ก็สายเสียแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้เสียแล้ว เกิดชาติหน้ามีจริง นรกสวรรค์มีจริงขึ้นมาก็เดือดร้อนอย่างนายจุนทสูกริก เป็นต้น
นายจุนทะ ที่มีชื่อต่อท้ายว่า สูกริก นั้น เพราะเป็นคนฆ่าหมูเลี้ยงชีพเป็นประจำ เขาเป็นชาวราชคฤห์ ประกอบการฆ่าหมูอยู่ถึง ๕๕ ปี เมื่อฆ่าแล้วก็กินบ้าง ขายบ้าง ในสมัยข้าวแพง เขาเอาข้าวบรรทุกเกวียนไปตามชนบทเอาไปแลกลูกหมู บรรทุกลูกหมูกลับมาเต็มเกวียน ล้อมคอกเข้า ข้างหลังคอกปลูกผักไว้ให้ลูกหมูกิน หมูพวกนั้นกินผักบ้าง อุจจาระบ้าง อ้วนท้วนสมบูรณ์ เมื่อเขาประสงค์จะฆ่าตัวใด ก็จับตัวนั้นมัดให้แน่นกับที่ ฆ่าแล้วทุบด้วยค้อน ๔ เหลี่ยม เพื่อให้เนื้อพองหนาขึ้น (ให้บวม) แล้วง้างปาก สอดไม้เข้าไปในช่องฟัน กรอกน้ำร้อนที่เดือดพล่านเข้าไปในปากด้วยทะนานโลหะ น้ำร้อนเข้าไปเดือดพล่านอยู่ในท้อง ขับอุจจาระออกมาทางทวารหนัก เขาคอยสังเกตน้ำ ถ้าน้ำยังขุ่นอยู่ก็แสดงว่าอุจจาระยังไม่หมด ถ้าอุจจาระในลำไส้หมดแล้ว น้ำที่ออกมาจะใส ทีนั้นเขาจะราดน้ำร้อนลงบนหลังหนังดำจะลอกออก แล้วเอาไฟลน เอาดาบคมตัดศีรษะ เอาภาชนะรองเลือด เอาเลือดคลุกเคล้าเข้ากับเนื้อแล้วปิ้ง นั่งรับประทานกับบุตรภรรยา เขาเลี้ยงชีพโดยทำนองนี้อยู่ถึง ๕๕ ปี
เมื่อพระศาสดาประทับอยู่ ณ เวฬุวัน อันไม่ไกลจากบ้านของนายจุนทสูกริกนัก เขาไม่เคยถวายอะไรพระศาสดาเลยแม้แต่น้อย บุญอย่างอื่นก็ไม่ได้ทำ ดอกไม้เพียงกำมือหนึ่งก็ไม่เคยบูชา
ครั้งนั้น โรคชนิดหนึ่งเกิดขึ้นในกายของเขา ความเร่าร้อนจากอเวจีมหานรกปรากฏแก่เขาทั้งเป็นทีเดียว ท่านกล่าวว่า ไฟอเวจีนั้นร้อนนัก สามารถทำลายนัยน์ตาของผู้ยืนห่างถึง ๑๐๐ โยชน์ได้ สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ว่า "ความเร่าร้อนในอเวจี แผ่ไป ๑๐๐ โยชน์โดยรอบและมีอยู่ตลอดกาล" ความร้อนใจอเวจีหานรกนั้น แรงกว่าไฟธรรมดามากนัก สมจริง ดังที่พระนาคเสนเถระกล่าวอุปมาไว้กับพระเจ้ามิลินท์ว่า "มหาบพิตร! แม้หินประมาณเท่าเรือนยอด เมื่อทุ่มลงไปในไฟนรก ย่อมแหลกละเอียดในทันที แต่สัตว์ที่เกิดในนรกนั้น ย่อมไม่ย่อยยับ เพราะกรรมรักษาไว้" อำนาจกรรมเป็นไปได้ถึงเพียงนี้
