แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันเสาร์ที่ ๔ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง มนุษย์ที่สมบูรณ์ ตอนที่ ๖ จงเห็นความวิวาทโดยความเป็นภัย และความไม่วิวาทโดยความปลอดภัยแล้ว เป็นผู้พร้อมเพรียงมีความประนีประนอมกันเถิด
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ให้ประชากรของโลกพากันรู้อริยสัจ ๔ รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ ความสมัครสมานสามัคคีกันเป็นเรื่องที่สำคัญ อยู่ในครอบครัวเรามีกันกี่คนกี่คน ถึงรวมกันทั้งตระกูลอย่างนี้ ก็ต้องเอาธรรมะเป็นหลักเอาธรรมะเป็นใหญ่ เพราะธรรมะคืออริยมรรค คือการดำเนินชีวิตทั้งทางเรื่องวัตถุและเรื่องจิตใจ ทางวิทยาศาสตร์กับเรื่องจิตใจมันก็ต้องไปพร้อมๆ กัน ทุกคนที่เกิดมามันไม่มีใครยกเว้นอย่างนี้เรียกว่าความสมัครสมานสามัคคี เหมือนที่กล่าวเมื่อวานนี้แหละ ทุกคนเกิดมาก็ต้องไปแนวเดียวกันหมดอย่างนี้ ไม่เอานิติบุคคลไม่เอาตัวตน ความสามัคคีนี้มันต้องมีความเห็นถูกต้อง มีความเข้าใจถูกต้อง เอาธรรมเป็นหลัก เข้าสู่ความตั้งมั่นเรียกสัมมาสมาธิ เข้าสู่ภาคประพฤติปฏิบัติเป็นศีล แล้วชีวิตของเราจะเป็นศีลสมาธิและปัญญา
ความมั่นคงของเราของครอบครัวเราอย่างนี้ จะทำแบบแต่ก่อนไม่ได้ มันขยันคนสองคน รับอยู่คนสองคน มันก็ไม่ได้เหมือนกันอย่างนี้ ทุกคนถึงจะยากลำบากก็ต้องทำอย่างนี้ เพราะยากลำบากมันดีมันถูกต้องเค้าเรียกว่าคนรู้อริยสัจ ๔ อย่างนี้ สมัครสมานสามัคคี พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า สาราณียธรรม ให้ประชาชนที่เป็นคฤหัสถ์พร้อมเพรียงกันรักษาศีล รักษาศีลก็คือมีศรัทธาในการประพฤติปฏิบัติระดับกฎหมายนี้ก็ยังถือว่าเป็นภาคบำบัดอยู่ ถ้าเราจะดูมันยังไม่ได้เอาใจไปพร้อมๆ กัน เอาแต่ภายนอก อย่างนี้แหละข้าราชการก็ยังมีพรรคพวกอยู่ ผู้พิภาคษาก็ยังมีพรรคพวกอยู่ เพราะสีขาวสีดำมันแทรกอยู่กับทุกคน ความสมัครสมานสามัคคีถึงไม่เป็นหลัก เพราะความเป็นพระมันอยู่กับเราทุกๆ คน เพราะว่าพระนี้คือ คือพระธรรม พระวินัย ที่เค้าเรียกว่าพระนี้ ไม่ใช่โกนหัวห่มผ้าเหลืองอะไรหรอก พระนี้คือพระโสดาบันจนถึงพระอรหันต์อย่างนี้
พวกที่บวชมาอย่างนี้ทุกวัดต้องสมัครสมานสามัคคีกัน เอาธรรมะเป็นหลัก อย่าเอานิติบุคคล อย่าเอาตัวตน ข้าราชการตำรวจทหารพ่อค้าประชาชนตลอดถึงพวกข้าราชการส่วนอื่น ต้องสมัครสมานสามัคคีกันอย่าเอาความรวยเป็นที่ตั้ง อย่าเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เอาความสมัครสมานสามัคคีกัน ทุกคนก็พากันไปแก้ที่ตัวเอง ไม่ต้องไปแก้ที่อื่น การเวียนว่ายตายเกิด จะทุกข์จะยากจน มันเป็นหน้าที่ของเรา เราต้องพึ่งตนเองอย่างนี้ อย่าได้มีตัวมีตนเลย มันจะได้เป็นแอร์คอนดิชั่นทั้งโลกทั้งประเทศ เพราะศาสนานี้รู้แล้วว่า มันเป็นเรื่องความมั่นคงของจิตใจ คุณธรรม ชาตินี้ก็คือความประเสริฐที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์ มนุษย์นี้ก็ที่เป็นได้ก็ใจสูง เหมือนหนึ่งยูงมีดีที่แววขน ถ้าใจต่ำเป็นได้แต่เพียงคน ใจต่ำก็หมายถึงเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ทุกคนจะได้หยุดมีเพศสัมพันธ์ทางความคิด หยุดมีเพศสัมพันธ์ทางอารมณ์ ที่มีตัวมีตนเค้าเรียกว่ามีเพศสัมพันธ์ ให้พากันเข้าใจ อย่าพากันรู้แต่ภาษากายมันต้องรู้ภาษาใจด้วย เพราะเราเดินสองทาง เราเดินทั้งกายทั้งใจ พัฒนามวลมนุษย์ต้องพัฒนาอย่างนี้ทำติดต่อต่อเนื่องกัน ฝนแห้งแล้งก็แก้ไขได้ น้ำท่วมก็แก้ไขได้ ดินไม่ดีก็แก้ไขได้ ด้วยเทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์ แล้วก็พัฒนาภาคปฏิบัติของเรา เรียกว่าศีลสมาธิปัญญาอย่างนี้แหละ
ความสมัครสมานสามัคคีนี้สำคัญ ทุกคนต้องตัดอดีตเป็นเลขศูนย์ ไม่ต้องมีหนี้มีสิน ถ้าเรายังจมอยู่กับอดีต เค้าเรียกว่าคนมีหนี้มีสิน เอาปัจจุบันให้ได้ ปัจจุบันเนี่ยเราต้องเอามาประพฤติมาปฏิบัติ เพราะเราจะได้ละเสียซึ่งนิติบุคคลตัวตนอย่างนี้นะ เพราะเราต้องทำอย่างนี้ เรื่องสมัครสมานสามัคคีอย่างนี้
พระปฏิบัติสายกรรมฐานดูเหมือนจะยึดมั่นถือมั่น อะไรก็ต้องอาบัติทั้งหมด เพราะเพื่อจะให้ทุกคนมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง เพราะเราเอานิติบุคคลเอาตัวตนมันไม่ได้ โลกนี้เดินด้วยนิติบุคคลตัวตนไม่ได้ ต้องเดินด้วยศีล สมาธิ ปัญญา มีความสุขในการประพฤติปฏิบัติ เรื่องสมัครสมานสามัคคีเอาใหม่ เพราะตัวเราต้องไม่มีตัวไม่มีตน ภรรยาเราลูกเราหลานเรา เค้ารู้ว่าเราเอาธรรมะเป็นหลัก เค้าก็ทำตามอย่างนี้ เพราะการบอกการสอนหลายหมื่นหลานแสนครั้ง ก็สู้ทำให้เค้าดูปฏิบัติให้เค้าดูไม่ได้ เพราะความสมัครสมานสามัคคีนั้น จะทำให้ครอบครัวมีอยู่มีกินมีใช้ ประหยัดก็ประหยัดพร้อมกัน ขยันก็ขยันเหมือนกัน เราจะได้แก้ได้ทั้งทางวัตถุทั้งทางใจ คนเราจะหลงในตัวในตนไม่ได้ ต้องเข้าสู่ความสมัครสมานสามัคคีอย่างนี้
เราจะเป็นมนุษย์จัดฉากได้ยังไง เอาแต่ตัวตน ทำศัลยกรรมคอสเมติกเมคอัพอะไรต่างๆ แค่ภายนอก แต่ทางจิตใจเราไม่ได้พัฒนา ความสมัครสมานสามัคคีนี้สำคัญน เรามีตัวมีตนมันเครียดนะ เพราะเราเอารูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณมาเป็นเรา เมื่อเราเจ็บเราป่วยเราเปลี่ยนแปลง เราไปตามนี้ ไม่ได้ เราต้องมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง เราจะได้รู้เรื่องอริยสัจ ๔ เรื่องทุกข์ เหตุเกิดทุกข์ สิ่งเหล่านี้เป็นเทวทูตมาสอนเรา เพียงแต่เราต้องเข้าสู่ไฟท์ติ้ง เข้าสู่ภาคประพฤติปฏิบัติ เราจะได้มีความสุข พระพุทธเจ้าท่านมีความสุขมาก หัวใจติดแอร์คอนดิชั่น มีความอบอุ่น แม้แต่วันจะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน พระพุทธเจ้าก็มีความสุขอย่างนี้ ไม่โศกเศร้าเหมือนพระอานนท์ พระอรหันต์ทั้งหลายก็ไม่โศกเศร้า เพราะรู้ตามสัจธรรมความเป็นจริง เรียกว่ารู้อริยสัจ ๔ เพราะคนเราต้องรู้แบบนี้ปฏิบัติแบบนี้ ความสมัครสมานสามัคคีถึงเป็นเรื่องใหญ่ ประเทศเราครอบครัวเราถึงไม่ได้เป็นมหาเศรษฐีทางวัตถุ ถ้าเรามีความสมัครสมานสามัคคีกัน มีความสุขในการทำงาน มีความสุขในการรับผิดชอบ เอาธรรมะเป็นหลัก มันจะค่อยเป็นค่อยไป เหมือนปลูกต้นไม้ก็คอยดูแลรักษา มันจะเป็นไปเรื่อย อย่าไปหลงวัตถุอย่าไปหลงตัวตน ต้องทำแบบนี้ปฏิบัติอย่างนี้
การที่เรามีครอบครัวก็มีเพื่อสมัครสมานสามัคคีกัน คนเรามีผัวมีเมียเดียวก็พอแล้ว เพราะอยากจะให้ผัวเรามาหล่อ เมียเรามาสวยมันก็เป็นไปไม่ได้ มันไม่รู้อริยสัจ ๔ อย่างนี้เราต้องมีสติมีปัญญา อย่าไปมีทิฏฐิอัตตามานะตัวตน ต้องหยุดทางความคิด หยุดทางอารมณ์ พากันมีสติมีสัมปชัญญะอย่างนี้ พัฒนาไปเรื่อยๆ ปฏิบัติไปเรื่อยๆ มีความสุขอย่างนี้ เรามีพระศาสนา จะได้เป็นศาสนาจริงๆ ไม่ใช่ศาสนพิธีที่เป็นอยู่อย่างนี้ มันเจ็บปวด เสียทรัพยากรยังไม่พอ ยังเสียท่าความโง่อีก มันไม่รู้เรื่องจริงเลย ไม่รู้เรื่องอริยสัจ ๔ เลย
ที่เราจะไปรอด ก็คือความสมัครสมานสามัคคีกันนี้แหละ เพราะว่าต้องอาศัยหลักความสมัครสมานสามัคคี พวกที่ตระกูลใหญ่ๆ พังก็เพราะแตกความสามัคคีกัน แล้วก็เพื่อนฝูงที่รักกัน ที่เสียเพื่อน ก็เพราะไม่เอาธรรมะเป็นหลัก ไม่เอาความสมัครสมานสามัคคีกัน เราอย่ามองข้าม ท่านบอกว่าให้เทคแคร์ ญาติพี่น้อง ด้วยทางธรรมอย่างนี้ เรารักลูกรักอะไรก็ ให้เค้าเข้าใจ เข้าใจการสอนลูก พ่อแม่ก็ไปในทางเดียวกัน อย่าไปใจอ่อน เอาธรรมะเป็นหลัก เพราะความแตกแยกมีทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่าวัด โรงเรียน ข้าราชการ นักการเมือง อยู่ที่เราไม่รู้จักอริยสัจ ๔ นี่เอง พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ว่า
“สมคฺคานํ ตโป สุโข ความเพียรของหมู่ชน ผู้พร้อมเพรียงกันทำให้เกิดสุข”
“วิวาทํ ภยโต ทิสฺวา อวิวาทญฺจ เขมโต สมคฺคา สขิลา โหถ เอสา พุทฺธานุสาสนี = ท่านทั้งหลายจงเห็นความวิวาทโดยความเป็นภัย และ ความไม่วิวาทโดยความปลอดภัยแล้ว เป็นผู้พร้อมเพรียง มีความประนีประนอมกันเถิด นี้เป็นพระพุทธานุศาสนี”
“เอโส หิ อุตฺตริตโร ภาราวโห ธุรนฺธโร โย ปเรสาธิปนฺนานํ สยํ สนฺธาตุมรหติ = ผู้ใดเมื่อคนอื่นล่วงเกินกันอยู่ ตนเองกลับหาทางเชื่อมเขาให้คืนดีกันได้ ผู้นั้นแล ชื่อว่าเป็นคนเอาภาระ เป็นผู้จัดธุระที่ดียอดเยี่ยม”
“สเจปิ สนฺโต วิวทนฺติ ขิปฺปํ สนฺธียเร ปุน พาลา ปตฺตาว ภิชฺชนฺติ น เต สมถมชฺฌคู = ถ้าแม้นสัตบุรุษวิวาทกัน ก็กลับเชื่อมกันได้สนิทโดยเร็ว ส่วนคนพาลทั้งหลายย่อมแตกกันเหมือนชนะดิน เขาย่อมไม่ได้ความสงบเวรกันเลย”
การผูกเวร ก็เหมือนกับการผูกพยาบาท เมื่อต่างฝ่ายต่างผูกใจเจ็บกันอยู่ เวรก็ไม่สามารถระงับลงได้ แต่หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเลิกผูกเวรเสียด้วยการให้อภัยและแผ่เมตตาให้เสมอๆ เวรย่อมระงับลงได้ในเวลาไม่นาน การไม่ผูกเวรทำให้จิตใจเราสบาย เมื่อใดใจผูกเวร เมื่อนั้นมองไปไหนก็เห็นแต่ศัตรู แต่เมื่อใดใจของเราไม่มีเวรกับใคร มีแต่เมตตาปรานี เมื่อนั้น มองไปทางใดก็เจอแต่มิตร เพราะฉะนั้น พระเจ้าโกศล เมื่อให้โอวาทพระราชโอรส ทรงพระนามว่า ฑีฆาวุกุมาร จึงตรัสว่า “ฑีฆาวุ เจ้าอย่าเห็นแก่กาลยาว อย่าเห็นแก่กาลสั้น เวรย่อมไม่ระงับด้วยการจองเวร แต่ย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร นี่เป็นธรรมเก่า”
คำว่า อย่าเห็นแก่กาลยาว นั้น หมายความว่าอย่าผูกเวรเอาไว้ เพราะเวรยิ่งผูกก็ยิ่งยาว คำว่า อย่าเห็นแก่กาลสั้น นั้น หมายความว่า อย่ารีบด่วนแตกจากมิตร มีอะไรก็ค่อยๆ ผ่อนปรนกันไป ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจเข้าใจผิดก็ได้ อย่าด่วนลงโทษใครง่ายเกินไป และอย่ารีบแตกจากใคร ขอให้พิจารณาเสียร้อยครั้งพันครั้ง เพราะฉะนั้น ผู้ฉลาด เพื่อความสบายใจของตนเอง จึงไม่ควรผูกเวรไว้กับใครๆ จงจำแต่ความดีที่ผู้อื่นทำแก่ตน แต่อย่าจำความร้ายที่เขาทำให้ เพราะมันไม่มีประโยชน์แก่จิตใจ
ความสมัครสมานสามัคคีของเราที่จะเกิดได้ ก็เนื่องมาจากเสียสละ เพื่อเอาธรรมะเป็นหลักเอาธรรมะเป็นการดำเนินชีวิต เพราะเรื่องความสมัครสมานสามัคคีเป็นสิ่งที่สำคัญ
อปริหานิยธรรมสำหรับพระภิกษุสงฆ์
ครั้งนั้นแล เมื่อวัสสการพราหมณ์ มหาอำมาตย์ของแคว้นมคธกลับไปแล้วไม่นาน พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะท่านพระอานนท์ว่า ดูก่อนอานนท์ เธอจงไป ภิกษุทั้งหลายมีจำนวนเท่าใดอยู่อาศัยกรุงราชคฤห์ เธอจงให้ภิกษุเหล่านั้นทั้งหมดประชุมกันในอุปัฏฐานศาลา ท่านพระอานนท์กราบทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วให้พระภิกษุตามจำนวนที่อาศัยกรุงราชคฤห์อยู่ทั้งหมดประชุมกันในอุปัฏฐานศาลา พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงลุกจากอาสนะเสด็จดำเนินเข้าอุปัฏฐานศาลา ประทับนั่งบนอาสนะที่ปูไว้แล้ว ครั้นประทับนั่งแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตจักแสดงอปริหานิยธรรม ๗ ประการแก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟังจงทำไว้ในใจให้ดี พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงพระดำรัสต่อไปนี้
๑. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุทั้งหลายยังจักประชุมกันเนือง ๆ จักประชุมกันอยู่มากตลอดกาลเพียงไร ภิกษุทั้งหลายพึงหวังความเจริญอย่างเดียว หาความเสื่อมมิได้
๒. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย และภิกษุทั้งหลาย ยังจักพร้อมเพรียงกันประชุม จักพร้อมเพรียงกันเลิกประชุม จักพร้อมเพรียงกันทำกิจที่สงฆ์พึงทำตลอดกาลเพียงไร ภิกษุทั้งหลายพึงหวังความเจริญอย่างเดียว หาความเสื่อมมิได้
๓. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย และภิกษุทั้งหลาย ยังจักไม่บัญญัติสิ่งที่ตถาคตมิได้บัญญัติไว้จักไม่เพิกถอนสิ่งที่ตถาคตบัญญัติไว้แล้ว ยังจัก มาทานประพฤติอยู่ในสิกขาบททั้งหลายตามที่ตถาคตบัญญัติไว้แล้ว ตลอดกาลเพียงไร ภิกษุทั้งหลายพึงหวังความเจริญอย่างเดียว หาความเสื่อมมิได้
๔. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย และภิกษุทั้งหลาย ยังจักสักการะและเคารพ นับถือ บูชา พระภิกษุทั้งหลายผู้เป็นพระเถระผู้รู้กาลนาน ผู้บวชมาแล้วนาน ผู้เป็นบิดาของสงฆ์ เป็นปริณายกของสงฆ์ และยังจักเชื่อถือโอวาทที่พึงฟังของท่านด้วย ตลอดกาลเพียงไร ภิกษุทั้งหลายพึงหวังความเจริญอย่างเดียว หาความเสื่อมมิได้
๕. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย และภิกษุทั้งหลาย ยังจักไม่ลุอำนาจของตัณหา อันมีปกติให้เกิดในภพใหม่ ที่เกิดขึ้น ตลอดกาลเพียงไร ภิกษุทั้งหลายพึงหวังความเจริญอย่างเดียว หาความเสื่อมมิได้
๖. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย และภิกษุทั้งหลาย ยังเป็นผู้มีความห่วงใยในเสนาสนะตามราวป่าตลอดกาลเพียงไร ภิกษุทั้งหลายพึงหวังความเจริญอย่างเดียว หาความเสื่อมมิได้
๗. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย และภิกษุทั้งหลายยังจักเข้าไปตั้งสติไว้เฉพาะตนว่า ทำอย่างไรเพื่อนพรหมจารีทั้งหลาย ผู้มีศีลเป็นที่รัก ที่ยังไม่มาขอให้มาและเพื่อนพรหมจารีทั้งหลายผู้มีศีลเป็นที่รัก ที่มาแล้ว ขอให้อยู่สบาย ดังนี้ ตลอดกาลเพียงไร ภิกษุทั้งหลายพึงหวังความเจริญอย่างเดียวหาความเสื่อมมิได้
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็อปริหานิยธรรม ๗ ประการเหล่านี้ ยังจักตั้งอยู่ในภิกษุทั้งหลายและภิกษุทั้งหลายยังจักเห็นดีร่วมกันในอปริหานิยธรรม ๗ ประการเหล่านี้ ตลอดกาลเพียงไรภิกษุทั้งหลายพึงหวังความเจริญอย่างเดียวหาความเสื่อมมิได้
จากเรื่องนี้เราจะเห็นได้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงปรารถนาให้คณะสงฆ์มีความเป็นปึกแผ่นแน่นแฟ้น เข้มแข็งสามัคคีปรองดองกัน จึงทรงประทานหลักธรรมเรื่องอปริหานิยธรรม ๗ ประการหรือหลักการทำงานเป็นทีมอย่างมีประสิทธิภาพ ๗ ประการนี้ไว้ให้พระภิกษุสงฆ์ทั้งหมดนำไปประพฤติปฏิบัติกัน เพื่อสร้างความผาสุกให้เกิดขึ้นกับหมู่สงฆ์ และทำให้พระพุทธศาสนาพบแต่ความเจริญยิ่งๆ ขึ้นไป จะไม่พบความเสื่อมถอยเลย แม้หากจะมีผู้ไม่หวังดีต่อพระพุทธศาสนาก็จะไม่สามารถมาทำร้ายหรือทำลายได้ง่ายเลย
สถานการณ์บ้านเมืองของเราในวันนี้ ที่ต้องประสบกับความวุ่นวายไม่สงบ ความยุ่งยากลำบาก แตกความสามัคคี แบ่งฝักแบ่งฝ่าย มีการทำผิดกฎหมายเพิ่มมากขึ้น อำนาจรัฐอ่อนแอเพราะมีการแทรกแซงอำนาจทางการเมืองอยู่เป็นประจำ บ้านเมืองใดที่อยู่ในสภาพนี้ ย่อมก้าวไปสู่ความเสื่อมอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องสงสัย อาจถึงกับล่มจมเอาได้หากคนในบ้านเมืองนั้นยังเพิกเฉย อยู่แบบตัวใครตัวมัน ฉกฉวยเอาผลประโยชน์ใส่ตน เมื่อผลประโยชน์ขัดกันกับคนอื่นก็ใช้กำลังแย่งชิงกัน ถ้าหากมีศัตรูจากภายนอกเข้ามาเบียดเบียนเพิ่มอีก ก็มีโอกาสพ่ายแพ้ได้อย่างง่ายดาย
บ้านเมืองเราเคยมีความเจริญมั่นคงเป็นที่นับถือและเกรงอกเกรงใจจากเพื่อนบ้านมาก่อน ไม่น่าเชื่อว่าเราใช้เวลาทะเลาะเบาะแว้งแย่งชิงประโยชน์กันไม่ถึง ๑๐ ปี บัดนี้กลายเป็นว่าเพื่อนบ้านที่เคยเดินตามหลังบ้าง เดินนำหน้าบ้าง กำลังจะแซงเราไปแล้ว
สาเหตุที่ทำให้บ้านเมืองเราเป็นเช่นนี้ เป็นเพราะปัจจัยภายในของเราเอง นั่นคือ เราต่างไม่ยึดถือธรรมแห่งความสามัคคี ไม่ปฏิบัติตามหลักการทำงานเป็นทีมอย่างมีประสิทธิภาพดังที่พระพุทธองค์ได้ตรัสอนไว้ นั่นคือ อปริหานิยธรรม ๗ ซึ่งเป็น "ธรรมอันไม่เป็นที่ตั้งแห่งความเสื่อม เป็นไปเพื่อความเจริญฝ่ายเดียวสำหรับหมู่ชนหรือผู้บริหารบ้านเมือง"
จึงขอให้พวกเราได้อ่านทบทวนกันอีกครั้งหนึ่ง แล้วลองพิจารณาดูเถิดว่า ณ วันนี้บ้านเมืองของเราสังคมไทยของเรา ขาดข้อใดไปบ้าง สำหับอปริหานิยธรรมของฆราวาส
๑. หมั่นประชุมกันเนืองนิตย์
๒. พร้อมเพรียงกันประชุม พร้อมเพรียงกันเลิกประชุม พร้อมเพรียงกันทำกิจที่พึงทำ (และพร้อมเพรียงกันลุกขึ้นป้องกันหมู่คณะเมื่อมีภัย)
๓. ไม่บัญญัติสิ่งที่มิได้บัญญัติไว้ (อันขัดต่อหลักการเดิม) ไม่ล้มล้างสิ่งที่บัญญัติไว้ (ตามหลักการเดิม) ถือปฏิบัติมั่นตามธรรม (หลักการ) ตามที่วางไว้เดิม
๔. สักการะเคารพนับถือบูชาท่านผู้ใหญ่ทั้งหลาย มองเห็นความสำคัญแห่งถ้อยคำของท่านว่าเป็นสิ่งอันพึงรับฟัง
๕. บรรดากุลสตรีกุมารีทั้งหลาย ให้อยู่ดีโดยมิถูกข่มเหง หรือฉุดคร่าขืนใจ
๖. เคารพสักการบูชาเจดีย์ (ปูชนียสถานและปูชนียวัตถุ ตลอดถึงอนุสาวรีย์ต่าง ๆ) ของคนในชุมชน (ประจำชาติ) ทั้งหลาย ทั้งภายในและภายนอก ไม่ปล่อยให้พลีกรรมอันชอบธรรมที่เคยให้เคยทำแก่เจดีย์เหล่านั้นเสื่อมทรามไป
๗. จัดให้ความอารักขา คุ้มครอง ป้องกัน อันชอบธรรม แก่พระอรหันต์ทั้งหลาย (ในที่นี้กินความกว้าง หมายถึงบรรพชิตผู้ดำรงธรรม เป็นหลักใจของประชาชนทั่วไป) ตั้งใจว่าขอพระอรหันต์ทั้งหลายที่ยังมิได้มา พึงมาสู่แว่นแคว้น ที่มาแล้วพึงอยู่ในแว่นแคว้นโดยผาสุก
จากหลักอปริหานิยธรรม ทั้ง ๗ ประการ ที่กล่าวมาข้างต้น เราจะเห็นได้ชัดว่า อปริหานิยธรรมข้อที่ ๑ และข้อ ๒ ก็ไม่เป็นไปตามนั้น ดูแต่สภาผู้แทนราษฎรซึ่งเป็นตัวแทนอำนาจของประชาชน บรรดาผู้แทนทั้งหลายเข้าประชุมก็ไม่พร้อมเพรียง ไม่สม่ำเสมอ เวลาประชุมก็ทะเลาะเบาะแว้งกันส่งผลมาสู่ประชาชนที่ถือข้างผู้แทนตนก็ทะเลาะเบาะแว้งกันไปด้วย
อปริหานิยธรรมข้อที่ ๓ ก็เสื่อมด้วยเช่นกัน การบัญญัติและแก้ไขกฎหมาย โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญก็ไร้หลักการ มีแต่จะทำตามความต้องการเพื่อสนองประโยชน์ของฝ่ายตน การบังคับใช้กฎหมายก็ไม่เป็นธรรม เรียกกันว่า ๒ มาตรฐานซึ่งเป็นเช่นนี้มาเนิ่นนานแล้วสะสมจนกลายเป็นปัญหาใหญ่ ยุ่งเหยิงจนเกินจะเยียวยา
อปริหานิยธรรมข้อที่ ๔ ก็เสื่อมเช่นกัน ผู้เป็นใหญ่ ผู้ใหญ่ของบ้านเมืองทุกระดับ ถูกดูหมิ่น เหยียดหยาม ย่ำยี อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน โดยที่ท่านทั้งหลายเหล่านั้นไม่สามารถจะตอบโต้ได้ ดูเหมือนว่าคุณธรรมเรื่องการอ่อนน้อมถ่อมตน เคารพผู้ใหญ่ ให้เกียรติผู้อาวุโสได้ถูกคนบางกลุ่มละทิ้งไปแล้ว
อปริหานิยธรรมข้อที่ ๕ ก็เสื่อมด้วยเช่นกัน มีการกดขี่ทางเพศ ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับความคิดเห็นของฝ่ายหญิงเท่าที่ควร บางอาชีพ บางตำแหน่ง ก็ผูกขาดไว้สำหรับเพียงเพศชายเท่านั้น ปัญหาโสเภณี หญิงสาวหรือเด็กรุ่นสาวถูกบังคับให้ขายบริการทางเพศตามสถานที่อโคจรต่างๆ หรือไม่มีการเปิดโอกาสในเส้นทางการประกอบอาชีพให้กับหญิงเหล่านั้นเท่าที่ควร จนต้องไปขายบริการทางเพศด้วยความสมัครใจก็ตาม
อปริหานิยธรรมข้อที่ ๖ ก็เสื่อมด้วยเช่นกัน มีพระสถูป พระเจดีย์ ปูชนียสถานและปูชนียวัตถุ ตลอดถึงอนุสาวรีย์ และรูปเคารพต่างๆ ที่เป็นศูนย์รวมใจของหมู่ชน เร้าให้ทำดีนั้นถูกทอดทิ้งละเลยการดูแลเอาใจใส่ และถูกบั่นทอนผลประโยชน์ที่เคยอุปถัมภ์บำรุงพระเจดีย์ หรือปูชนียสถานเหล่านั้นให้ลดน้อยถอยลงจนไม่พอต่อการบูรณะปฏิสังขรณ์ และต่างละเลยพิธีเคารพบูชาอันพึงทำต่ออนุสรณ์สถานเหล่านั้นตามประเพณีที่ดีงาม
อปริหานิยธรรมข้อที่ ๗ ก็เสื่อมด้วยเช่นกัน พระภิกษุสามเณรที่ดี ดำรงธรรมเป็นหลักใจของประชาชนทั่วไป และเป็นผู้สืบทอดอายุพระพุทธศาสนาให้คงอยู่ตลอดไปนั้น ต้องถูกข่มเหงรังแกฆ่าฟันอย่างไม่เป็นธรรมในทางภาคใต้ของประเทศเรา มีสื่อหลายสื่อที่ถูกชักใยอยู่เบื้องหลังให้ทำการแพร่ข่าวอันเสื่อมเสียของพระภิกษุสงฆ์ เพื่อมุ่งโจมตีให้เกิดความด่างพร้อยต่อสถาบันสงฆ์อยู่เป็นระยะๆ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทำให้ประชาชนหลงเชื่อ หมดความเลื่อมใสหมดศรัทธาในการทำความดี
เพียงเท่านี้ก็เป็นปัจจัยเพียงพอที่จะทำให้บ้านเมืองของเราอยู่ใน ภาพแทบย่ำแย่ดังที่เห็นในปัจจุบัน หากไม่ช่วยกันแก้ไขก็คงยากที่จะรักษาความเป็นปึกแผ่นไว้ได้
