แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันพฤหัสบดีที่ ๑๒ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง เข้าพรรษาเข้าหาธรรม ตอนที่ ๖๐ มีธรรมวินัยเป็นที่พึ่งพิงอิงอาศัย เพื่อเป็นแนวทางการดำเนินชีวิตที่เรียบง่ายถูกต้องดีงาม
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ความขี้เกียจขี้คร้าน มันเป็นนิติบุคคลเป็นตัวเป็นตน เป็นอบายมุข อบายภูมิ ที่ทำให้ทุกคนตกต่ำไม่ได้พัฒนากายจิตใจ พวกที่ตามใจตัวเองตามอารมณ์ตัวเองตามความรู้สึก พวกที่เอาอารมณ์ตัวเองเป็นที่ตั้ง พวกเหล้า เบียร์ ฝิ่น กัญชา สิ่งเหล่านี้คือว่าเป็นไสยศาสตร์ เป็นความหลง พุทธบริษัท คริสต์บริษัท อิสลาม พราหมณ์ฮินดู ทุกศาสนา ต้องพากันมีความเห็นถูกต้อง พากันรู้อริยสัจ 4 ด้วยการประพฤติปฏิบัติตัวเอง สิ่งที่เสพติดคืออวิชชาความหลง ทุกคนต้องพากันเข้าใจนะว่า เรากำลังพากันหลง
ประเทศไทย ประเทศพม่า ประเทศลาว ประเทศเขมร พระภิกษุสามเณร พากันกินหมากสูบบุหรี่ นัดยา พวกหมากพลูบุหรี่นี้ ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่เสพติด พระภิกษุสามเณรพากันไปกินหมากสูบบุหรี่ มาตั้งแต่สมัยโบราณมาตั้งแต่หลายร้อยปีมาแล้ว ประเทศไทยเราโชคดี ท่านพุทธทาสภิกขุ วัดสวนโมกขพลาราม อ.ไชยา จ.สุราษฏร์ธานี ท่านได้เกิดที่นั่น ท่านเป็นผู้มีบุญ มีปัญญามาเกิด ได้ออกบวช และก็ปฏิบัติธรรม ตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ที่เป็นพระพุทธศาสนาแท้ๆ ไม่มีไสยศาสตร์ เว้นจากเดรัจฉานวิชา เดรัจฉานกถา ได้ชักชวนพระในประเทศไทยของเรา หยุดเคี้ยวหมาก หยุดสูบบุหรี่ เพราะมันไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ไม่สมควรต่อการดำรงชีพนักบวช จึงได้ชักชวน ท่านอาจารย์ชา สุภัทโท แห่งวัดหนองป่าพงว่า เราต้องเสียสละ พากันหยุดกินหมากเคี้ยวหมาก หยุดสูบบุหรี่ นัดยา ยานัดที่เป็นผงเป็นฝุ่นเป่าทางจมูก มันก็เมาเหมือนยาสูบยาฉุน แต่ทุกวันนี้ไม่ค่อยเห็นใครนัดยากันแล้ว
ขณะนี้เวลานี้ พระในประเทศไทยเรายังพากันสูบบุหรี่กันอยู่อย่างน้อยก็ 50% กินหมากนั้นมีน้อยนิดเดียว เกือบหาไม่มีแล้ว ประชาชนคนประเทศไทยพากันรู้นะ หมากพลูบุหรี่นี้มันเป็นสิ่งเสพติด อย่าพากันเอาเอาหมากพลูบุหรี่ถวายพระ ให้ประชาชนพากันเข้าใจนะว่า พวกที่มาบวชยังไม่ใช่พระอริยเจ้า ยังเป็นปุถุชนก่อนที่จะมาบวช พากันติดบุหรี่ บุหรี่มันเป็นสิ่งที่ละยาก ถ้าไม่เข้าสู่ภาคปฏิบัติ มันละยาก เราอย่าไปสงสารพระที่ติดหมากติดบุหรี่ ไม่ต้องเอาไปถวายท่าน ถ้ามีโอกาสก็บอกสอนท่านเลยว่า มันไม่จำเป็น ท่านไม่ควรสูบไม่ควรเคี้ยว ประเทศไทยส่วนใหญ่พระก็พากันสูบ แต่เดี๋ยวนี้ก็อายโยมบ้าง ไม่กล้าสูบอย่างแจ่มแจ้ง แต่บางแห่งก็ไม่ละอาย ทางฝ่ายมหายานพวกบุหรี่กับหมากถือว่าผิดศีล มันเป็นสิ่งเสพติด