อาการเร่าร้อนในกายได้ปรากฏแก่นายจุนทสูกริกเป็นอันมาก อาการอันเหมาะสมแก่กรรมก็เกิดขึ้น คือ เขาร้องเสียงเหมือนหมู คลานไป-มาอยู่ทั่วเรือน คนในเรือนมีบุตรและภรรยา เป็นต้น จับเขาไว้แล้วปิดปาก แต่ผลแห่งกรรมเป็นเรื่องที่ใครห้ามไม่ได้ เขาเที่ยวร้องอยู่ทั่วเรือน คลาน ๔ ขาเหมือนหมู เรือนที่อยู่รอบๆ ไม่ได้หลับนอน เพราะหนวกหูเสียงของเขา บุตรภรรยาปิดประตูหน้าต่างเรือนแล้วปล่อยเขาไว้ พวกตนออกไปอยู่ภายนอก จุนทสูกริก ร้องคลานไป-มาอยู่ทั่ว ตลอด ๗ วัน พอวันที่ ๘ จุนทสูกริกก็ทำกาละ คือ ตาย
ภิกษุทั้งหลายเดินผ่านไปทางนั้น เข้าใจว่าเป็นเสียงสุกร เมื่อกลับสู่เวฬุวัน เข้าเฝ้าพระศาสดา ทูลว่า "ข้าแต่พระองค์! นายจุนทสูกริก ปิดประตูเรือนฆ่าสุกรมา ๗ วันแล้ว เขาคงทำงานมงคลอะไรสักอย่างหนึ่ง เขาไม่มีเมตตาจิต หรือความกรุณาต่อสัตว์เลย แม้เพียงเล็กน้อย ผู้หยาบช้าร้ายกาจอย่างนี้ ข้าพระองค์ไม่เคยเห็นเลย"
พระศาสดาตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย! เรื่องหาเป็นเช่นนั้นไม่ ผลอันเหมาะสมแก่กรรมได้เกิดขึ้นแก่จุนทสูกริกต่างหาก เขาร้อนเพราะไฟในอเวจีมหานรก เขาเที่ยวร้องเหมือนหมูอยู่ในเรือนถึง ๗ วัน วันนี้ (วันที่ ๘) ทำกาละแล้วไปเกิดในอเวจีมหานรกแล้ว"
"ข้าแต่พระองค์! นายจุนทสูกริกต้องเศร้าโศกในโลกนี้แล้ว ยังต้องไปเกิดในที่อันต้องเศร้าโศกอีกหรือ?"
"อย่างนั้นแลภิกษุทั้งหลาย! ผู้ประมาทจะเป็นบรรพชิตหรือคฤหัสถ์ก็ตาม ย่อมเศร้าโศกในโลกทั้งสอง" พระศาสดาตรัสดังนี้แล้วจึงตรัสย้ำว่า "ผู้ทำบาปย่อมเศร้าโศกในโลกทั้งสอง คืออยู่ในโลกนี้ก็เศร้าโศก ละโลกนี้ไปแล้วก็เศร้าโศก เขาย่อมเศร้าโศกเดือดร้อน เพราะเห็นกรรมอันเศร้าหมองของตน"
ผู้มีกรรมอันเศร้าหมอง เมื่อหวนระลึกขึ้นทีไร จิตใจก็พลันเศร้าหมอง ผู้มีกรรมอันผ่องแผ้ว เมื่อหวนระลึกทีไร ใจก็ผ่องใส ใจเศร้าหมองชักนำไปสู่ทุคติ ใจผ่องใส นำไปสู่สุคติ จึงควรทำใจให้ผ่องใสด้วยการประกอบกรรมดี