เพราะความแตกแยกนี้ เป็นความร้าวฉาน เป็นการแตกความสมัครสมานสามัคคี เรียกว่าสังฆเภท ดูแล้วประเทศไทยเราทุกวันนี้มีความเสียหายเยอะ เพราะมีความแตกแยกสมัครสมานสามัคคี เอาวัตถุเอาตัวตนมาเป็นที่ตั้ง ถึงได้เกิดการโกงกินคอรัปชั่น นี่เสียหายมากนะ ส่วนใหญ่ก็พากันไปจัดการแต่คนอื่น ศาสนาพุทธก็ไปคิดว่าความเสื่อมของศาสนาพุทธจะเกิดขึ้นได้ เพราะศาสนาอื่นๆ ที่จะมาทำให้เสื่อม อันนี้คือความคิดเห็นผิดความเข้าใจผิด อันที่จริงไม่มีศาสนาไหนจะมาทำให้เราเสื่อมได้นอกจากตัวของเราเอง มีแต่ศาสนิกชนของศาสนานั้นนั่นเองที่ทำให้เสื่อม เพราะคนรุ่นใหม่สมัยใหม่ที่เขาเรียนวิทยาศาสตร์ที่มีเหตุมีผล เขายอมรับไม่ได้ ถ้าเราไม่ได้เป็นธรรม เป็นความยุติธรรม เราไม่ได้พากันมาเสียสละ ศาสนาทุกศาสนาน่ะ ศาสนิกชนจะไปย่อหย่อนอ่อนแอตามอัธยาศัยไม่ได้ ต้องปรับตัวเข้าหาธรรมะ
ความสมัครสมานสามัคคีของเราที่จะเกิดได้ ก็เนื่องมาจากเสียสละ เพื่อเอาธรรมะเป็นหลักเอาธรรมะเป็นการดำเนินชีวิต เพราะเรื่องความสมัครสมานสามัคคีเป็นสิ่งที่สำคัญ ทุกคนน่ะไม่มีสิทธิ์ที่จะตามใจตัวเองตามอารมณ์ตัวเอง ต้องเอาธรรมะเป็นหลักเอาธรรมะเป็นใหญ่ เป็นผู้เสียสละเป็นผู้ให้ อย่างพ่อแม่อย่างครูบาอาจารย์ข้าราชการทหารตำรวจต้องพร้อมเพรียงกันทุกๆ คน เพื่อแก้ไขตัวเอง ถ้าเราไม่เสียสละมันก็ไว้ใจกันไม่ได้ เมื่อคนอื่นเขาไม่ไว้วางใจเรา จึงต้องเข้าใจและปฏิบัติให้ชัดเจน เพราะเราเกิดมาก็เพื่อมาเสียสละ เพื่อมาทำประโยชน์ตน ประโยชน์ผู้อื่นให้ถึงพร้อม
จึงขอฝากให้พวกเราทุกคนช่วยกันพิจารณา ทั้งในฐานะผู้นำหรือประชาชนของประเทศฐานะผู้นำหรือพนักงานขององค์กร ทุกชน ทุกชั้น ทุกระดับ ช่วยกันใช้ปัญญาพิจารณาและหาหนทางแก้ไขปัญหาให้แก่องค์กรประเทศชาติและพระศาสนาของเราได้โดยสวัสดิภาพตลอดไป
พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระราชนิพนธ์เพลงปลุกใจให้รักชาติและให้สามัคคี เพื่อช่วยให้เกิดความสนิทสนมกลมเกลียวกัน เนื้อหาก็จับใจควรแก่การจดจำ คือ
เรานี้เกิดมาแล้วชาติหนึ่ง ควรคำนึงถึงชาติศาสนา ไม่ควรให้เสียทีที่เกิดมา ในหมู่ประชาชาวไทย
แม้ใครตั้งจิตรักตัว จะมัวนอนนิ่งอยู่ไฉน ควรจะร้อนอกร้อน ใจ เพื่อให้พรั่งพร้อมทั่วตน
ชาติใดไร้รักสมัครสมาน จะทำการสิ่งใดก็ไร้ผล แม้ชาติย่อยยับอับจน บุคคลจะสุขอยู่ได้อย่างไร
อย่าเห็นแก่ตัวมัวพะวง ลุ่มหลงริษยาไม่ควรที่
อย่าต่างคนต่างแข่งกันแย่งดี อย่าให้ช่องไพรีที่มุ่งร้าย
แม้เราริษยากันและกัน ไม่ช้าพลันจะพากันฉิบหาย
ระวังการยุยงส่งร้าย นั่นแหละเครื่องทำลายสามัคคี
คณะใดศัตรูผู้ฉลาด หมายมาดทำลายให้เร็วรี่
ก็ยุแยกให้แตกสามัคคี เช่นกษัตริย์ลิจฉวีวงศ์โบราณ
พราหมณ์ผู้เดียวรับใช้ไปยุแหย่ สาระแนยุญาติให้แตกฉาน
จนเวลาศัตรูจู่ไปราญ มัวเกี่ยงกันเสียการเสียนคร
ฉะนั้นไซร้ขอไทยจงร่วมรัก จงร่วมสมัครสโมสร
เอาไว้เผื่อเมื่อมีไพรีรอน จะได้สู้ดัสกรด้วยเต็มแรง
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.