แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันศุกร์ที่ ๑๓ ตุลาคมพุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง เข้าพรรษาเข้าหาธรรม ตอนที่ ๖๒ สั่งสมเมล็ดพันธุ์แห่งศีลสมาธิปัญญา น้อมถวายเป็นพุทธบูชา และถวายในหลวงในวันนวมินทรมหาราช
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
วันนี้เป็น "วันนวมินทรมหาราช" เป็นปีที่ 7 ของวันสวรรคตรัชกาลที่ 9 หรือเรียกว่า "สัตตมวรรษ" เพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณในพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่ทรงมีต่อปวงชนชาวไทยเป็นล้นพ้นอย่างหาที่สุดมิได้
พสกนิกรชาวไทยและชาวโลก ได้พากันระลึกถึงและบำเพ็ญพระราชกุศล ที่ท่านเป็นผู้เสียสละ เป็นที่หนึ่งของโลก วันนี้จะได้พูดเพื่อบูชาคุณที่ประเสริฐของพระองค์ท่าน โดยยกสิ่งที่เป็นประวัติศาสตร์ของโลก ที่มีพระพุทธเจ้าเป็นที่ตั้ง พระพุทธเจ้าคือผู้ที่เห็นภัยในวัฏสงสาร ได้บำเพ็ญพุทธบารมีหลายล้านชาติ ได้ตรัสรู้อรหันตสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นครูผู้บอกผู้สอนของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
พระพุทธศาสนา หมายถึงคำสอนของท่านผู้รู้ เป็นนามที่ได้จากมหาบุรุษท่านหนึ่งซึ่งเป็นเมือนเราท่านทั้งหลายที่ได้มุ่งมั่นฝึกหัดพัฒนาคุณภาพจิตอย่างสูงสุด จึงได้นามว่า พุทธะ คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ด้วยสัจธรรมที่ตั้งอยู่บนรากฐานของเหตุผลตามธรรมชาติธรรมดา พุทธศาสนาจึงแตกต่างไปจากศาสนาอื่น สัทธิอื่นที่มีในโลก ด้วยเหตุที่ไม่ได้เกิดจากการสร้าง การสั่งการบันดาลดลจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือพระเจ้าองค์ใดเนรมิตให้เกิดขึ้นมา แต่พุทธศาสนาเป็นเรื่องของการสร้างเหตุโดยอาศัยความเพียร ลงมือกระทำในสิ่งที่ถูกต้องดีงามจริง ทางกาย วาจา ใจ จนเป็นวิบากสั่งสมไว้ทุกๆ ขณะ หลายภพหลายชาติจนสมบูรณ์บริบูรณ์ แล้วส่งผลให้ตรัสรู้อริยสัจธรรม จึงได้นามว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือผู้รู้ชอบด้วยพระองค์เอง และเป็นครูผู้สามารถบอกสอนประกาศพระสัทธรรมที่ตรัสรู้แล้วให้ผู้อื่นได้รู้ ได้เข้าใจตามพระองค์ได้ด้วย จึงมีพระอรหันตสาวกผู้ฟังตามประพฤติตาม ได้บรรลุผลตามและช่วยกันเผยแผ่หลักพุทธธรรมสืบทอดศาสนธรรมต่อๆ กันมา
นี้เป็นพระบารมีที่ต้องอาศัยการสั่งสมอบรมมาเป็นกรณีพิเศษ ส่วนพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลายที่อุบัติมา มีมาในระหว่างที่โลกว่างจากพระศาสนาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านตรัสรู้เข้าใจธรรมด้วยตัวของท่านเองจริง แต่ก็ไม่สามารถถ่ายทอดบอกสอนตั้งพระศาสนาให้ดำรงคงอยู่เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่สรรพสัตว์อื่นได้ เนื่องจากการสั่งสมบารมียิ่งหย่อนต่างกัน