ถ้าเราตามใจตัวเองตามอารมณ์ตัวเองตามความรู้สึกตัวเอง ตามอวิชชาความหลงตามที่เราชอบไม่ชอบ มันไม่ถูกทาง ตำแหน่งที่เราตามใจตัวเองตามอารมณ์ตัวเอง มันเป็นตำแหน่งของคน มันเป็นตำแหน่งที่เวียนว่ายตายเกิด ที่นำสู่อบายภูมิ เป็นตำแหน่งของเปรตของผีของยักษ์ของมารของอสุรกาย ของสัตว์เดรัจฉาน ตำแหน่งของสัตว์นรก เราจึงต้องเห็นความประเสริฐที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ต้องพัฒนาตนเอง กับทุกคนทำได้ปฏิบัติได้ เราดูตัวอย่างเมื่อเราประเสริฐอย่างนี้ เราต้องเห็นความสำคัญในการประพฤติในการปฏิบัติ ในภพภูมิที่เราได้อัตภาพร่างกายเป็นมนุษย์นี้ ดูตัวอย่างแบบอย่างพระพุทธเจ้านะ ท่านเกิดมาบำเพ็ญพุทธบารมีมา เพื่อเสียสละ เพราะฉะนั้นเราจะเอาแต่เพียงรูปแบบของความเป็นมนุษย์นั้นมันไม่ได้ ตำแหน่งของมนุษย์นี้สามารถพัฒนาให้เป็นพระอริยเจ้าได้ ตั้งแต่พระโสดาบันจนถึงพระอรหันต์
ลำดับตำแหน่งสูงสุดในจักรวาลที่น่าสนใจ มีการวิ่งเต้นตำแหน่งนี้กันน้อย และกำลังเปิดรับสมัครอยู่เป็นจำนวนมาก ดังนี้
๑. ตำแหน่งพระพุทธเจ้า ๒. ตำแหน่งพระปัจเจกพุทธเจ้า
๓. ตำแหน่งพระอัครสาวก ๔. ตำแหน่งพระอริยสาวก ---พระอรหันต์ ---พระอนาคามี ---พระสกทาคามี---พระโสดาบัน
๕. ตำแหน่งพระเจ้าจักรพรรดิ ๖. ตำแหน่งพระพรหม
๗. ตำแหน่งพระอินทร์ ๘. ตำแหน่งท้าวจตุโลกบาล
๙. ตำแหน่งเทวดา ๑๐. ตำแหน่งพระมหากษัตริย์
๑๑. ตำแหน่งประธานาธิบดี ๑๒. ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
๑๓. ตำแหน่งบัณฑิตนักปราชญ์ ๑๔. ตำแหน่งเศรษฐี
๑๕. ตำแหน่งกัลยาณชน ๑๖. ตำแหน่งสามัญชน
เราเป็นอะไร? ...อยู่ตรงไหนแล้ว? ต่อไปนี้เป็นการประมาณเพื่อให้เห็นภาพชัดเจน ปัจจุบันโลกนี้มีมนุษย์อาศัยอยู่ประมาณเกือบ 8 พันล้านคน แต่เป็นคนที่นับถือศาสนาพุทธทั้งมหายานและเถรวาทราวๆ 7.1% คือ 568 ล้าน (คริสต์ 31.5% อิสลาม 23% ศาสนาฮินดู 15% ไม่มีศาสนา 16% ศาสนาและลัทธิอื่นประมาณ 10% )
ใน 568 ล้านคนนี่ เป็นพุทธแต่ในทะเบียนบ้าน คือไม่มีศรัทธา ไม่เชื่อเรื่องกรรมและผลของกรรม ไม่เชื่อเรื่องทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว สมมุติว่าครึ่งหนึ่ง เหลือ284 ล้านคน