การติดบุหรี่มันต้องเข้าสู่ภาคปฏิบัติ ทุกๆ คนที่มาบวชต้องจัดการตัวเอง การจะหยุดบุหรี่มันต้องใช้เวลาเป็นเดือน ต้องเข้าสู่ภาคประพฤติปฏิบัติ ทุกคนต้องจัดการตัวเอง เราอย่าไปคิดว่า ค่อยเป็นค่อยไป เราต้องเข้าสู่ภาคบำบัด ภาคปฏิบัติ อาทิตย์แรกมันจะดิ้นเหมือนปลาที่อยู่ในน้ำที่เราเอาขึ้นบนบก เพราะไม่ได้เสพ มันจะตายให้ได้ เราต้องจิตใจเข้มแข็ง ให้ทุกคนเข้าใจว่ามันจะมาบวชเอาพระนิพพาน หรือว่ามาบวชเอาอวิชชาความหลงน่ะ เมื่อเราทำไม่ได้ ปฏิบัติไม่ได้ เราก็ไม่สมควรที่จะฉันข้าวของชาวบ้านเขา ไม่สมควรที่จะรับการถวายไทยทาน เพราะพวกที่มาบวชมีสิทธิพิเศษ บ้านก็ไม่ต้องเช่า ข้าวก็ไม่ต้องซื้อ
พระในประเทศไทยหรือต่างประเทศที่กล่าวมานี้ ต้องหยุดสูบบุหรี่กัน ถ้าไม่ดีเขาคงไม่ห้าม นี่มันเป็นกามหลงในกาม เจ้าอาวาสทุกเจ้าอาวาสต้องพากันเข้มแข็ง เจ้าอาวาสต้องพากันหยุดก่อนเขา เจ้าคณะต้องพากันหยุดก่อนเขา เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่จำเป็นต่อร่างกาย มันเป็นความเคยชิน เป็นประชาธิปไตยสีดำสีเทามากกว่า 100 ปีแล้ว เห็นว่าทำมานานตั้งแต่รุ่นครูบาอาจารย์แล้วไม่รู้จะบอกยังไง ก็บอกอย่างนี้แหละว่า ต้องหยุดกัน พระในประเทศไทยต้องพากันหยุดสูบบุหรี่ สมัยโบราณก็พอที่จะให้อภัย สมัยโบราณเป็นป่าเนินเขา มีสวนมีไร่ ต้องก่อไฟเพื่อไล่ลิ้นไล่ไรไล่ยุง สมัยนี้มันไม่มีแล้ว ผู้มีปัญญาทั้งหลายต้องพากันหยุดได้แล้ว อย่าให้เขามองเห็น วัดทุกวัด ต้องออกกฏเลยว่า ไม่ให้วัดสูบบุหรี่ กินหมาก
ผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนาเถรวาท ซึ่งมีอยู่ในประเทศไทยและหลายๆ ประเทศนี้ ต้องหยุดการกินหมากและสูบบุรี่ ทั้งฝ่ายบรรชิตและนักบวช ก็ต้องพากันช่วยกัน เพื่อจะได้แก้ไข เราจะถือว่าพ่อแม่ครูบาอาจารย์หลายชั่วคนก็กินหมากสูบบุหรี่ เราจะไปพากันคิดอย่างนั้นไม่ได้ เพราะเราต้องเป็นคนดีด้วย เป็นคนฉลาดด้วย เป็นคนมีปัญญาด้วย จะต้องรู้ว่าสิ่งไหนควรสิ่งไหนไม่ควร ถ้าเราไม่เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติอย่างนี้มันก็ไม่ได้ ถือว่า ใครถวายหมากพลูบุหรี่นี่ก็ไม่ถูกต้อง อย่าพากันไปใจอ่อน วัดป่าวัดกรรมฐาน อย่างที่เป็นลูกศิษย์อาจารย์ชา หลวงปู่ชาก็พาประพฤติปฏิบัติ ก็มีผู้ที่ติดบุหรี่และพากันแอบสูบ พวกนี้ต้องละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป ไม่ได้สู้กับใครหรอก สู้กับตัวเองนี่แหละ
ผู้ที่บวชมาเป็นพระภิกษุสงฆ์จึงต้องพากันละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป พวกที่ติดก็อย่าสูบต่อหน้าสาธารณชน ในงานพิธีต่างๆ อย่าเห็นพระสูบบุหรี่กินหมาก อย่างนี้มันก็ไม่น่าไปกินมัน พระผู้น้อยก็อย่าไปพากันเลียนแบบ เห็นก็เลื่อมใสครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ท่านแก่แล้ว ก็นั่งกินหมากนั่งพิงหมอน แบบนี้ก็อย่าไปทำตาม เช่น หลวงพ่อคูณ นั่งยองๆ เคาะหัวใครต่อหัวใคร เราจะไปทำตามก็ไม่ได้ เพราะหลวงพ่อคูณก็คือหลวงพ่อคูณ ท่านเป็นผู้เสียสละ ท่านไม่ได้มีโทรศัพท์มือถือ ถึงแม้ท่านจะห่มผ้าวัดบ้าน แต่ท่านเองก็เป็นผู้เสียสละมาก เราจะไปทำเหมือนท่านไม่ได้หรอก อย่างหลวงตามหาบัว ท่านว่าให้ พูดตรงไปตรงมากับพระกับประชาชน อันนั้นหลวงมหาตาบัว ใครจะไปเลียนแบบนั้น มันเลียนแบบไม่ได้ เพราะถ้าจะเลียนแบบจริง ก็ต้องเลียนแบบให้หมด เลียนแบบความที่ไม่มีกิเลส ไม่มีอาสวะ ไม่มีนิติบุคคล ไม่มีตัวไม่มีตนอย่างนี้ด้วย คำสอนของพระพุทธเจ้าให้พากันจำ คำสอนของพระพุทธทาสก็ดี คำสอนของหลวงปู่มั่น หลวงปู่ชา หลวงตามหาบัวก็ดี เพียงแต่เอามาทำมาหากินเฉยๆ ถ้าเราไม่มีสติ คือความสงบ ไม่พุ่งตามตัวตน ไม่พุ่งตามความฟุ้งซ่าน ไม่หยุดตัวเอง อย่างนี้ก็ไม่ชื่อว่า สงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า ยังไม่ใช่พระศาสนานะ
ใครได้ยินได้ฟังเสียงนี้มันออกสู่ ส่วนรวม ให้พากันรู้จักนะ ให้พากันรู้จักความมั่นคงของชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ไม่ให้พากันมีตัวมีตน จึงต้องแก้ไข ถ้าอย่างนี้ไม่ได้นะ ดูแล้วถ้าไม่แก้ บวชมา 20 ปี 30 ปีมันก็อยู่อย่างนั้น เป็นพระขี้ยา พระติดยา อย่างนั้นน่ะ อย่างนี้ก็รู้อยู่แล้วว่ามันไม่ถูกต้อง มันไม่จำเป็น ยังไปสูบ แสดงถึงความไม่ละอายต่อบาป ไม่เกรงกลัวต่อบาป ไม่อายญาติ ไม่อายโยม ไม่อายหมู่ ไม่อายคณะ แบบนี้มันยังเป็นตัวเป็นตนอยู่ มักอ้างว่า องค์นู้นสูบองค์นั้นสูบ อันนั้นมันโบราณไปแล้ว พวกกินหมากครูบาอาจารย์เวลาไปต่างประเทศ ไปกินหมากเค้าก็จะจับเอานะ เวลาไปประเทศที่มันเจริญแล้ว ไปกินหมาก ไปคายความสกปรก น้ำหมากแบบนี้ไม่ได้
ทุกท่านทุกคนน่ะ ต้องมาแก้ไขตนเอง ต้องเข้าสู่ภาคประพฤติ ปฏิบัติ ให้พวกที่ติดบุหรี่ติดหมาก มีความละลายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่สมควรที่จะมาบวช มาบรรพชา อาศัยพระศาสนา อย่างนี้นะ เพราะบุหรี่ก็ไม่ใช่ของจำเป็น หมากก็ไม่ใช่ของจำเป็นนะ ก็ยังติดยังหลงอยู่ สังคมเค้าก็ว่าบุหรี่เป็นของไม่ดี เป็นของโลกวัชชะ โลกติเตียนสำหรับนักบวช ฝ่ายมหายานที่มีความย่อหย่อนต่อสิกขาบทบางข้อ แต่สิกขาบทนี้เค้าไม่พากันย่อหย่อน เรื่องกินหมากสูบหบุรี่ ให้พากันเข้าใจ
พระที่บวชในประเทศ พระภิกษุ สามเณร ที่บวชในประเทศไทยของเรา ส่วนใหญ่ก็มาจากฐานะ ครอบครัวคนยากจน และก็มาจากฐานะคนปานกลาง และส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนระบบสมองสติปัญญานั้น ไม่มีความสามารถในการดำรงชีพที่ต้องช่วยเหลือตนเอง บางคนก็หัวดีอยู่ เพราะเด็กยังหัวดีอยู่ แต่ก็มาจากฐานะยากจน ฐานะร่ำรวยมันมีน้อย พวกที่มาบวชส่วนใหญ่ถึงนิยมซื้อเลขซื้อหวยกัน ในประเทศไทย โดยเฉพาะอยู่ในคามวาสี มีพระเณรและแม่ชี พากันซื้อหวยซื้อเบอร์เยอะ อย่างนี้มันไม่น่าให้เกิด เพราะมันเสียหายมาก ฝากไปถึงพระเณรและคุณแม่ชี ให้พากันมีสติ รู้นะ รู้ในสิ่งเหล่านี้ เพราะการที่พระไปซื้อหวยซื้อเบอร์ ส่วนใหญ่ก็เป็นหวยเถื่อน มีสิทธิ์ที่มันจะผิดกฎหมาย และหมิ่นเหม่ต่อเป็นอาบัติปาราชิก อย่างหวยรัฐบาลก็ยังไม่ถูกต้อง เพราะว่าพวกที่ขายหัวขายเบอร์ก็ให้พากันรู้ ให้พากันรับผิดชอบต่อ ชาติ พระศาสนา และพระมหากษัตริย์ เพราะว่ามันเป็นเรื่องของความมั่นคง พวกที่ขายหวยขายเบอร์ก็อย่าพากันไปขายในวัด เพราะอันนี้มันไม่ถูกต้อง พระเณรแม่ชีไปซื้อ มันก็ไม่ถูกต้อง ต้องพากันหยุดซื้อหวยซื้อเบอร์ อันนี้เป็นสิ่งที่ไม่ดี ไม่ถูกต้อง ไม่สวย ไม่งาม เป็นโลกวัชชะ มาบวชแล้วก็ยังมีความหลง ความต้องการอยู่ อย่างเดียวกับประชาชน ฆราวาส สิ่งเหล่านี้ต้องพากันเข้าใจนะ ทั้งนักบวชทั้งญาติโยมประชาชน อย่างนี้มันไม่ถูกต้องแล้ว จะไปว่า มันก็ธรรมดาละ พระน่ะไม่ใช่พระอิฐพระปูน ยังไม่ใช่พระอริยเจ้ามันก็ต้องอย่างนี้ ถ้าพระอิฐพระปูนก็ไม่ต้องพูดแล้ว เพราะพระอิฐพระปูนพระทองก็ไม่ไปซื้อหวยซื้อเบอร์ พระอริยเจ้าไม่ต้องพูดหรอก เพราะท่านไม่โลภไม่โกรธไม่หลงแล้ว มีแต่สามัญชนนี่แหละให้พากันเข้าใจ นี่มันเริ่มจะเสียหายเยอะ มันเริ่มจะเป็นประชาธิปไตยสีดำสีเทา สีที่น่าเกลียด เราอย่าไปมองข้ามอย่างนี้นะ พระที่ให้หวยให้เลข ก็อย่าให้มี เพราะเป็นเดรัจฉานวิชา
หลายปีมานี้จะมองเห็นโครงสร้างของพระภิกษุสามเณรพากันขับรถมากขึ้น ด้วยเหตุผลต่างๆ นานาที่มีความหลงมีความเห็นแก่ตัว อย่างนี้ไม่ได้ ไม่ถูกต้อง เดี๋ยวอีกหลายปีจะกลายเป็นประชาธิปไตยสีดำ เดี๋ยวนี้ยังเป็นสีเทาอยู่ ให้พากันมองดูว่าสิ่งที่ย่อหย่อนอ่อนแอเอาตัวตนเป็นหลักมันก็เกิดขึ้นอย่างนี้แหละ ถ้าพากันขับรถต่อไปก็จะกลายเป็นประชาธิปไตย ต่อไปพระก็จะแอบพากันมีเมีย นานๆ เข้าก็จะไม่ต้องแอบ สุดท้ายสิ่งเหล่านี้ก็จะเป็นประชาธิปไตย ให้พากันเข้าใจ ถ้าเราเอาตัวเอาตนเป็นที่ตั้ง มันไม่เข้าใจหรอก การแก้ไขมันก็ไม่ยากถ้าทำตามพระพุทธเจ้า ถ้าทำตามตัวเองมันถึงยาก
เรื่องโทรศัพท์มือถือ ให้พระภิกษุสามเณรพากันระวัง เพราะโลกสมัยใหม่ได้พัฒนาเทคโนโลยีการสื่อสารเพื่อใช้งาน ไม่ต้องเดินทางไกล โทรศัพท์มือถือมีทั้งคุณทั้งโทษ เราต้องเอาโทรศัพท์มือถือเอาคอมพิวเตอร์มาใช้การใช้งานที่แท้จริง เราปฏิบัติสิ่งเหล่านี้ด้วยสติด้วยปัญญา ถ้าเราไม่รู้จักเราก็จะไปติดไปหลง ทำให้เรามีเซ็กส์ทางความคิดมีเซ็กส์ทางอารมณ์ จิตใจของเราจะหมกมุ่นในกามารมณ์ในความหลง ให้ถือว่าโทรศัพท์นี่เป็นสิ่งที่ดี คอมพิวเตอร์เป็นสิ่งที่ดีที่เราจะเอามาทำประโยชน์
ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะการมีโทรศัพท์มือถือเท่ากับมีภรรยาหลายคน ฆราวาสเค้ามีภรรยาหนึ่งคน พระภิกษุสามเณรถ้าไม่รู้จักใช้โทรศัพท์มือถือคอมพิวเตอร์ ก็เท่ากับมีภรรยาหลายคน ต้องเข้าใจต้องสมาทานต้องตั้งใจ ถ้าไม่อย่างนั้นมันจะฟุ้งซ่าน ต้องมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ต้องใจเข้มแข็ง พระเราให้พากันเข้าใจจะกลายเป็นฆราวาสไปเรื่อยไม่ได้ ในงานต่างๆ ก็พากันถ่ายรูปเยี่ยงอย่างฆราวาส มันไม่มีสมณสัญญาเลย อย่างนี้นะ
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ท่านให้พวกเราพากันเบรกตัวเอง เราต้องละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป อย่าไปถ่ายรูปอะไรในงานต่างๆ มันไม่เหมาะไม่ควร เราจะทำอะไรเราต้องคิดต้องวางแผน ที่มันแล้วก็แล้วไป เอาใหม่ มันจะเป็นประชาธิปไตยสีดำสีเทาอย่างนี้ไม่ถูกต้อง คนเราอันไหนไม่ดีก็อย่าไปคิดอย่าไปพูดอย่าไปทำ อย่าให้ฆราวาสเห็นภาพพจน์ของพระอย่างนี้ ในงานพิธีต่างๆ เราจะเห็นเรื่องไม่ดีไม่งาม พระผู้ใหญ่ไม่ปิดโทรศัพท์มือถือ พอเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นก็มารับมาโทร อย่างนี้ไม่ถูกต้อง บางทีไปนั่งปลุกเสกอยู่พอโทรศัพท์ดังก็ไปรับโทรศัพท์ มันเป็นภาพพจน์ที่ไม่ดี ไม่สวยงาม ไม่มีสติสัมปชัญญะ ต้องพากันเข้าใจ เดี๋ยวมันจะกลายเป็นประชาธิปไตยสีเทาสีดำในอีกหลายปีข้างหน้า
สถานที่อโคจร พระต้องรู้จัก เราต้องรู้จักสถานที่อโคจรพระว่า คามวาสี มันอยู่ในกลางเมื่องก็มีกลางบ้านก็มี มันอยู่ใกล้ตลาด ต้องพากันระมัดระวังนะ ต้องนุ่งห่มผ้าจีวรให้เป็นปริมณฑล อย่าไปมักง่าย ต้องห่มผ้าให้เรียบร้อย เหตุจำเป็นของพระที่จะออกข้างนอกก็คือไป บิณฑบาต หรือไปหาแพทย์หาหมอและก็รับกิจนิมนต์ นอกนั้นให้ระมัดระวัง สถานที่อโคจร เป็นความมักง่าย เราเป็นพระ เณรวัดบ้านถือสตางค์ หิวอะไรก็ซื้อ มันไม่มีเบรคเสียเลยไม่มีสติ ไม่มีสัมปชัญญะ ไปอย่างนี้ มันก็ไม่ได้ มันผิด ต้องจัดการให้ถูกต้อง อย่าไปมักง่าย กับใครก็ทำเหมือนกัน มันก็จะเป็นประชาธิปไตย สีดำสีเทา มันก็ไม่ถูกต้อง
พระภิกษุเข้าตลาด แมคโคร โลตัส ห้างสรรพสินค้า เป็นเรื่องปกติ อย่างนี้คือ อโคจร หมายถึง สถานที่ที่ไม่ควรเที่ยวไป ในอรรถกถาท่านอธิบายเกี่ยวกับบรรพชิตโดยตรง คือเมื่อไปสถานที่ที่ไม่ควรไปจะทำให้เป็นอันตรายแก่พรหมจรรย์ และทำให้อกุศลธรรมเจริญขึ้น ทั้ง ๖ ประเภทนั้นได้แก่ ๑.หญิงแพศยา หมายถึง โสเภณี ที่หากินในทางกามคุณทุกชนิด จะเปิดเผย หรือไม่ก็ตามแต่มิได้ห้ามเด็ดขาด หากสงฆ์รับนิมนต์ทำกิจศาสนาได้ แต้ต้องสำรวม ระวังตนให้ดี ๒.หญิงหม้าย ไม่ว่าผัวตาย ผัวทิ้ง หรือ ทิ้งผัวล้วนแต่น่ากลัวต่อพรหมจรรย์ ๓.สาวเทื้อ ที่ครองตัวเป็นโสด ถ้าจะคบต้องระมัดระวังตัว ประพฤติตนให้เหมาะสม ๔.ภิกษุณี ที่ห้ามเพราะภิกษุณี ถือว่าครองตนเป็นโสดจะคบหาก็ต้องดูความพอเหมาะพอควร มีบทบัญญัติมากทีเดียวว่า ภิกษุจะต้องวางตัวอย่างไรในการคบหา ภิกษุณีหากละเมิดถูกปรับอาบัติตามลำดับความผิด ๕. บัณเฑาะก์ หมายถึงกะเทย บุรุษที่ถูกตอน มักมีความต้องการทางกามกับบุรุษเพศ ๖.ร้านขายสุรา ยาเสพติด รวมถึงสถานบันเทิงเริงรมย์ต่างๆ ภิกษุเข้าไป ในที่ที่กล่าวนี้ย่อมเป็นที่รังเกียจของผู้พบเห็น
นอกจาก ๖ ข้อ ดังกล่าวยังมีประกาศและคำสั่งคณะสงฆ์อีกจำนวนหนึ่ง ที่เกี่ยวกับอโคจร (1) ประกาศห้ามไม่ให้ภิกษุประกอบการกิน นอกธรรมเนียมของสมณะ พ.ศ. 2456 (2) ห้ามภิกษุทำเสน่ห์ยาแฝด อาถรรพณ์ พ.ศ. 2467
(3) ประกาศห้ามเกี่ยวข้องเรื่องราชการ พ.ศ. 2476
(4) ห้ามเป็นสมาชิกสมาคม หรือสโมสรคฤหัสถ์ พ.ศ. 2476
(5) ห้ามไปจดเลขสลากกินแบ่งและซื้อ หรือมีสลากกินแบ่งไว้เป็นของตัว พ.ศ. 2480 (6) ห้ามเรียกเงินค่าเวทมนตร์คาถา และห้ามทดลองของขลัง พ.ศ. 2495
(7) ห้ามเที่ยวที่ตากอากาศ พ.ศ. 2497 (8) ห้ามแสดงตนเป็นอาจารย์บอกเลขสลากกินแบ่งรัฐบาล หรือสลากกินรวบ พ.ศ.2498
(9) ห้ามพักแรมในสถานที่ที่เป็นที่รังเกียจทางพระวินัย พ.ศ. 2501
(10) ให้เจ้าอาวาสเตือนพระเณรไม่ให้ไปตลาดนัดท้องสนามหลวง และยืนดูขบวนเสด็จ พ.ศ. 2501
(11) ห้ามถือกล้องถ่ายรูป กล้องส่องทางไกล พ.ศ. 2503
อย่างนี้มันเรียกว่าพระพุทธศาสนาเนื้องอก มันน่าเกลียดเกิน ทุกคนทุกท่านต้องมารู้ด้วยตัวเองว่า พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ทรงสอนอย่างนี้ พระธรรมคำสั่งสอนก็ไม่ใช่อย่างนี้ ในพระธรรมวินัยก็ไม่มีอย่างนี้ มันออกนอกรีด ออกจากเส้นทาง ออกจากธรรมวินัยมากเกิน
พระพุทธองค์ทรงแสดง อปัสเสนธรรม หมายถึง ธรรมที่เป็นที่พึ่งพิง เป็นแนวทางการดำเนินชีวิตที่เรียบง่ายถูกต้องดีงาม อปัสเสนะ หรือ อปัสเสนธรรม คือ ธรรมดุจพนักพิง ธรรมเป็นที่พึ่งพิงอาศัย หมายถึง ธรรมที่จำเป็นต้องอาศัยเพื่อป้องกันไม่ให้อกุศลเกิดขึ้น ทำลายอกุศลที่มีอยู่ให้เสื่อมสิ้นไป สนับสนุนให้กุศลเกิดขึ้น และรักษาพอกพูนกุศลที่มีอยู่แล้วให้เจริญยิ่งๆ ขึ้นไป มี ๔ ประการ คือ ๑. สงฺขาเยกํ ปฏิเสวติ พิจารณาแล้วเสพของอย่างหนึ่ง
พิจารณาแล้วเสพของอย่างหนึ่ง หมายถึง การบริโภคปัจจัย ๔ การคบหาบุคคล และการเลือกธรรมมาปฏิบัติ กล่าวคือ การบริโภคใช้สอยปัจจัยสี่ อันประกอบด้วย จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานเภสัช ควรพิจารณาให้ดีก่อนแล้วจึงบริโภคใช้สอย เพื่อให้เกิดประโยชน์ พอยังอัตภาพให้เป็นไป ไม่ใช่เพื่อประดับตกแต่ง เพื่อความบันเทิง หรือเพื่อสนองกิเลส เป็นต้น
การคบหาบุคคล ก็พิจารณาให้ดีก่อนจึงคบหา เลือกคบหาเสวนาเฉพาะบุคคลผู้มีปัญญา เป็นบัณฑิต เป็นกัลยาณมิตร เว้นบุคคลผู้เป็นพาลเสีย
การเลือกธรรมมาปฏิบัติ ก็พิจารณาเลือกธรรมที่เหมาะแก่ตนเอง เป็นสัปปายะแก่ตนเอง ถูกกับอัธยาศัยหรือจริตของตนเอง เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
๒. สงฺขาเยกํ อธิวาเสติ พิจารณาแล้วอดกลั้นของอย่างหนึ่ง
พิจารณาแล้วอดกลั้นของอย่างหนึ่ง คือ เมื่อประสบกับอนิฏฐารมณ์ คืออารมณ์ที่ไม่น่าพอใจทั้งหลาย เช่น ความหนาว ความร้อน ทุกขเวทนา คำด่าต่างๆ อันจะทำให้จิตใจขุ่นมัว ก็ต้องรู้จักพิจารณาอดกลั้นต่ออารมณ์นั้นๆ เสียให้ได้ ไม่ให้มันมีอำนาจเหนืออารมณ์และความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง มีสติปัญญาจัดการกับอารมณ์เหล่านั้นอย่างชาญฉลาด
๓. สงฺขาเยกํ ปริวชฺเชติ พิจารณาแล้วเว้นของอย่างหนึ่ง
พิจารณาแล้วเว้นของอย่างหนึ่ง คือ สิ่งใดที่มีโทษ ก่ออันตรายแก่ร่างกายหรือจิตใจ เช่น อบายมุข คนพาล หรือสิ่งไม่ดีทั้งหลายทั้งปวงบรรดามี ต้องใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นโทษของสิ่งเหล่านั้นแล้วงดเว้นเสีย เช่น พิจารณาให้เห็นโทษของการคบคนพาล แล้วเว้นการคบคนพาลเสีย พิจารณาให้เห็นโทษของอบายมุข แล้วไม่เกี่ยวข้อง เป็นต้น
๔. สงฺขาเยกํ ปฏิวิโนเทติ พิจารณาแล้วบรรเทาของอย่างหนึ่ง
พิจารณาแล้วบรรเทาของอย่างหนึ่ง คือ สิ่งที่มีโทษ ก่ออันตราย เช่น อกุศลวิตก คือ กามวิตก พยาบาทวิตก วิหิงสาวิตก และอารมณ์ชั่วร้ายทั้งหลายที่เกิดมีขึ้นในตน พึงใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นโทษของสิ่งเหล่านั้น แล้วหาวิธีแก้ไข ปรับปรุง บรรเทา และกำจัดเสียให้สิ้นจากตน
อปัสเสนธรรม ๔ ประการนี้ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า อุปนิสัย ๔ (ธรรมเป็นที่พึ่งพิง หรือธรรมที่ช่วยอุดหนุน) เมื่อรู้จักพิจารณาปฏิบัติต่อสิ่งต่างๆ ให้ถูกต้องด้วยปัญญาตามหลักอปัสเสนะ หรืออุปนิสัย ๔ อย่างนี้ ย่อมเป็นเหตุให้อกุศลที่ยังไม่เกิดก็ไม่เกิดขึ้น ที่เกิดแล้วก็เสื่อมสิ้นไป และกุศลที่ยังไม่เกิดย่อมเกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแล้วก็เจริญยิ่งขึ้นไป
ดังนั้นแล้วพระภิกษุก็อย่าเอาเปรียบประชาชนมากเกิน ให้ประพฤติปฏิบัติเพื่อพระนิพพาน เรากลับมาบริโภคกาม มาตามจิตตามใจอย่างนี้มันไม่ได้ มันเสียหาย เราอย่าไปหลงเหยื่อ คือ รูป เสียง กลิ่น รส ลาภ ยศ สรรเสริญ ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นของเลวทราม เป็นของต่ำทราม เป็นของชาวบ้าน เป็นของปุถุชนผู้หนาแน่นด้วยกิเลสเต็มหัวใจ ไม่ใช่ของพระอริยเจ้า ไม่ใช่สิ่งที่ประเสริฐ เราต้องกตัญญูกตเวทีต่อพระพุทธเจ้า กว่าพระพุทธเจ้าจะทรงสร้างพระพุทธศาสนาได้ พระองค์ต้องบำเพ็ญพระพุทธบารมี ๒๐ อสงไขย แสนมหากัปป์ ใช้เวลาหลายล้านชาติ
ให้เราเข้าใจว่าความกตัญญูกตเวทีเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ อย่าไปเห็นแก่ตัว เห็นแก่ปากแก่ท้อง เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย เห็นแก่พวกพ้อง อย่างนี้ไม่ได้ เราต้องกลับมาพัฒนาตัว กลับมาสังคายนาตัวเอง เราอย่าไปอ่านหนังสืออ่านตำราไปสอนประชาชน เราต้องอ่านหนังสืออ่านตำรามาสอนตัวเองก่อน ตัวเองยังปฏิบัติไม่ได้ เราจะเอาของที่ไหนไปให้เข้า ถ้าพระเป็นพระจริงๆ มันก็ดีนะ ดีกว่าพระเป็นฆราวาส คือ ใจยังหมกมุ่นอยู่ในรูป เสียง กลิ่น รส ลาภ ยศ สรรเสริญ ในข้าวของเงินทอง มันก็บวชเป็นพระเพียงร่างกาย แต่ใจยังเป็นฆราวาส คือใจยังไม่เอาธรรม ไม่เอามรรคผลนิพพาน ไม่ใช่ใจเป็นพระ
ทุกท่านทุกคนที่เป็นพระ ต้องกลับมาดูใจตัวเอง ว่ามันเป็นฆราวาสหรือเปล่า มันยังยินดีในเงินและทองไหม มันยินดีในสีกาไหม ยินดีในของเอร็ดอร่อยไหม ยินดีในรถยี่ห้อดีๆ แอร์เย็นๆไหม มันใช้ไม่ได้น่ะ ต้องเอาเหมือนครั้งพุทธกาล เวลาถามกันจะถามกันถึงเรื่องสุขภาพดีไหม การปฏิบัติธรรมเป็นยังไง ไม่ใช่เหมือนพระภิกษุสมัยใหม่ ถามกันแต่เรื่องการสร้างศาลา สร้างโบสถ์ วิหารลานเจดีย์ รถท่านแรงมั้ย เมื่อไรจะได้เลื่อนยศเลื่อนตำแหน่ง ฯลฯเพราะว่าไม่มีเรื่องที่จะถาม เลยมีแต่เรื่องทางโลก ก็ถามแต่เรื่องทางโลก ถือว่ามันออกนอกรอยพระศาสนา ไม่ใช่ธรรมะ มันเป็นเรื่องโลกๆ ให้เราละอายต่อบาป เกรงกลัวต่อบาป อย่าไปพูดอย่างงั้น เพราะว่าเราทำอย่างนี้ถือว่าเราไม่ได้สร้างวัดนะ วัดคือวัตรปฏิบัติของเรา ศีลของเรา สมาธิของเรา ปัญญาของเรา เรามีปัญญา มีการเสียสละรึยัง มันเป็นปัจจุบันธรรมหรือเปล่า อย่างนี้เขาเรียกว่าวัตรปฏิบัติ ที่อยู่อาศัยเรียกว่าอาราม ไม่ใช่วัตรปฏิบัติ วัตรปฏิบัติอยู่ที่ใจอยู่ที่เจตนาอยู่ที่ข้อวัตร
พระพุทธเจ้าทรงบอกสอนเรา แต่เราไม่เอาที่ทรงสอนมาสอนตัวเอง ถ้าเราไม่สอนตัวเองใครเล่าจะมาสอน ครูบาอาจารย์ท่านก็หายใจของท่าน เราเองก็ต้องหายใจเอง ด้วยการประพฤติปฏิบัติ เพื่อ มีศีล มีสมาธิ มีปัญญา เหมือนกัน เราทุกคนต้องประพฤติต้องปฏิบัติเอง ไม่ว่าเราจะอยู่วัดบ้าน วัดป่า วัดในเมือง มันก็ต้องปฏิบัติเหมือนกัน การที่จะไปแบ่งแยกวัดบ้าน วัดป่า ธรรมยุต มหานิกาย อย่างนี้มันไม่ถูก พระพุทธเจ้าท่านไม่มีธรรมยุต มหานิกาย ไม่มีวัดบ้าน วัดป่า มีแต่ธรรมวินัย ทุกคนถ้าใครย่อหย่อนอ่อนแอมันก็ไม่ดีทุกคน ตามใจ ตามอารมณ์ ตามความรู้สึก อย่างนี้หน่ะ มันก็ไม่ใช่ธรรมไม่ใช่วินัย
ที่ทำตามอัธยาศัย เขาเรียกว่า ทำที่ชอบที่ชอบ มันเป็นอบายภูมิ ทำให้ตัวเองเสื่อม ทำให้ศาสนาเสื่อม อย่างนี้น่ะ ทุกคนต้องมีความสุขในการประพฤติปฏิบัติธรรม เพราะว่าการประพฤติปฏิบัติธรรมมันมีความสุขอยู่แล้ว มันไม่สร้างปัญหาให้กับเราในภายหน้า ปัญหาเก่า เพราะมันเป็นการใช้หนี้ไปด้วยการไม่ทำอีก ไม่มีปัญหาใหม่ ก็ไม่ต้องไปสร้างหนี้ เอาเป็นธรรม เป็นปัจจุบันธรรม อย่างนี้ เดินทีละก้าว ทานข้าวทีละคำ อย่างนี้ไปเรื่อยๆ พัฒนาทั้งกายทั้งใจไปพร้อมๆกัน เรียกว่าทางสายกลาง
ทางฝ่ายบริหาร ผู้ที่เป็นเจ้าคณะเป็นผู้ปกครอง ที่เรียกว่าเป็นผู้นำนี้ ต้องขออาราธนาบุคคลผู้ประเสริฐเหล่านี้ เอาพระธรรมเอาพระวินัย เอามรรคเอาผลเอาพระนิพพาน เราอย่าไปแต่เพียงหลงอยู่ในยศในตำแหน่ง อันเป็นตำแหน่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงประทาน เป็นตำแหน่งทางโลก ทางการเมือง ที่พระมหากษัตริย์เป็นผู้ประทานให้ เพื่อเป็นกำลังใจให้พวกท่านตั้งใจทำงาน เพื่อเปลี่ยนแปลงอารามของท่าน เปลี่ยนแปลงการปกครองของท่าน จึงต้องพากันปฏิบัติตามพระธรรมวินัย
ที่กล่าวมาข้างต้นนี้ไม่ได้ว่าให้ “พระ” นะ เพราะว่าถ้าท่านเป็นพระอยู่แล้วเป็นสมณะอยู่แล้ว คือ พระโสดาบัน พระสกทาคา พระอนาคามี พระอรหันต์ เป็นพระในพระธรรมวินัย จะไปว่าท่านได้ยังไง ให้เข้าใจว่าที่กล่าวมา เพื่อถวายเป็นความรู้ เป็นความเข้าใจ เพื่อจะได้พัฒนาแก้ไข เพราะเราจะไปปล่อยภาระธุระหน้าที่ไม่ได้ เป็นภาระหน้าที่ของพุทธบริษัททุกท่านทุกคน จึงต้องครบองค์คือ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ต้องสมบรูณ์ เพราะว่าเราจะได้เปลี่ยนแปลง ถ้าไม่อย่างนั้น ก็ไม่ได้
การที่แก้ปัญหาของเราทุกคน ถึงต้องแก้ที่ตัวเราเอง ไม่ได้ไปแก้ปัญหาที่คนอื่น ทุกท่านทุกคนต้องพากันทำอย่างนี้ ปัญหาของตนเองถึงจะคลี่คลายและหมดปัญหาไปในที่สุด เราทุกคนต้องทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ ถ้าไปทำอย่างอื่นเรียกว่าไม่ถูกต้อง เราทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ ใจของเราก็จะเข้าสู่กายวิเวก คือกายที่สงบวิเวกอันมาจากใจที่มีความเห็นถูกต้อง ที่ไม่คิดไม่พูดไม่ทำ จึงนำเราสู่กายวิเวก พัฒนาสู่จิตวิเวก และอุปธิวิเวกในที่สุด
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.