แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันจันทร์ที่ ๔ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง มนุษย์ที่สมบูรณ์ ตอนที่ ๓๕ ผู้ควรและไม่ควรแก่การห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ขึ้นอยู่ที่การปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอนหรือไม่
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
เราทุกคนต้องมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง จะได้บริโภคธรรมโอสถ เราจะเอาพ่อแม่ปู่ย่าตายายเอาข้าราชการเอานักการเมืองเอานักบวชที่มีความเห็นไม่ถูกต้องที่มีความเข้าใจไม่ถูกต้อง มาเป็นแบบมาเป็นตัวอย่างนั้นไม่ได้ เพราะว่ามันยังสีดำอยู่สีเทาอยู่ ทำไปเพื่อประกอบทุกข์อยู่ ทำไปเพื่อสร้างวัฏสังสารอยู่ มันไม่ใช่พระนิพพาน สิ่งดับทุกข์ถ้าเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งนั้นไม่ได้ ปัจจุบันเราถึงต้องรู้จักเรื่องทางร่างกาย รู้เรื่องทางจิตทางใจ ต้องให้อาการทางกายให้ถูกต้อง ด้วยการไม่ทำบาปทั้งหลายทั้งปวง รถคันหนึ่งๆ ต้องมีอุปกรณ์ครบเครื่อง พร้อมทั้งคนขับพร้อมทั้งน้ำมันพาไป เครื่องบินลำหนึ่งก็ต้องมีอะไหล่อุปกรณ์ครบเครื่องพร้อมทั้งน้ำมันพร้อมทั้งคนขับพาไป การพัฒนาถึงเป็นการพร้อมทั้งกายพร้อมทั้งใจไปพร้อมๆ กัน เรามีรถคันหนึ่งอุปกรณ์ไม่ครบ เราก็ไปไม่ได้ น้ำมันก็ไม่มี เราเป็นมนุษย์ แบรนด์เนมของเราเป็นมนุษย์ มนุษย์คือผู้ที่มีความเห็นถูกต้อง มีความเข้าใจถูกต้อง พัฒนาทั้งกายทั้งใจไปพร้อมๆ กัน ถึงเป็นมนุษย์ได้ ถ้างั้นก็เป็นได้แต่เพียงคน เราดูตัวอย่างแบบอย่างพระวัดบ้านพระวัดป่าพระมหายานหินยานวัชรยาน ที่ไปไม่ได้ ก็เพราะอะไหล่ไม่ครบ คือพากันทิ้งพระวินัยทิ้งพระสิกขาบทน้อยใหญ่ เพื่อหยุดอวิชชาความหลงทางจิตใจ มันไม่ได้ปรับตัวเข้าหาธรรมวินัยเข้าหาเวลา มันไปไม่ได้ มันไม่มีอะไหล่ครบ มันไม่มีน้ำมัน ไม่มีคนขับพาไป
ความเป็นพระถึงอยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้องมีความเข้าใจถูกต้อง เราจะไปเน้นแต่ทางใจมันไม่ได้หรอก เหมือนพวกขี้เหล้าคุยกัน ทุกอย่างมันอยู่ที่ใจ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งนะ ถ้าพวกขี้เหล้าแน่จริง ก็ไม่ต้องทานข้าว เพราะมันอยู่ที่ใจ ทำไมไม่เอาแต่ใจละ เราเป็นคนรุ่นใหม่เราเป็นคนสมัยใหม่ เราเป็นนักวิทยาศาสตร์ เราเป็นพุทธะ เราได้มองเห็นความบกพร่องที่เกิดมาก่อนว่า มันไปไม่ได้ เพราะมันมีแต่รถ อะไหล่ที่จะทำให้วิ่งมันไม่ได้ประกอบ พระที่เป็นสายของพระพุทธเจ้านั้น ต้องไม่ทิ้งศีล ต้องไม่ทิ้งสมาธิ ต้องไม่ทิ้งปัญญา ปัญญาที่ดูแลทั้งสุขภาพทางกายสุขภาพทางจิตใจไปพร้อมๆ กัน ถ้างั้นเราก็ไม่ได้เป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า ลูกศิษย์ของพระอรหันต์ มาดูปัจจุบันเป็นตัวอย่าง เป็นพระก็พากันหาอยู่หาฉัน เป็นประชาชนก็พากันหาอยู่หากิน พากันเป็นนักปรัชญา ยกตัวอย่างท่านพุทธทาสภิกขุสอนดีมาก แล้วก็ถูกต้อง เป็นบุคคลสำคัญของโลก แต่ถ้าไม่ได้เน้นพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ ภิกษุสามเณรก็ไปไม่ได้ มันทิ้งศีลมันทิ้งวินัย มันถึงเป็นเพียงนักปรัชญา อะไรก็จิตว่าง จิตว่าง สุดท้ายก็ว่างจากมรรคผลนิพพาน