ในจำนวน 284 ล้านคนที่มีศรัทธานี่ ให้ทาน ทำบุญ ทอดกฐิน แต่ยังทำบาปอยู่ ไม่รักษาศีล สมมุติว่าครึ่งหนึ่งของคนเหล่านี้มีศีล 5 เหลือ 142 ล้านคน
ในจำนวนคนที่ถือศีลนี้ ไม่เคยสนใจจะฟังธรรม หรือศึกษาคำสอนที่ลึกซึ้งของพระพุทธเจ้า สมมุติว่าในจำนวนนี้มีผู้สนใจฟังธรรมครึ่งหนึ่งเหลือ 70 ล้านคน
ในจำนวนผู้ฟังธรรมเหล่านี้ ก็ฟังอย่างเดียว ทุกครั้งที่ฟังธรรมก็จะชื่นชมว่า หลวงปู่ หลวงพ่อเทศน์ดี พระอาจารย์เทศน์ดี แต่ไม่เคยคิดจะปฏิบัติธรรมหรือทำตามที่ครูบาอาจารย์เทศน์เลย สมมุติว่าในจำนวนนี้มีผู้สนใจปฏิบัติธรรมด้วยการเจริญสติครึ่งหนึ่ง เหลือ 35 ล้านคน
ในจำนวน 35 ล้านนี้ ปฏิบัติตามคำสอน ทำได้เพียงขณิกสมาธิ คือสมาธิเล็กน้อย ครึ่งหนึ่ง เหลือ 17.5 ล้าน ได้อุปจารสมาธิ สมาธิปานกลางครึ่งหนึ่ง เหลือ 8 ล้าน ได้อัปปนาสมาธิ คือได้ฌาน ครึ่งหนึ่งเหลือ 4 ล้าน
ในจำนวนผู้ได้ฌานนี้สมมุติว่าได้ ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน ลดลงไปครึ่งหนึ่งตลอดเหลือ 2 ล้าน 1 ล้าน 5 แสน 3 แสน 2 แสน คน
ในจำนวนผู้ได้ฌานนี้มีผู้เจริญวิปัสสนาได้ครึ่งหนึ่ง เหลือ ๑ แสนคน ได้เข้าถึงธรรม แต่ยังไม่บรรลุเป็นพระอริยบุคคลครึ่งหนึ่งเหลือ 5 หมื่นคน
ใน ๕ หมื่นคนมีผู้บรรลุมรรคผล เป็นพระอริยบุคคล ๘ ขั้น คือโสดาปฏิมรรค โสดาปฏิผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตมรรค อรหัตผล ลดลงครึ่งหนึ่ง... จะเหลือผู้สามารถบรรลุมรรคผลพ้นทุกข์ไปได้ เพียงไม่กี่ร้อยคน... จากจำนวนคนในโลกปัจจุบันนี้ ๘ พันล้านคน...
“เวลาคนเขาร่อนทอง ทองนั้นอยู่รวมกับดินทราย คนร่อนทองจะค่อยๆ เอาน้ำละลายเศษดินทรายออกจากที่ร่อน จนดินทรายนั้นออกไปหมด เหลือแต่ก้อนทองคำชิ้นเล็กๆ นิดเดียว การปฏิบัติธรรมก็ไม่ต่างกัน เราก็ต้องเลือกทางชีวิตของเรา ว่าจะเป็นก้อนทองที่มีค่า หรือจะเป็นดินทรายที่ถูกร่อนทิ้ง และวนเวียนอยู่ในกองทุกข์ไปชั่วกัปชั่วกัลป์...
หรือถ้าสิ่งนี้คือการแข่งขันกีฬา การชิงชัยในแต่ละรอบคือการผ่านเข้ารอบมาตามลำดับ เราลองถามตัวเองดูซิว่า เราผ่านเข้ารอบมาถึงตรงไหนแล้ว..หรือว่าตกรอบมาตั้งแต่รอบแรกแล้ว...”
ดังนั้น ควรให้ตอบปัญหาของตัวเองว่า ชาตินี้เราเกิดมาเพื่อที่จะหยุดปัญหาหยุดพลังงานแห่งการเวียนว่ายตายเกิด เราต้องปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ด้วยความตั้งใจด้วยการสมาทานด้วยการปฏิบัติ พุทธัง ยาวะนิพพานัง สะระณัง คัจฉามิ ชีวิตนี้เราต้องปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าอย่างไม่มีเงื่อนไข มีความสุขในการที่จะต้องเสียสละ
ถ้าสำหรับบรรพชิตนี้จุดหมายปลายทางของเราคือพระนิพพาน หรือว่า พระอรหันต์ขีณาสพ สำหรับฆราวาสนี้ก็จุดหมายปลายทางของเราคือพระนิพพาน เราไม่ถึงพระขีณาสพเราก็ย่อมถึงพระอนาคามีได้ ขึ้นอยู่ที่เราตั้งใจอยู่ที่เราสมาทาน อุปสรรคทั้งหลายทั้งปวงนั้นย่อมมีแก่เราแน่นอนในการประพฤติในการปฏิบัติ เพราะการปฏิบัตินี้คือ ไฟท์ติ้ง ที่เราทุกคนจะต้องสอบผ่านในปัจจุบัน เราเอาฉันทะเราเอาความพอใจ สัมมาสมาธิเรา ทุกท่านทุกคนต้องพากันตั้งมั่น เอาชีวิตเป็นเดิมพัน ยอมเสียอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต ยอมสละชีวิตเพื่อรักษาธรรม
การทำงานคือการปฏิบัติธรรม พระพุทธเจ้าท่านสอนพวกเราไม่ให้เป็นคนขี้เกียจขี้คร้าน ต้องทำงานต้องเสียสละ มีความขยันมากๆ งานของพระก็คือการรักษาศีลให้ดีๆ ทำจิตใจให้ตั้งมั่นในความดี ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ให้ตั้งมั่นไม่หวั่นไหว ไม่ง่อนแง่น คลอนแคลน เราจะตั้งมั่นแต่ความดี ความดีคืออะไรก็คือมีศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๒๒๗ เดินจงกรมก็ให้มาก นั่งสมาธิก็ให้มาก ทำกิจวัตร ทำวัตรสวดมนต์ ทำความสะอาดห้องน้ำห้องสุขา รักษาเสนาสนะ ดูแลต้นไม้ กวาดถนนหนทาง ที่อยู่อาศัยให้สะอาด พิจารณาร่างกายแยกออกเป็นชิ้นๆ สู่ไตรลักษณ์ พิจารณาเวทนาที่มันสุขมันทุกข์ พิจารณาเวทนาทางจิตใจคือมันชอบไม่ชอบ พยายามทำให้มากๆ เจริญให้มากๆ
คนอื่นเขาไม่ทำหรือเขาจะทำก็ช่างหัวเขา ให้เราตั้งใจประพฤติปฏิบัติ ฝึกให้ใจเราอยู่กับกาย กายมันเดินมันนั่งมันนอน ทำอะไรอยู่ก็ให้ใจมันอยู่กับสิ่งเหล่านั้น พยายามอย่าให้ใจมันเที่ยวข้างนอก ฝึกอานาปานสติไว้ ฝึกหายใจเข้าหายใจออกทุกอิริยาบถ เพื่อให้ใจมันมีเครื่องอยู่ อย่าให้ใจมันว่างจากการจากงาน เพราะว่าใจเราต้องมีเครื่องอยู่ คนเราถ้ามันว่างงานเกิน มันจะฟุ้งซ่าน ต้องหางานให้จิตตัวเองทำ แต่งานนั้นให้เกิดประโยชน์ต่อคุณธรรม
อย่าได้ไปเชื่อกิเลสนะ เพราะกิเลสมันติดสุขติดสบาย ติดขี้เกียจติดขี้คร้าน กิเลสมันชอบไปเอาความสุขทางเนื้อทางหนัง ไปสรวลเสเฮฮาสนุกไปวันๆ วันโน้นทีวันนี้ที กิเลสของคนเรามันไม่ธรรมดา มันเป็นแม่ทัพ มันเป็นบ้าน เป็นเมือง เป็นราชธานี เป็นเมืองหลวง เราพยายามไม่ให้มันมาตั้งในหัวจิตหัวใจเรา นี่เป็นงานของพระของผู้ปฏิบัติ
ส่วนสำหรับงานของญาติของโยม งานทำมาหากิน การค้าการขายเกษตรกร ข้าราชการ รัฐวิสาหกิจต่างๆ เราก็ต้องตั้งอกตั้งใจทำ ทำงานให้สบายให้มีความสุข ให้ใจมันอยู่กับตัว
เราถือว่าเราทำงานเพื่อเสียสละ เราอย่าไปว่างานหนักงานยุ่ง มันเหน็ดมันเหนื่อยไม่ได้พัก เราอย่าไปคิดอย่างนั้น คนเราต้องมีความสุขในการทำงาน มันจะเบื่อหรือไม่เบื่อเราอย่าไปสนใจมัน
เราทำงานทำความดีตั้งแต่เช้าจนถึงนอนหลับ ตื่นขึ้นก็ทำใจดีใจสบายอย่างนั้นทุกๆ วันนั่นแหละ ถ้าใจเรามีความสุขในการทำงานนั่นแหละคือการปฏิบัติธรรม เราอาจจะไม่เห็นคุณค่าในการทำงาน ควรมีความสุขในการปฏิบัติงาน เราคิดว่าการทำงานก็คือเอาแรงกายแรงวาจาได้มาซึ่งวัตถุ ที่แท้จริงนั้นนะคือการทำความดี ความเสียสละของเรา
ตั้งใจทำดีๆ ต้องให้ใจมีความสุข เราต้องการให้มันเสร็จเร็วก็ให้รีบทำแบบมีความสุข ถ้าเราเป็นคนขยัน เป็นคนเสียสละ เป็นคนที่มีศีลมีธรรม ทุกคนจะรักเคารพนับถือเราเพราะเรามีคุณค่า เป็นคนที่มีผลประโยชน์ต่อคนอื่น
คนเราต้องเป็นคนที่มีคุณค่า มีประโยชน์ต่อผู้อื่นไม่ว่าทางกาย ทางวาจา ทางจิตใจ ต้องให้คนอื่นมีผลประโยชน์ในตัวเรา เราอย่าไปเอาผลประโยชน์จากคนอื่น อย่างน้อยต้องมีผลประโยชน์ร่วมกัน ทุกๆ คนต้องเป็นมือเป็นเท้าเป็นใจให้ซึ่งกันและกัน
พระพุทธเจ้าท่านเกิดท่านเป็นผู้ให้ เกิดมาเพื่อเป็นคนเสียสละ ไม่ทำตามใจตัวเอง ท่านจึงได้เป็นพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านมีความสุขมากที่สุดในโลก เพราะท่านเป็นคนเสียสละ ท่านทำการงานให้กับบุคคลอื่นๆ ท่านมีความเมตตา มีความสงสารอย่างไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ ไม่เอาเปรียบมวลมนุษยชาติ ท่านเป็นครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ให้เราตั้งใจประพฤติปฏิบัติตามท่าน
ชีวิตคนเราไม่นานมันก็ตาย มันตายทางร่างกาย มันก็เป็นตามอายุขัย แต่จิตใจของเราถ้ามันไม่หมดกิเลสไม่สิ้นอาสวะ มันต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร เพราะกิเลสเรามี วัฏสงสารมันจึงมี ถ้ากิเลสเราไม่มี วัฏสงสารก็ไม่มี
พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่าเพราะสิ่งนั้นมีสิ่งนั้นจึงมี ธรรมทั้งหลายทั้งปวงมีเหตุมีปัจจัย ถ้ามีเหตุผลมันก็ถึงมี ที่เรามีความเป็นอยู่ทุกวันนี้ล้วนมาจากเหตุจากปัจจัย ไม่ใช่ว่าเกิดขึ้นลอยๆ โดยไม่มีเหตุ ท่านจึงให้สร้างเหตุสร้างปัจจัยให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท
คนเราที่มันได้เกิดเป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นพี่ เป็นน้อง ได้ประพฤติปฏิบัติร่วมกันได้เคยสร้างเหตุสร้างปัจจัยมาร่วมกัน
คนเราคนเก่าถ้าปฏิบัติอย่างเก่าๆ มันก็จะเป็นอย่างเก่าๆ มันต้องปฏิบัติให้ดีมากกว่าเก่าๆ ต้องดีอย่างสม่ำเสมอ คนเรานี่คิดดูมันก็แปลก อยากให้คนอื่นเคารพรักนับถือ แต่การประพฤติปฏิบัติมันไม่สมเหตุสมผล ทุกๆ คนพร้อมจะเคารพนับถือเรา พร้อมที่จะให้ความไว้วางใจ พร้อมที่จะให้เก้าอี้เรานั่ง ขอให้เราเป็นผู้เสียสละ เป็นผู้มีศีล ประพฤติกายวาจาใจให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท เป็นคนที่มีสมาธิตั้งมั่นไม่หวั่นไหว ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ให้มันตั้งอยู่และดับไป ไม่หวั่นไหว มีพระธรรมคำสั่งสอนเป็นจุดยืน มีความสุขมีความสงบ มีจิตใจเปรียบเสมือนแอร์คอนดิชั่นเนอร์อยู่ในตัวในจิตใจ มีสติมีปัญญารู้จักรู้แจ้งว่าความโลภ ความโกรธ ความหลงนี้เราจะทำตามไม่ได้ ถึงจะมาในภาพสวย ภาพเอร็ดอร่อย สุขสบาย น่าเพลิดเพลิน ก็มีความรู้จักรู้แจ้งว่านี่แหละทุกข์
ถ้าเราปฏิบัติอย่างนี้ทุกคนจะให้ความเคารพไว้วางใจ ทุกคนเขาจะแต่งตั้งเราเอง ทุกคนจะเคารพกันได้ก็ต้องมีความดีมีคุณธรรมมีศีลมีธรรม
คนเรานั้นปัญหาต่างๆ ในโลกนี้มี แต่ว่ามันไม่มีถ้าจิตใจของเราไม่มีปัญหา ทำไมจิตใจจึงมีปัญหาก็เพราะจิตใจมีอัตตามีตัวมีตน มันมีเรา มันมีตัวของเรา เราพยายามละสักกายทิฏฐิ เราอย่าไปถือว่าร่างกายเป็นเรา ว่าเวทนา ว่าสุขว่าทุกข์เป็นเรา ความจำได้หมายรู้เป็นเรา เราจะเอาความคิดโน่นคิดนี่เป็นเรา เราอย่าไปเอา เราพยายามคืนธาตุคืนขันธ์นี้สู่ธรรมชาติ เราพยายามรู้จักรู้แจ้ง มันจะได้หลับสนิท มันจะมีนิพพานในอกในใจ มันจะได้รู้ว่าทำจิตใจแบบนี้มันดี มันสงบมันเย็น คนไม่ตายไม่มีความทุกข์ทางจิตทางใจ
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็มารวมอยู่ที่จิตใจของเรานั้นแหละ เราพยายามสร้างกายของเรา สร้างวาจาของเรา สร้างใจเราให้มันเป็นพระ พระแปลว่าผู้เสียสละ เห็นภัยในวัฏสงสาร พระคือผู้ไม่มีตัว ไม่มีตน ไม่มีพี่ ไม่มีน้อง ไม่มีลูก ไม่มีหลาน ไม่มีทรัพย์สมบัติ อะไรๆ ที่มันมีอยู่มันเป็นของชั่วคราว เหมือนลมผ่านมาผ่านไป เหมือนพยับแดดเดี๋ยวมันก็ไม่มี
พระพุทธเจ้าให้เราฝึกใจอย่างนี้ๆ ทุกๆ วัน อินทรีย์บารมีของเราจะค่อยๆ แก่กล้าขึ้น นี่เป็นงานของเราทั้งทางกายทางจิตใจในชีวิตประจำวัน เราปฏิบัติแบบนี้ชื่อว่าเป็นนักปฏิบัติธรรม
ทุกๆ คนต้องตั้งใจประพฤติปฏิบัติ ไม่มีใครมาปฏิบัติแทนเราได้ เราถือว่าเราเป็นคนมีบุญ มีชีวิตอยู่ที่เรายังไม่ตาย มัจจุราชคือความตายยังให้โอกาสเราได้ทำความดี สร้างบารมี ด้วยเหตุนี้เราถึงต้องปฏิบัติเดินตามรอยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee