แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันเสาร์ที่ ๒ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง มนุษย์ที่สมบูรณ์ ตอนที่ ๓๓ ชีวิตในโลกล้วนมากมาย ชีวิตที่สว่างไปนั้นเลิศล้ำ ด้วยสร้างชีวิตให้เข้าสู่ทางธรรม
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
วันนี้พุทธบริษัท ภิกษุภิกษุณี สามเณรสาเณรี อุบาสกอุบาสิกา ได้มารวบรวมกันสมัครสมานสามัคคี เพื่อทำความดีเพื่ออุทิศบุญกุศล แก่ป๋าชลอ คุณย่าหยด ที่ได้ละสังขารวายชนม์จากไป สำหรับคุณพ่อชะลอจะได้ฌาปนกิจวันนี้ ในเวลา ๑๐.๐๐ น. สวดมาติกาบังสกุลนำสรีระไปประชุมเพลิง และประชุมเพลิงคุณย่าหยดในวันอาทิตย์ที่ ๓ ธันวาคม เวลา ๑๐.๐๐ น.
มนุษย์เราคือผู้ที่ประเสริฐ ทุกๆ คนมีร่างกายเป็นมนุษย์คือผู้ที่ประเสริฐเป็นภพภูมิที่พากันมาสร้างบารมี อายุขัยของมนุษย์นี้ในปัจจุบันไม่เกิน ๑๒๐ ปีต้องจากต้องละสังขารจากโลกนี้ไป แต่ทางด้านจิตใจนั้น ขึ้นอยู่ที่เหตุที่ปัจจัยเพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปถึงมี ขึ้นอยู่ที่เหตุที่ปัจจัย พระพุทธเจ้าท่านเห็นภัยในวัฏสังสาร ท่านได้บำเพ็ญพุทธบารมี ได้ตรัสรู้สัมมาสัมโพธิญาณ เป็นครูผู้บอกผู้สอนของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เพื่อที่จะให้มนุษย์ดำเนินชีวิตสู่หนทางที่ประเสริฐคือพระนิพพาน พากันหยุดเวียนว่ายตายเกิด ไม่ต้องเกิดอีก เราทุกคนต้องถือพระพุทธเจ้าเป็นหลัก เพราะธรรมะที่ท่านตรัสรู้นั้นเป็นทางออกที่ประเสริฐ พระพุทธเจ้าท่านให้เราพัฒนาเข้าสู่ทางสายกลาง คือพัฒนาทั้งส่วนร่างกายทั้งส่วนทางจิตใจ พัฒนาสองอย่าง ทั้งกายทั้งใจ เราจะไม่ได้สะเปะสะปะ เพราะเราทุกคนที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏสังสารนี้เพราะความไม่รู้ เลยทำทั้งผิดทั้งถูก เราเป็นได้แต่ความหลงหรือเป็นได้แต่เพียงคน คนนี้แปลว่ามันหลงเป็นวงกลมเป็นวัฏสังสารไปไหนไม่ได้
เราทุกคนจะเอาตัวเองเป็นที่ตั้งไม่ได้ เอาตัวเอาตนเป็นที่ตั้งไม่ได้ เพราะสภาวธรรมทางร่างกายก็ไม่ใช่นิติบุคคลไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เกิดจากเหตุเกิดจากปัจจัย เพราะสิ่งนั้นมีสิ่งนี้ถึงมี ถ้าสิ่งนี้มี สิ่งต่อไปมันถึงมี เราทุกคนต้องพากันรู้จัก เราจะได้พากันแก้ปัญหาที่ถูกต้อง เพราะทุกคนนั้นพากันปฏิบัติได้หมดทุกคน นอกจากคนนั้นเป็นคนบ้าเป็นคนเสียจริต เราเป็นคนที่โชคดี เราต้องพากันประพฤติพากันปฏิบัติ เราต้องหยุด หยุดตัวเอง ปรับตัวเองเข้าหาเวลาเข้าหาธรรมะ มีศรัทธามีฉันทะมีความพอใจ มีความตั้งมั่น ทุกคนจะได้พากันเป็นธรรมะ พากันเป็นพระ คือเป็นพระธรรม เราจะเป็นพระได้ก็ต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ คือพระวินัย ผู้ที่มาบวชในพระศาสนา ถึงเรียกว่าผู้นั้นเป็นพระ คือเป็นพระธรรมเป็นพระวินัย ไม่ใช่นิติบุคคลไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ผู้ที่ไม่ได้บวชก็เป็นพระเหมือนกัน คือเป็นพระธรรม แต่สำหรับผู้ที่ไม่ได้บวชเรียกว่าศีล เพราะว่ามันมี ๕ ข้อ วันพระวันอุโบสถหรือสมัยใหม่สมัยปัจจุบัน เค้ามาอยู่วัดวันเสาร์วันอาทิตย์ เค้าก็ถือศีล ๘ สำหรับคนสุขภาพดี