แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันเสาร์ที่ ๑๘ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง มนุษย์ที่สมบูรณ์ ตอนที่ ๑๐ ก้าวไปด้วยศีล หนักแน่นด้วยสมาธิ มีสติปัญญา ชีวิตของเราก็ถือว่าเป็นชีวิตที่ประเสริฐ
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
วันนี้เวลา ๑๐.๓๐ น. จะมีการบวชพระ ๓ รูป คือ... เมื่อยังไม่ได้บวชก็เป็นคฤหัสถ์ บวชแล้วเป็นพระ คำว่าพระไม่ใช่นิติบุคค ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน คือพระธรรม คือพระวินัย มีถือนิสัยของพระพุทธเจ้า มาถือนิสัยของพระอรหันต์ ถึงไม่ใช่นิติบุคคลไม่ใช่ตัวตน เค้าถึงเรียกว่าบวชพระ ให้ผู้ที่มาบวชพระให้เข้าใจ การดำรงชีพของเรานี้ต้องเอาความเป็นพระธรรม พระวินัย ไม่ใช่นิติบุคคล ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ถึงจะบวชไม่กี่วัน ก็ไม่สำคัญ ให้ทุกท่านทุกคนเป็นพระธรรมพระวินัย เราไม่ต้องเอาอย่างอื่น ถึงจะเหนื่อยยากถึงจะลำบาก มันก็คือความถูกต้อง คือความเป็นพระธรรมพระวินัย เพราะเราต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เพราะเราได้สิทธิพิเศษบ้านก็ไม่ได้เช่า ข้าวก็ไม่ได้ซื้อ เอาของมาให้มาถวายยังมากราบมาไหว้ พ่อแม่ปู่ย่าตายายทุกคนให้ความเคารพบูชาทั้งหมด แม้แต่พระมหากษัตริย์ผู้ปกครองแผ่นดิน รัฐบาล ให้เข้าใจอย่างนี้ เราต้องเป็นพระทั้งร่างกายและเป็นพระทั้งจิตใจ เราเป็นประชาชนรักษาศีล ๕ อย่างนี้ เราเป็นพระไม่ใช่รักษาศีล ๕ แล้ว รักษาศีลรักษาวินัย ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ที่เรามาสวดในพระปาฏิโมกข์ก็เพียง ๒๒๗ ข้อ นี่ก็ต้องเข้าใจอย่างนี้
ทุกวันทุกคนต้องปรับตัวเข้าหาเวลา เข้าหากิจวัตร เพราะเราไม่ต้องเป็นนิติบุคคลตัวตน เข้าหาธรรมะ เราต้องหยุดมีเพศสัมพันธุ์ทางความคิด หยุดมีเพศสัมพันธุ์ทางอารมณ์ แต่ก่อนเราเป็นประชาชนเราคิดไปทั่วอย่างนี้ พอเรามาเป็นพระธรรมพระวินัย เราจะไปคิดตามอำเภอใจไม่ได้ เรื่องความคิด เจตนาเราต้องเอามรรคผลนิพพาน ไม่เอามรรคผลนิพพานเราก็ต้องอาบัติ เพราะว่าเราได้สิทธิพิเศษ ถ้างั้นจะเป็นการโกหกหลอกลวงคนอื่น ไม่ใช่พระก็เรียกว่าตัวเองเป็นพระ ความหมายบวชพระ เพราะเราโชคดีได้เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ไก่มันฟักไข่ใช้เวลา ๓ อาทิตย์มันถึงออกมาเป็นลูกของไก่ เราก็เข้าสู่ธรรมวินัย
เมื่อสามวันก่อน พูดเรื่อง ผู้ที่จะลาสิกขา และพูดเรื่องผู้ที่ไม่ลาสิกขา ผู้ที่จะบวชถาวรอย่างนี้ ก็พูดแล้ว วันนี้จะพูดเรื่องคฤหัสถ์ของทุกๆ คนของประเทศไทยเราของประเทศอื่นด้วย เราก็ต้องทำหน้าที่ของเรา คือต้องพัฒนาทั้งวิทยาศาสตร์และใจไปพร้อมๆ กัน ถ้าเราพัฒนาวิทยาศาสตร์ด้วยการเรียนการศึกษา เรื่องการทำธุรกิจหน้าที่การงานเราไม่ได้พัฒนาใจไปพร้อมๆ กันอย่างนี้มันไม่ใช่ทางสายกลาง เพราะความเป็นพระที่แท้จริงนั้น มันไม่ได้อยู่ที่โกนหัวห่มผ้าเหลือง อยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง มีความสุขในการทำงาน มีความสุขในการพัฒนาจิตใจ เค้าเรียกว่าสัมมาทิฏฐิ รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติในการดับทุกข์ ความดับทุกข์เรียกว่ารู้อริยจสัจ ๔ ทุกคนต้องเข้าใจ เพราะการเรียนการศึกษาตั้งแต่นักธรรมตรี ถึง ปธ.๙ เพื่อพัฒนาด้านใจ เรียนตั้งแต่อนุบาลจนถึงด็อกเตอร์ก็เพื่อพัฒนาด้านวัตถุ จึงต้องพัฒนาสองด้านนี้พร้อมกัน
ความเป็นพระ มันอยู่ได้ทั้งผู้ที่เป็นนักบวชและอยู่ได้กับผู้ที่เป็นคฤหัสถ์ เราต้องรู้จัก เราทุกคนต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ มนุษย์จะไม่ได้เป็นแต่เพียงคน เราจะได้เป็นข้าราชการเป็นนักการเมือง เป็นอะไรที่ไม่ใช่นิติบุคคล ไม่ใช่ตัวตน เป็นกระบวนการแห่งการดับทุกข์ มันจะได้ทำถูกต้องถึงจะยากถึงจะลำบาก หมู่มวลมนุษย์ก็ต้องทำให้ถูกต้อง ที่มันเป็นอริยมรรคมีองค์ ๘ ทุกคนจะได้พัฒนาทั้งวัตถุ มีอยู่มีกิน พัฒนาทั้งใจไปพร้อมๆ กัน เพราะโลกนี้ร่างก็แก้ไขได้ จิตใจก็แก้ไขได้ เพราะมันต้องแก้เป็นสองอย่าง แก้ทั้งส่วนร่างกายหรือว่าส่วนวัตถุ แก้ทางจิตใจที่ได้รับความพร้อม ความสะดวกสบาย ไม่หลง เราต้องไปพร้อมๆ กัน ทุกคนต้องปิดอบายมุขปิดอบายภูมิ ที่ผ่านมาหลายปีหลายสิบปี คือความล้มเหลวความเสียหาย เพราะมันเป็นนิติบุคคล เป็นตัวตน
ให้ทุกคนต้องรู้จัก เพราะทุกคนไม่ได้แก้ที่ใคร แก้ที่ตัวเอง ปฏิบัติที่ตัวเอง ทุกคนต้องกลับมาแก้ที่ตัวเอง อย่าไปถือว่ายากลำบากอะไร เพราะเราต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ด้วยฉันทะ ด้วยศรัทธาที่จะต้องแก้ไขนี้ เป็นความมั่นคงของชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ที่มันจำเป็น ต้องมีจุดยืนชัดเจน เค้าเรียกว่า มีสัมมาทิฏฐิและมีหลักการชัดเจน เรียกว่าสัมมาสมาธิ ความตั้งใจ มีศีล นี้คือ ความประพฤติของเรา เค้าเรียกว่ากฎแห่งกรรม ต้องมีความสุขอย่างนี้
ทุกคนต้องไม่ต้องไปหาพระที่อื่นแล้ว พระนี้ต้องหาได้ที่ตัวเรา พระภายนอก เราก็มีแต่มองเห็นอย่างนี้ เรานึกว่าเค้าเป็นพระอย่างนี้ ต้องหาพระที่ตัวเรา เพราะศาสนานี้ไม่ใช่สมาธิอย่างเดียว มันเป็นอริยมรรคมีองค์ ๘ ความถูกต้องนี้มันจะแทรกอยู่กับเราอยู่ทุกหนทุกแห่งในการกระทำ ในอิริยาบถทั้ง ๔ ผู้ที่อยู่ป่า ผู้ที่อยู่บ้าน อยู่ที่ทำงานปฏิบัติ เพราะความสงบมันอยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง เรากลับมาหาสิ่งที่ถูกต้อง หรือว่ามีความสุขในการทำงาน มันก็สงบแล้ว แต่ก่อนเราไม่รู้จักพระพุทธเจ้าสั่งสอนประชาชน สั่งสอนให้เข้าใจเรื่องอย่างนี้ ให้ทุกคนรู้จักอริจสัจ ๔ รู้จักความจริง ปฏิบัติจริง เราจะได้รู้จักพระที่แท้จริง อยู่ที่ไหน อยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง พวกที่โกนหัวห่มผ้าเหลือง ถ้ายังเอาตัวตนเป็นที่ตั้งนี้ ก็ยังหาได้เป็นพระไม่ มันเป็นเพียงแบรนด์เนมอย่างนี้ ให้เข้าใจ เราเป็นคฤหัสถ์ ทุกคนก็เป็นพระได้