ตำแหน่งหรือฐานะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ดี พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ดี หรืออริยบุคคลชั้นโสดาบัน สกิทาคามื อนาคามี อรหันต์ก็ดี เป็นได้โดยการลงมือสร้างเหตุ ไม่ใช่ได้มาโดยการแต่งตั้งและมิได้ผูกขาดไว้กับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หากแต่เป็นตำแหน่งหรือฐานะที่บุคคลผู้ปรารถนาแล้วนั้น จะต้องลงมือสร้างคุณสมบัติให้บริสุทธิ์บริบูรณ์พร้อม ก็สามารถบรรลุผลตามความปรารถนาได้เช่นกัน ดังนั้นมนุษย์ทุกคนในมุมมองพุทธศาสนา สามารถพัฒนาศักยภาพของตนได้อย่างไม่มีขีดจำกัด พระพุทธศาสนาจึงเป็นเรื่องของมนุษย์ สำหรับมนุษย์ เพื่อมนุษย์ โดยมนุษย์อย่างแท้จริง หากถามว่า จะมีมนุษย์สักกี่คนที่จะยอมเสียสละทุ่มเทอุทิศตนบำเพ็ญคุณธรรมสั่งสมบารมี เพื่อเป้าหมายการตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสักพระองค์หนึ่ง เพื่อจะเป็นที่พึ่งของเหล่าสัตว์ ตอบว่าก็มีผู้ที่ปรารถนาเช่นนี้มิใช่น้อย แต่จะพากเพียรจนประสบผลสำเร็จเสร็จบริบูรณ์หรือไม่ นี้แหละจะเป็นเครื่องฟ้องปณิธานว่าแน่วแน่มั่นคงชนาดไหน บางบุคคลก็ถอดถอนปณิธานลงกลางคันเพราะเห็นความยากเย็นแสนเข็ญเป็นอนันต์กว่าจะได้สำเร็จ
แต่มหาบุรุษท่านหนึ่งคือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่าโคดมของเรานี้ ก่อนจะอุบัติมาท่านก็เป็นมนุษย์สามัญชนคนธรรมดา สมัยเป็นมาณพหนุ่มในชาติหนึ่งได้ช่วยพามารดาว่ายน้ำข้ามฝั่งมหาสมุทรอย่างปลอดภัย เห็นเหล่าชนอื่นๆ ทั้งหลายที่ติดตามไป ต่างจมน้ำตาย กลายเป็นอาหารเต่า ปลา ในท่ามกลางทะเลหลวง มีเมตตากรุณาเกิดขึ้นในดวงจิต ปฐมปณิธานก็เกิดขึ้นว่า “เมื่อเราได้ตรัสรู้แล้ว จักให้ผู้อื่นได้รู้ตามด้วย เมื่อเราได้พ้นจากทุกข์ในวัฎสงสารแล้ว ก็จักช่วยสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์ในวัฎสงสารด้วยเช่นกัน”
และสมัยหนึ่ง ที่พระองค์เคยเสวยพระชาติเป็นพระเจ้าสาครโพธิสัตว์ ท่านกล่าววจีปณิธานอย่างอาจหาญต่อหน้าพระปุราณศากยมุนีว่า “หากแม้ว่าพระสัพพัญญุตญาณ จะมีอยู่ภายใต้อเวจีมหานรก ข้าพเจ้าก็จะดั้นด้นลงไปหาจนกว่าจะพบให้จงได้” ด้วยพระมหากรุณาธิคุณที่จะรื้อสัตว์ขนสัตว์ให้ข้ามวัฏทุกข์ ต้องทุ่มเทกำลังกาย กำลังใจ กระทำความเพียรอย่างไม่ระย่อท้อถอยเพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมายนั้นอย่างสุดกำลังความสามารถ ถึงจะทุกข์ยากลำบากสักปานใด ก็มิคิดจะล้มเลิก
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เอกบุรุษเมื่ออุบัติขึ้นในโลก ย่อมอุบัติขึ้นเพื่อประโยชน์แก่ชนหมู่มาก เพื่ออนุเคราะห์ชาวโลก เพื่อประโยชน์สุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เอกบุรุษผู้เลิศ คือพระตถาคตสัมมาสัมพุทธเจ้า
การอุบัติขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ เปรียบเสมือนดวงสุริยาที่ทอแสงให้ความสว่างในชีวิตแก่สรรพสัตว์ทั้งปวงโดยไม่เลือกที่รักผลักที่ชัง พระพุทธองค์เสด็จมาเพื่อประโยชน์สุขของมวลมนุษยชาติและสรรพสัตว์ทั้งหลาย
การจะพรรณนาพุทธคุณด้วยเวลาอันสั้นนั้น เปรียบไปแล้วก็เหมือนปริมาณน้ำที่ลอดรูเข็ม เมื่อเทียบกับน้ำในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ เพราะว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีพระคุณอันยิ่งใหญ่ ต่อสัตว์โลกตั้งแต่สมัยที่สร้างบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ ท่านคิดที่จะตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง และก็สั่งสอนสัตว์โลกทั้งหลาย ทั้งมนุษย์และเทวา ให้ได้บรรลุธรรมตาม เมื่อคิดแล้ว ก็ลงมือทำไปด้วย ตั้งใจสร้างบารมี 30 ทัศน์เรื่อยมา ทั้งทรัพย์ อวัยวะและก็ชีวิต นับครั้งไม่ถ้วน ยาวนานถึง 20 อสงไขยแสนมหากัป จนบารมีของท่านเต็มเปี่ยม
ความกรุณาของพระโพธิสัตว์ เมื่อ ๔ อสงไขยกับแสนมหากัปที่ล่วงมาแล้ว พระบรมศาสดาเสวยพระชาติเป็นสุเมธดาบส ได้ถวายร่างกายของตนเป็นสะพานเพื่อให้พระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมทั้งพระอริยสาวกเสด็จดำเนินข้ามทางที่กำลังซ่อมแซมไปได้ ในเวลานั้น ถ้าสุเมธดาบสออกบวชเป็นภิกษุแล้วเจริญวิปัสสนา ก็จะสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วปรินิพพานในชาตินั้น พระสุเมธดาบสเองก็เข้าใจและเชื่อเช่นนั้น เนื่องจากท่านเป็นบุคคลที่ได้สั่งสมบารมีมามาก ทั้งยังได้ฌานอภิญญาสามารถแสดงอิทธิฤทธิ์ได้ ผู้ที่ได้ฌานแล้วจะบรรลุเป็นพระอรหันต์ได้แม้ในขณะที่ฟังพระธรรมเทศนาที่พระพุทธองค์ทรงแสดงเท่านั้น แต่ท่านสุเมธดาบสใคร่ครวญว่า “บุคคลที่ถึงพร้อมด้วยสัทธาพละ วิริยพละ สติพละ สมาธิพละ และปัญญาพละเช่นเรานี้ หาได้ยากในโลก คนส่วนมากมักจะขาดพละ ๕ อย่างนี้ จึงไม่สามารถจะตรัสรู้ธรรมที่นำออกจากทุกข์ทั้งหลายอันมีความแก่ความเจ็บและความตายได้ นอกจากนี้พวกเขาไม่สามารถจะปฏิบัติธรรมเช่นนั้นได้ ดังนั้น แม้เราจะมีคุณสมบัติพอที่จะบรรลุธรรมได้ในชาตินี้ แต่จะมีประโยชน์อะไรในการที่เอาตัวรอดเพียงคนเดียว เราพึงดำเนินรอยตามพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยสั่งสมบารมีเพื่อบรรลุพระสัพพัญญุตญาณ แล้วช่วยสัตว์ทั้งหลายที่ไม่มีกำลังและปัญญา” ดังข้อความในพระบาลีว่า “อิจฺฉมาโน อหํ อชฺช กิเลเส ฆาตยามหํ. กึ เม เอเกน ติณฺเณน ปุริเสน ถามทสฺสินา สพฺพญฺญุตํ ปาปุณิตฺวา สนฺตาเรสฺสํ สเทวกํ.
“เราเมื่อต้องการอยู่ ก็พึงเผากิเลสได้ในวันนี้ จะมีประโยชน์อะไรแก่เราที่เป็นบุรุษเห็นกำลังความสามารถ จะข้ามพ้นแต่เพียงผู้เดียว เราจักบรรลุพระสัพพัญญุตญาณช่วยมนุษยโลกพร้อมทั้งเทวโลกให้ข้ามพ้นด้วย”
หลังจากที่ได้ตั้งปณิธานอย่างนี้แล้ว พระสุเมธดาบสโพธิสัตว์ได้รับพุทธพยากรณ์จากพระทีปังกรสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต หลังจากนั้นได้บำเพ็ญบารมีเป็นเวลา ๔ อสงไขยกับอีก ๑ แสนมหากัป ต้องประสบกับความทุกข์ยากลำบากอย่างแสนสาหัสตลอดเวลาที่ต้องเวียนว่ายตายเกิดนับชาติไม่ถ้วน ต้องพบกับความแก่ ความเจ็บ และความตายซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ในพระชาติที่เป็นพระเวสสันดร ซึ่งเป็นชาติสุดท้ายก่อนที่จะเป็นพระพุทธเจ้า ทรงถูกชาวเมืองขับไล่ออกจากเมืองเพราะไม่พอใจที่พระองค์ประทานช้างเผือกคู่บ้านคู่เมืองให้แก่พราหมณ์จากเมืองอื่นที่มาขอ และในขณะที่ประทับอยู่ในป่านั้น พราหมณ์ชื่อชูชกยังได้มาขอพระโอรสและพระธิดาไปเป็นทาสรับใช้ แม้จะทรงอาลัยรักพระโอรสพระธิดาก็ยังประทานพระชาลีและพระกัณหาชินาให้แก่พราหมณ์ชูชกเพื่อเป็นทานบารมี พระองค์ได้ทรงอดกลั้นต่อความทุกข์อันใหญ่หลวงนี้ เพื่อบำเพ็ญบารมีให้ได้มาซึ่งพระสัพพัญญุตญาณ เนื่องจากพระโพธิสัตว์ยังไม่พ้นจากกิเลสที่จะส่งให้ไปสู่อบายภูมิ จึงยังทำอกุศลทุจริตอยู่ ผลจากการทำทุจริตต่างๆ
เนื่องด้วยความโลภ ความโกรธ และความหลง ทำให้พระโพธิสัตว์ต้องไปทนทุกข์เป็นสัตว์นรกและดิรัจฉานหลายต่อหลายชาติ ในเตมิยชาดกได้กล่าวว่า พระโพธิสัตว์ต้องเสวยทุกข์ในนรกเพราะในชาติหนึ่งทรงเป็นพระราชาแล้ว ทรงพิพากษาตัดสินลงโทษคนอย่างโหดร้าย ความทุกข์ทั้งมวลที่ทรงประสบในขณะที่บำเพ็ญบารมีตลอดเวลา ๔ อสงไขยกับแสนมหากัปนี้ เป็นผลจากการตั้งความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า เพื่อช่วยนำสัตว์ออกจากสังสารทุกข์
พระพุทธเจ้าได้บำเพ็ญพุทธบารมีใช้เวลายาวนาน ถึงละได้ทั้งกิเลสอาสวะ ถึงละได้ทั้งวาสนา พระพุทธเจ้าทรงถึงพร้อมด้วยพระปัญญาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาธิคุณ ทรงบรรทมวันหนึ่งเพียง 4 ชั่วโมง เสียสละเพื่อหมู่มวลมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย 20 ชั่วโมง
หลังจากทรงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว แม้พระองค์จะสามารถหาความสุขด้วยการพักผ่อน ไม่ต้องกังวลกับการเทศนาสั่งสอนเวไนยสัตว์ทั้งหลาย แต่ก็มิได้ทรงทำเช่นนั้น ตลอดเวลา ๔๕ พรรษา ทรงเทศนาสั่งสอนทั้งกลางวันและกลางคืนจนแทบไม่ได้พักผ่อน ทรงอดกลั้นต่อความเหนื่อยยากลำบาก เพราะทรงมีพระมหากรุณาคุณอันยิ่งใหญ่ต่อเหล่าสัตว์ที่ยังต้องเวียนว่ายอยู่ในห้วงน้ำแห่งสังสารวัฏอันหาที่สิ้นสุดไม่ได้นี้
สัตว์ทั้งหลายไม่ว่าจะอยู่ในภพใดก็ตาม ย่อมต้องการหนีจากความทุกข์ คือ ความแก่ ความเจ็บ และความตายด้วยกันทั้งนั้น ทุกคนเมื่อเกิดมาแล้วก็จะต้องแก่ เจ็บ และสุดท้ายก็ต้องตายไป ด้วยเหตุที่พระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า ไม่มีผู้ใดจะสามารถช่วยสัตว์โลกให้พ้นจากความทุกข์แห่งสังสารวัฏได้นอกจากพระองค์เพียงผู้เดียว จึงทรงเทศนาสั่งสอนสัตว์โลกโดยไม่อาทรกับความเหนื่อยซึ่งเป็นหลักฐานแสดงถึงพระมหากรุณาคุณอันหาที่สุดมิได้
พระพุทธเจ้าถึงได้เอาสิ่งที่ประเสริฐที่หมู่มวลมนุษย์สัตว์โลกทั้งหลายที่เวียนว่ายตายเกิดมาบอกมาสอนว่า หนทางออกมีอยู่หนทางดับทุกข์มีอยู่แล้วก็ทำได้ปฏิบัติได้ และมันก็มีได้กับทุกๆ คน ที่ระบบสมองสติปัญญาปกติ ไม่เป็นคนพิกลพิการทางสมอง มีความเข้าใจเรื่องอริยสัจ 4 คือเรื่องทุกข์ เรื่องเหตุเกิดทุกข์ เรื่องข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เข้าใจเรื่องกายและก็เรื่องใจ พระพุทธเจ้าทรงระลึกชาติได้ตั้งหลายล้านชาติ ทั้งข้างหน้าข้างหลัง มีความรู้มีความเข้าใจนำหน้าทางวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ก็ไปได้ทางวัตถุ แต่พระพุทธเจ้าไปทั้งทางวิทยาศาสตร์ไปทั้งทางจิตใจอย่างนี้ ก็ให้ทุกคนเข้าใจ สิ่งที่ทุกคนที่จะต้องรู้ต้องเข้าใจว่า พระพุทธเจ้าคือใคร พระพุทธเจ้าไม่ใช่นิติบุคคลไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เป็นธรรมะ ธรรมะก็คือความเป็นธรรม เป็นความยุติธรรม ไม่มีอคติ มีแต่สติความสงบ มีแต่สัมปชัญญะคือไม่มีตัวไม่มีตน
เราต้องมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง มีการประพฤติการปฏิบัติอย่างนี้ เพื่อสร้างเหตุสร้างปัจจัย ด้วยความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง มันจะเป็นธรรม เป็นปัจจุบันธรรม ธรรมะเป็นเรื่องทำให้ถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ทุกอย่างมันจะได้มีแต่คุณมีแต่ประโยชน์ เรื่องศาสนานั้นคือการพัฒนาใจ ที่พวกเรามีอายุขัยอยู่ได้ร่วมๆ 100 ปี ถึงมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง มีความสุขในการเรียนการศึกษา มีความสุขในการทำงาน และก็พัฒนาใจไปพร้อมๆ กัน เพราะทุกอย่างมันเป็นปัจจัยทั้ง 4 เป็นสิ่งที่ให้ร่างกายธาตุขันธ์มันอยู่ได้ แม้แต่เรื่องความคิดเรื่องอะไรนี้ มันก็เป็นอาหารเหมือนกันอาหารกายอาหารใจอย่างนี้ อาหารกายก็ให้รู้จัก โภชเน มตฺตญฺญุตา ต้องรู้จักประมาณในการบริโภค ถึงแม้เราจะพัฒนาอาหารให้เอร็ดอร่อย เพื่อสุขอนามัยอย่างนี้ ก็ต้องพากันรู้จักและพัฒนาเพื่ออาหารทางใจ คือทุกคนมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง พากันมาเสียสละซึ่งตัวซึ่งตน เพื่อจะได้เป็นธรรม เป็นปัจจุบันธรรม ทุกคนก็ต้องพากันทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เพราะทุกอย่างมันอยู่ที่ใจมันอยู่ที่เจตนา ทุกคนต้องมีใจมีเจตนาที่จะต้องให้อาหารกายที่ถูกต้อง ให้อาหารใจที่ถูกต้อง เราจะรู้เรื่องทางกาย เราไม่รู้เรื่องทางใจ ต้องให้อาหารใจ คนเรานี่มันมีมีเพศสัมพันธ์ทางร่างกาย เรื่องอยู่เรื่องกิน อะไรต่างๆ และก็มีเพศสัมพันธ์ทางจิตใจ เพราะว่ามันหลงในรูปเสียงกลิ่นรสลาภยศสรรเสริญ เราต้องรู้จักว่าหมู่มวลมนุษย์เรานี้ พวกความคิดนี้สำคัญ เราต้องรู้จักความคิด รู้จักอารมณ์ เราจะปล่อยให้ตัวเองคิด ตัวเองปรุงแต่งอะไรไม่ได้ เพราะอันนี้มันไม่รู้จักอริยสัจ ๔ เราทุกคนต้องเบรคตัวเอง รถก็ยังมีเบรค เครื่องบินก็ยังมีเบรค รถเรือเครื่องบินอย่างนี้ ก็ยังมีพวงมาลัยที่จะให้เราไปทางไหน เราต้องรู้จัก เราต้องเข้าใจอย่างนี้
ปฏิบัติพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ของพระภิกษุภิกษุณีมีตั้ง 21,000 พระธรมขันธ์ ในพระปาฏิโมกข์ 227 ข้อ เป็นเรื่องใจเรื่องเจตนา ถ้าเราเกิดมาเราไม่เอามรรคผลพระนิพพาน ก็ถือว่ามันเป็นอาบัติทุกกฏ ประชาชนก็คือความไม่ดีความไม่ถูกต้อง ถ้าไปหลงในบ้านในวัดในยศในตำแหน่ง จิตใจของเราก็บาปลง ระดับตกต่ำหรือว่าถ้าเป็นบ้านก็ตกลงข้างล่างใต้ถุน ถือว่าเป็นอาบัติถุลจัย
พระธรรมคำสั่งสอนถึงเป็นสิ่งที่ประเสริฐ ทุกคนต้องพากันประพฤติพากันปฏิบัติ เราจะได้มีอยู่มีกินมีใช้ แล้วก็พร้อมทั้งจิตใจของเรามีคุณธรรม ที่เป็นพระอริยเจ้าเพราะความเป็นพระนั้นคือความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง มันจะก้าวไปอย่างนี้ หมู่มวลมนุษย์ทั้งโลกนี้ ไม่ใช่เฉพาะตัวเรา ต้องพากันทำหน้าที่ของตัวเองให้สมบูรณ์ เราจะได้ไม่เป็นสีดำสีเทา เพราะในตัวเราเองหรือตัวของคนอื่น มันมีสีดำอยู่แล้ว 50% สีเทามัน 49% จะมีเพียงจิตใต้สำนึกว่าเราต้องทำความดีนะ ตั้งมั่นในความดีให้มาก 1% พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่ประเสริฐ ทุกๆ คนจะไปหลงเอาแต่วัตถุ เอาแต่ตัวตนไม่ได้ เราต้องเอาพระธรรมคำสั่งสอนของศาสนา ทุกศาสนามันก็ไปทางเดียวกันนี่แหละ มันไม่ได้ไปทางอื่นหรอก ในโลกนี้อย่าพากันทะเลาะวิวาทกันเรื่องศาสนาเลย เราก็ได้ข่าวว่า ศาสนาหลายๆ แห่งได้ทะเลาะกัน อันนั้นไม่ใช่ศาสนา เป็นนิติบุคคลเป็นตัวเป็นตน มันไม่ถูกต้อง ศาสนานั้นย่อมไม่มีตัวไม่มีตน เราต้องรู้จักสงฆ์สาวก เพราะสงฆ์สาวกนั้นคือผู้ที่เอาพระธรรมคำสั่งสอน ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนมีแต่สติมีแต่สัมปชัญญะ เป็นผู้ที่ได้รับสิทธิพิเศษ มีชุดมีแบบฟอร์มโดยการปลงผมนุ่งห่มผ้ากาสาวพักตร์สีย้อมด้วยน้ำฝาด มีสีแก่นขนุนเป็นหลัก ประเทศไทยเรามันหลากหลายสีเกิน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงเห็นว่ามากเกิน จึงเอาสีพระราชทานคือเหลืองหม่นออกไปทางเหลืองทอง ที่เราพากันเห็นก็เรียกว่าสีพระราชทาน
ที่เราเห็นกันในประเทศไทยนี้ ยังไม่ใช่สงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้านะ ถ้ายังเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ประเทศไทยเราก็ความมั่นคงของสถาบันหลักง่อนแง่นคลอนแคลน เพราะว่าเราเอาตัวตนเป็นหลักเป็นใหญ่ แม้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะวางโครงสร้าง ให้มีข้าราชการ พลเรือน หรือนักการเมืองอย่างนี้ จะมีคณะสงฆ์อยู่ ก็ยังเป็นสีดำสีเทาเหมือนปรากฏการณ์ที่เห็นนี้แหละ จึงต้องพากันมาแก้ไขตนเอง อันนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้อง สิ่งที่เป็นธรรมเป็นความยุติธรรม เป็นความมั่นคงของชาติศาสน์กษัตริย์ เราต้องพากันเข้าใจ เราทุกคนก็ทำได้ปฏิบัติได้ เพราะอันนี้มันถูกต้อง ให้เรามีความสุขในการประพฤติปฏิบัติอย่างนี้ เราจะได้มีความมั่นคงของชาติศาสน์กษัตริย์ที่เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม
ทุกคนทำได้ปฏิบัติได้ ทุกคนต้องพากันมาแก้ไขตัวเอง คนอื่นก็ต้องแก้ไขเขานะ เพราะเมื่อทุกคนทำอย่างนี้ เดี๋ยวนี้ก็ยิ่งดีสื่อสารมวลชนมันรู้กันทั้งโลก ไม่ต้องยากลำบากเดินไปหากัน แป๊บเดียวเสียงมันดังทั่วโลกเลย เราก็ให้เข้าใจเรื่องพระศาสนาอย่างนี้แหละ เพราะศาสนาทุกศาสนา มันเป็นไสยศาสตร์แอบแฝง เป็นความหลงงมงาย เอาความหลงเป็นที่ตั้ง เอาวัตถุเป็นที่ตั้ง เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง มันไม่ใช่ศาสนา ไม่ใช่สุปฏิปันโน อุชุปฏิปันโน ญายะปฏิปันโน สามีจิปฏิปันโน มันไม่ถูกต้อง ให้พากันเข้าใจ
ข้าราชการนักการเมืองจะให้ใครเป็นยศเป็นตำแหน่งอะไร ก็ส่งให้ในหลวงพระราชทานอะไรต่างๆ ทั้งข้าราชการนักการเมือง ท่านแต่งตั้งมาเพื่อให้ทุกคนพากันมาเสียสละ ไม่มีตัวไม่มีตน เราอย่าหลงประเด็น เอาตัวเอาตนเป็นที่ตั้ง มันไปไม่ได้ มันไม่ใช่การปฏิบัติ มันเป็นวิบัติ ให้ทุกคนพากันเข้าใจ อย่าไปบอดตาใส ไม่ละอายต่อบาปไม่เกรงกลัวต่อบาป เราต้องเป็นคนกตัญญูกตเวที เหมือนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลยเดช ชีวิตของพระองค์ท่านถือว่าเป็นท่านผู้บำเพ็ญพระบารมีเยี่ยงอย่างพระโพธิสัตว์ เยี่ยงอย่างองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านเป็นผู้เสียสละ คนเราต้องพากันเสียสละ ถึงจะแก้ไขปัญหาตัวเองได้ แก้ไขปัญหาผู้อื่นได้ ทำทั้งประโยชน์ตนทั้งประโยชน์ท่าน ให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท
เราทุกคนมันก็มีความผิดพลาดมีความไม่รู้ ความไม่เข้าใจ การที่จะแก้ไขตัวเองมันยาก เพราะว่ามันติดมันเป็นสิ่งเสพติดทางจิตใจ ทำให้เราใจอ่อนเราต้องมีสัมมาทิฏฐิ จนไปถึงสัมมาสมาธิ มีความตั้งมั่นพากันมีความสุข
พึงใช้ประโยชน์จากโอกาสที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา พึงเร่งขวนขวายพากเพียรสั่งสมเมล็ดพันธุ์แห่งบารมีในชาตินี้ โดยเพียรสั่งสมทั้งเมล็ดพันธุ์แห่งศีล เมล็ดพันธุ์แห่งสมาธิ และเมล็ดพันธุ์แห่งปัญญา
เมล็ดพันธุ์แห่งศีลสำหรับคฤหัสถ์ได้แก่ ศีล ๕ (เบญจศีล), อาชีวัฏฐมกศีล, ศีล ๘ (อัฏฐังคอุโบสถศีล) และ ศีล ๑๐ (ทสังคศีล)" ส่วนเมล็ดพันธุ์แห่งศีลสำหรับพระภิกษุได้แก่ ภิกษุศีล
เมล็ดพันธุ์แห่งสมาธิ ได้แก่ ความเพียรจนเกิดบริกรรมสมาธิ โดยใช้แนวทางใดทางหนึ่งในกรรมฐานทั้ง ๔๐ เช่น กสิณ ๑๐ เป็นอาทิ แล้วพากเพียรต่อไปจนบรรลุอุปจารสมาธิ (สมาธิใกล้ฌาน) และหากพยายามต่อไปก็จะบรรลุอัปปนาสมาธิ (สมาธิในองค์ฌาน) ได้
เมล็ดพันธุ์แห่งปัญญา ได้แก่ การเจริญสติให้เกิดความเห็นแจ้งเข้าใจในรูป (สภาวธรรมทางกาย), นาม (สภาวธรรมทางจิต), ขันธ์ (ส่วนประกอบ ๕ อย่างที่ประชุมรวมเข้าเป็นชีวิต), อายตนะ (แดนต่อหรือแดนเกิดของความรับรู้), ธาตุ (สภาพรู้), สัจจะ (ความจริง), ปฏิจจสมุปปบาท (การที่ธรรมทั้งหลายอาศัยกันและกัน จึงเกิดมีขึ้น) และ การเจริญปัญญาให้เห็นแจ้งแทงทะลุในไตรลักษณ์ของสรรพสิ่ง อันได้แก่ อนิจจัง (ความไม่เที่ยงแท้ถาวร), ทุกขัง (ความเป็นทุกข์ ไม่น่าพึงพอใจ), และ อนัตตา (ความไม่ใช่ตัวตน)
ในบรรดาเมล็ดพันธุ์ของมัคคญาณและผลญาณทั้ง ๓ ดังกล่าวมานี้ ศีลและสมาธิเปรียบเสมือนเครื่องประดับที่แต่งแต้มโลกให้งดงามยิ่งขึ้น ศีลและสมาธิยังคงมีอยู่แม้ในช่วงสุญญกัปที่ไม่มีพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก บุคคลจึงสามารถเก็บเกี่ยวสั่งสมเมล็ดพันธุ์แห่งศีลและสมาธิได้ทุกเมื่อที่ปรารถนา ซึ่งแตกต่างจากเมล็ดพันธุ์แห่งปัญญาที่ว่าด้วยรูป (สภาวธรรมทางกาย), นาม (สภาวธรรมทางจิต), ขันธ์ (ส่วนประกอบ ๕ อย่างที่ประชุมรวมเข้าเป็นชีวิต), อายตนะ (แดนต่อหรือแดนเกิดของความรับรู้), ธาตุ (สภาพรู้), สัจจะ (ความจริง) และ ปฏิจจสมุปปบาท (การที่ธรรมทั้งหลายอาศัยกันและกัน จึงเกิดมีขึ้น) เพราะเมล็ดพันธุ์แห่งปัญญาจะสั่งสมได้ก็ต่อเมื่อผู้นั้นได้เกิดมาพบพระพุทธศาสนาเท่านั้น
เมื่อมิได้พบพระพุทธศาสนา บุคคลนั้นจะไม่มีโอกาสได้ยินถ้อยคำแม้สักคำเดียวที่เกี่ยวเนื่องด้วยปัญญา ไม่ว่าสุญญกัปอันเนิ่นนานราวไม่รู้จบนั้นจะยาวนานสักเพียงใดก็ตาม
ด้วยเหตุนี้ บุคคลผู้โชคดีที่ได้เกิดมาในช่วงเวลาซึ่งพระพุทธศาสนายังคงเรืองรองเช่นในปัจจุบัน หากมีความประสงค์จะสั่งสมเมล็ดพันธุ์แห่งมัคคญาณเอาไว้ เพื่อให้มั่นใจว่าตนจะบรรลุความพ้นทุกข์ได้อย่างแน่นอนในชาติต่อๆ ไป ภายในช่วงของพระพุทธศาสนาข้างหน้า แทนที่จะเพียรสั่งสมแต่เมล็ดพันธุ์แห่งศีลและสมาธิ พึงใส่ใจเรียนรู้ปรมัตถ์ (ความจริงแท้) ให้มากเป็นพิเศษแม้ว่า การเรียนรู้นั้นจะยากสักเพียงใดก็ตาม อย่างน้อยที่สุด ก็ควรเพียรพยายามจนเกิดปัญญาเห็นแจ้งในธาตุทั้ง ๔ (มหาภูตรูป : ปฐวี, อาโป, เตโช และ วาโย) ที่ประกอบกันขึ้นเป็นร่างกายของตน เมื่อบุคคลใดเกิดปัญญาเห็นแจ้งในธาตุทั้ง ๔ ขึ้นแล้ว ก็เท่ากับว่าผู้นั้นได้สั่งสมเมล็ดพันธุ์แห่งปัญญาที่หาได้ยากยิ่งไว้แล้ว แม้ว่าบุคคลผู้นั้นจะไม่มีความรู้เรื่องอื่นใดในพระอภิธรรมอีกเลย ก็ยังถือได้ว่าเขาได้ใช้ประโยชน์จากโอกาสอันทรงค่าที่ได้เกิดเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนาอย่างคุ้มค่ายิ่งแล้ว
บุญกุศลวันนี้ที่พวกเราทำ เพื่อจะน้อมนำเป็นปฏิบัติบูชา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งเป็นที่รักที่เคารพของเราทุกคนในโลกนี้
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.