ไม่แก่ไม่เฒ่าไม่เจ็บไม่ป่วย ก็พากันรักษาศีล ๘ ศีลอุโบสถ ทุกๆ คนก็ต้องเป็นพระธรรมหมด ผู้ที่เป็นนักบวชก็เป็นพระธรรมพระวินัยผู้ที่เป็นฆราวาส ก็เป็นพระ มีศีล ๕ ศีล ๘ ทุกคนจะได้ปิดอบายมุขอบายภูมิของตัวเอง มีความสุขในการถือศีล มีความสุขในการปฏิบัติธรรม มีความสุขในการทำงาน ประชาชนก็มีความสุขในการทำงาน และก็มีความสุขในการรักษาศีลไปพร้อมๆ กัน เราจะได้รับผลประโยชน์ ทำอย่างเดียวได้สองอย่าง ได้ทั้งกายได้ทั้งใจ มีความสุขในการปฏิบัติอย่างนี้
ผู้ประพฤติปฏิบัติที่มีความเห็นถูกต้องมีความเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้องอย่างนี้ จะได้มีความสุขอยู่ทุกหนทุกแห่งที่เราอยู่ พระผู้ที่มาบวชก็มีความสุขอยู่ทุกหนทุกแห่ง เพราะธรรมของพระพุทธเจ้านั้นเป็นอริยมรรคมีองค์ ๘ ในการดำเนินชีวิตของเราจะมีอยู่ ๘ อย่างเป็นหลักทุกหนทุกแห่ง เราพากันเข้าใจทั้งศีลทั้งสมาธิทั้งปัญญา นี้มันเป็นยาน ยานที่จะออกจากวัฏสังสารเวียนว่ายตายเกิด เปรียบเสมือนเครื่องบินลำหนึ่ง เราเข้าไปในนั้นแล้วก็ขับเครื่องบินสู่อากาศข้ามภูเขาข้ามทะเลข้ามมหาสมุทรเพื่อถึงจุดหมายปลายทาง มันเป็นเรื่องที่แก้ไขทางร่างกายและก็แก้ไขทางจิตใจไปพร้อมๆ กัน มันไม่ได้เอาตัวตน เอาธรรมะเรียกว่า เอาศีลเอาสมาธิเอาปัญญา หมู่มวลมนุษย์ถึงเป็นผู้ที่ปลอดภัย แต่ก่อนมันไม่ปลอดภัย ทุกๆ คนต้องพากันประพฤติพากันปฏิบัติเอาเอง ไม่มีใครประพฤติไม่มีใครปฏิบัติให้ ทุกท่านทุกคนต้องพากันประพฤติพากันปฏิบัติ เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ พระพุทธเจ้าก็เป็นลูกหลานของพราหมณ์มาก่อน ศาสนาพราหมณ์ก็พาไปได้ถึงขั้นความสงบ แต่เมื่อออกจากสมาธิแล้ว ก็ยังมีการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ พระพุทธเจ้าได้ค้นคว้า เราก็ต้องพากันเข้าใจ เพราะความสงบมันก็ยังมีความเห็นแก่ตัวอยู่ พระพุทธเจ้าถึงให้เราพากันปฏิบัติไปในเชิงบวก เพื่อให้การสอดคล้องในชีวิตประจำวัน มันพัฒนาไปทางสายกลาง เมื่อเราเข้าใจแล้วก็สู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เพราะเราเป็นมนุษย์ เป็นผู้ที่ประเสริฐแล้ว พัฒนาธุรกิจหน้าที่การงานในปัจจุบัน ทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ มีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ
วันหนึ่งคืนหนึ่งของมนุษย์ต้องนอนหลับประมาณสัก ๖ ชั่วโมง สมองเราถึงจะไปสั่งร่างกายไปทำธุรกิจหน้าที่การงานได้ หรือจะ ๗ ชั่วโมง ไม่เกิน ๘ ชั่วโมงอย่างนี้ เป็นต้น ร่างกายของเราถึงจะแข็งแรงไม่เจ็บไม่ป่วย การทานอาหารให้รู้จัก โภชเน มัตตัญญุตา เพราะอาหารก็เป็นยา ไม่หวานเกิน ไม่ให้มันเกิน ไม่ให้เค็มเกิน ไม่ให้น้ำมันเกิน ทุกวันนี้หมู่มวลมนุษย์ได้พัฒนาเทคโนโลยี มีการผลิตโรงแป้ง โรงน้ำตาล โรงน้ำมัน พัฒนาเรื่องความเอร็ดอร่อย ก็ทำให้เราติดหลงไปเรื่อย ถึงจะมีโรคต่างๆ ที่เกิดมา พระพุทธเจ้าถึงให้เราเบรคตัวเองพิจารณาตัวเอง ที่อันไหนเข้าไปในร่างกายเรียกว่าข้าว คือมันเข้าในร่างกายอย่างนี้ เรียกว่าข้าว อย่าเอาความอร่อยเป็นที่ตั้ง ต้องมีสติมีสัมปชัญญะ ต้องทวนกระแส มีสติคือความสงบ มีสัมปชัญญะคือมีธรรมะไม่เอาตัวตนเป็นที่ตั้งอย่างนี้ ทั้งนักบวชทั้งคฤหัสถ์ก็ต้องพากันพินิจพิจารณา ทุกวันนี้ก็มีการพัฒนา คนนู้นก็ทำอย่างนู้น คนนี้ก็ทำอย่างนี้ ซื้อขายแลกเปลี่ยน คนทำน้อยก็เกิดบริโภคสารพิษสารเคมี ต้องระมัดระวังทุกอย่าง ผิดพลาดก็แก้ไขได้ ไม่มีปัญหา สำหรับมนุษย์ผู้ที่ไม่เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง แก้ปัญหาได้ ที่เราอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน เป็นครอบครัว เราต้องเอาธรรมะเป็นหลัก เอาธรรมะเป็นการดำรงชีวิต ทุกคนต้องปรับตัวเข้าหาธรรมะเข้าหาเวลา ถึงได้มีข้าราชการนักการเมือง เพื่อให้มีความสงบมีความผาสุข เพื่อจะได้ทำหน้าที่ของตัวเอง เพื่อจะได้มีความสุข มีความสุขในการทำงาน มีความสุขในการแก้ไข อันไหนไม่ดีมันบกพร่อง เพราะว่าเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง มันก็เป็นสีดำสนิท 50% เราเอาพ่อเอาแม่ เอาพี่เอาน้อง เอาพรรคเอาพวก นี้ก็ที่เห็นแก่ตัวก็ 49% เราทุกคนก็มีสีขาวเพียง 1% ให้เข้าใจนะ
ผู้ที่เป็นนักบวชอย่างนี้ก็ได้รับสิทธิพิเศษ ก็ต้องพากันเข้าใจที่มีพระวินัยมาในพระไตรปิฎก ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ที่มาในพระปาฏิโมกข์ที่สวดกันทุกๆ ๑๕ วัน ๒๒๗ ข้อ ให้ทุกคนพากันเป็นพระ เป็นพระวินัย อย่าพากันหลงประเด็นหลงวัตถุ มาทำหน้าที่ของตัวเองให้สมบูรณ์ เพราะว่าการแต่งตั้งให้เป็นข้าราชการ มันก็เป็นทั้งการแต่งตั้งภาคประพฤติภาคปฏิบัติ การแต่งตั้งให้เป็นพระนี้ มันก็ได้ทั้งภาคประพฤติภาคปฏิบัติ มันไม่ใช่แต่งตั้งให้เป็น เมื่อเราทานอาหาร เราต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ทานอาหารมันถึงจะอิ่ม พระในเมืองไทย เราสร้างความเสียหายมาก แบรนด์เนมของความเป็นพระ แต่ไม่ได้ปฏิบัติพระธรรมพระวินัย ทำให้ประชาชนที่อุปถัมภ์อุปัฏฐากลำบากมาก บวชมาแล้วก็จะพากันมาสร้างครอบครัว มาสร้างกุฏิ มาสร้างศาลา สร้างวัด สร้างอะไร ทั้งๆ ที่ไม่ใช่กิจของสงฆ์ ไม่ใช่กิจของพระศาสนา กิจของพระศาสนามันไม่ใช่ที่เราจะมาสร้างวัดสร้างโบสถ์สร้างวิหารสร้างอะไรต่างๆ คือเรามาสร้างมรรคผลพระนิพพาน มาปฏิบัติพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ เพื่อที่เราจะหยุดเวียนว่ายตายเกิดทางจิตใจทางอารมณ์ เพราะเราต้องมาหยุดมีเพศสัมพันธุ์ทางความคิดทางอารมณ์ เราจะเห็นผู้ที่บวชมาทำความเสียหายให้ส่วนรวม เพราะว่าไม่ได้ทำหน้าที่ของความเป็นพระ ผู้ที่มาบวช หน้าที่ของเราก็คือรักษาความสะอาดเสนาสนะ ดูแลขยะ ดูแลห้องน้ำสุขา ทำวัตรสวดมนต์อย่างนี้ ไปบิณฑบาต ไม่รับเงินรับสตางค์ ต้องระมัดระวัง เทคโนโลยีสมัยใหม่ที่เราใช้กันอย่างนี้ เพื่อไม่ให้เทคโนโลยีจะเป็นคอมพิวเตอร์ก็ดี โทรศัพท์ก็ดี ที่จะให้เราหลงในกามหลงในวัตถุ เพื่อเราจะได้หยุดมีเพศสัมพันธุ์ทางความคิดทางอารมณ์ ทุกๆ คนนั้นพากันปฏิบัติได้ เสนาสนะป่าหรือเสนาสนะบ้าน มหายานเถรวาทก็ได้พอๆ กัน เพราะเราต้องทำหน้าที่ของความเป็นพระ
ทุกคนต้องแก้ที่ตัวเอง ผู้ที่เป็นพระก็ดี เป็นฆราวาสก็ดี ต้องไม่เอาตัวเอาตน ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อความขี้เกียจขี้คร้าน นั้นไม่ใช่พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าขี้เกียจไม่เป็น พระอรหันต์ขี้เกียจไม่เป็น ประชาชนไม่ได้บวชไม่ขี้เกียจก็เป็นพระได้ ประชาชนก็ต้องเลี้ยงดูพ่อเลี้ยงดูแม่ ดูแลประเทศชาติ ดูแลพระศาสนาอย่างนี้ มันจะขี้เกียจได้อย่างไร คนเราต้องมีความสุขในการทำงาน งานคือความสุขมาก เพราะเราต้องเอาความสุขอยู่กับการทำงานการเสียสละ โดยปรับตัวเข้าหาธรรมะเข้าหาเวลา พระเราก็เหมือนกัน ผู้ที่มาบวชถึงมีความสุขในการรักษาศีล ในการประพฤติปฏิบัติ ในการเดินจงกรมในการนั่งสมาธิ เสียสละทั้งวันทั้งคืน พระภิกษุในพระพุทธศาสนานี้ ก็ไม่มีใครเค้านอนกลางวันกันหรอก ฉันอาหารเสร็จก็เดินจงกรมนั่งสมาธิ หายใจเข้าก็รู้ หายใจออกก็รู้ ยาวก็รู้สั้นก็รู้ได้ เดินจงกรมทั้งวันทั้งคืน เพราะเราต้องมีความสุขในการรักษาศีลในการปฏิบัติธรรมอย่างนี้ คนเราถ้ามีความสุข ความทุกข์มันมาจากไหน เพราะถ้าเรามีความสุขในการทำงาน ความฟุ้งซ่านก็ไม่มี เรามีความสุขในการเจริญสมถะก็คือความสงบ เจริญวิปัสนายกทุกอย่างเข้าสู่พระไตรลักษณ์อย่างนี้ พระเรานี้พระพุทธเจ้าถึงให้พากันฝึกสมาธิอย่างนี้ เพื่อจะพากันเข้าสมาธิได้ เข้าฌานได้ จะได้พักผ่อนกับสติกับสัมปชัญญะ สมาธิเรามันจะได้ติดต่อต่อเนื่อง เราต้องทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้
ประเทศไทยเรานี้ก็มีวัดมีโรงเรียนมีบ้าน สามอย่างมันต้องอยู่ด้วยกัน เพื่อจะได้รู้วิชาทำมาหากิน ที่จะเลี้ยงดูร่างกาย มีวัดเพื่อจะได้พัฒนาจิตใจไปพร้อมๆ กัน เพราะเราต้องพัฒนาเรื่องที่อยู่ที่อาศัยอาหารการกินสิ่งที่อำนวยความสะดวกความสบายในชีวิตประจำวัน พัฒนาใจของเราไม่ให้หลงในเทคโนโลยีที่เราพากันสร้างขึ้นมา เพื่อจะลบอดีตให้เป็นเลขศูนย์ ให้เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรมอย่างนี้ เราต้องมีความสุขมีความดับทุกข์ไปเรื่อยๆ เพื่อการรอบรมบ่มอินทรีย์ เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี เราจะได้มีบ้าน บ้านทั้งภายนอก บ้านทั้งจิตใจคุณธรรม เราจะได้ไม่เป็นคน homeless เป็นคนไม่มีบ้าน อยู่แต่กับความฟุ้งซ่านอยู่แต่กับสิ่งภายนอก อยู่ตั้งแต่บันเทิงกับโทรศัพท์ บันเทิงกับคอมพิวเตอร์บันเทิงกับคอนเสริตอะไรต่างๆ คนเราเวลามันแก่มันเจ็บมันตายมันเล่นโทรศัพท์ไม่ได้ เล่นคอมพิวเตอร์ไม่ได้ ถ้าเราไม่ฝึกตัวเอง ตั้งแต่หนุ่มน้อยอย่างนี้มันสายเกินไปแล้ว คนเรากว่าจะรู้ตัวเองมันก็หลายปีอย่างนี้นะ เพราะเราไปรู้แต่ภาษากาย ภาษากายมันก็กว่าจะรู้ตัวเองก็กลายเป็นคนแก่ไปแล้ว กลายเป็นคนเจ็บไปแล้ว คนอื่นถึงรู้ว่าเราเป็นคนตายแล้ว ตัวเองก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองเป็นคนตายแล้วอย่างนี้ แต่เรื่องใจมันเกิดมันดับตลอด พระพุทธเจ้าถึงไม่ให้เรามีเพศสัมพันธุ์ทางความคิดทางอารมณ์ เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เรียกว่า ใจมันเวียนว่ายตายเกิด เราต้องเข้าหาความดับทุกข์ให้ได้ ด้วยเรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้องในชีวิตประจำวัน เรียกว่า รู้อริยสัจ ๔ รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เราถึงจะเป็นแอร์คอนดิชั่น เป็นความสงบอบอุ่นอย่างนี้ ทุกอย่างต้องพากันมาแก้ที่ตัวเอง มีความสุขในการแก้ที่ตัวเอง เราทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้แหละ จะได้เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เพราะธรรมะมันต้องอยู่ในใจของเรา ธรรมะนั้นย่อมไม่ได้อยู่ในหนังสือ
ส่วนใหญ่คนเราน่ะ... ทำการทำงานใจมันก็จะไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เท่าที่ควร มันชอบส่งออกภายนอก มันเลยเอาการเอางานเป็นการปฏิบัติธรรมไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านสอนเรานะ เวลาทำงานให้ใจของเราอยู่กับเนื้อกับตัว จะได้เอาการเอางานเป็นการปฏิบัติธรรม คนเรามันต้องทำงานตั้งแต่เช้าจนนอนหลับ ถ้าเราทำตามความชินเฉยๆ เราไม่ได้ฝึกจิตใจของเราให้อยู่กับเนื้อกับตัว ไม่ฝึกตัวเองให้มีความสุขในการทำงาน ก็ชื่อว่าเราทำตามความเคยชิน เราไม่ได้พัฒนาจิตใจเอาการทำงานเป็นการปฏิบัติธรรม เราเลยคิดว่าตัวเองทำแต่งานไม่ได้ปฏิบัติธรรม พระพุทธเจ้าท่านสอนเรา เอาการทำงานเป็นการปฏิบัติธรรม ให้ใจของเราอยู่กับเนื้อกับตัว ให้ใจของเราเป็นผู้เสียสละ เพราะคนเรามันติดสุขติดสบาย ติดขี้เกียจขี้คร้าน เราต้องเสียสละนะ
เมื่อเราทำงาน ใจของเราก็พออยู่กับการงานอะไรได้ แต่ถ้าเราว่างงานเราจะทำอย่างไร..? ส่วนใหญ่...คนเรามันอยู่กับการกับงาน อยู่กับการพูดการคุยกับเพื่อน แต่มันอยู่กับตัวเองไม่ค่อยเป็น พระพุทธเจ้าท่านสอนเรานะให้ฝึกอานาปานสติ ฝึกหายใจเข้าก็พักผ่อนใจให้มันสบาย ฝึกหายใจออกก็พักผ่อนใจให้มันสบาย ลมเข้าก็ให้รู้สบาย... ลมออกก็ให้รู้สบาย... การหายใจเข้าก็รู้สบาย หายใจออกก็รู้สบาย นั่นคือการทำงานชนิดหนึ่ง เพื่อให้จิตใจอยู่กับเนื้อกับตัว เพราะคนเรามันไม่ได้อยู่กับการทำงานภายนอกตลอดไป มันต้องว่างจากงานภายนอกบ้าง เมื่อว่างจากงานภายนอกแล้วมันจะฟุ้งซ่าน
พระพุทธเจ้าท่านก็สอนเราให้มาอยู่กับงานภายในตัวเราเอง คืองานหายใจเข้าก็รู้สบายหายใจออกก็รู้สบาย พยายามหายใจเข้าให้มีปีติ มีสุข มีเอกัคคตา หายใจออกให้มีปีติ มีสุข มีเอกัคคตา ให้จิตใจของเราเป็นหนึ่ง มีความสุขในการหายใจเข้าหายใจออกจนจิตใจมันสงบ จิตใจเราก็จะเป็นสมาธิเอง
การฝึกอานาปานสติระดับพื้นฐานนี้ไม่ใช่ฝึกได้เฉพาะการนั่งนะ เวลาเราเดินไปเดินมา เวลาเราทำงานก็ฝึกหายใจเข้าสบายออก เพื่อผ่อนคลายทุกขเวทนาออกจากจิตจากใจของเรา
เดี๋ยวนี้ผู้คนจำนวนมากคิดอย่างเดียวว่า เวลาปฏิบัติธรรมจะต้องเข้าวัด จะต้องหลบลี้หนี้หน้าผู้คน โดยไม่คิดว่า...กายอยู่ที่ไหนก็ปฏิบัติธรรมได้ อยู่บนท้องถนน รถติดก็กำหนดลมหายใจไปด้วย หรือ เวลาเจอไฟแดง หงุดหงิดขึ้นมา...ก็ปฏิบัติธรรมได้ ถามว่าเวลารถติด ทำไมถึงหงุดหงิด นั่นก็เพราะใจมันไปอยู่ที่จุดหมายปลายทางแล้ว ใจมันอยู่ข้างหน้าแล้ว... ใจไม่อยู่กับปัจจุบัน จึงกลัวไปไม่ทัน กลัวไม่ทันประชุม เป็นต้น
ดังนั้น ให้พาใจกลับมาอยู่กับปัจจุบัน จะตามลมหายใจด้วยก็ได้ การปฏิบัติธรรมก็คือ ติดไฟแดงทำอย่างไรจะไม่หงุดหงิด ทำอย่างไรเวลาถูกต่อว่าจะไม่หงุดหงิด เวลาเสียเงินจะไม่โมโห เวลาเงินหายก็หายแต่เงิน แต่ใจไม่หาย ถ้าทำได้อย่างนี้ ก็เรียกว่า...ปฏิบัติธรรมแล้ว!
คนมีบุญมากคือใคร? คนที่มีบุญมาก คือคนที่สบายใจง่าย อยู่ที่ไหน ในเวลาใด ก็สุขง่าย ทุกข์ยาก มีแต่ความเบาจิตเบาใจ ปลอดโปร่งโล่งสบาย ท่านล่ะเป็นเช่นว่าหรือยัง คนที่สามารถจ่ายค่าอาหารแพงๆ ในร้านดีร้านดัง แต่ยังปล่อยให้ตัวเองหงุดหงิดกับบริการ หรือเรื่องอะไรที่ไม่ได้ดั่งใจ อาจเรียกได้ว่าเป็นคนมีสตางค์มาก แต่ยังไม่ใช่คนมีบุญมากจริงๆ
คนที่มีบุญมากจริงๆนั้น มักจะอยู่ง่ายกินง่าย ปรับตัวได้ง่าย ไม่ค่อยถือสาอะไรมากมายให้เป็นทุกข์ อะไรที่เป็นทุกข์ก็เพียงรู้ว่าเป็นทุกข์ แต่ไม่นำทุกข์มาแบก
คนที่มีบุญมากจริงๆ มักไม่ค่อยถือตัวถือตน เข้าใจว่าสรรพสิ่งล้วนแต่เป็นสิ่งสมมุติ ไม่มีอะไรที่ยั่งยืนถาวร มีเกิดแล้วตั้งอยู่ ในที่สุดก็ดับไป มีความรู้สึกปล่อยวางมากกว่าเอามาแบกทับถมตัวเองให้เป็นภาระหนักตลอดเวลา
คนที่มีบุญมากจริงๆ มักไม่คิดว่าตนเองพิเศษอะไรกว่าใคร ในทางตรงกันข้าม เขาจะรู้สึกขอบคุณเวลาที่ใครทำอะไรให้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ จนรู้สึกว่าตนเองเป็นคนโชคดี แม้ถึงคราวที่ต้องประสบกับเหตุการณ์ใดๆที่ไม่ดี ก็ยังเห็นเป็นบทเรียน หรือยังพอเห็นด้านดีได้อยู่ หรือมักมองเห็นด้านบวกได้เสมอ
คนที่มีบุญมากจริงๆ ไม่จำเป็นต้องมีอะไรเพียบพร้อม หรือดีพร้อม ถึงกระนั้นเขาก็ไม่รู้สึกต่ำกว่า หรือสูงกว่าใคร ดีกว่าใคร หรือเลวกว่าใคร ฉลาดกว่าใคร หรือโง่กว่าใคร เพราะเขาให้เกียรติความเป็นคนของทุกคน รวมทั้งตนเอง จึงไม่นำตนเองไปเปรียบเทียบกับใคร หรือนำใครมาเปรียบเทียบกับตนเอง ถึงกระนั้นเขาก็ยินดีรับฟังคำแนะนำจากผู้อื่น โดยไม่หลงเป็นเหยื่อคำสรรเสริญและคำนินทา
คนมีบุญมากจริงๆ มองไปที่ไหน เมื่อใด ได้ยินอะไร ก็สบายอกสบายใจ เพราะเข้าใจความเป็นเช่นนั้นเองของทุกๆชีวิต เห็นคนได้ดี ก็รู้ว่าเขาคงเคยทำสิ่งดีๆมาก่อน เห็นคนลำบากที่พอช่วยเหลือได้ ก็ช่วยไปตามกำลัง อะไรที่เกินกำลังก็ไม่ปล่อยให้ตนเองว้าวุ่น กังวล ทุกข์ร้อนใจไปกับสิ่งนั้น เข้าใจดีว่าทุกคนมีกรรมเป็นของตนเอง มีกรรมเป็นมรดก แต่ละคนย่อมเป็นไปตามกฎแห่งกรรมที่ตนได้เคยกระทำ ไม่ทำสิ่งที่ไม่ดี ละอายชั่ว กลัวบาป ทำสิ่งที่ดีๆ หาเวลาทำจิตให้ผ่องใสด้วยการมีสติในการปฏิบัติธรรม โดยทำในที่ใดๆก็ได้ ไม่จำเป็นต้องไปทำที่วัด หรือที่สำนักปฏิบัติธรรมใดๆ ทำที่บ้านก็ได้ ทำได้ในทุกแห่งด้วยความมีสติในปัจจุบันขณะ เพราะฉะนั้น บุคคลผู้มีสติรู้เท่าทันกาย ย่อมจะไม่พูดชั่ว และไม่กระทำชั่ว สามารถรักษาตนอยู่ใน ‘ศีล’ ได้อย่างสมบูรณ์ เมื่อมีสติรู้เท่าทันจิต ก็จะมี ‘สมาธิ’ ตั้งมั่น ไม่ซัดส่ายหวั่นไหววุ่นวาย และเมื่อมีสติรู้เท่าทันถึงเหตุผลอย่างชัดเจน ‘ปัญญา’ ก็จะเกิดขึ้น เป็นเครื่องดับทุกข์ได้อย่างแท้จริง
เรามากันคนละทิศคนละทาง เพื่อมารวบรวมกันส่งบุญส่งกุศลให้คุณป๋าลอ คุณย่าหยด มนุษย์นี้ดีมาก เป็นคนกตัญญูกตเวที เมื่อละสังขารวายชนม์ ก็สมัครสมานสามัคคี มารักษาศีลกันบ้าง ให้ทานบ้าง เจริญภาวนาวิปัสสนา พัฒนาจิตใจของตัวเอง มอบบุญมอบกุศลให้ดีอย่างนี้ แต่เราก็อย่าไปประมาท เพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมันก็เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน วันข้างหน้ามันต้องเป็นเราแน่นอน มนุษย์เราพัฒนาได้ ฝนไม่ตก พัฒนาให้ธรรมชาติมันสมดุลได้ น้ำท่วมก็หาวิธีแก้ไขได้ ดินไม่ดีก็พัฒนาให้ดินดีได้ ทุกอย่างมันพัฒนาได้ มันขึ้นอยู่ที่พวกเราประพฤติปฏิบัติ ให้พวกเราทุกท่านทุกคนมีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ การบำเพ็ญบุญกุศลนี้พระพุทธเจ้าบอกว่าให้เน้นที่ผู้วายชนม์ อย่าเอาแต่เพียงพิธีศาสนพิธี ผู้ที่ส่งบุญส่งกุศลได้คือพระพุทธเจ้าคือพระอรหันต์ พระอริยเจ้าทั้งหลาย ผู้ที่มีศีลมีความสมัครสมานสามัคคี เราเอาประเพณีของพุทธะ อย่าเอาสบายความหลงของเราประเพณีต่างๆ นั้น เป็นประเพณีเนื้องอก การทำบุญมีเหล้ามีเบียร์มีการพนัน มีการฆ่าสัตว์มันเป็นอวิชชาเป็นความหลง ต้องทำเหมือนพระพุทธเจ้าพาทำนี้แหละ ทุกท่านพากันทำเป็นร้อยเป็นพันเป็นหมื่นหลายหมื่นหลายแสน ทุกคนก็สงบนิ่งเหมือนงานที่ประชุมเพลิงของพระพุทธเจ้า ทุกคนก็นิ่งทุกคนทั้งมนุษย์ทั้งเทวดา
หลวงปู่มั่นสอนว่า “ความไม่ยั่งยืนเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอน ความยิ่งใหญ่คือความไม่ยั่งยืน ชีวิตที่ยิ่งใหญ่คือชีวิตที่อยู่ด้วย ทาน ศีล เมตตาและกตัญญู ชีวิตที่มีความดีอาจมิใช่ความยิ่งใหญ่แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเท่านั้น”
สำหรับป๋าลอนั้น เมื่อ ๑๐ ปีที่แล้ว ลูกสาวเลือกให้ป๋าลอ…เริ่มต้นชีวิตใหม่ ด้วยการมาขอความเมตตาเพื่อมาอยู่กับหลวงพ่อกัณหา หลวงพ่อท่านเมตตาไม่มีที่สุด ไม่มีประมาณ ท่านให้ความรัก ความอบอุ่น และให้ความเข้าใจธรรมแบบฉบับที่ถูกต้อง ที่เหมาะสมกับป๋าลอ ป๋าเป็นคนฉลาด มีปัญญา เมื่อได้รับคำสั่งสอนจากหลวงพ่อ ป๋าก็พร้อมแก้ไข และเปลี่ยนแปลงตัวเอง และยอมฝึกตนเองให้อยู่บนแนวทางของเด็กวัดที่หลวงพ่อวางไว้
ป๋าลอเคยบอกลูกสาวว่า คนเดียวที่ป๋ากลัว….ในชีวิตนี้ คือ หลวงพ่อใหญ่
การเป็นเด็กวัด ป๋าดูมีความสุขมากขึ้น มีรอยยิ้มตลอดเวลา สดใส อารมณ์ดี ป๋ามีบุญมาก ได้อุปสมบทกับหลวงพ่อกัณหา เป็นพระชลอที่น่ารัก มีญาติโยมแวะเวียนมาเยี่ยมตลอด ช่วงนั้นหลวงพ่อบอกว่า คนมาวัดเยอะเพราะมากราบ พระป๋าลอ (คนฟังก็แอบยิ้ม)
ป๋าลอได้ทําความดีอย่างสม่ำเสมอและไม่เคยขี้เกียจ ตื่นเช้าไปใส่บาตร ทุกๆวันไม่เคยขาดแม้วันที่ฝนตก ป๋าปฏิบัติเคร่งครัด ทำวัตรสวดมนต์ นั่งสมาธิดีมาก อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ป๋านั่งฟังเทศน์เช้า 40 นาที เย็น 30นาที ทุกวัน…