การทิ้งสิกขาบทน้อยใหญ่มันคือการมีเพศสัมพันธุ์ทางกายมีเพศสัมพันธุ์ทางจิตใจ ไม่ได้เข้าสู่ทางสายกลาง เป็นสิ่งที่สุดโต่งอยู่ ไม่ได้พัฒนาใจ เอาแต่จิตว่างน่ะ พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ ถึงมีความเมตตาบอกสอนพระธรรมวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ ที่มีในพระวินัยปิฎก ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ที่นำมาสวดในพระปาฏิโมกข์ ๒๒๗ ข้อ ผู้ที่บวชอยู่ตามวัดบ้านอะไรก็มีแต่เอารูปแบบพระศาสนาหาอยู่หาฉัน จึงเป็นสิ่งที่เสียหายมาก ประเทศไทยเสียทรัพยากร เป็นการทำลายความมั่นคงของทรัพยากรมนุษย์ พากันหลงมัวเมาวัตถุ ไม่เอาจิตใจ คิดว่าแก้ไขได้ไหม แก้ไขได้ เพราะรู้ว่าทางนี้มันไปไม่ได้ มันเดินทางติด เราไม่เอาตัวตนเป็นหลักไม่เอานิติบุคคลตัวตนเราเขา ปฏิบัติที่ไหนมันก็ดับทุกข์ได้ ถึงจะเป็นมหายานใส่กางเกงก็ให้เอาธรรมวินัยด้วยตั้งใจด้วยเจตนา พยายามศึกษาพระวินัยให้เข้าใจ ปรับตัวเข้าหาพระวินัยภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เรื่องโกงกินเรื่องคอรัปชั่นจะได้ลดลง
ต้องจับหลักของพระพุทธเจ้าให้ได้ พวกเราพากันเพี้ยนไปใหญ่เลย เพราะเอาเงินเอาลาภเอายศเอาตำแหน่งเป็นที่ตั้ง เราดูแล้วลูกศิษย์ของครูบาอาจารย์ที่เป็นพระอรหันต์ขีณาสพ ก็อาศัยแบรนด์เนมของครูบาอาจารย์ เพราะยังไม่รู้ไม่เข้าใจว่า ความดับทุกข์ที่แท้จริงมันอยู่ที่เราปรับตัวเข้าหาเวลาปรับตัวเองเข้าหาธรรมวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ ถ้าทำตามใจตามอารมณ์ก็เป็นโจรใหญ่ระดับโลก เหมือนที่เราเห็นกุลบุตรลูกหลานที่มาบวช ต้องไม่เดินตามความหลงตามอวิชชาตามความเห็นผิด เพราะกว่าจะรู้ตัวเองก็เสียเวลาไปหลายสิบปี เราเป็นคนฉลาดก็ต้องคิดดู พระพุทธเจ้าท่านระลึกชาติได้หลายร้อยชาติพันชาติหมื่นชาติหลายล้านชาติ ท่านมองเห็นอดีต เราก็เหมือนกันก็ต้องมองดูสิ่งไหนทำผิด ก็ไม่ทำ เราพัฒนากายเราพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ที่ไม่เป็นบาป เราพัฒนาใจ ที่ทุกคนต้องให้อาหารใจ ไม่ใช่ให้อวิชชาความหลงทางใจเป็นอาหาร เราทำอย่างนี้ไม่มีความทุกข์หรอก ที่มันทั้งตามใจตามอารมณ์มีแต่อวิชชามีแต่ความหลง มันมีแต่ความทุกข์เท่านั้นที่เกิดมีแต่ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป มันคือธรรมะ ไม่ใช่บุคคลตัวตนเราเขา ยิ่งธรรมะยิ่งวินัยหลายพันหลายหมื่นหลายแสนหลายล้าน ยิ่งเยอะยิ่งดี เพราะจะได้เอามาประพฤติปฏิบัติ มีความสุขในการทำงาน ในการรักษาธรรมวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ เราจะได้หยุดวัฏสังสาร มันก็ไม่มีความทุกข์ เราจะเอาความสุขความทุกข์ทางร่างกาย สิ่งเหล่านี้มันเป็นเทวทูตที่จะมาให้เรามองเห็น ศาสนาพุทธมันไม่ใช่แค่สมาธิ มันต้องได้นิพพานในชีวิตประจำวัน มันต้องว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ว่างจากทุกหนทุกแห่ง ต้องกลับมาหาพระพุทธเจ้าหาธรรมะหาความสงบทางจิตใจของเรา จะได้เป็นเตสัง วูปสโม สุโข ที่ได้กลับมาหาความสงบระงับในสังขาร
ทุกท่านทุกคนอย่าไปขี้เกียจขี้คร้าน พระคุณเจ้าทั้งหลายมันต้องตื่นตี 3 มาทำสมาธิ พระวัดบ้านทั้งหลายไม่สนใจตื่นขึ้นมาทำวัตรเช้าทำวัตรเย็นอั นนี้มันไม่ได้ มันเป็นการขี้เกียจขี้คร้าน การดำรงค์ชีวิตของเราคือการไฟท์ติ้งในปัจจุบัน เราดูตัวอย่างในปัจจุบัน ถ้าเราทำตามเวลา เราจะรู้สึกเครียดนั่น มันเป็นมิจฉาทิฏฐิปรับตัวเข้าหาเวลาปรับตัวเข้าธรรมะ ธรรมะไม่ใช่นิติบุคคลตัวตนเราเขา มันถือธรรมะมันคือหน้าที่ เราต้องพากันฝึก เราต้องพากันปฏิบัติ เราเป็นฆราวาสก็บวชได้พอๆ กัน แต่นักบวชได้สิทธิพิเศษ บ้านไม่ต้องเช่าข้าวไม่ต้องซื้อ โยมก็เอาของมาถวายยังไม่สำนึกอีก ยังเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง มันไม่เอาธรรมะเอาวินัย ยังเป็นตัวตนเราเขาอีก เราต้องปรับตัวเข้าหาธรรมวินัยนะ เราเป็นฆราวาสก็ทำได้เหมือนพระ เราเป็นฆราวาสก็ปรับตัวได้เหมือนพระนะ ถ้าฝึกใจให้ติดต่อต่อเนื่องเหมือนไก่ฟักไข่
พระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่เป็นสิ่งที่ดีมาก ธุดงควัตรที่เอามาประพฤติปฏิบัติเป็นสิ่งที่ดีมาก เราทุกคนจะได้เข้าสู่พระพุทธศาสนา เราคิดว่าสำคัญแค่สิกขาบทใหญ่ เช่น ปาราชิก สังฆาทิเสส ถุลลัจจัย ปาจิตตีย์ เป็นต้น ถ้าเราเอาแต่สิกขาบทใหญ่ มันก็เพียงพอ เราต้องหยุด มาคิดใหม่ เพราะเราไม่ได้เป็นพระอรหันต์ ถ้าเราไม่เข้าสู่พระวินัยอย่างละเอียด เรียกว่าเสพกาม เรียกว่ามีเมียทั้งวันทั้งคืน พระที่ทิ้งสิกขาบทน้อยใหญ่ คือพระที่มีผัวมีเมียทั้งวันทั้งคืน ให้คิดแบบคนมีปัญญาสิ พระที่เอาแต่แบรนด์เนมคือผู้ที่หลอกลวงประชาชน ผู้ที่มาบวชต้องรู้ว่าต้องทำตามพระพุทธเจ้า ไม่อย่างนั้นท่านคือมหาโจร โจรมีตำแหน่ง โจรมียศ เห็นไหมโจรมียศมีตำแหน่ง คือตำรวจที่เก็บส่วยตามถนนพวกโจรในตำแหน่ง เราเป็นมนุษย์ต้องมีความสุขในการทำงาน ปรับตัวเองเข้าหาธรรมะ เข้าหาเวลา คนมีตัวตนมันนอนไม่หลับนะ
ผู้ควรและไม่ควรห่มผ้ากาสาวะ
อนิกฺกสาโว กาสาวํ โย วตฺถํ ปริทเหสฺสติ อเปโต ทมสจฺเจน น โส กาสาวมรหติ
โย จ วนฺตกสาวสฺส สีเลสุ สุสมาหิโต อุเปโต ทมสจฺเจน ส เว กาสาวมรหติ
ผู้ใดยังมีกิเลสดุจน้ำฝาด (คือมีกิเลสหนาเหนียวแน่น) ปราศจากทมะ และสัจจะ ผู้นั้นไม่ควรห่มผ้ากาสาวะ ส่วนผู้ใดคายกิเลสดังน้ำฝาดนั้นได้แล้ว มั่นคงในศีลทั้งหลาย ประกอบด้วย ทมะ และ สัจจะ ผู้นั้นควรห่มผ้ากาสาวะ
