แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๖ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง เข้าพรรษาเข้าหาธรรม ตอนที่ ๗๔ คนพาลมีปัญญาทราม ย่อมเป็นอยู่อย่างประมาท ส่วนบัณฑิตผู้ฉลาดมีปัญญา ย่อมรักษาความไม่ประมาทไว้เหมือนทรัพย์อันประเสริฐ
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
การเรียนการศึกษานี้ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญในชีวิต พระพุทธเจ้าถึงให้เราทุกคนรู้จักอริยสัจ ๔ รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เข้าหาความรู้ความเข้าใจ แลวประพฤติปฏิบัติ มีการรู้มีการสอบในปัจจุบัน ให้มันเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราจะได้ต่อยอดจากความรู้ที่เราเรียนตั้งแต่ อนุบาล จนถึง ป.เอก มาเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติในปัจจุบัน เข้าสู่ความรู้ความเข้าใจในพระศาสนาตั้งแต่เบื้องต้น ที่พ่อแม่บอกสอนมา ให้เข้าสู่ศาสนา นธ. ตรี-เอก ปธ.9
เราต้องเข้าใจ เข้าใจว่าทุกคนนั้นมีสีดำอยู่แล้ว 50 % สีเทา 49 สีขาวที่มีจิตใต้สำนึกที่มาจากสัญญาขันธ์เพียง 1% ทำไมถึงว่าอย่างนั้นหล่ะ จะพูดให้ฟังชัดเจนขึ้น ที่เราเอาทุกศาสนานี้พยายามยืนหยัดไว้เพราะโลกนี้มีความมั่นคง คือชาติ คือศาสนา คือพระมหากษัตริย์ มีจิตใจสำนึกในเรื่องศาสนานี้ จากการดำรงชีพที่ชาวพุทธนี้เกิดมา 50-60 ให้ลูกให้หลานทำงานแทนพ่อแทนแม่ตั้งแต่เป็นหนุ่มเป็นสาว ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต หาปู หาปลา หาสัตว์ต่างๆ เมื่อลูกเราเป็นหนุ่มเป็นสาว พ่อแม่ก็หยุดทำบาป แต่ก็ยังยินดีในที่ตัวเองได้บริโภค กับลูกกับหลาน เขาเรียกว่าสีเทา ให้เราเข้าใจ ในการมีสัมมาอาชีวะ พระพุทธเจ้าตรัสถึงอาชีพที่ควรเว้น ซึ่งเรียกว่าเป็นมิจฉาอาชีวะ มีอยู่ ๕ อย่าง ได้แก่ ๑. ค้าขายมนุษย์ ๒. ค้าขายสัตว์ไว้สำหรับฆ่าเพื่อเป็นอาหาร ๓. ค้าขายอาวุธเพื่อเป็นเครื่องประหาร ๔. ค้าขายยาพิษ ๕. ค้าขายน้ำเมา (สุราและของมึนเมาทุกชนิด กับยาเสพติดทุกชนิด ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่ามันไม่ดีไม่ถูกต้อง แต่ก็ยังทำอย่างนี้ก็ถือว่าเป็นความเห็นผิดเข้าใจผิด
อย่างผู้ใหญ่บ้านหรือว่ากำนันที่เป็นคนดี ก็รู้อยู่ว่าในหมู่บ้านเราใครขายเหล้าขายเบียร์ หรือรู้ว่า ลูกใคร หลานใครติดเหล้าติดเบียร์ ขายยาม้า ขายอะไรแต่ก็ไปพูดอะไรไม่ได้ เดี๋ยวทำให้คนอื่นเดือดร้อน ชาวบ้านเดือดร้อน ก็ถือว่า ถึงตัวเองจะขาวแต่ก็ยังมีสีเทาอยู่ เหมือนรัฐบาลก็พรรคนู้นพรรคนี้ ก็รู้กันอยู่แต่ทำอะไรไม่ได้ ให้ทุกคนกระชับเข้าหาตัวเอง ต้องปฏิบัติให้ติดต่อต่อเนื่องกัน 3-4 อาทิตย์ ในระบบความคิด มันต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เพราะว่ามันเป็นยาน มันต้องติดต่อต่อเนื่องกัน มันต้องมีอีกจิตใต้สำนึกแล้ว เพิ่มความขยัน เพิ่มความรับผิดชอบ ถ้าเราไม่เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัตินั้นไม่ได้ มีโรงเรียน ถ้าเราไม่เข้าไปเรียนไม่เข้าไปปฏิบัติก็ไม่ได้ความรู้ความเข้าใจ อย่างวัดก็มีอยู่ พระศาสนาก็มีอยู่ ต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เพราะอันนี้เป็นกรรมเป็นการกระทำ เป็นเหตุเป็นปัจจัย ถึงจะทุกข์ยาก ถึงจะลำบาก ก็ต้องทำให้ถูกต้อง เพราะว่าประเทศไทยเรานี้แหละ เพราะความไม่เข้าใจ สีดำ สีเทา ถ้าทุกคนนี้ไม่โกงกินไม่คอรัปชั่น จะเอาเงินเอาทองคำมาปูแทนยางมะตอย หรือว่ามาเทแทนคอนกรีตก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก เพราะกิจกรรมในการดำรงชีวิตนคืออริยะสัจ ๔ คือรู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ แล้วก็เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ถึงจะยากลำบากมันก็เป็นสิ่งที่ถูกต้อง ต้องอดทนเหน็ดเหนื่อยเพื่อความถูกต้องอย่างนี้แหละ เราต้องเข้าสู่อย่างนี้ มันเป็นไปไม่ได้นะ ที่มีหนทาง แต่ไม่ไปเดิน ไม่ไปประพฤติไปปฏิบัติ เขาเรียกทางพระศาสนาว่า “ปฏิบัติ” ถ้าศัพท์ทางคฤหัสถ์เรียกว่า “ทำงาน” พวกที่ติดสารเสพติดเข้าสู่ภาคบังคับเรียกว่า “บำบัด”
คำว่านรกนี้มันคือทุกข์ทั้งกายทุกข์ทั้งใจ เราต้องรู้ภาษาใจภาษาธรรม คนเราทำตามใจตัวเอง ตามอารมณ์ตัวเอง มันก็มีแต่ร้องครวญครางไปเรื่อย เราต้องรู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เพราะเราติดแอร์คอนดิชั่นได้ในห้องน่ะจำกัด แต่ว่าเรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้องมันจะเป็นแอร์คอนดิชั่น ทุกหนทุกแห่งในท่ามกลางความร้อนภายนอก มีความสงบน่ะ ถ้าเรากลับมาหาตัวเอง กลับมาหาหน้าที่การงาน ที่มีความสุข มันก็สงบ เจริญสติสัมปชัญญะ คือไม่ได้เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เอาธรรมะเป็นที่ตั้ง ที่ไม่มีตัวมีตน มันก็ไปเรื่อยๆ
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสอนไว้ ว่า
ปมาทมนุยุญฺชนฺติ พาลา ทุมฺเมธิโน ชนา อปฺปมาทญฺจ ธนํ เสฏฐํ ว รกฺขติ
มา ปมาทมนุยุญฺเชถ มา กามรติสนฺถวํ อปฺปมตฺโต หิ ฌายนฺโต ปปฺโปติ วิปุลํ สุขํ
คนพาล ปัญญาเลว ย่อมประกอบตนอยู่ในความประมาท ส่วนบัณฑิตปัญญาดี ย่อมรักษาความไม่ประมาทไว้เหมือนทรัพย์อันประเสริฐ ท่านทั้งหลายอย่าประกอบความประมาท อย่าชื่นชมยินดีในกาม ผู้ไม่ประมาท เพ่งพินิจอยู่ย่อมบรรลุสุขอันไพบูลย์
ทางแห่งการบรรลุสุขอันไพบูลย์ในที่นี้ คือความไม่ประมาท ความประมาท คืออาการนอนใจ ไว้ใจว่า ไม่เป็นไรๆ ส่วนความไม่ประมาทตรงกันข้าม ได้แก่ ความระวัง ความมีสติรอบคอบ
คนพาล ชอบหมกมุ่นอยู่ในความประมาท เช่น การทำความชั่วแล้วชื่นชมในความชั่วอันตัวทำนั้น ทะนงตนว่าเก่งที่สามารถทำความชั่วไว้
ส่วนบัณฑิต มีปัญญาดี ย่อมคุ้มครองรักษาความไม่ประมาทไว้เหมือนทรัพย์อันประเสริฐ
เหมือนอย่างว่า คนทั้งหลายเห็นคุณค่าของทรัพย์ ว่าเป็นเครื่องค้ำจุนให้ตนดำเนินชีวิตไปได้ด้วยดี เป็นปัจจัยอย่างหนึ่งของความสุขแล้ว คุ้มครองรักษาทรัพย์ด้วยดี ฉันใด คนมีปัญญาก็ฉันนั้น เห็นคุณค่าของความไม่ประมาทว่า เป็นบ่อเกิดแห่งคุณธรรมนานาประการ ตั้งแต่อย่างต่ำไปถึงอย่างสูงแล้ว ย่อมรักษาความไม่ประมาทนั้นไว้ เพื่อความสุขอันไพบูลย์
ส่วนที่ทรงเตือนมิให้ทำความชื่นชมยินดีในกามนั้น เพราะกามเป็นบ่อเกิดแห่งความทุกข์หลายอย่าง ทรงเคยเปรียบกาม เหมือนโรค เหมือนหัวฝี เป็นต้น เป็นเหตุแห่งการทะเลาะยื้อแย่ง การฆาตกรรมนานาประการ ที่สำคัญที่สุด คือกามเป็นเครื่องเผาลนจิตใจให้เร่าร้อนอยู่เสมอ และกามนั้นมีความพลัดพรากเป็นที่สุด คือลงท้ายด้วยความพลัดพราก ผู้ไม่ตกอยู่ในบ่วงกาม และพอกพูนความไม่ประมาทอยู่เสมอ ย่อมเป็นผู้หาความสุขอันไพบูลย์ได้
ลักษณะแห่งคนพาลและบัณฑิตนั้น แตกต่างตรงกันข้าม คนพาลแม้เมื่อเล่นก็เล่นอย่างพาลๆ ดังตัวอย่างต่อไปนี้ พาลนักษัตร แปลว่า การเล่นรื่นเริงของคนพาล
สมัยหนึ่ง ในเมืองสาวัตถีได้มีการป่าวประกาศให้มีพาลนักษัตรทั่วเมือง พวกคนพาลพากันเอาขี้เถ้าและขี้โคทาตัวแล้วเที่ยวเล่นสัปดนต่างๆ รวมทั้งการกล่าววาจาหยาบคายไปทั่วเมือง ไม่มีความละอายต่อญาติผู้ใหญ่ สตรีเพศหรือบรรพชิตใดๆ เลย เที่ยวไปพูดวาจาหยาบคาย หน้าบ้านของคนนั้นบ้างคนนี้บ้าง ผู้ดีไม่สามารถทนฟังได้ก็ให้ทรัพย์บาทหนึ่งบ้าง ครึ่งบาทบ้างเพื่อซื้อความรำคาญ พวกนั้นจึงหลีกไป
ในเมืองสาวัตถีมีอริยสาวกอยู่มาก ท่านเหล่านั้นได้เห็นการเล่นรื่นเริงของคนพาลแล้ว ได้ขอร้องมิให้พระผู้มีพระภาคและภิกษุสงฆ์ออกจากวัดเชตวันเป็นเวลา ๗ วัน ส่วนอาหารนั้นพวกตนจะนำไปถวายมิให้เดือดร้อน พอวันที่ ๘ อริยสาวกก็ทูลเชิญพระศาสดา พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์เสวยที่บ้านของตนๆ และกราบทูลว่า "ข้าแต่พระองค์! ๗ วันที่ผ่านมานี้ รู้สึกว่าช้านานเหลือเกิน พวกข้าพระองค์อยู่ได้โดยยาก เมื่อได้ยินวาจาอันหยาบคายของพวกคนพาลแล้ว หูทั้งสองเหมือนจะแตกทำลาย ไม่มีใครละอายใครกันเลย พวกข้าพระองค์จึงขอมิให้พระองค์และภิกษุสงฆ์ออกมาภายนอก แม้พวกข้าพระองค์เองก็มิได้ออกนอกเรือนเลย"
พระศาสดาตรัสว่า "กิริยาของพวกคนพาลย่อมเป็นเช่นนี้ ส่วนคนมีปัญญาทั้งหลายย่อมรักษาความไม่ประมาทไว้ เหมือนรักษาทรัพย์อันเป็นสาระ ย่อมสามารถบรรลุอมตมหานิพพานได้" ดังนี้แล้ว ตรัสพระคาถาซึ่งยกขึ้นไว้ ณ เบื้องต้นแล้วนั่นแล
เราทุกคนน่ะต้องพากันทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ ทั้งประชาชน ทั้งข้าราชการ ตำรวจทหาร นักการเมือง หยุดโกงกินคอรัปชั่น เพียงแต่เราไม่มีความสุขในการทำงาน ก็เรียกว่าคอรัปชั่นแล้ว เราเอาค่าลายเซนต์เอาค่าอะไรพวกนี้ เขาเรียกว่ามันถอนความมั่นคงของ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เราทุกคนน่ะต้องรู้ปัญหา ตัวเราบ้านเมืองเราว่า ทุกคนน่ะ ต้องหยุดโกงกินหยุดคอรัปชั่น เพราะว่าความทุกข์ยากความลำบาก ความไม่มีปัญญา เพราะว่าเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เรายังไม่มีความสุขในการทำงาน ต้องว่าความรู้ว่าอริยสัจ ๔ เมื่อหลายปีก่อนผู้นำสงฆ์จะสอนอริยสัจ ๔ ก็คิดว่ามันสูงเกินไป สำหรับประชาชน คนทั่วไปจะรู้เนี่ย มันไม่สูงหรอก หลวงพ่อว่า อริยสัจ ๔ นี้เป็นเรื่องรู้ผิด รู้ถูก แล้วก็เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เพราะคนเราต้องเข้าถึงความเป็นมนุษย์ตั้งแต่ปัจจุบัน เข้าถึงสวรรค์ตั้งแต่ปัจจุบัน เข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ปัจจุบัน ต้องเข้าถึงอยู่ในปัจจุบัน เพราะคนเรานี้ต้องเข้าสู่ความถูกต้อง ความเป็นธรรม ตั้งแต่ปัจจุบันนี้ เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงจะมี
ทำอย่างนี้ๆ ถึงจะเป็นศาสนา ทุกๆ ศาสนา ต้องก้าวไปอย่างนี้ ทุกๆ ศาสนาจะไม่มีแบ่งแยกเลย ที่แบ่งแยกก็คือ อวิชชาความหลง มีตัวมีตน ที่สงครามศาสนานี้ มันไม่ใช่สงครามศาสนา มันเป็นสงครามอวิชชา ความหลง ฟุ้งซ่าน งมงาย เพราะเราหลงขยะ เราถึงมีตัวมีตน สามีภรรยาก็ทะเลาะกัน ญาติพี่น้องวงศ์ตระกูลก็ทะเลาะกัน เพราะเรามีตัวมีตน ถ้าเรากลับมาหาสติ กลับมาหาสัมปชัญญะที่ไม่มีตัวไม่มีตนน่ะ เราทุกคนก็จะมีแต่ความรักความเมตตา ความสมัครสมานสามัคคีกันอย่างนี้ เราถึงเข้าถึงความเป็นมนุษย์ตั้งแต่ปัจจุบัน เข้าถึงสวรรค์ตั้งแต่ปัจจุบัน เข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ปัจจุบัน เราจะเข้าใจทั้งเรื่องวัตถุ ทั้งเรื่องใจไปพร้อมๆกัน ก็เรียกว่าพระศาสนาอย่างนี้แหละ พระศาสนาเป็นสิ่งที่หอมทวนลม ทั้งตามลม ทั้งทวนลม ทั้งเหนือลม มันหอมไปหมด เพราะมันเป็นเรื่องดับทุกข์ เพราะใจของเราสงบ มันจะนิ่งจะมีปัญญาน่ะ ไม่ต้องไปถามหรอกว่า หลังเที่ยงคืนนี้เทวดามาหาท่านไหม นี้ไม่ใช่เรื่องดับทุกข์ พระพุทธเจ้านั้นให้เอาขลังศักดิ์สิทธ์ที่การเอามรรคผลพระนิพพาน ที่ไม่ได้ทำกายใจให้เป็นตัวตน ไม่ให้ตัวเองเป็นนิติบุคคลเป็นตัวเป็นตน ต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติเรื่องดับทุกข์ พวกอภินิหารรู้อะไรต่างๆ นี้ก็ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ อันนั้นเป็นสิ่งที่พิเศษสำหรับพระพุทธเจ้า สำหรับผู้ที่ได้อภิญญาไป ช่างหัวมัน มันไม่ใช่เรื่องดับทุกข์ เพราะคนเรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ใจของหมู่มวลมนุษย์จะเป็นขณิกสมาธิ ขณิกสมาธิ มีสัมมาสมาธิ โดยที่ไม่ต้องไปนั่ง เพราะทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน มันมีสมาธิ มีปัญญา มีความสงบมีปัญญาเป็นอัตโนมัติไปเลย เพราะศาสนาพวกเราเป็นสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ศีลกับสมาธิปัญญา มันจะไปพร้อมกันในปัจจุบัน เขาเรียกว่าขณิกสมาธิ อย่างเรารู้เรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา รู้จักในเรื่องปล่อยวางตัวตน ปล่อยวางทางจิตใจมันถึงจะเข้าอุปจารสมาธิไป มันง่ายๆ อย่างนี้
การปฏิบัติมันไม่ได้ยากอะไรหรอก ที่มันยากเพราะเราจะเอามีตัวมีตน มันเลยยาก เราทำอะไรว่ามันยากๆ ความยากนี้มันคือความมีตัวตน เพราะทุกอย่างไม่ยากหรอก เพราะเราไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ ไม่รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เราก็ว่ามันยาก ยิ่งยากก็ดีสิ เหมือนพระอานนท์ขอพรจากพระพุทธเจ้า ขอให้พระพุทธเจ้าไม่ให้สิ่งที่พระอานนท์ได้ตามใจ ขอแต่สิ่งที่มีประโยชน์
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแม้ตรัสรู้แล้วถึง ๒๐ พรรษา แต่ยังไม่มีผู้ใดเป็นพุทธอุปัฎฐากประจำ ซึ่งได้สร้างความลำบากแก่พระองค์เป็นอย่างมาก สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสว่า บัดนี้พระองค์ทรงพระชราแล้ว ภิกษุผู้อุปัฏฐากพระองค์บางรูปทอดทิ้งพระองค์ไปตามทางที่ตนปรารถนา บางรูปวางบาตรจีวรของพระองค์ไว้บนพื้นดินแล้วเดินจากไปเสีย จึงขอให้พระสงฆ์เลือกพระภิกษุรูปใดรูปหนึ่งขึ้นเป็นพุทธอุปัฏฐากประจำ คณะสงฆ์เห็นว่าควรจะมีพระภิกษุรูปใดรูปหนึ่งคอยสนองงานของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ในครั้งนั้นพระสงฆ์ทั้งหลายนำโดยพระสารีบุตรมหาเถระ ได้กราบทูลขอเป็นพุทธอุปัฎฐาก แต่พระพุทธองค์ทรงห้ามเสีย แม้พระเถระรูปอื่นๆ จะกราบทูลเสนอตัวเป็นพุทธอุปัฏฐาก แต่พระพุทธองค์ก็ทรงห้ามเสียทุกรูป คงเว้นแต่พระอานนท์ที่มิได้กราบทูลด้วยถ้อยคำใด พระภิกษุรูปอื่นได้เตือนให้พระอานนท์ขอโอกาส แต่ท่านพระอานนท์กล่าวว่า "ท่านผู้เจริญทั้งหลาย อันตำแหน่งที่ขอได้มานั้นจะมีความหมายอะไรเล่า พระบรมศาสดาไม่ทรงเห็นข้าพเจ้าเลยกระนั้นหรือ? ก็หากพระองค์ทรงพอพระทัยในตัวข้าพเจ้าแล้วไซร้ พระองค์ก็คงตรัสเองว่า อานนท์เธอจงอุปัฏฐากเราเถิด"
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกับพระภิกษุทั้งหลายว่า ไม่มีผู้ใดจะสามารถให้ท่านพระอานนท์เกิดความอุตสาหะขึ้นมาได้เลย แต่เมื่อท่านพระอานนท์รู้แล้ว ท่านจักอุปัฏฐากพระองค์เอง เมื่อพระภิกษุทั้งหลายได้ยินพระดำรัสนั้น ก็ทราบทันทีว่า พระองค์ทรงประสงค์ให้ท่านพระอานนท์เป็นพุทธอุปัฏฐาก จึงได้พูดตักเตือนให้ท่านทูลขอตำแหน่งพุทธุปัฏฐากจากพระองค์
ดังนั้น ท่านพระอานนท์จึงได้กราบทูลขอพร ๘ ประการ หากพระองค์ทรงประทานพร ๘ ประการนี้ ท่านจึงจะรับตำแหน่งพุทธอุปัฏฐาก ท่านกราบทูลขอพรว่า
เมื่อข้าพระองค์ได้รับพร ๘ ประการนี้ แหละจึงจักเป็นพุทธุปัฏฐากของพระองค์ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามถึงโทษและอานิสงส์ที่ทูลขอพร ๘ ประการนี้ ท่านได้กราบทูลว่า
ครั้นท่านได้ทูลชี้แจงแสดงโทษในข้อที่ไม่ควรได้ และอานิสงส์ในข้อที่ควรได้อย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคจึงทรงประทานพรตามที่พระอานนท์กราบทูลขอทุกประการ ท่านพระอานนท์จึงได้รับตำแหน่งพุทธอุปัฏฐาก และได้อุปัฏฐากพระพุทธองค์ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาจนถึงวันเสด็จดับขันธปรินิพพานของพระผู้มีพระภาค เป็นเวลา ๒๕ พรรษา
พระอานนท์ขอพรจากพระพุทธเจ้า ขอให้พระพุทธเจ้าไม่ให้สิ่งที่พระอานนท์ได้ตามใจ ขอแต่สิ่งที่มีประโยชน์ เพราะแม้แต่เทวดาที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ก็กลัวอารมณ์ของสวรรค์ เพราะสวรรค์ก็มีความหลง เราเป็นคนรวยก็ระวัง อย่าไปหลงในของหรูของแบรนด์ ต้องรวยอย่างฉลาด ต้องรวยอย่างมีปัญญา เพราะทุกอย่างคือความคิดความปรุงแต่ง คือการเวียนว่ายตายเกิด เราต้องเสียสละ ให้มันเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรมอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้
ทุกวันนี้เรามีความเห็นผิดเข้าใจผิดปฏิบัติผิดทำอะไรก็หวังแต่ประโยชน์ตอบแทน มันไม่ต่างจากการรับจ้างทำงาน แสดงถึงความฉลาดของเรายังมีน้อยอยู่ พระพุทธเจ้า ทรงบำเพ็ญบารมีตลอด ๔ อสงไขย แสนมหากัป ไม่ทรงหวังอะไรตอบแทน มีแต่ความเสียสละ อดีตที่ผ่านมามันจะดีหรือชั่วมันจะเป็นยังไง เราก็ต้องเสียสละออกจากใจของเรา ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมเรื่องให้ทาน ให้ทานก็เพื่อเสียสละตัวตน เสียสละความตระหนี่ เสียสละความชอบไม่ชอบ เสียสละความดีใจเสียใจเสียสละทางจิตใจยังไม่พอ ต้องมาเสียสละทางสิ่งของเงินทองและทรัพย์ภายนอกที่ติดตามตัวไปไม่ได้ให้เป็นอริยทรัพย์ภายในที่ติดตามตัวเราไปได้ เหมือนกับเป็นผู้ไม่ประมาทมีเสบียงในการเดินทางเวียนว่ายตายเกิด คนเราถ้ามาเสียสละ เราถึงจะมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง เรามองดูสิ! เราทุกคนก็จะเอาประโยชน์จากพ่อจากแม่ อย่างเราเรียนหนังสือ ลงทุนในการเรียนหนังสือก็เพื่อจะเอา เพื่อหวังผลกำไรผลตอบแทน เราเข้าใจผิดปฏิบัติผิดอย่างนี้มันถึงเป็นมนุษย์ ผู้มีจิตใจสูงไม่ได้ เป็นได้แต่เพียงคนที่มันระคนอยู่ด้วยความไม่ดีต่างๆ
ชีวิตจึงตกอยู่ในอบายมุขในอบายภูมิ หากเราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ นั่นคือการเสียสละนะ เพราะเอาธรรมะเป็นหลัก เอาธรรมะเป็นใหญ่ รักษาศีลรักษาสิกขาบทน้อยใหญ่ ละความเห็นแก่ตัว ที่ทำตามความยึดมั่นถือมั่น ศีลทุกสิกขาบทจึงเป็นความสละคืน บอกคืนอวิชชาความหลง ความเห็นแก่ตัว ต้องเสียสละจึงจะละสักกายะทิฏฐิ มีความเห็นว่าเป็นตัวกูของกู เป็นตัวเราของเรา ละระบบครอบครัวได้ ละระบบความเห็นแก่ตัวได้ ระบบครอบครัวก็คือระบบการเวียนว่ายตายเกิดนั่นแหละ เราปฏิบัติอย่างที่กล่าวมานี้เราจะมีความสุขได้ทุกคน ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ผู้มีสัมมาทิฏฐิมีศีลเป็นที่ตั้ง มีสมาธิเป็นที่ตั้ง มีปัญญาเป็นที่ตั้ง ถ้าเป็นผู้มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง มันจะได้ไม่วกไปเวียนมา เป็นแต่เพียงคนอย่างนี้ ถ้าเราไม่ทำตามใจทำตามอารมณ์ทำตามความรู้สึก เรื่องทั้งหลายทั้งปวงมันก็จะจบไป ที่มีปัญหาการเวียนว่ายตายเกิด เพราะไม่ให้ทาน ไม่เสียสละตัวตน ทำตามใจตามอารมณ์ตามความรู้สึก ถึงไม่มีที่จบสิ้น ทุกท่านทุกคนต้องมาเสียสละนะถ้าไม่เสียสละ ก็จะไม่มีศีล ไม่มีสมาธิ ไม่มีปัญญา ธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่ใช่สิ่งที่เข้าใจยากนะเป็นเรื่องเข้าใจง่าย และได้ผลจริง เมื่อทำจริงปฏิบัติจริง
เมื่อท่านยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ขีณาสพ ท่านต้องมีสัมมาสมาธิความตั้งใจมั่น การประพฤติปฏิบัติของท่านต้องติดต่อเนื่องในปัจจุบัน ทุกคนมีความคิดเห็นผิด เข้าใจผิด ปฏิบัติผิด มีความท้ออกท้อใจ คิดแต่ว่าปฏิบัติธรรมต้องทำไปถึงไหน จึงจะได้หยุดสักที ธรรมะเป็นปัจจุบัน มันถึงจะมีความไม่ปรุงแต่งว่าหยุดหรือว่าทำ หรือไม่ทำ มันเป็นปัจจุบัน รู้ทุกข์ รู้เหตุให้เกิดทุกข์ เป็นผู้ตั้งมั่นในสัมมาทิฏฐิ สัมมาสมาธิ ในภาคปฏิบัติคือศีล มันจะเป็นปัจจุบันไปเรื่อย ปัจจุบันถึงจะไม่มีความปรุงแต่ง ไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง จะมีแต่ธรรมะมีแต่พระวินัย มันเกิดความสุขขึ้นมา เราก็ไม่ไปติดใจ จึงจะไม่เกิดโทษ เราก็เสียสละไปเรื่อยๆ จนกว่าอินทรีย์บารมีเราจะสมบูรณ์ มีความสุขในการประพฤติปฏิบัติ ไม่มีใครได้ ไม่มีใครเสียหรอก มีแต่ธรรมะมีแต่พรหมจรรย์ เมื่อปฏิบัติตามพระธรรมตามพระวินัยก็มีแต่ความสุข พระพุทธเจ้าจึงไม่ให้เราติดในความสุข ให้เสียสละเป็นเปลาะๆ ไปเรื่อย ด้วยการประพฤติปฏิบัติ ทั้งศีลสมาธิปัญญา เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไปเรื่อย การประพฤติปฏิบัติของเราไม่มีเข้าไม่มีออกเป็นปัจจุบัน เราทำทุกเมื่อทุกเวลา ทุกอิริยาบถ สำหรับนักบวชและผู้ประพฤติธรรม นั่งสมาธิ เช้า กลางวัน เย็น อันนี้เป็นการพักผ่อนกายเหมือนรถเรือเครื่องบิน ก็ต้องมีการพักเครื่อง ร่างกายของเราก็ต้องได้รับการพักผ่อน
อย่างพระพุทธเจ้าวันหนึ่งพระองค์ทรงพักผ่อนเพียง ๔ ชั่วโมง ประชาชนคนธรรมดา เช่นเด็กๆ พักผ่อนอย่างน้อยวันนึงก็ ๖ ชั่วโมง ผู้แก่ผู้เฒ่าก็พักผ่อนสัก ๖-๘ ชั่วโมง การมีสมาธิตั้งมั่นที่ไม่คิดอะไรเลย อายตนะภายในภายนอกไม่สัมผัสกัน เป็นการพักผ่อนกายพักผ่อนใจของเรา ถ้ามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง มีความสุขในการเสียสละอย่างนี้ ชื่อว่าเป็นการพักผ่อน ความไม่ยึดมั่นถือมั่น เรียกว่าการได้พักผ่อน เราทิ้งอดีตทิ้งอนาคตอยู่กับปัจจุบันเรียกว่าการพักผ่อนทางจิตใจ ผู้ที่ยึดมั่นถือมั่น ทำตามใจตนเอง ตามอารมณ์ตนเอง ชื่อว่าคนไม่ได้พักผ่อน ให้เข้าใจอย่างนี้ ทำไมพระพุทธเจ้าวันหนึ่งทรงพักผ่อนน้อยเหลือเกิน แต่ทำไมพระวรกายถึงอยู่ได้ ทรงบำเพ็ญพุทธกิจน้อยใหญ่เพื่อเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายได้ เพราะทรงมีพระมหาสติอยู่เสมอ เพราะพระองค์ทรงได้พักผ่อนพระทัยตลอดกาลตลอดเวลา จึงมีความสุขไม่เครียด ได้ relax พักผ่อนไปในตัว “นัตถิ สันติ ปะรัง สุขัง สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบนั้นไม่มี” การปล่อยวาง การมีความสุขในความขยัน อดทน รับผิดชอบ มีความสุขในการเสียสละคือการพักผ่อนทางจิตใจ ให้ทุกท่านทุกคนพากันจำไว้
ท่านรู้จักแต่การพักผ่อนแต่ทางกาย เราต้องได้พักผ่อนทางใจตลอดกาลตลอดเวลา และการพักผ่อนทางกาย เวลานอนก็ต้องนอน ไม่ใช่มาคิดมาฟุ้งซ่าน ต้องมีความสุขในการนอนในการพักผ่อน ทิ้งอดีตทิ้งอนาคตไม่คอรัปชั่นเวลานอน เราไม่เสียสละ ไม่ปล่อยไม่วาง อยู่กับความยึดมั่นถือมั่น นั่นคือเป็นผู้คอรัปชั่นนะ คอรัปชั่นความประเสริฐที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เราต้องมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง มีความสุขในการเสียสละ เราจะไปยึดอะไร ชีวิตของเราอายุขัยก็ไม่เกิน ๑๒๐ ปีอยู่แล้ว
เราต้องเสียสละ ให้มันเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรมอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ ชีวิตของเราถึงจะมีความสุข เราก็จะเป็นพระได้ทุกคน ทั้งที่โกนหัวไม่โกนหัว เพราะพระคือการมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง มีความสุขที่สุดในโลก มีสติคือความสงบ มีสัมปชัญญะคือไม่มีตัวมีตน มีแต่ก้าวไปด้วยสติสัมปชัญญะ ด้วยศีล สมาธิ ปัญญา เเรียกว่า ญาณเกิดขึ้นแก่เรา ปัญญาเกิดขึ้นแล้วแก่เรา แสงสว่างเกิดขึ้นแก่เรา ความมืดทั้งหลายทั้งปวงที่มี มันได้หมดแล้วจากเรา การดำเนินชีวิตของเราก็ประเสริฐอย่างนี้
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.