ทุกท่านทุกคนต้องพากันสมาทาน ตั้งใจ ปฏิบัติเสียสละซึ่งทิฏฐิมานะ อัตตาตัวตน เราจะได้เข้าถึงคำว่าพระ คือพระศาสนา ชีวิตของเราถึงจะมีความสุข เป็นชีวิตเข้าสู่กระบวนการเเห่งมรรคผลนิพพาน เราทุกคนไม่อาจจะทำตามใจตัวเอง ทำตามอารมณ์ได้ พระพุทธเจ้าให้เราทำอย่างนี้ โลกนี้จะไม่ว่างจากพระอริยเจ้า จะไม่ว่างจากพระอรหันต์ ถ้าเราปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านเมตตาสั่งสอนอยู่เเล้ว ธรรมวินัย อริยมรรคมีองค์ ๘ คือตัวเเทนของพระพุทธเจ้า ให้ทุกท่านเข้าใจ รายละเอียด ระบบความคิด ว่าอันไหนไม่ดีไม่ถูกต้อง ว่าอันไหนจะทำให้เราเห็นเเก่ตัว เราอย่าไปคิด ถ้ามันอยากขึ้นอีก มันจะไปพูด มันจะไปกระทำ ต้องเริ่มต้นจากความคิด เราทุกคนที่ได้มาบวชยังไม่ใช่พระนะ เป็นเพียงภิกษุ เราอย่าไปหลง เหมือนข้าราชการ เค้าเเต่งตั้งให้เป็นข้าราชการ ที่เราไปเรียนหนังสือ เราไปสอบมา ถ้าเราไม่มีเจตนาตั้งใจมาเสียสละทำงานให้มีความสุข ตามที่เค้าเเต่งตั้ง เราก็ยังไม่ใช่ข้าราชการหรอก ผู้ที่มาบวชยังไม่เข้าใจอยู่ ยังคิดเเต่ว่าตัวเองเป็นพระ มันไปคิดเอาไม่ได้ มันต้องปฏิบัติ เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ อย่าไปหลง หลงมันยิ่งกิเลสมากกว่ายังไม่บวชอีก เราอย่าไปเข้าใจว่าเราเป็นพระ สี่พรรษา ห้าพรรษา ไปหลงนั่งผิงหมอน อยู่นั้น เราอย่าไปหลงตัวเองว่าตัวเองเป็นข้าราชการ ใส่ชุดใส่สูทใส่อะไร เราไม่ได้เป็นข้าราชการนะ ถ้าเราไม่เสียสละ ถ้าเราไม่มีความสุขในการทำงาน อย่างนักการเมืองเราก็ไม่ได้เป็นนักการเมือง ถ้าเราไม่เอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นใหญ่ เอาธรรมเป็นที่ตั้ง มีความสุขในการทำงานมาเสียสละ มาบริหาร
พระบวชมาใหม่ๆ ก็ดีอยู่ บวชเป็นพระภิกษุนี้ บางทีมันตามใจตามอารมณ์ตัวเอง ยิ่งบวชหลายวัน กิเลสยิ่งเเก่กล้า อย่างนี้ เค้าไม่เอาความบวชมาเป็นตัววัด เค้าเอาปัจจุบัน ที่เรามันกิเลสมากขึ้น มันยังยินดีในความขี้เกียจขี้คร้าน ยินดีในการนอน การพักผ่อน เราทำไม่ถูก เราต้องเน้นที่ปัจจุบัน ปัจจุบันเเสดงว่าปัญญาเราไม่เกิด เราถึงยินดีสบายๆ เเบบฟรีสไตล์ ชอบมีโทรศัพท์มือถือ ชอบเล่นไลน์ เล่นอะไรอย่างนี้ เรามันเริ่มเพี้ยนเเล้ว ให้ทุกคนเน้นที่ปัจจุบัน เริ่มฝึกตัวเอง เราอย่าคิดว่า เราเเก่เเล้วเราต้องพักผ่อน การพักผ่อนทางกายมันผ่อนได้ เเต่จิตใจต้องสมาทานหนักเเน่นขึ้น ยิ่งเเก่ ยิ่งเฒ่า ยิ่งเสียสละทางจิตใจ เพราะถ้าเราไม่เสียสละ ทางกายใจนี้ เราก็จะยิ่งเเก่ยิ่งทุกข์ เพราะขันธ์ห้ามันก็เริ่มเจ็บป่วยแล้ว ไหนเราจะทุกข์กับลูก กับหลาน ทุกข์กับอะไรๆ ที่เป็นประชาชน ถ้าเป็นพระ มีทุกข์กับเรื่องการรับผิดชอบอาคาร อาวาส พระภิกษุสามเณร
ครั้งหนึ่งพระรัฐบาลผู้เป็นเลิศในด้านออกบวชด้วยศรัทธา โยมบิดานิมนต์ให้กลับบ้านครั้งแรกหลังออกบวชได้ ๑๒ ปี นั่งบนอาสนะที่เขาตกแต่งไว้อย่างดีท่ามกลางกองเงินกองทอง บิดาของท่านสั่งให้เปิดกองเงินและกองทองนั้นพร้อมกล่าวว่า "ท่านรัฐบาล... ทรัพย์กองนี้เป็นของมารดา กองนี้เป็นของบิดา กองนี้เป็นของปู่ ทั้งหมดรวมกันเป็นของท่านแต่ผู้เดียว ขอท่านได้บอกคืนสิกขามาเป็นคฤหัสถ์ ใช้สอยทรัพย์สมบัติเหล่านี้และทำบุญตามที่ต้องการเถิด"
พระรัฐบาลมองดูกองเงินกองทองด้วยสายตาที่ไม่อาลัย ไร้ความไยดีอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า "ท่านบิดา ทรัพย์สมบัติเหล่านี้ อาตมภาพไม่เคยเห็นก็หามิได้ อาตมภาพเคยทราบและเคยเห็นตั้งแต่ก่อนออกบวชแล้ว มันยังไม่สามารถเหนี่ยวรั้งอาตมภาพไว้ได้ ก็ไฉนเล่าบัดนี้อาตมภาพจะมานิยมยินดีกับสิ่งที่ไร้สาระนี้ บัดนี้อาตมภาพได้รับสิ่งที่มีรสเลิศกว่าคือธรรมรสแล้ว ขอทรัพย์สมบัติเหล่านี้จงเป็นของผู้ที่ต้องการเถิด อาตมภาพไม่ต้องการ"
มารดาได้กล่าวขึ้นว่า "เหตุไฉนท่านจึงกล่าวว่าทรัพย์สมบัติ เหล่านี้เป็นสิ่งไร้สาระ มันเป็นสิ่งที่คนทั้งหลายแสวงหามิใช่หรือ ถ้ามันไร้สาระจริงแล้ว เหตุไรคนจึงแสวงหากันนัก ถึงกับต้องแย่งชิงฆ่าฟันกันก็มาก?"
"ก็เพราะเหตุที่คนทั้งหลายไร้ปัญญาจักษุ" พระรัฐบาลตอบ
"มีความคิดวิปลาส คลาดเคลื่อน เห็นสิ่งที่ไร้สาระว่าเป็นสาระ และกลับเห็นสิ่งที่เป็นสาระว่าไม่เป็นสาระ จึงหมกมุ่นพัวพันอยู่กับอสาระ ทอดทิ้งสิ่งที่เป็นสาระเสีย เสมือนคนเขลาเข้าไปในป่าต้องการแก่นไม้ เอาแต่กิ่งและใบไปด้วยสำคัญว่าเป็นแก่น เขาย่อมไม่สำเร็จประโยชน์ด้วยกิจที่ต้องทำด้วยแก่นไม้ อนึ่งท่านทั้งสองกำลังประสบทุกข์โทมนัสอยู่บัดนี้ ก็เพราะทรัพย์สมบัตินี้มิใช่หรือ ถ้ามันเป็นสิ่งมีประโยชน์แท้จริงแล้ว ไฉนจึงให้ความทุกข์แก่ท่านถึงปานนี้ จริงอยู่ชาวโลกย่อมต้องอาศัยทรัพย์สมบัติเลี้ยงชีพ มันมีประโยชน์ต่อเมื่อรู้จักใช้ แต่ถ้ามีมันแล้วยอมตนลงเป็นทาสของมัน ต้องทุกข์ร้อน วิตกกังวลด้วยทรัพย์สมบัติต่างๆ ไม่รู้จักสิ้นสุดแล้ว จะมีประโยชน์อันใด ถ้าโยมทั้งสองเดือดร้อนนัก เพราะเหตุแห่งทรัพย์สมบัตินี้ ก็ให้ขนไปทิ้งแม่น้ำเสียเถิด จะได้ปลอดโปร่ง เบากายสบายใจ อนึ่งเล่าคนอนาถาไร้ที่พึ่ง อดอยากแร้นแค้นในบ้านเมืองนี้ก็ยังมีมากนัก ถ้าท่านทั้งสองจะแจกจ่ายเอื้อเฟื้อให้แก่เขาบ้าง ชื่อว่าได้ทำทรัพย์ให้เป็นประโยชน์ ย่อมได้รับความชื่นสุขเป็นเครื่องตอบแทน อาตมภาพคิดว่าดีกว่าเก็บไว้เป็นกองพะเนินอย่างที่เห็นอยู่นี้ ซึ่งในที่สุดโยมทั้งสองก็จะต้องละทิ้งทรัพย์ทั้งปวงไป และนำไปไม่ได้เลยแม้แต่ชิ้นเดียว เมื่อความตายมาถึงเข้า
"ท่านผู้มีพระคุณ" พระรัฐบาลพูดต่อ "จงรีบเถิด รีบขวนขวายแปรสิ่งที่ไม่มีสาระให้เป็นสาระ ทำสิ่งที่ติดตามตนไปไม่ได้ให้กลายเป็นสภาพที่ติดตามไปได้ทุกภพทุกชาติ ท่านเอย จะกล่าวไยถึงทรัพย์สมบัติภายนอกเล่า แม้แต่ร่างกายอันเป็นที่ยึดมั่นหวงแหนว่าเป็นของเรามาตั้งแต่ปฐมวัย จวบจนสิ้นลมปราณเพราะชรา ก็ไม่มีใครสามารถนำไปได้ ต้องทิ้งไว้เป็นเหยื่อของหมู่หนอนและฝูงวิหคนกกา หรือมิฉะนั้นก็พระเพลิง บัดนี้ท่านทั้งสองอันชรามาเยือนแล้วเหมือนใบไม้เหลืองจวนหล่น ขอให้รีบทำที่พึ่งแก่ตนเถิด"
เมื่อได้ฟังดังนี้ ภรรยาเก่าของพระรัฐบาลคร่ำครวญเข้ามาจับที่เท้าของท่าน แล้วรำพันว่า "ท่านผู้เจริญ นางฟ้าทั้งหลายที่เป็นเหตุให้ท่านประพฤติพรหมจรรย์นั้นเป็นเช่นไร ท่านจึงไม่สนใจไยดีต่อโลกมนุษย์เสียเลย"
"ดูก่อนน้องหญิง" พระรัฐบาลตอบ น้ำเสียงแสดงความเป็นผู้ไม่มีอาลัย "เรามิได้ประพฤติพรหมจรรย์เพื่อต้องการนางฟ้า แต่ต้องการความบริสุทธิ์หมดจดจากความเศร้าหมองทั้งปวง" เมื่อได้ยินดังนี้ หญิงเหล่านั้นถึงกับสลบล้มลงด้วยความเสียใจ อนึ่ง นางได้ยินคำว่า "น้องหญิง" จากปากของพระรัฐบาล อันเป็นการแสดงว่า ไม่มีความเยื่อใยแล้ว ทำให้นางมีความรู้สึกทันทีว่า การที่จะให้พระรัฐบาลหวนกลับมาครองเรือนนั้นเป็นอันสิ้นหวัง ท่ามกลางใบหน้าซึ่งชุ่มโชกไปด้วยน้ำตานั่นเอง พระรัฐบาลเอ่ยขึ้นว่า "ดูก่อนคหบดี ถ้าจะพึงให้โภชนะแก่อาตมภาพก็จงให้เถิด อย่าให้อาตมภาพต้องลำบากเลย" ด้วยการเตือนนี้ ทุกคนมีสติระลึกได้ว่า ได้นิมนต์พระรัฐบาลมาฉันอาหารที่บ้าน มิได้นิมนต์มารับทรัพย์มรดก จึงช่วยกันถวายอาหารอันประณีตที่ได้เตรียมไว้แล้วด้วยมือของตน พระรัฐบาลฉันอาหารเสร็จแล้ว ชักมืออกจากบาตรแล้ว ได้ยืนขึ้นเตรียมจะไป ก่อนจาก ท่านได้กล่าวถ้อยคำเป็นเครื่องเตือนใจไว้ว่า "ดูเอาเถิด ดูอัตภาพอันคุมกันเข้าอย่างวิจิตร แต่มีความกระสับกระส่ายกระวนกระวายไม่ยั่งยืนมั่นคง เป็นที่ประสานขึ้นแห่งกระดูกมีหนังเป็นเครื่องห่อหุ้ม แพรวพราวด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์เป็นที่ดำริถึงของคนเป็นอันมาก แต่ไม่เป็นที่ต้องการของผู้แสวงหาฝั่งคือนิพพาน ท่านเป็นดังพรานเนื้อวางบ่วงไว้ แต่เนื้อไม่ติดบ่วงพรานเนื้อจึงคร่ำครวญเสียใจ เราเป็นเหมือนเนื้อตัวนั้น กินแต่อาหารแล้วจากไป"
ชีวิตของเราทุกคนต้องมีความเห็นถูกต้อง มีความเข้าใจถูกต้อง ความสุขความดับทุกข์มันย่อมเกิดกับเรา ในชีวิตประจำวันมันเรียกว่าอริยมรรคมีองค์ ๘ เพราะความสุขความดับทุกข์ทางวัตถุ มันไม่ใช่ทางดับทุกข์ที่เเท้จริง มันเปลี่ยนการบรรเทาทุกข์เฉยๆ ทรงไว้ให้ร่างกายมันอยู่ได้ เราจะได้ประพฤติปฏิบัติธรรม เราอย่าได้พากันมาหลงในร่างกายนี้ เพราะร่างกายนี้มันเป็นเพียงของชั่วคราว เพราะอันนี้ไม่ใช่เรา มันเป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ ถึงเราจะทานอาหารทำอะไร มันก็เกิดเเก่ เจ็บ ตาย พลัดพราก เเต่งทำเฟอนิเจอร์อะไร มันก็เเค่นั้น พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า ถึงไม่ใช่ความงาม มันเป็นอสุภะกรรมฐาน ความงามก็คือศีล คือ ศิลปะในชีวิต ที่จะนำเราออกจากวัฏฏะสงสาร ความงามในท่ามกลางคือสมาธิ คือเรามาตั้งมั่น ความงามในปัญญา คือเราพากันรู้จักตามความเป็นจริง เราพากันเสียสละ ให้มันเป็นธรรม เป็นปัจจุบันธรรม อย่าพากันหลงไปตามอวิชชา เค้าเรียกเราอย่าพากันมาโง่ มาเเข่งบ้าน เเข่งรถ เเข่งยศ เเข่งตำแหน่ง เค้าเรียกว่ามันไม่มีสาระอะไร เราต้องเข้าถึงความสุข ความดับทุกข์เข้าถึงเศรษฐกิจพอเพียง คนจนก็ให้มีความดับทุกข์ได้ ในชีวิตประจำวัน คนรวยก็ให้มันดับทุกข์ได้ในชีวิตประจำวัน
เราต้องกลับมาหาสติ หาสัมปชัญญะ มีความสุขอย่างนี้ ทุกท่านทุกคนต้องจัดการตัวเอง เราไม่ต้องไปตามอารมณ์ ตามความคิด ที่ต้องพลัดถิ่นทางบ้านเกิด ไปหาความดับทุกข์อะไรอย่างนี้ เราต้องพัฒนาใจของตัวเอง พัฒนาที่อยู่ที่อาศัย ที่หากิน ที่ไม่ทำบาปทั้งปวง เพราะเราต้องภาวนาสู่พระไตรลักษณ์ ให้เราเกิดสติ เกิดปัญญา เราจะได้เป็นตัวอย่างให้ลูก ให้หลาน ว่าความสุขความดับทุกข์ของมนุษย์มันอยู่อย่างนี้ ไม่ได้อยู่ที่กายหรอก มันอยู่ในชีวิตประจำวันนี้เเหละ
เราไม่ต้องหาพระที่ไหนหรอก ถ้าทุกคนประพฤติปฏิบัติ ใจของเราจะแน่วเเน่อย่างนี้ เเน่นอน เราไม่ต้องไปถามหรอกว่าถูกหรือไม่ถูก เพราะถูกหรือผิด เราก็รู้อยู่ในใจอยู่เเล้ว เพราะปฏิบัติ พระพุทธเจ้าก็ไม่ให้เราอะไร ให้เรามีความสุขในการเสียสละ ถ้าเราจะเอาอะไร เเสดงว่ามันผิดเเล้ว มันเป็นระบบอัตตาตัวตน ระบบครอบครัว ระบบสักกายทิฏฐิ เราอย่าคิดว่าถ้าไม่เอา ไม่ใช่ว่างขาดสูญ อันนี้เป็นสัมมาทิฏฐิ ที่เราจะเอา เราต้องเป็นมิจฉาทิฏฐิ เราอย่าไปสรุปเอา คิดเอา ว่าอะไรก็ว่าว่างหมด เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งไม่ได้ มันว่างอย่างนั้น มันเรียกว่า ว่างจากศีล จากธรรม ว่างจากมรรคผลนิพพานนะ พวกเราที่เดินกันเป็นเเถว นอนก็เป็นเเถว ทำอะไร มันว่างจากศีล จากสมาธิ ปัญญา พากันว่างจากมรรคผลนิพพาน เราต้องรู้จัก ต้องลงรายละเอียดให้กับตัวเอง ว่าความสุขความดับทุกข์ มันจะมีกับเราทุกๆ คน อยู่ทุกครอบครัว อันนี้ๆ เรียกว่า ธรรมะอันนี้เค้าเรียกว่าศาสนา ศาสนาคริสต์ก็ต้องทำอย่างนี้เเหละ ศาสนาอิสลามก็ต้องทำอย่างนี้ ทุกศาสนาต้องเข้าถึงความสุขความดับทุกข์ เพราะทุกคนเกิดมาเพื่อมาเสียสละ ทิฏฐิมานะ อัตตาตัวตน รู้จักว่าเราต้องทำอย่างนี้ๆ เราไปทำอย่างอื่นไม่ได้ มันไม่ถูก เราถึงต้องมีบ้าน มีที่อยู่อาศัยเป็นท้องถิ่น มีที่ทำมาหากินเป็นถิ่น เเล้วก็มีตัวเราเป็นผู้ปฏิบัติ เราจะได้รู้จักบ้าน บ้านภายนอกคือร่างกาย บ้านภายในคือจิตใจ เรียกว่า มีข้อวัตร ข้อปฏิบัติ ที่รู้ ที่เรียนเป็นที่เรียนเพื่อศึกษาทำมาหากิน วัดที่เราเห็นอยู่ในเมืองไทย ก็เป็นส่วนรวมของผู้เอามรรคผลนิพพาน ผู้ที่มาบวชต้องเข้าใจอย่างนี้ อย่าพากันเข้าใจผิด พามาปลงผมห่มผ้าเหลือง มีอุปัชฌาย์บวชให้นั้นยังไม่ใช่ เค้าให้เราเป็นภิกษุเฉยๆ เราต้องประพฤติปฏิบัติเพื่อให้เราเป็นพระธรรมเป็นพระวินัย พวกกามนี้เราต้องเสียสละ เราอย่ามากินมานอนมาพักผ่อน เราพากันรักษาศีลให้มันได้เต็มร้อย ตั้งมั่นในสมาธิให้มันเต็มร้อย เราเสียสละให้เต็มร้อย ไม่ว่าวัดบ้านวัดป่า มันก็สามารถที่พัฒนาใจเราทุกคนที่จะเป็นพระได้ เพราะไม่ได้อยู่ที่สถานที่ อยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง เเล้วเราฝึกอานาปานสติ มันก็จะสงบลง เพราะเราไม่ได้ตามอารมณ์ ตามอะไรไป
การที่จะหยุดอันนี้ได้ต้องใช้เวลาอย่างน้อย ๓ อาทิตย์ เพราะความรู้ความเข้าใจเป็นมรรค เป็นอริยมรรค เราประพฤติปฏิบัติอริยมรรค ต้องใช้เวลาหลายอาทิตย์ ผลมันจะออกมา เราถึงจะสงบเย็น เราถึงจะหยุดกินเหล้า ถึงจะหยุดสูบบุหรี่ พวกนี้มันต้องทำ เราต้องหยุดสูบบุหรี่ หยุดกินเหล้าเพื่อลูกมันจะได้เห็น ลูกเราไม่เคารพเรา เพราะเราไม่มีศีลอะไร เราเทียบเท่ากับสัตว์เดรัจฉานเอง ทำตามสัญชาตญาณเค้าเรียกว่าสัตว์เดรัจฉาน ยังกินเหล้าสูบบุหรี่ มีเเต่บริโภคกาม ใจของเรายังมีเซ็กซ์ ยังยินดีในลูกเค้าเมียเค้า ผู้หญิงยังยินดีในผัวเค้า ลูกเค้า อย่างนี้ ยังมีเพศสัมพันธุ์ทางจิตใจอยู่
คนเราต้องรู้จัก เพราะเราต้องเเก้ที่จิตที่ใจของเรา ความเป็นพระมันอยู่ที่ใจ เราต้องคิดก่อนพูด คิดก่อนใช้เงิน คิดก่อนอะไร เราต้องทำอย่างนี้ ต้องมีความสุขในการทำงาน จะเป็นคนขี้เกียจขี้คร้านไม่ได้ มันเห็นเเก่ตัว มันเป็นอบายมุข มันจะทำให้เราตกต่ำไปสู่อบายภูมิ เราต้องพากันเสียสละ เราต้องทำงานให้มีความสุขกัน เพราะวันหนึ่งคือหนึ่งมันมี ๒๔ ชม. เราตื่นอยู่มันตั้ง ๑๐ กว่าชั่วโมงเเล้ว เราต้องมีความสุขในการทำงาน การพูดดีๆ คิดก่อนพูด คิดก่อนทำ พวกนี้ก็คืองานทั้งใจ งานทั้งกาย เราต้องรู้จักว่าศาสนา เราต้องรู้จักว่าพระ เพราะทำอย่างนี้ เราเป็นประชาชน เราจะได้เป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี มันไปเป็นพระอรหันต์ไม่ได้ เป็นพระอรหันต์ต้องเสียสละหมด อย่างนี้ให้เข้าใจนะ อยู่ในบ้านเรา ต้องสมัครสมานสามัคคีกัน อย่าไปทะเลาะวิวาทกัน คนเราต้องใช้ความเมตตา ใช้ความฉลาด เพื่อจะให้กำลังใจซึ่งกันเเละกันในการท่องเที่ยวในวัฏฏะสงสาร ชีวิตของเรามันก็จะสงบ จะเย็น
พระพุทธเจ้าท่านให้เราทุกท่านทุกคนมาปฏิบัติที่ 'ใจ' ของตัวเอง ที่คำพูดของตัวเอง การกระทำของตัวเอง เหมือนพระพุทธเจ้าท่านประพฤติปฏิบัติ เพราะทุกๆ คนนั้นมันเหมือนกันหมดน่ะ ทำดีก็ย่อมได้ดี ทำไม่ดีก็ย่อมได้ไม่ดี ทำอย่างไรได้อย่างนั้น
ประการแรกที่เราจะคิด ที่เราจะทำ ที่เราจะพูดนี้ เราพากันมาสมาทานเดินตามรอยของพระพุทธเจ้า เราทุกท่านทุกคนถือว่าชีวิตนี้ เป็นชีวิตที่ประเสริฐ เป็นชีวิตที่เกิดมาเพื่อสร้างคุณธรรม เพื่อสร้างบารมี เอาแบบอย่างเอาเยี่ยงอย่างของพระพุทธเจ้า ธรรมทั้งหลาย เราไม่ต้องไปคิดมาก ไม่ต้องไปค้นคว้ามาก เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านบอกเราสอนเราตรัสไว้ดีแล้ว เพียงแต่ทำตามปฏิบัติตามเท่านั้นเอง
คนเราทุกท่านทุกคนที่มีปัญหานี้ ก็เพราะเราเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง เอาตัวเองเป็นใหญ่ เอาตัวเองเป็นประธาน ไม่ได้เอาธรรมะ ไม่ได้เอาความถูกต้อง ไม่ได้เอาความดีเป็นที่ตั้ง พากันไปคิดไปเข้าใจว่า ถ้าเราปฏิบัติตามพระพุทธเจ้า ปฏิบัติตามธรรมะน่ะมันเป็นเรื่องยาก เป็นเรื่องลำบาก มันเป็นการลิดรอนสิทธิ์ความสุข...ความดับทุกข์ของตัวเอง เราไม่ใช่พระพุทธเจ้า เราไม่ใช่พระอรหันต์ แล้วเราจะปฏิบัติอย่างนั้นได้อย่างไร...? เราน่ะมีความเข้าใจอย่างนี้ เรามีความคิดอย่างนี้ เลยเอาตัวเองเป็นใหญ่ เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง สร้างอัตตา สร้างตัวตนขึ้น
ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้น ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อความอยากใหญ่ เป็นไปเพื่อตัวเพื่อตนนั้น ไม่ใช่พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ความดับทุกข์ มีแต่จะเพิ่มความทุกข์ มีแต่จะเพิ่มปัญหา
พระพุทธเจ้าท่านไม่มีตัวไม่มีตนน่ะ พระอรหันต์ท่านไม่มีตัวไม่มีตนน่ะ ท่านถึงไม่มีทุกข์น่ะ ที่ไหนมีตัวมีตนนั้นที่นั่นมีทุกข์ทั้งนั้นเลย
ชีวิตของเราเป็นของประเสริฐน่ะ การเกิดมาเป็นมนุษย์นี้มันเป็นของน้อยนัก เป็นโอกาสที่เราจะได้สร้างความดี สร้างบารมี
พระพุทธเจ้าถึงให้เราเข้าใจ ตั้งใจ... เพราะสิ่งที่ให้พระพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า นั้นคือ 'ธรรมะ' สิ่งที่จะให้ประชาชนที่เป็นหญิง เป็นชาย เป็นคนเล็ก เป็นผู้ใหญ่ ที่จะเข้าถึงธรรมะ หรือเข้าถึงความ ดับทุกข์ที่แท้จริง นั้นคือ 'ธรรมะ' การปฏิบัติธรรมะให้เน้นเข้าที่จิตที่ใจ เพื่อจะได้ละความโลภ ละความโกรธ ละความหลง โดยเอาการเสียสละ
ทุกๆ ท่านนั้นต้องเสียสละ ให้ระลึกในใจว่าชาตินี้เราเกิดมา เพื่อเสียสละ เพื่อความดี ปฏิบัติธรรม เราทุกท่านทุกคนนั้น จะทำอะไรก็หวังผลประโยชน์ตอบแทน ว่า ทำอย่างนั้นจะได้รับผลอย่างนั้น ทำอย่างนี้จะได้รับผลอย่างนี้ พระพุทธเจ้าให้เราเสียสละ ให้ทานไป...ให้ทานยังไม่พอก็ยังมารักษาศีลอีก ศีลนั้นคืออะไร? 'ศีล' นั้นคือความบริสุทธิ์น่ะ เป็นทางสายกลาง เป็นเครื่องมือ เป็นอุปกรณ์ ที่ให้เราทุกคนได้ปฏิบัติเข้าถึงความสุข...ความดับทุกข์ เข้าถึงความดับไม่เหลือแห่งอัตตาตัวตน เน้นเข้าไปที่ 'ศีล' เน้นไปตัวที่ 'เจตนา'
เราฝึกจิตใจให้ตั้งมั่นในศีล ให้หนักแน่นในศีล หนักแน่นในสมาธิ ตั้งมั่นในสมาธิ ความเป็นพ่อเป็นแม่ เป็นผู้นำของเรานี้ มันถึงจะได้เกิดประโยชน์ เราจะไม่ได้กลัวอุปสรรค ไม่ได้กลัวปัญหา เพราะอุปสรรคนั้นไม่มี ถ้าเราไม่มีอัตตา ถ้าเราไม่มีตัวไม่มีตน ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมันจะ เดินไปก้าวไปด้วยศีล ด้วยธรรม ด้วยคุณธรรม ชีวิตของเราก็ถือว่าเป็นชีวิตที่ประเสริฐที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์เป็นผู้ที่จิตใจสูง สงบเย็นเป็นพระนิพพาน
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.