กิเลส มีกามราคะ ความกำหนัดในกามเป็นต้น ท่านเรียกว่า กิเลสดุจน้ำฝาด ทมะ นั้น หมายถึง การฝึกอินทรีย์ ๖ ให้เชื่อง คือ การฝึกตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ ให้เชื่อง ไม่มีพิษสงในการนำความทุกข์มาให้ ไม่ต้องทำบาปเพราะตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจนั้น
สำหรับภิกษุ พระศาสดาตรัสว่า ถ้าจะต้องทำบาปเพราะตาเป็นต้นแล้ว ก็ให้ควักนัยน์ตาออกเสีย ในอินทรีย์อื่นๆ ก็เหมือนกัน
ฆราวาสก็มีความจำเป็นในการฝึกอินทรีย์เหมือนกัน แม้ใน ฆราวาสธรรม กล่าวคือ ธรรมสำหรับฆราวาส พระศาสดาก็ทรงบัญญัติ ทมะไว้ประการหนึ่งด้วยดังนี้ สัจจะ ความจริงใจต่อกัน ทมะ การข่มอินทรีย์ ๖ ขันติ อดทนต่อหนาวร้อน ความลำบาก ตรากตรำ จาคะ การเสียสละ สงเคราะห์ครอบครัว และสังคม
สัจจะ นั้น มีนัยเป็นอเนก คือมีคำอธิบายมากแล้ว แต่ว่าสัจจะนั้นมาในธรรมหมวดใด มีความหมายต่างกันออกไป กล่าวโดยปาริเสสนัย คือยังมีนัยอื่นๆ อีก เจาะเอาเฉพาะที่พระศาสดาตรัสไว้ในที่นี้แต่ความหมายเดียวก่อน ในที่นี้ท่านหมายถึง วจีสัจจะ คือพูดจริง
บุคคลผู้ไม่มี ทมะ และ สัจจะ ยังมีกำหนัดกล้าในกามคุณ ๕ มีรูปเป็นต้น ท่านว่าไม่ควรห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ส่วนผู้ปราศจากความกำหนัดกล้า แต่ประกอบด้วยทมะ และสัจจะ จึงควรห่มผ้ากาสาวะ
เรื่องประกอบ เรื่องพระเทวทัต
สมัยหนึ่ง พระอัครสาวกทั้งสอง คือพระสารีบุตรและพระมหาโมคคัลลานะ พาบริวารของตนไปยังนครราชคฤห์ ชาวนครราชคฤห์ชวนกันถวายอาคันตุกทาน คราวหนึ่งพระสารีบุตรได้อนุโมทนา ใจความว่า "ผู้ถวายทานด้วยตนเอง ไม่ชักชวนผู้อื่น ย่อมได้เฉพาะโภคสมบัติ แต่ไม่ได้บริวารสมบัติ, ผู้ชักชวนผู้อื่น แต่ไม่ทำด้วยตนเอง ย่อมได้บริวารสมบัติ แต่ไม่ได้โภคสมบัติ ผู้ชักชวนผู้อื่นด้วย ทำด้วยตนเองด้วย ย่อมได้ทั้งบริวารสมบัติและโภคสมบัติ, ส่วนผู้ไม่ทำเอง และไม่ชักชวนผู้อื่น ย่อมไม่ได้สมบัติทั้งสอง เกิดในที่ใดก็เป็นคนอนาถา ไม่ได้อาหารสักว่าพออิ่มท้อง"
ชายคนหนึ่งฟังอนุโมทนากถาของพระสารีบุตรแล้ว ต้องการให้สมบัติทั้งสองเกิดแก่ตน จึงนิมนต์พระเถระ พร้อมทั้งบริวารเพื่อรับภัตตาหารในวันรุ่งขึ้น พระทั้งหมดมีประมาณหนึ่งพันรูป
เมื่อนิมนต์พระแล้วก็เที่ยวชักชวนคนทั้งหลายให้ช่วยกันรับเป็นเจ้าภาพ บางคนรับ ๑๐ รูป บางคน ๒๐ รูป บางคน ๑๐๐ รูป ตามกำลังศรัทธาและกำลังทรัพย์ อุบาสกผู้นั้นได้เจ้าภาพเพียงพอแล้วจึงประกาศว่า "เราทั้งหลายจักประชุมกันหุงต้มในที่เดียวกัน ขอท่านทั้งหลายจงรวบรวมของต่างๆ มาไว้ในที่เดียวกัน"
ครั้งนั้นมีกุฎุมพีคนหนึ่ง ได้ให้ผ้ากาสาวะอันมีราคาถึงแสน ซึ่งนำมาจากแคว้นคันธาระ แก่บุรุษผู้เป็นบัณฑิตนั้น พร้อมกับสั่งว่า "ถ้าของทำบุญ (ทานวัฏฏ์) ของท่านยังไม่เพียงพอ ท่านพึงเอาผ้าผืนนี้เติมเข้าไป หรือขายผ้าผืนนี้แล้ว ซื้อของอย่างอื่นมาทำบุญ แต่ถ้าของทำบุญของท่านมีพอแล้วก็ขอให้ถวายผ้านี้แก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งที่ท่านต้องการ"