ช่วงกฐิน ป๋าจะติดตามคณะสงฆ์ไปร่วมงานกฐินในวัดสาขา 30 กว่าสาขา ของหลวงพ่อกัณหา ต่อเนื่องมาหลายปี และไปส่งคณะพระสงฆ์เพื่อเข้าธุดงค์มาหลายที่ พ่อแม่ครูบาอาจารย์ คณะสงฆ์ ให้ความเมตตา ความกรุณาต่อป๋ามาก หลายท่านจะแวะเวียนมาคุย มาให้คติธรรม มาสนทนาธรรมกับป๋าลอเสมอ
หลายครั้งที่คนใกล้ชิดคุยกันมาตลอดว่า “ป๋าไม่ต้องกลัวนะ เมื่อถึงคราว งานป๋ามาถึง พระของหลวงพ่อมาส่งป๋าหมดแน่นนอน”….(ป๋าได้แต่ขำแล้วบอกลูกสาวว่า ฉันไม่รีบ)
ป๋าไม่เคยฝังความหลัง หรืออดีตอะไรไว้ในใจ เป็นคนที่อยู่กับปัจจุบัน มีความสุขกับเรื่องเล็กๆน้อยๆ ได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่มีทุกข์อะไรเลย แม้ร่างกายจะเสื่อมสภาพไปหลายที่ ช่วยเหลือตัวเองได้น้อยมาก นั่นก็ไม่เคยที่จะทำให้ป๋าท้อแท้อะไรเลย หรือมีปัญหาตรงไหนกับใคร ป๋ามีแต่พร้อมจะเป็น ผู้เสียสละ เป็นผู้ให้กับทุกคน นี้จึงเป็นเหตุ เป็นปัจจัย ทำให้ป๋าก้าวหน้าไปทางธรรมได้อย่างดีเยี่ยม
ทุกท่านที่มาร่วมกันบำเพ็ญกุศลส่งป๋าลอสู่สุคติโลกสวรรค์มรรคผลพระนิพพานในวันนี้ ต้องให้ได้รับประโยชน์จากงานนี้ ด้วยการตั้งใจเพียรมุ่งมั่นในการประพฤติปฏิบัติ พวกเราทั้งหลายควรต้องตายก่อนตายให้ได้ ตายก่อนตายเป็นอย่างไร ? ตายเมื่อตาย ย่อมกลาย ไปเป็นผี...
คนเราต้องมาตายก่อนตาย หมายความว่าภพชาติตาย ด้วยความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้ รู้แล้วต้องมาตัด เมื่อรู้แล้วก็ต้องปฏิบัติ เอาธรรมะเป็นหลักเอาธรรมะเป็นใหญ่ เอาธรรมเป็นที่ตั้งในการดำเนินชีวิต เรียกว่าเป็นการประพฤติพรหมจรรย์ คือความบริสุทธิ์ไม่มีตัวไม่มีตน ดังนั้น ยามที่เรายังมีชีวิตอยู่ อะไรที่เราได้มา หลังจากที่เราเกิด ต้องคอยเตือนใจว่า ไม่มีอะไร อยู่กับเราได้ตลอดไป แม้แต่สังขาร ที่เรารักมากที่สุด วันหนึ่งก็ดับสลายไปเช่นกัน ในโอกาสนี้ ถือว่าเป็นโอกาสสำคัญที่ทุกท่านทุกคน จะได้ฝึกจะได้ปฏิบัติขัดเกลากิเลสอาสวะของตัวเอง ไม่ว่าเราจะอยู่ในวัด หรือจะอยู่ในบ้านอยู่ที่ไหน ทุกคนก็ต้องปฏิบัติตัวเองทั้งหมด เราอยู่ที่ไหนเราก็แก่ เราก็เจ็บ เราก็ตายเหมือนกันหมด 'สัจธรรม' คือความจริงเค้าไม่ได้ยกเว้นใคร เราจึงต้องเป็นผู้ที่ใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาท เลือกทำแต่ความดี คิดดี พูดดี ทำดี ใจสะอาดใจสว่างใจสงบ จึงจะสมกับที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ ซึ่งเป็นผู้ที่ประเสริฐเกิดมาเพื่อพระนิพพานอย่างแท้จริง
สิงห์เหนือ ผู้ต่อสู้ อันธพาล
เป็น มือปราบพระกาฬ อริร้าย
ชลอ เป็นตำนาน ตีแผ่
เกิดเทศ ใช้ความดีแก้ กลับร้าย กลายดี
ชีวิตในโลกล้วน มากมาย
ชีวิตสว่างไป เลิศล้ำ
ชีวิตบั้นปลายได้ เข้าสู่ ทางธรรม
ชีวิตสร้างทางพร้อม สว่างล้ำ ชั่วกาล ฯ
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee