แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันอาทิตย์ที่ ๑๙ พฤศจิกายนพุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง มนุษย์ที่สมบูรณ์ ตอนที่ ๒๐ กราบพระพุทธ อย่าสะดุดที่พระทองคำ กราบพระธรรม อย่าสะดุดเอาคัมภีร์ใบลาน กราบพระสงฆ์ อย่าสะดุดเอาลูกชาวบ้าน
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ ของผู้ที่ทำงาน บางศาสนาก็เป็นวันเข้าโบสถ์ เพื่อประกอบศาสนกิจทางศาสนา บางคนก็ไป เที่ยววันหยุด ในช่วงเข้าสู่ฤดูหนาว บางท่านบางคนก็มาประพฤติมาปฏิบัติธรรมที่วัด
การพัฒนาหมู่มวลมนุษย์นี่ก็ต้องพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ เพื่อสร้างเหตุสร้างปัจจัยให้ทุกท่านทุกคนมีอยู่มีกินมีใช้เหลือกินเหลือใช้ จะได้ดูแลครอบครัว ดูแลประเทศชาติ ดูแลพระศาสนา ในโลกนี้ก็มีหลายศาสนาแต่ทุกศาสนาก็อันเดียวกันคือธรรมะ ทุกท่านทุกทุกคนต้องพากันมีความเห็นถูกต้องความใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้องพัฒนาทั้งเศรษฐกิจ พัฒนาทั้งวิทยาศาสตร์ และพัฒนาทั้งใจไปพร้อมๆ กัน เพราะว่าความเป็นมนุษย์ของเรานี่สามารถพัฒนาได้ ที่พวกเราพากันตามใจตามอารมณ์อวิชชาความหลงมันไม่ได้ พวกที่พากันไปกินเหล้ากินเบียร์ เอาแต่ท่องเที่ยว เอาแต่อบายมุขอบายภูมิมันไม่ได้ ต้องเข้าหาความจริง ทุกๆ คนก็พัฒนาได้ ทุกๆ คนปฏิบัติได้ ถึงจะเหนื่อยยากลำบาก เพราะมันถูกต้อง มันจะแก้ปัญหาทั้งเศรษฐกิจและจิตใจไปพร้อมๆ กัน ที่เรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง เป็นความประเสริฐที่เราเกิดเป็นมนุษย์ เป็นความมั่นคงทางจิตใจ
อยู่ในโลกประชากรเราก็เกือบแปดพันล้านแล้ว แต่ส่วนใหญ่ยังไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ ไม่รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ดังพระพุทธดำรัสว่า "จตุนนํ ภิกฺขเว อริยสจฺจานํ อนนุโพธา อปฺปฏิเวธา เอวมิทํ ทีฆมทฺธานํ สนฺธาวิตํ สริตํ มมญฺเจว ตุมหากญฺจ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะไม่ได้ตรัสรู้ ไม่ได้แทงตลอดอริยสัจ ๔ เราด้วย เธอทั้งหลายด้วย จึงแล่นไป ท่องเที่ยวไปยังสังสารวัฏ ตลอดกาลนานอย่างนี้"
เมื่อชาวโลกมิได้กำหนดรู้สภาวธรรมขันธ์ ๕ จึงมีความหลงในสมมุติบัญญัติเหมือนถูกอวิชชาห่อหุ้มไว้ ทำให้ไม่อาจที่จะค้นพบความจริงของชีวิตภายในร่างกายที่ยาววา หนาคืบ กว้างศอก และมีใจครองได้ นอกจากนั้นชาวโลกยังไม่เข้าใจเหตุเกิดของทุกข์ ความดับทุกข์ และทางแห่งความดับทุกข์อีกด้วย ตราบใดที่บุคคลยังไม่อาจหยั่งเห็นอริยสัจ ตราบนั้นเขาต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏภพแล้วภพเล่า
เรื่องของอริยสัจ นับเป็นของที่มีอยู่ในตัวของเราทุกคนอยู่แล้ว ความทุกข์และเหตุของทุกข์มีอยู่แล้วในตัวของเรา ไม่ต้องไปศึกษาค้นคว้าที่ไหน ไม่ต้องลงทุนลงแรงในการศึกษา ซึ่งผิดกับการศึกษาสภาวะสัจจะบางอย่าง ที่นักวิทยาศาสตร์กระทำกันอยู่นั้น ต้องลงทุนนับเป็นพันๆ ล้านดอลล่าร์ ต้องสร้างจรวดออกไปศึกษาถึงในอวกาศ บางคนถึงกับเสียชีวิตในขณะศึกษา นับว่ามีภัยอันตรายรอบด้าน เมื่อรู้สัจจะที่ต้องการรู้แล้ว ก็ไม่สามารถทำให้ผู้รู้ดีขึ้นแต่อย่างใด ส่วนการศึกษาในอริยสัจนั้นไม่มีโทษไม่มีภัย ไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไร เมื่อรู้แล้วก็มีคุณประโยชน์อย่างเดียว
จึงต้องเอาธรรมะเป็นหลัก ถึงแม้ว่าเราจะเอาประชาธิปไตย แต่ก็ต้องเอาธรรมะเป็นหลัก เพราะประชาธิปไตยนั้นบางอย่าง มันก็ยังประกอบด้วยตัวด้วยตนอยู่ จะว่าแก้ยากมันก็แก้ได้ เพราะทุกคนนี้มันแก้ที่ตัวของเราเอง ต้องปรับปรุงตัวเองเข้าหาธรรมะเข้าหาเวลา เพราะทุกคนต้องพากันมาแก้ที่ตัวเอง เราจะทำไปตามความหลงไม่ได้ ต้องมีความสุขในการที่จะแก้ไขตัวเองทุกอย่าง ในครอบครัวเราพ่อแม่นี้สำคัญ พ่อแม่นี้ต้องมีศีลมีศิลปะในการดำรงชีวิต ต้องมีความตั้งมั่น เราต้องเพิ่มความขยันความประหยัดความซื่อสัตย์ความกตัญญูกตเวที
คนที่อกตัญญูนั้น ย่อมจะไม่เป็นที่รักของใครเลย เพราะจะนำแต่ความเสื่อมเสียมาสู่สังคมที่ตนอยู่ด้วย ไม่มีใครต้องการคนอกตัญญู เดินทางไปถึงไหนแทนที่จะได้รับการต้อนรับ กลับได้รับการผลักไสไล่ส่ง
ส่วนคนที่กตัญญู รู้คุณของผู้มีพระคุณ และรู้จักตอบแทนบุญคุณ ที่ท่านเหล่านั้นทำไว้กับเราในกาลก่อน ใครก็ตามที่เป็นคนกตัญญูย่อมจะเป็นที่รักของมนุษย์ และเทวดาทั้งหลาย แม้จะย่างก้าวไปแห่งหนตำบลใด ก็จะได้รับการต้อนรับขับสู้ด้วยไมตรีจิต ชื่อเสียงอันดีงามย่อมฟุ้งขจรไปไกล เมื่อมีใครรับรู้รับทราบคุณธรรม อย่างนี้ ถ้าเป็นหัวหน้าก็จะเป็นที่รักของผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา เป็นผู้ใต้บังคับบัญชา ก็จะเป็นที่รักของหัวหน้า และเพื่อนร่วมงาน จะไปอยู่สังคมใดก็เป็นที่ปรารถนาของสังคมนั้นๆ ความกตัญญูเป็นสัญลักษณ์ของคนดีที่มีจิตใจสูงส่ง บัณฑิตทั้งหลายทั้งในอดีต และปัจจุบัน จึงมีคุณธรรมความกตัญญูอยู่ในใจเสมอ ทำให้เป็นที่รักของมหาชนเป็นจำนวนมาก และยังเป็นที่เคารพนับถือบูชาอีกด้วย
อย่าทิ้งฅน ที่ร่วมสู้ อยู่เคียงข้าง อย่าลืมฅน ที่ช่วยสร้าง ทางยิ่งใหญ่
อย่าละเลย ฅนที่เคย มีน้ำใจ อย่าลืมเป็นผู้ให้เมื่อได้ดี
เมื่อมีกิน อย่าลืมถิ่น ที่เคยอยู่ เมื่อรอบรู้ อย่าลืมครู ที่เคยสอน
เจอรักแท้ อย่าลืมแม่ ที่กอดนอน หายทุกข์ร้อน อย่าลืมธรรม ที่นำทาง ฯ
พระอรหันต์อยู่ไหน
เมืองจีนนั้น มีตำนานปรัมปราอยู่เรื่องหนึ่งว่ากันว่า มีชายหนุ่มคนหนึ่ง หลงใหลในเครื่องรางของขลังและผู้วิเศษขุนขลังขมังเวทย์มาก วันหนึ่งเขาได้ข่าวว่ามีพระธุดงค์มาจำพรรษาอยู่บนยอดเขา ชาวบ้านเล่าลือกันว่าพระรูปนี้เป็น พระอรหันต์จึงแตกตื่นพากันไปกราบไหว้วันละเป็นหมื่นคนพอชายหนุ่มได้ข่าว ก็รีบลาแม่เพื่อไปหาพระอริยบุคคลบนยอดเขา
ผู้เป็นแม่นั้นรักลูกมาก แม้จะอายุมากจนหูตาฝ้าฟาง แต่เมื่อลูกมาขออนุญาตเธอก็ไม่คิดจะห้าม “ไปเถอะลูก ถ้าเป็นความสุขของลูกแม่อยู่คนเดียวได้ ไม่เป็นไรหรอก”
ลูกชายเดินทางเจ็ดวันเจ็ดคืนจึงถึงยอดเขา เขารอจนพลบค่ำจึงมีโอกาสได้เข้าไปกราบพระธุดงค์ที่มีหนวดเครายาวเฟื้อยเขาถามเข้าประเด็นทันทีว่า “หลวงปู่ครับ คนเขาลือกันว่าหลวงปู่เป็นพระอรหันต์ ผมบุกป่าฝ่าดงมาไกลแสนไกล เพราะอยากรู้ว่าหลวงปู่เป็นพระอรหันต์จริงหรือไม่ ถ้าจริง ผมจะได้กราบไหว้อย่างสนิทใจ แล้วจะไปรับแม่ของผมมากราบหลวงปู่ให้เป็นสิริมงคลแก่ชีวิตสักครั้งหนึ่ง” หลวงปู่ตอบว่า “โยมเอ๋ย อาตมาไม่ได้เป็นพระอรหันต์อะไรหรอก คนเขาลือกันอย่างนั้นเอง”
“หลวงปู่ไม่ได้เป็นพระอรหันต์ แล้วมานั่งให้คนกราบทำไมเล่า”
“อาตมาก็ไม่ได้เรียกร้องให้ใครมากราบเขามากราบกันเอง อาตมาก็สงเคราะห์เขาไป”
“ถ้าอย่างนั้นที่ผมเดินทางมาเจ็ดวันเจ็ดคืนนี่ก็เสียเวลาเปล่าน่ะสิครับ”
หลวงปู่ตอบว่า “โยมไม่เสียเวลาหรอกอาตมาไม่ได้เป็นพระอรหันต์ก็จริง แต่อาตมารู้ว่าพระอรหันต์มีคุณสมบัติอย่างไร จำไว้นะ พระอรหันต์มีคุณสมบัติสองประการหนึ่ง ชอบสวมเสื้อกลับตะเข็บ เอาด้านในมาไว้ด้านนอก สอง ชอบใส่รองเท้ากลับข้างเอาข้างขวามาใส่เท้าซ้าย เอาข้างซ้ายมาใส่เท้าขวา ถ้าเจอคนที่มีคุณสมบัติอย่างนี้ที่ไหนเข้าไปกราบไหว้ได้ทันที นั่นแหละพระอรหันต์ตัวจริง”
ชายหนุ่มเดินทางกลับบ้านด้วยความผิดหวัง พอใกล้ถึงบ้าน เขาตะโกนเรียกหาแม่แต่ไกล แม่ซึ่งกำลังหุงข้าวอยู่ในครัว พอได้ยินเสียงลูกก็ทิ้งเตาไฟ รีบคว้าเสื้อเก่า ๆ ขาด ๆ มาใส่ แล้วสวมรองเท้าด้วยความเร่งรีบ ก่อนจะวิ่งถลันออกมากอดลูกชายด้วยความคิดถึงสุดหัวใจ ลูกชายกอดแม่พลางร้องห่มร้องไห้ น้ำตาไหลอาบไหล่ของแม่
“แม่ครับ ผมรู้สึกแย่มากที่ถูกหลอกให้ขึ้นไปถึงบนยอดเขาไกลแสนไกล แม่รู้ไหมไม่มีพระอรหันต์ในโลกนี้หรอกครับ ผมไม่น่าจากแม่ไปเลย”
พอผละออกจากอ้อมอกแม่ ลูกชายก็สังเกตเห็นว่าแม่ของตนแก่ลงไปมาก หนำซ้ำยังมีอาการคล้ายคนเลอะเลือน เห็นได้จากการที่แม่ใส่เสื้อกลับตะเข็บ กลัดกระดุมผิดเม็ด และสวมรองเท้าผิดข้าง ทั้งหมดเกิดจากอารามรีบร้อนวิ่งออกมารับขวัญลูกชายจึงไม่ได้ดูแลเครื่องแต่งกายให้เรียบร้อย
“แม่ดูแก่ไปเยอะเลยนะครับ”
แม่บอกว่า “แม่แก่ขนาดนี้แล้ว ลูกจะทิ้งแม่ไปไหนอีกหรือเปล่า”
“ไม่แล้วครับแม่ ผมไม่เชื่ออีกแล้วว่าโลกนี้มีพระอรหันต์”
ว่าแล้วลูกชายก็สวมเสื้อให้แม่ใหม่พลางถอดรองเท้าที่สวมผิดข้างออกให้ด้วยหมายจะสวมให้ถูกข้าง ระหว่างที่ก้มลงจนหน้าแนบชิดติดเท้าทั้งสองของแม่ เขาก็พลันได้ยินเสียงหลวงปู่แว่วมาเข้าหูว่า…“โยมไม่เสียเวลาเปล่าหรอกนะ หลวงปู่ไม่ได้เป็นพระอรหันต์ แต่หลวงปู่รู้ว่าพระอรหันต์มีลักษณะอย่างไร จำไว้ ถ้าเจอใครที่สวมเสื้อด้านในกลับมาเป็นด้านนอก และสวมรองเท้ากลับข้าง กราบได้ทันที คนนั้นแหละคือพระอรหันต์ตัวจริง”
ถอดรองเท้าให้แม่ยังไม่ทันเสร็จลูกชายก็รู้สึกสว่างโพลงขึ้นมาในหัวใจ คิดว่าตัวเองช่างโง่เหลือเกิน วิ่งระหกระเหินไปร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำมหาสมุทรเพื่อแสวงหาพระอรหันต์ ถูกหลอกมานับครั้งไม่ถ้วนโดยหารู้ไม่ว่าแท้ที่จริงพระอรหันต์ก็คือพ่อแม่ของเรานั่นเอง
พ่อแม่ของเราคือพระอรหันต์ในบ้านถ้าไม่มั่นใจว่าพระที่วัดเป็นพระอรหันต์หรือไม่ เพราะเราไม่ได้อยู่กับท่าน จึงไม่รู้จักท่านทุกแง่ทุกมุม ก็จงอย่าเสียใจว่าไม่มีพระอรหันต์ให้กราบไหว้ เพราะยังมีพระอรหันต์องค์จริงอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นพระอรหันต์โดยสมมุติ คือ พ่อแม่ของเราท่านจำพรรษาอยู่ในชายคาเดียวกันกับเรามาตลอดเวลา สององค์นี้ให้ชีวิต กล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดู และรักเราอย่างไม่มีเงื่อนไขเป็นพระอรหันต์ตัวจริงในชีวิตเรา แต่คำถามก็คือ แล้วเราให้เวลากับพระอรหันต์สององค์นี้คุ้มกับที่ท่านเป็นปูชนียบุคคลของเราหรือเปล่า
ก่อนจะไปกราบไหว้พระสงฆ์องค์เจ้าที่ไหน จงอย่าลืมกราบไหว้พ่อแม่ของเราให้ดีที่สุดเสียก่อน ปราชญ์ท่านบอกว่า “กราบพระหมื่นองค์แสนองค์ก็ไม่นับว่ามีคุณค่า หากเธอยังไม่เคยกราบมารดาบิดาของตัวเอง” พระในบ้านนั้นเป็นพระอรหันต์ตัวจริง เรากราบได้อย่างสนิทใจ บำรุงได้อย่างเต็มที่ พ่อแม่เป็นเนื้อนาบุญของเราผู้เป็นลูกเป็นหลาน
ระหว่างที่คนกำลังสับสนกันว่าใครเป็นพระอรหันต์จริง ใครเป็นพระอรหันต์ปลอม เราอย่าไปเสียเวลาสับสนกับเขา จงมองกลับเข้าไปในบ้านของเรา พ่อของเราอยู่ตรงนั้น แม่ของเราอยู่ตรงนั้น…จงถามตัวเองว่า
เรากินอิ่มนอนอุ่น ท่านกินอิ่มนอนอุ่นเหมือนเราหรือเปล่า
เรามีเงินมีทองใช้ ท่านมีเงินมีทองใช้เหมือนเราหรือเปล่า
เรามียศมีศักดิ์ ท่านมีศักดิ์เหมือนเราหรือเปล่า
เราสุขภาพดี ท่านสุขภาพดีเหมือนเราหรือเปล่า
ทุกครั้งที่ก้มกราบพระรูปไหน ให้เราลองถามตัวเองว่า เรากราบพระในบ้านแล้วหรือยัง ทุกครั้งที่จะบำรุงพระรูปไหน ให้เราลองถามใจตัวเองว่า เราบำรุงพระในบ้านของเราแล้วหรือยัง ก่อนที่เราจะทำดีกับคนทั้งโลก อย่าลืมกลับมาทำดีกับคนใกล้ตัวที่สุด คือพระอรหันต์ของเราเสียก่อน เป็นการรับประกันได้ว่าเราจะไม่ถูกพระอรหันต์บ่มแก๊สหลอกซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีกต่อไป
พระพุทธเจ้าได้มีพระเมตตาตรัสสอนมหาอำมาตย์อัคคิทัต ปุโรหิตของพระเจ้าปเสนทิโกศล ว่า
พหุ ํ เว สรณํ ยนฺติ ปพฺพตานิ วนานิ จ อารามรุกฺขเจตฺยานิ มนุสฺสา ภยตชฺชิตา
เนตํ โข สรณํ เขมํ เนตํ สรณมุตฺตมํ เนตํ สรณมาคมฺม สพฺพทุกฺขา ปมุจฺจติ.
โย จ พุทฺธญฺจ ธมฺมญฺจ สงฺฆญฺจ สรณํ คโต จตฺตาริ อริยสจฺจานิ สมฺมปฺปญฺญาย ปสฺสติ
ทุกฺขํ ทุกฺขสมุปฺปาทํ ทุกฺขสฺส จ อติกฺกมํ อริยญฺจฏฺฐงฺคิกํ มคฺคํ ทุกฺขูปสมคามินํ
เอตํ โข สรณํ เขมํ เอตํ สรณมุตฺตมํ เอตํ สรณมาคมฺม สพฺพทุกฺขา ปมุจฺจติ.
“มนุษย์เป็นอันมาก ถูกภัยคุกคาม คือความกลัวและภัยจากความตายแล้ว ก็ย่อมถึงภูเขา ป่า อาราม และ รุกขเจดีย์ ว่าเป็นที่พึ่ง ซึ่งที่พึ่งเหล่านั้นไม่ใช่ที่พึ่งอันสูงสุด เพราะบุคคลอาศัยสรณะนั้น ย่อมไม่พ้นจากทุกข์ทั้งปวงไปได้ ส่วนบุคคลใดที่ถึง พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ว่าเป็นที่พึ่งแล้วก็ย่อมเห็นอริยสัจ ๔ คือ ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความก้าวล่วงจากทุกข์ และมรรคมีองค์ ๘ อันประเสริฐ ซึ่งทำสัตว์ให้ถึงความสงบแห่งทุกข์ด้วยปัญญาอันชอบ สรณะนั้นแลของบุคคลนั้นเกษม สรณะนั้นอุดม เพราะบุคคลอาศัยสรณะนั้นแล้วย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้”
จากข้างต้นทำให้เราเข้าใจได้ว่า มนุษย์ทั้งหลายในโลกนี้ที่ยังไม่ค่อยมีปัญญา เมื่อสมัยก่อนเวลาเกิดอันตรายจาก พายุพัดกระหน่ำ น้ำท่วม หรือภูเขาไฟระเบิด หรืออะไรต่างๆ ก็จึงสร้างความรู้สึกว่ามีวิญญาณอาศัยอยู่ในสิ่งต่างๆ เหล่านั้น ก็พากันสวดมนต์อ้อนวอนขอให้สิ่งเหล่านั้นมาคุ้นครองตนเอง เพื่อที่จะให้ตนเองพ้นจากความกลัวไปได้ แต่พระพุทธเจ้าบอกว่านั่นคือความเข้าใจผิดของมนุษย์ที่ยังไม่เข้าใจความจริงของธรรมชาติ จึงพากันเคารพกราบไหว้สิ่งเหล่านั้น แต่บุคคลใดไม่ว่าจะคฤหัสถ์หรือบรรพชิตก็ตามที่อาศัยกรรมฐาน คือการระลึกคุณถึง พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เช่นการสวดมนต์เข้าถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ว่าเป็นที่พึ่ง
เหตุที่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งอันสูงสุด ก็เพราะว่าพระพุทธเจ้านั้นเป็นผู้ที่ประเสริฐสุดด้วยปัญญา ไม่ถูกความมืดคือความโง่เขลาเข้ามาครอบงำ ฉะนั้นคำว่า “พุทโธ” ความหมายจึงแปลว่า “ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน” รู้ ก็คือ รู้ความเป็นจริง ไม่หลับใหล ไม่ถูกกิเลสต่างๆ เข้าครอบงำ ดังนั้นพระพุทธเจ้าจึงเป็นบุคคลผู้ประเสริฐที่สุดในบรรดาภพทั้งหลาย จึงเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจว่าที่พึ่งอันประเสริฐสุดก็คือการที่เราเข้าถึงพระพุทธเจ้า
การที่เราเข้าถึงพระพุทธเจ้า เราเข้าถึงอะไร เรายึดพระรูป พระโฉม พระกายของพระองค์ว่าเป็นที่พึ่งหรือเปล่า? แต่พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้แสดงเช่นนั้น พระองค์ทรงแสดงว่าให้ถึงคำสั่งสอนของพระองค์ว่าเป็นที่พึ่ง ก็คือให้ถึง พระธรรม นั่นเอง
"กราบพระพุทธ อย่าสะดุดที่พระทองคำ
กราบพระธรรม อย่าสะดุดเอาคัมภีร์ใบลาน
กราบพระสงฆ์ อย่าสะดุดเอาลูกชาวบ้าน"
หรือ พระพุทธรูปบังพระพุทธเจ้า ใบลานบังพระธรรม ลูกชาวบ้านบังพระสงฆ์
พระพุทธรูปบังพระพุทธเจ้า หมายถึง การที่เคารพกราบไหว้พระพุทธรูปอย่างที่คนทั้งหลายนับถือ ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งเหล่านี้ ว่าขลังว่าศักดิ์สิทธิ์ แล้วก็สามารถจะบันดาลสิ่งต่างๆ ให้ได้อย่างนั้น เป็นการบังไม่ให้เห็นพระพุทธเจ้าองค์จริง คือว่า ไปติดอยู่เพียงแค่นั้น ก็ไปไม่ถึงพระพุทธคุณ มีพระปัญญาคุณ พระกรุณาคุณ พระบริสุทธิคุณ ที่เรียกว่า กราบพระไม่ถึงพระ ติดอยู่ที่พระพุทธรูปปางนั้นๆ
ใบลานบังพระธรรม คือถ้ามัวแต่อ่านคัมภีร์ ศึกษาคัมภีร์ ยึดมั่นถือมั่นแต่คัมภีร์ แต่ว่าไม่ได้ปฏิบัติธรรม ให้รู้แจ้งเห็นจริง ทำให้คัมภีร์นั้นมาบังพระธรรม คือว่าหลงอยู่ในคัมภีร์ ติดอยู่ในคัมภีร์ คิดว่าการได้เล่าเรียนนักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอก เปรียญ 1 ถึงเปรียญ 9 ได้เรียนอะไรต่ออะไรที่เขาเรียนกันอยู่มากมาย ก็ถือว่าเป็นความสำเร็จแล้ว ก็เลยนอนกอดคัมภีร์อยู่อย่างนั้น ไม่ได้ปฏิบัติธรรมให้สมควรแก่ธรรม คือว่าไม่ได้เอาธรรมที่ได้ศึกษาเล่าเรียนมาปฏิบัติให้บังเกิดผลขึ้น ก็เรียกว่า คัมภีร์มาบังพระธรรมตัวจริง เพราะว่าพระธรรมตัวจริงนั้นอยู่ที่การปฏิบัติ แต่ว่าการศึกษาเล่าเรียนเป็นเข็มทิศ เป็นแผนที่บอกทางให้ว่าเราควรจะไปทางไหน ควรจะไปอย่างไร อันนี้ถ้าเผื่อไม่ได้นำมาปฏิบัติก็เป็นการว่า เอาคัมภีร์มาบังพระธรรม
ลูกชาวบ้านบังพระสงฆ์ สุดท้ายถ้าคนนับถือพระสงฆ์ที่เพียงแต่นุ่งเหลืองห่มเหลือง โกนศีรษะเป็นพระสงฆ์ โดยไม่คำนึงถึงข้อวัตรปฏิบัติของพระสงฆ์ ไม่ได้คำนึงถึงสังฆคุณที่ว่าสุปฏิปันโน ปฏิบัติดี อุชุปฏิปันโน ปฏิบัติตรง ญายปฏิปันโน ปฏิบัติเพื่อญายธรรม คือธรรมที่ควรรู้ หรือนิพพาน สามีจิปฏิปันโน ปฏิบัติชอบ ไม่มีคุณสมบัติอย่างนี้ แล้วก็ไปบำรุงลูกชาวบ้านที่มาบวชเป็นพระสงฆ์เพื่ออาชีพ หรือเพื่ออะไรก็แล้วแต่ โดยไม่มีคุณสมบัติของพระสงฆ์ที่แท้จริง อย่างนี้เขาเรียกว่าลูกชาวบ้าน บังพระสงฆ์
พระพุทธองค์ทรงแสดงว่าให้ถึงคำสั่งสอนของพระองค์ว่าเป็นที่พึ่ง ก็คือให้ถึง พระธรรม นั่นเอง เพราะพระธรรมก็คือสัจจะความเป็นจริง คือเป็นสัจจะความเป็นจริงที่พระองค์ทรงค้นพบและได้นำมาเปิดเผย มาชี้แจง ธรรมมะที่พระองค์ได้ทรงนำมาแสดงให้เราก็คือทรงได้สรุปชีวิตว่าชีวิตคือความทุกข์ ไม่ใช่ความสุข เพราะถ้าชีวิตคือความสุขก็ไม่มีจุดจบด้วยความแก่ ความเจ็บและความตาย ซึ่งไม่มีใครปรารถนาที่จะได้ แต่ทุกคนก็หนีไม่พ้น เพราะฉะนั้นบทสรุปของชีวิตในทางพระพุทธศาสนาคือชีวิตเต็มไปด้วยความทุกข์ จากความแก่ ความเจ็บ และความตายไม่มีดี หาความสุขไม่ได้ ที่เห็นว่าเป็นสุขนั้นก็เพราะเกิดมาจากความทุกข์ที่เบาบางลงไป เราก็เลยเข้าใจว่าชีวิตคือความสุข
พระพุทธเจ้าได้ชี้ให้เห็นว่าเหตุของความทุกข์มาจากความอยากในใจเรา ๓ ประการ คือ กามตัณหา ความอยากในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส เพราะว่าตัณหาคือความอยากที่จะดำรงให้ได้ยาวนานที่สุดเพื่อที่จะเสพเสวยกามคุณทั้ง ๕ และวิภวตัณหา คือ ความอยากที่จะไม่เป็นสิ่งต่างๆ เพื่ออำนาจความไม่พอใจหรือขัดเคืองใจ ตัณหาคือตัวชักนำที่ทำให้มนุษย์ต้องเวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ
พระพุทธเจ้าได้สอนว่าตัณหาเป็นเหมือนไฟที่คอยแผดเผาใจ เป็นเหมือนตัวชักนำที่ทำให้ต้องเวียน ว่าย ตาย เกิด ซึ่งไฟตัณหาสามารถดับได้ เมื่อเราดับได้เมื่อไร ก็จะพบกับความสุขที่เย็นใจ สบายใจ และเรียกภาวะที่กิเลสดับว่า นิพพาน ซึ่งแปลว่าเย็นก็ได้ เพราะว่าไฟเมื่อโดนน้ำดับแล้ว ก็จะเย็นหรืออาจจะแปลว่าหลุดพ้นจากกิเลสก็ได้
จากนั้นพระพุทธเจ้าก็แสดงให้เห็นถึงหนทางที่จะนำไปสู่ความพ้นทุกข์ ที่จริงแล้วหนทางหรืออริยมรรคก็คือการลงมือปฏิบัติในหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งการปฏิบัติในหลักธรรมก็คือให้ลงมือทำด้วยตนเองโดยไม่ต้องพึ่งสิ่งภายนอก พระองค์ยังทรงสอนอีกว่า “อัตตาหิ อัตตโน นาโถ ตนเท่านั้นเป็นที่พึ่งของตน โก หิ นาโถ ปะโร สิยา ไม่ใครใครอื่นที่จะมาเป็นที่พึ่งของเราได้ อัตตนา หิ สุทันเตนะ ถ้าบุคคลฝึกต้นอย่างดีแล้ว นาถัง ลภติ ทุลลภัง ย่อมได้ที่พึ่ง ที่ได้โดยยาก”
เมื่อเราได้ชื่อว่าเป็นชาวพุทธที่แท้จริง เราก็ต้องปฏิบัติให้ถูกต้อง เช่นเวลากราบพระก็ต้องกราบด้วยความเคารพ ซาบซึ้งในพระคุณความดีที่พระพุทธเจ้าเป็นผู้ฝึกตนดีแล้ว เป็นผู้ประเสริฐสุด เป็นผู้หมดกิเลส แล้วเราก็เจริญรอยตามพระองค์ แต่ไม่ใช่ให้พระองค์เป็นแก้ววิเศษที่คอยเนรมิต สิ่งต่าง ๆ ที่เราอยากได้ ถ้าคิดแบบนั้นก็ไม่ได้ชื่อว่าเป็นสาวกผู้ประเสริฐ นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้า ได้สอนในการลงมือปฏิบัติ ลงมือทำความดีเวลามีปัญหาก็นำธรรมมะที่เหมาะสมมาปฏิบัติให้หมดปัญหาหมดความทุกข์นั้น
ธรรมมะของพระพุทธเจ้าก็เปรียบเสมือนกับยา ยามีหลายประเภท บางประเภทต้องกินก่อนอาหารครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมง บางประเภทก็ต้องกินหลังอาหารทั้นที กินกี่เม็ด ก็ต้องกินให้ถูกต้อง ถ้ากินไม่ถูกต้องโรคต่างๆ ก็จะไม่หาย
ปรับตัวเองใหม่ กราบพระไหว้พระต้องตั้งใจต้องสมาทาน เพราะเราต้องเอาความสุขที่เรารักษาศีลที่เราทำงาน เมื่อก่อนเราไม่เข้าใจชีวิต ก็ปล่อยให้ตัวเองทุกข์ยากลำบาก ปล่อยให้ตัวเองขี้เกียจขี้คร้าน ปล่อยให้ตัวเองกินเหล้ากินเบียร์ เอาแค่ความสุขจากการบันเทิง ก็ต้องรู้เรื่องของกาย ร่างกายของเรานี้ว่ามันแก่มันเจ็บมันตาย จะไปแก้ไม่ให้เจ็บไม่ให้แก่ไม่ให้ตาย มันก็ไม่ได้ เราต้องรู้จักความดับทุกข์ทางกายและทางจิตใจ เดี๋ยวนี้ก็ถือว่าดี พัฒนาเทคโลยี แต่ต้องพัฒนาใจ เพื่อมันจะได้สมบูรณ์กัน เพื่อจะได้ไม่มีความทุกข์กันระดับทางเหตุผลหลักวิทยาศาสตร์ ส่วนทางร่างกายก็ยังไม่พอเอาทางจิตทางใจไปพร้อมๆ กัน เพราะมนุษย์เรามันไม่ใช่เชิงเดี่ยว เชิงเดี่ยวมันยังเป็นตัวเป็นตน เชิงเดี่ยวมันยังแก้ปัญหาไม่ได้ เหมือนชาวไร่ชาวนาทำนาทำสวนเฉพาะหน้าฝนอีกประมาณ ๖ เดือน ๗ เดือน ก็ว่างงาน อย่างนี้มันก็ไม่สมดุลกัน การดำเนินชีวิตของเรามันถึงต้องเป็นปัจจุบัน
คนเราเกิดมามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง ก็ต้องกตัญญูกตเวที อย่างเราถือศาสนา ได้มาฉันข้าวมีที่อยู่ที่อาศัยได้อาศัยประพฤติปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพาน เราก็ต้องกตัญญูกตเวที อย่าไปถือแบรนด์เนม คอยมาหากินกับพระศาสนาอย่างนี้ไม่ได้ มันไม่ใช่ธรรมาธิปไตย ส่วนใหญ่น่ะ มักจะผิดกติกา ทิ้งศาสนา เอาแต่ตัวตนเป็นใหญ่ กลไกมันก็ก้าวหน้าไปไม่ได้ ที่มีข้าราชการนักการเมืองก็เพื่อให้เป็นความมั่นคงของชาติศาสน์กษัตริย์ จะมาโกงกินไม่ได้ จะมาไม่มีความสุขในการทำงานไม่ได้ จะมาเก็บส่วยมาทุจริตคอรัปชั่นไม่ได้ มันไม่ถูกต้อง มันไปไม่ได้ เราต้องกลับมาหาความดับทุกข์ ความดับทุกข์ต้องมีกับเราทุกคน ทุกคนก็จะไว้วางใจเรา เราก็จะไว้วางใจตัวเอง เพราะเราก็ไม่ได้เอาตัวตนเป็นหลัก ไม่ได้เอาตัวตนเป็นใหญ่ แต่เราเอาธรรมะเป็นหลักเป็นใหญ่ การพัฒนาก็ไม่ยากหรอก เพราะทุกคนก็ต้องมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง มีศีลเสมอกัน มีความประพฤติเสมอกัน
ทุกคนอย่าไปใจอ่อน ใจอ่อนไม่ได้ เพราะมันเสียหายทั้งบ้าน เราต้องเข้าสู่ระบบความคิดที่ดี พูดดีๆ ทำดีๆ อย่างนี้แหละ เพื่อพัฒนาตัวเอง เพราะชีวิตของเรามันผ่านไป ผ่านไปแล้วนั้น มันเอากลับมาไม่ได้นะ อย่างนี้เราดูบรรพบุรุษของเราก็หายไปจากไป เราดูตัวเองมันก็เปลี่ยนแปลงมาเยอะ สุดท้ายก็ต้องจากไปใช่ไหม การเวียนว่ายตายเกิด ถ้าเรายังมีความหลงมีอวิชชาอยู่มันก็ยังมีการเวียนว่ายตายเกิด เพราะสิ่งนี้มีสิ่งนั้นมันจึงมี รับรู้เข้าถึงมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติตั้งแต่ปัจจุบันนี้แหละ เพราะว่ามันต้องเดินไปทีละก้าว ทานข้าวทีละคำ ทำทีละอย่างตามอริยมรรคมีองค์ ๘ นี้
แต่ก่อนเราไม่เข้าใจปล่อยให้ชีวิตของเราผ่านไปโดยไร้ประโยชน์เสียเวลา เราตามหาความสุขความดับทุกข์ แต่ว่ามันผิด มันไม่ได้เอาธรรมเป็นหลัก ไม่ได้เอาธรรมเป็นใหญ่ ไม่เอาธรรมเป็นที่ตั้ง การดำเนินชีวิตมันเป็นการทำร้ายตัวเอง ทำร้ายญาติพี่น้องวงศ์ตระกูล ด้วยเราไม่เข้าใจหลักพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่ประเสริฐ ชีวิตของเราก็ไม่มีความสุข ไม่มีความอบอุ่น ให้พากันเข้าใจเราจะได้พัฒนาให้มันถูก มันไม่ยากลำบาก มันอยู่ที่เข้าใจตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติเพราะอันนี้เป็นของดี ดีจริง ดีอย่างประเสริฐ ดีอย่างไม่มีโทษ เพื่อความดับทุกข์ในที่สุด
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.