แต่ปรากฏว่า ของทำบุญทุกอย่างมีพร้อม สิ่งบกพร่องมิได้มี อุบาสกจึงถามเพื่อนทั้งหลายผู้ร่วมทำบุญว่า จะถวายผ้านี้แก่ภิกษุรูปใด บางพวกกล่าวว่า ควรถวายพระสารีบุตร บางพวกว่าพระสารีบุตร นานๆ ท่านมาครั้งหนึ่ง ส่วนพระเทวทัตอยู่ประจำ เป็นสหายในงานมงคลและอวมงคลทั้งปวง ควรถวายแก่พระเทวทัต เถียงกันพอสมควร แต่เสียงข้างพระเทวทัตมีมากกว่า จึงตกลงถวายแก่พระเทวทัต
พระเทวทัตตัดผ้านั้น เย็บและย้อมแล้ว นุ่มห่มเที่ยวไปในที่ต่างๆ มนุษย์ทั้งหลายเห็นแล้วพูดกันว่า ผ้านั้นดีเกิน หาควรแก่พระเทวทัตไม่ แต่ควรแก่พระสารีบุตร พระเทวทัตห่มผ้าอันไม่สมควรแก่ตน
ครั้งนั้น มีภิกษุรูปหนึ่งไปจากกรุงราชคฤห์ ไปเฝ้าพระศาสดาที่วัดเชตวันเมืองสาวัตถี ได้ทูลเล่าเรื่องทั้งปวงให้ทรงทราบ พระศาสดาตรัสว่า พระเทวทัตใช้ผ้าอันไม่สมควรแก่ตนในบัดนี้เท่านั้นก็หามิได้ แม้ในกาลก่อน พระเทวทัตก็ใช้ผ้าไม่ควรแก่ตนมาแล้วเหมือนกัน เมื่อภิกษุรูปนั้นทูลถาม ก็ทรงนำเรื่องอดีตมาเล่าว่า ในอดีตกาล มีนายพรานช้างคนหนึ่งเป็นชาวเมืองพาราณสี ล้มช้างแล้วนำงา เนื้อล่ำ และไส้ใหญ่ไปขายเลี้ยงชีพ คราวนั้นมีช้างหลายพันหากินอยู่ในป่า ได้เห็น พระปัจเจกพุทธเจ้า ก็คุกเข่าทั้งสองลง แสดงอาการเคารพแล้วเดินไป
วันหนึ่งนายพรานช้างเห็นกิริยานั้นแล้ว คิดว่า "เราล้มช้างพวกนี้ยาก ก็มันเห็นอะไรหนอจึงแสดงอาการจบ" เมื่อรู้ว่ามันเห็น ผ้ากาสายะ จึงปรารถนาได้ผ้ากาสายะมาคลุมกาย เมื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าลงสู่สระเพื่อสรงน้ำ เปลื้องผ้ากาสายะไว้ริมสระ พรานช้างลักจีวรนั้น แล้วถือหอกนั่งคลุมโปงอยู่ริมทางที่ช้างผ่านไป-มา หมู่ช้างเห็นเขาแล้ว จึงจบด้วยเข้าใจว่าเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า พรานจึงพุ่งหอกมุ่งเอาตัวสุดท้าย แล้วนำงาและส่วนต่างๆ ไปขายเลี้ยงชีพ
พรานนั้นทำอยู่อย่างนี้เป็นเวลานาน จนกระทั่งพระโพธิสัตว์มาถือปฏิสนธิในกำเนิดช้าง เป็นนายโขลง พระโพธิสัตว์เห็นบริวารของตนร่อยหรอไปผิดปกติ จึงถามช้างอื่นๆ แต่ไม่มีใครทราบ
พระโพธิสัตว์คิดว่า "ช้างทั้งหลายจะไปไหนก็ต้องบอกเราก่อน ไม่บอกแล้วไป ไม่เคยมี คงจักต้องมีอันตรายบางอย่างเป็นแน่แท้" นึกสงสัยบุรุษผู้นั่งคลุมผ้ากาสายะ วันหนึ่งพระโพธิสัตว์ให้ช้างบริวารเดินล่วงหน้าไปก่อน ส่วนตนเดินสังเกตการณ์และระวังตัวมาข้างหลัง เมื่อช้างทั้งหลายจบแล้วเดินผ่านไป พรานเห็นพระโพธิสัตว์เดินมาโดดเดี่ยว จึงแหวกจีวรพุ่งหอกออกไป
พระโพธิสัตว์เดินระวังตัวอยู่แล้ว จึงถอยหลังไปหน่อยหนึ่งหลบหอก แล้ววิ่งแปร๋นเข้าหานายพราน-พรานเห็นดังนั้น วิ่งไปหลบที่ต้นไม้
พระโพธิสัตว์เอางวงรวบพร้อมทั้งต้นไม้ หมายใจว่าจักฟาดลงบนแผ่นดิน แต่พอเห็นผ้ากาสายะ ใจก็สลดลง ยับยั้งสติไว้ พลางคิดว่า "ถ้าเราประทุษร้ายบุรุษนี้ ชื่อว่าทำลายความละอายในพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระขีณาสพหลายพันองค์" จึงถามพรานว่า ได้ฆ่าหญิงของท่านมากมายหรือ? พรานรับเป็นสัตย์
พระโพธิสัตว์จึงกล่าวว่า "ทำไม ท่านจึงทำกรรมอันหยาบช้าเห็นปานนี้ ท่านห่มผ้าไม่สมควรแก่ตน ผ้าอย่างนี้สมควรแก่ท่านผู้ปราศจากราคะ ท่านได้ทำกรรมหนักเสียแล้ว" ดังนี้แล้ว จึงกล่าวคำอย่างเดียวกับที่ยกขึ้นกล่าวไว้แล้วแต่เบื้องต้น แล้วโอวาทว่า ต่อไปภายหน้าอย่าได้ทำกรรมอย่างนี้อีก แล้วปล่อยเขาไป
พระศาสดานำเรื่องนี้มาเล่าแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า "พรานในครั้งนั้น คือเทวทัตในครั้งนี้ ช้างโพธิสัตว์คือเราตถาคต" ดังนี้แล้ว ทรงย้ำอีกว่า "มิใช่เพียงในกาลนี้เท่านั้น แม้ในกาลก่อน เทวทัตก็ใช้ผ้าไม่สมควรแก่ตนมาแล้ว" ทรงปรารภเรื่องนี้เป็นเหตุ พระศาสดาจึงตรัสพระพุทธภาษิต เรื่องผู้ควรและไม่ควรแก่การห่มผ้ากาสาวะ ดังได้ยกขึ้นกล่าวแล้วในเบื้องต้น
ทุกท่านทุกคนต้องเปลี่ยนเเปลงตัวเอง พัฒนาตัวเอง ปรับตัวเองอย่างเต็มที่เลย เมื่อก่อนเดินไปทางทิศตะวันตก ทีนี้หันหลังกลับไปเดินทางทิศตะวันออกเลย ออกจากโลก ออกจากวัฏฏะสงสาร ผู้ที่อยู่ที่บ้านก็ประพฤติพรหมจรรย์เบื้องต้น คือศีล 5 ให้เรามีความสุขในการถือศีล 5 ตั้งใจตั้งเจตนา อันไหนเป็นศีล เป็นข้อวัตรปฏิบัติ เราต้องตั้งใจตั้งเจตนา มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เราอย่าไปสงสัยว่าเราปฏิบัติได้หรือไม่ได้? มันได้ มันได้ทุกคนถ้าเสียสละ มันถึงจะเก่ง เอาให้มันเป็นธรรม เป็นปัจจุบันธรรม เป็นคุณธรรม ทุกคนพากันตั้งใจนะ
วัดคือข้อวัตรปฏิบัติ วัดอยู่ที่ทุกคนในชีวิตประจำวัน มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ทุกคนปัญหาต่างๆ ในโลกมันไม่มีหรอก ต้องกลับมาหาตัวเอง กลับมาเเก้ไขตัวเอง กลับมามีความสุขในการประพฤติปฏิบัติ เพราะเวลาของเรามันมีค่ามีราคาเวลา เราต้องกลืนกินเวลาด้วยการประพฤติการปฏิบัติ ถ้าเราไม่ปฏิบัติ เวลาจะกินเราปล่อยให้เราเเก่ไปเฉยๆ อย่างนี้มันก็ไม่ได้ มันเสียหาย จะมีประโยชน์อะไร ไปหาอยู่หากิน ให้มันเเก่ไปเฉยๆ เเล้วก็ไม่มีอะไร
เราเป็นพระนี่นะ ถึงเราจะเทศน์ไม่เก่ง สอนไม่เก่ง "ไม่สำคัญ ไม่มีปัญหา" เราช่วยพระศาสนาได้ด้วยการเป็นพระที่ดี เป็นพระที่เดินตามรอยพระพุทธเจ้า การพูด การเทศน์ การสอนเป็นร้อยครั้ง ก็สู้เป็นตัวอย่างที่ดีให้หมู่คณะ ให้ญาติโยมดู...ไม่ได้
พระพุทธเจ้าท่านให้เราพัฒนาตัวเอง พัฒนาทางจิตใจ ที่มันเป็นพระพเนจรไม่เดินตามรอยพระพุทธเจ้า มันถึงทำให้เรามีปัญหา เรามันชอบพเนจรไปใน 'ทิศ' ทั้งสี่ สุดท้ายก็ได้เป็น 'ทิด' กันเป็นแถวๆ ตามบาปตามกรรมที่ตัวเองทำไว้ เพราะว่าความเผอเรอ ความประมาทในสิ่งเล็กๆ น้อยๆ อนุโลมตามญาติตามโยมที่มีเจตนาดี มีความมุ่งหวังดี แต่ตั้งอยู่ในความประมาทมากเกินไป
พระพุทธเจ้าท่านมีเมตตาต่อเราทุกคน ก่อนที่ท่านจะเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพาน ท่านก็ตรัสโอวาทครั้งสุดท้ายไว้ว่า "สังขารทั้งหลายทั้งปวงมันไม่เที่ยง ท่านจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด" นี้เป็นพระวาจามีในครั้งสุดท้ายของพระตถาคตเจ้า
พระเรานี้ก็แปลกนะ! ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบพอสมควร ญาติโยมเขานิมนต์ไปที่โน่นที่นี่ ไปเมืองนอกเมืองนา ก็พากันดีใจพอใจ ยิ้มๆ กันนะ...พระพุทธเจ้าท่านให้เราระวังตัวดีๆ เดี๋ยวจะเป็น 'พระสัญจร' เดี๋ยวจะเป็น 'พระพเนจร' ลืมเนื้อลืมตัว ลืมการประพฤติปฏิบัติของตัวเอง ไม่ได้เอาพระธรรมพระวินัยเป็นที่ตั้ง เอาญาติเอาโยมเป็นที่ตั้ง "โยมเขาว่าอย่างไรก็เอาอย่างนั้น...ใช่ไหม?"
ที่โยมเขามาหาพระ มาที่วัดของเราน่ะ เขาไม่ได้มาดูวัดใหญ่ๆ มาดูกุฏิศาลาสวยๆ นะ เขาพากันมาดูข้อวัตรปฏิบัติ
กุฏิใหญ่ๆ ศาลาใหญ่ๆ มันสู้ญาติโยมเขาไม่ได้อยู่แล้ว ที่ญาติโยมเขาทำกันในเมือง มันใหญ่อยู่แล้ว สูงตั้งหลายสิบชั้น
เขามาดูข้อวัตรปฏิบัติ มาดูการกระทำการปฏิบัติสิ่งที่ประเสริฐ ว่าพระว่าอาจารย์วัดนี้เขาปฏิบัติกัน น่าเคารพน่ากราบไหว้เพียงใด สมกับเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า สมกับเป็นลูกศิษย์ของครูบาอาจารย์หรือไม่?
เรามีเจตนาดี เราตั้งใจบวชไม่สึก พระพุทธเจ้าท่านให้เราสร้างเหตุ สร้างปัจจัย ไม่ให้ย่อหย่อนอ่อนแอ ติดสุขติดสบาย ติดฟรีสไตล์
พระของเราถ้าไม่ปฏิบัติตามพระวินัย เขาเรียกว่าเป็น 'พระบาป' เมื่อมันบาปใจมันก็ป่วย ใจมันป่วยใจมันก็ผอมโซ ใจมันไม่มีกำลังไม่มีพลังใจ มีโรคมีภัยเยอะ เพราะการประพฤติปฏิบัติธรรมนี้ ตัวเองมันรู้ตัวเองว่า มันกราบตัวเองไม่ได้ มันไหว้ตัวเองไม่ได้ มันกำลังเน่ามาจากข้างในใจนั่นแหละ
การที่จะรักษาตัวเองให้หายป่วย ให้หายเจ็บทางใจ รักษาความเน่าความเหม็นในใจ พระพุทธเจ้าท่านให้เราพากันเดินตามทางสายกลาง คือ ตั้งใจใหม่ ให้เอา 'พระวินัย' เป็นที่ตั้ง ให้ตั้งใจใหม่เหมือนกับพระบวชใหม่นี่แหละ เราจะบวชนานก็จริง แต่ใจของเรามันก็ยังเป็นโยมเป็นฆราวาสอยู่ ใจของเรามันยังไม่ได้เป็นพระเลย
พระพุทธเจ้าท่านให้เราเมตตาตัวเอง สงสารตัวเอง อย่าทำร้ายตัวเองด้วยการผิดศีล ผิดวินัย ผิดข้อวัตรปฏิบัติ เมื่อท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เดินตามทางสายกลางที่พระพุทธเจ้าทรงสอน สถานการณ์ในใจของเรามันก็จะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี มีพลังจิตพลังใจดุจดังพญาช้างสารที่มันแข็งแรง ที่เรามาเป็นโรคทางจิตทางใจมันก็หายไปหมดตามปฏิปทา ตามเหตุ ตามปัจจัยที่เราปฏิบัติ
ความสุขความสบายมันเป็นสิ่งเสพติด ถ้าเราไม่รู้จักเขา ก็จะทำให้การประพฤติปฏิบัติของเราเป๋เหมือนกัน ทำให้เป๋ เอียงไปเอียงมา
พระพุทธเจ้าท่านถึงให้เราตั้งอยู่ในความไม่ประมาทนะ สร้างความดีสร้างบารมีให้ยิ่งๆ ขึ้นไป ปฏิปทาความดีของเราต้องต่อเนื่องตลอดกาล...ไม่ให้ขาดสาย การสืบทอดต่อยอดพระศาสนาเป็นการส่งต่อกันไปเรื่อยๆ ถ้าไม่มีรูปแบบ ไม่มีตัวอย่าง สิ่งที่ดีๆ ก็หมดไป
เรามาบวชมาปฏิบัติ พระพุทธเจ้าท่านให้เราสร้างประโยชน์ตนให้ถึงพร้อม และก็สร้างประโยชน์ผู้อื่นด้วยการเป็นตัวอย่าง
การสร้างบารมี การทำความดีทุกคนต้องอดทนต้องขยัน ต้องบำเพ็ญ ต้องสร้างเอง เดี๋ยวนี้เราอาศัยบารมีของพระพุทธเจ้า เราอาศัยบารมีพ่อแม่ครูอาจารย์ ที่ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ สำหรับบารมีตัวเราเองมันยังน้อยอยู่ มันยังไม่พอ
เราสังเกตดูครูบาอาจารย์ที่ดังๆ ที่ท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ที่ท่านลาละสังขารไปแล้ว ส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะมีลูกศิษย์ลูกหาปฏิบัติดีๆ มีความเก่งมีความสามารถเหมือนกับครูบาอาจารย์
ตามเป็นจริงแล้วมันเลียนแบบกันได้ มันถอดแบบกันได้ เพราะว่ามีตัวอย่างให้ดู ให้เห็น ให้ได้ยิน ได้ฟัง ได้สัมผัส เราก็จับเอาแต่สิ่งที่ดีๆ เพื่อต่อยอดสืบทอดพระพุทธศาสนาให้ยิ่งๆ ขึ้นไป พระพุทธเจ้าท่านให้เราทุกๆ คนกลับมาดูความบกพร่องของตัวเอง เมื่อมันเห็นความบกพร่องของตัวเองก็ให้เราแก้ไข... พากันเดินตามทางสายกลาง
เราอย่าไปโทษญาติโยมเขา ว่าโยมไม่ดีอย่างโน้น ไม่ดีอย่างนี้ โยมสมัยนี้ติดเหล้างอมแงม สำส่อนเจ้าชู้ ไม่สนใจเข้าวัด ไม่สนใจพระพุทธศาสนา สาเหตุที่ญาติโยมเขาเป็นอย่างนั้น ก็เพราะพระเรายังเป็นตัวอย่างได้ไม่ดี
ที่เขาไม่เข้าวัด ก็เพราะเขาไม่เลื่อมใสในตัวเรา ถ้าเขามีศรัทธาเลื่อมใส เขาก็จะพากันมาทั้งวันเลย จนพระไม่มีเวลาพักผ่อน เขามาเพื่อจะมากราบมาไหว้ อยู่ตั้งไกลเขาก็ยังพากันมา เพราะ 'ความดี' เป็นสิ่งที่หอมไกล เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องการ เห็นไหม ...ตัวอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านอุบัติขึ้นมาในโลก ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีได้ยินว่าพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นแล้ว ก็ดีใจ เกิดปีติจนสลบไป และได้ไปกราบพระพุทธเจ้า ฟังธรรม ได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน เป็นมหาอุบาสก ได้สร้างวัดถวายพระพุทธเจ้ามีนามว่า 'เชตวัน'
เราจะไปโทษคนอื่น...ว่าคนอื่น เราว่าคนอื่น เป็นความไม่ยุติธรรมเลย ไม่ถูกต้อง เราต้องหันกลับมาหาตัวเอง ถึงแม้มันจะยากลำบาก พระพุทธเจ้าท่านก็ให้พวกเราพากันทำ
ชีวิตนี้มันประเสริฐ อยู่ที่เราได้ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้า ได้เดินตามทางสายกลางของพระพุทธเจ้า ความประเสริฐความเป็นสิริมหามงคลก็จะเกิดแก่เรา 'สุดโต' มีความเป็นอยู่ด้วยความผาสุก มีพระนิพพานเป็นบ้านที่อยู่อาศัยด้วยกันทุกท่านทุกคน
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee