แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันอังคารที่ ๑๐ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง เข้าพรรษาเข้าหาธรรม ตอนที่ ๕๘ สิ่งเก่าผ่านไป สิ่งใหม่ก็ผ่านมา ไม่มีอะไรที่จีรังยั่งยืน จึงอย่าได้พากันหลง
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
การเรียนการศึกษากับการประพฤติปฏิบัติต้องไปพร้อมๆ กัน ถ้าเราจะไปรอเรียนจบถึงประพฤติปฏิบัตินั้น มันไม่ได้ การเรียนกับการปฏิบัติต้องไปพร้อมๆ กัน คนเรานั้นกายไปที่ไหน ใจก็ไปที่นั่น เพราะว่าพระศาสนานี้เป็นความมั่นคงของชาติ ประเทศทุกประเทศก็ต้องพัฒนาเหตุพัฒนาปัจจัย ไปตามหลักเหตุผลหลักวิทยาศาสตร์พร้อมทั้งพัฒนาใจไปพร้อมๆ กัน ถ้าเราพัฒนาแต่เทคโนโลยีไม่ได้พัฒนาใจไปพร้อมๆ กัน มันก็ไม่ใช่ทางสายกลาง มันสุดโต่งไปทางหลงวัตถุ เราต้องพัฒนาใจไปพร้อมๆ กัน เพราะความจริงแล้ว เราทุกคนไม่ใช่นิติบุคคลไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน มันเป็นธรรมเป็นสภาวะธรรมที่ประกอบขึ้นมา เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปถึงมี ถึงจะมีความรู้สึกนึกคิดที่เป็นสังขารมีใจครอง แต่สังขารที่มีใจครองนั้นมันก็ยังครองด้วยอวิชชาครองด้วยความหลง
การพัฒนานั้นเราทุกๆ คนต้องพัฒนาหลักเหตุผลหลักวิทยาศาสตร์และพัฒนาใจไปพร้อมๆ กัน เพื่อเราจะได้ไม่หลง การดำรงชีพของหมู่มวลมนุษย์และสัตว์โลกทั้งหลายมันดำรงชีพด้วยความเป็นนิติบุคคลเป็นตัวเป็นตน เราถึงพากันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร แม้จะมีศาสนาหลายๆ ศาสนา ก็ยังเป็นนิติบุคคลเป็นตัวเป็นตนอยู่ พระพุทธเจ้าของเราในอดีตก็เป็นลูกหลานของพราหมณ์ พราหมณ์นั้นยังมีตัวมีตนยังเป็นนิติบุคคลอยู่ ยังติดในความสงบติดในตัวในตนอยู่ การดำเนินชีวิตจึงไปได้เพียงพรหมโลก เพียงสมาบัติต่างๆ เมื่อออกจากสมาบัติแล้วก็ยังมีโลภโกรธหลงอยู่ พราหมณ์ได้ขยายแนวคิดเรื่อง "ตัวตน" (self) ของมนุษย์ออกไปอีก โดยอธิบายว่าจักรวาลใหญ่ก็มี "ตัวตน" เช่นเดียวกัน เรียกว่า "ปรมาตมัน" หรือ "พรหมัน" (Brahman) ดังนั้น ถ้ามนุษย์บำเพ็ญเพียรจน "จิต" (อาตมัน) บริสุทธิ์แล้ว ก็จะไปรวมกับ "ปรมาตมัน" หรือ "พรหมัน" อันเป็น "จิตใหญ่" ของจักรวาลในที่สุด
เมื่อพุทธศาสนาเกิดขึ้นในอินเดีย พระพุทธเจ้าทรงปฏิเสธทฤษฎี "อาตมัน" (จิตอมตะ) ของพวกพราหมณ์ และเสนอทฤษฎี "อนัตตา" (ความไม่มีตัวตนที่แท้จริง) มาแทนที่ โดยทรงอธิบายว่ามนุษย์มีทั้งร่างกายและจิตใจซึ่งเป็นเหตุปัจจัยเชื่อมโยงกันอยู่ ไม่มีร่างกายใดจะสามารถตั้งอยู่ได้โดยปราศจากจิตใจ และไม่มีจิตใจใดที่จะสามารถตั้งอยู่ได้โดยปราศจากร่างกาย ร่างกายและจิตใจเป็นเหตุเป็นปัจจัยซึ่งกันและกัน "จิต" ของมนุษย์มีอยู่ แต่มีอยู่อย่างไม่เป็นตัวไม่เป็นตน เป็น "อนัตตา" (non-self)
ต่อมาพุทธศาสนานิกายฌาน (เซน) อันเป็นผลรวมของพุทธศาสนาจากอินเดียและปรัชญาเต๋าของจีน ได้ขยายทฤษฎี "อนัตตา" ออกไปให้ครอบคลุมสรรพสิ่งภายนอก จนเป็นทฤษฎี "สุญญตา" (ความว่าง) เพื่อหักล้างทฤษฎี "ปรมาตมัน" (จิตจักรวาล) ของพวกพราหมณ์ โดยอธิบายว่า สรรพสิ่งทั้งหลายในจักรวาลเป็นเพียงกระแสธรรมชาติล้วนๆ รูปทั้งหลายไม่มีตัวตนที่แท้จริง ("รูปก็คือความว่าง ความว่างก็คือรูป") จักรวาลไม่มี "อัตตาใหญ่" หรือ "จิตจักรวาล" แต่ประการใด มีเพียงกระแสความเป็นไปในธรรมชาติล้วนๆ เท่านั้น มนุษย์จะเข้าถึงความจริงข้อนี้ได้ก็โดยอาศัย "การเจริญสติ" (สติปัฏฐาน 4) ให้รู้เท่าทันธรรมชาติความเป็นไปทั้งภายในและภายนอก ในแง่นี้พุทธศาสนาจึงอาจจัดได้ว่าเป็นศาสนาแห่ง "ปัญญา" และ "สติ" โดยแท้
พระพุทธเจ้าเมื่อคราวเป็นพระโพธิสัตว์ได้บำเพ็ญบารมีหลายล้านชาติจนได้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณโดยสมบูรณ์ ได้มาบอกมาสอนให้เดินสายกลาง พัฒนาวัตถุพร้อมทั้งพัฒนาใจไปพร้อมๆ กัน ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน ให้เป็นอริยมรรคมีองค์ ๘ ไม่ใช่เอาเพียงสมาธิ ทุกๆ คนต้องมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ปฏิบัติอย่างนี้โครงสร้างของเราประเทศเราถึงต้องพัฒนาวัตถุพัฒนาใจไปพร้อมๆ กัน
เนื่องจากประเทศไทยของเรา คิดเป็นเปอร์เซ็นต์แล้ว สีดำ ๕๐ เปอร์เซ็นต์ สีเทา ๔๙ เปอร์เซ็นต์ สีขาว ๑ เปอร์เซ็นต์ การพัฒนาเลยเอาแต่วัตถุเป็นหลัก เอาแต่ตัวตนเป็นหลัก ประเทศไทยเรามันถึงไปไม่ได้ เพราะประเทศไทยเราไม่ใช่นิติบุคคลไม่ใช่ตัวตน แต่เป็นธรรมะ ต้องเข้าใจให้ถูกต้องปฏิบัติให้ถูกต้อง มันจะเกิดความสงบเกิดความร่มเย็นเป็นแอร์คอนดิชั่น เป็นความสงบอบอุ่น ประเทศไทยเราเอาการปกครองเป็นนิติบุคคลเป็นตัวตน ถึงไม่มีข้าราชการที่มีความสุขในการทำงาน เพียงแต่มาประกอบอาชีพเพื่อปัจจัย ๔ จำใจแบบฝืนใจ ไม่มีความสุขในการทำงาน ไม่มีความสุขในการค้นคว้าสิ่งใหม่ๆ ขึ้นมา การเรียนการศึกษาก็มุ่งตัวตน ยิ่งเพิ่มตัวตนมากขึ้นเป็นชนชั้นต่างๆ นี่เป็นความหลงความไม่เข้าใจ มันต้องพัฒนาอาชีพพัฒนาใจไปพร้อมๆ กัน แต่งตั้งนักการเมืองขึ้นมาบริหารประเทศก็เป็นนิติบุคคลเป็นตัวเป็นตนถือเงินเป็นพระเจ้า ประเทศไทยของเราถึงไม่มีนักการเมืองที่แท้จริง มีแต่นักมารุมกันกินเมือง กินภาษีอากรของประชนชนของเราทุกๆ คน อย่างนี้ไม่ได้ มันทำลายความมั่นคงของชาติ ศาสน์ กษัตริย์
ทุกๆ คนนั้นมีความเห็นผิดเข้าใจผิดนะ ตามสัญชาตญาณที่เกิดมา เราทุกคนต้องพากันมาแก้ไขตัวเอง อย่าให้อวิชชาความหลงเป็นผู้นำ พระพุทธเจ้าให้เรามีปัญญาที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ให้เราพากันมีความสงบ อย่าพากันวิ่งตามความหลงความฟุ้งซ่าน ชีวิตของเราวิ่งตามความหลงความฟุ้งซ่าน ทุกคนร้องในใจ โอ้ยๆๆ ไปเรื่อย วิ่งตามอวิชชาความหลง เราทุกคนต้องพากันหยุด ด้วยการมีสติ เราจะได้มีความสงบ มีสติเป็นพื้นฐาน ทุกคนต้องมาทำความเข้าใจว่า เราวิ่งตามอวิชชาตามความหลงมันแก้ปัญหาไม่ได้ เพราะความสุขความดับทุกข์อยู่ที่เรามีสติคือความสงบ มีสัมปชัญญะคือตัวปัญญาที่รู้แจ้งตามความเป็นจริง เรียกว่า อริยสัจ ๔ คือรู้ทุกข์ รู้เหตุให้เกิดทุกข์ รู้ความดับทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ไม่ใช่ร้องโอ้ยๆๆ ไปเรื่อย เราทุกคนต่างเอาความหลงเป็นที่ตั้ง มันเลยมีความหลงเสมอกัน เรียกว่า เป็นประชาธิปไตย ประชาธิปไตยจริงแต่เป็นประชาธิปไตยแห่งความหลง มีอภิสิทธิ์มีชนชั้นแห่งความหลง
การเรียนการศึกษานี้มันมีกับเราทุกๆ คนในปัจจุบัน ปัจจุบันนี้เป็นการเรียนรู้เป็นการสอบในชีวิตประจำวัน พระพุทธเจ้าให้เราเรียนรู้ให้เราสอบด้วยภาคประพฤติปฏิบัติ เราจะได้ไม่วิ่งร้องโอ้ยๆ ตามความหลงไปเรื่อย การสอบสำหรับนักเรียนนักศึกษาที่เป็นฆราวาสปีหนึ่งก็สอบ ๒ เทอมบ้าง ๓ เทอมบ้าง ส่วนนักธรรมบาลีก็ปีละครั้ง พระพุทธเจ้าท่านให้เราพากันสอบพากันปฏิบัติในปัจจุบัน ทุกคนจะได้ปิดอบายมุขปิดอบายภูมิของตัวเอง (ปจฺจุปนฺนญฺจ โย ธมฺมํ ตตฺถ ตตฺถ วิปสฺสติ = สิ่งใดเป็นปัจจุบันต่อหน้า ให้มองดูให้รู้ชัดเจน หรือให้ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นชัดในสิ่งนั้นๆ)
ถ้าเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันยาก ต้องเอาธรรมเป็นที่ตั้ง พระพุทธเจ้าสอนให้เรามีสติในอิริยาบถต่างๆ เพื่อเราจะได้ไม่ฟุ้งซ่านที่เรียกว่า สมถะ มีสติอยู่กับอิริยาบถต่างๆ มีสัมปชัญญะมีปัญญาที่ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ก็อยู่กับปัจจุบันนี่แหล่ะ ปัจจุบันนี้เราต้องรู้ผิดรู้ถูกรู้ดีรู้ชั่ว เราทุกคนจะได้รู้ข้อวัตรข้อปฏิบัติของตัวเองในการพัฒนาตนปฏิบัติตน ทุกคนต้องมีสติมีสัมปชัญญะมีสัมมาสมาธิ ต้องใจเข้มแข็ง เพราะโลกนี้มันอร่อย มันแซ่บ มันนัว มันลำ มันหรอย ต้องพัฒนาวัตถุพัฒนาใจไปพร้อมๆ กันอย่างนี้
มนุษย์เราให้พากันเข้าใจ วันหนึ่งคืนหนึ่งเราต้องพักผ่อนหลับสนิท ๖ ชั่วโมง ระบบสมองเราถึงเอาไปสั่งร่างกายได้ดี ถ้าเราต้องไปทำงานภายนอกเราก็สมควรที่จะนอน ๗ ชั่วโมง ๘ ชั่วโมง เราทุกคนต้องควบคุมเวลาควบคุมจิตใจของเรา เพื่อจะได้เข้าสู่การเรียนการศึกษาพร้อมการปฏิบัติ เมื่อเรามีสติกลับมาหาตัวเองมันก็สงบเอง ที่ไหนมีสติมีสัมปชัญญะไม่มีตัวไม่มีตน มันก็สงบเอง ถ้าเราไม่มีสติสัมปชัญญะ ที่นั้นมันก็ไม่สงบ การเรียนกับการปฏิบัติมันต้องไปพร้อมกันอย่างนี้ ให้นักเรียนนักศึกษาทั้งที่เป็นนักบวชทั้งฆราวาสพากันเข้าใจ เราต้องพัฒนาวัตถุพัฒนาใจไปพร้อมๆ กัน ถ้าไม่ทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้มันแก้ปัญหาไม่ได้
ทางหลักวิทยาศาสตร์ทางเทคโนโลยีนั้นพัฒนามาไกลแล้ว แต่ทางจิตใจนั้น ทุกๆ ประเทศไม่ค่อยได้พัฒนา ไม่ค่อยได้ประพฤติปฏิบัติ ยังไม่มีใครรู้อริยสัจ ๔ กันเลย เอาแต่ตัวเอาแต่ตนเป็นที่ตั้ง เมื่อเราทำไม่ถูกปฏิบัติไม่ถูก มันก็เป็นไปไม่ได้ เราทุกคนอย่าไปโทษคนอื่นอย่าไปโทษสิ่งแวดล้อม เพราะว่าตัวเรานี่แหละมีความเห็นผิดเข้าใจผิดไม่มีสัมมาทิฏฐิที่แท้จริง จึงได้พากันทิ้งความถูกต้องความเป็นธรรมความยุติธรรม เอาแต่ตัวแต่ตน เรามาคิดดูดีๆ มันเสียหายมาก ไม่ใช่เสียหายธรรมดานะ
พระพุทธเจ้าให้เรามีความเห็นถูกต้อง มีความเข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง มีฉันทะมีความสุขในการประพฤติปฏิบัติ ถ้าเรามีความเห็นถูกต้องมันก็ย่อมทวนโลกทวนกระแส มีความสุขในการประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจำวันของเราทุกๆ คน สถาบันหลักของประเทศคือศาสนา ทุกคนในประเทศเค้าให้สิทธิพิเศษกับ บ้านก็ไม่ต้องเช่า ข้าวก็ไม่ต้องซื้อ เค้าเอาของมาให้เพื่อบำเพ็ญบุญเพื่ออุทิศบุญให้ญาติบรรพบุรุษ เค้าก็ยังมากราบมาไหว้อีก ผู้ที่เป็นนักบวชต้องพากันเข้าใจ เพราะการมาบวชมาโกนผมห่มผ้าเหลืองมันเป็นเพียงแบรนด์เนม มันเป็นเครื่องหมาย เราทุกคนต้องเข้าสู่ภาคประพฤติปฏิบัติ
โลกสมัยใหม่โลกปัจจุบันเรา มีอุปกรณ์การใช้งานมีบ้านมีรถมีเครื่องบินมีอุตสาหกรรมมีเทคโนโลยี มีคอมพิวเตอร์ มีทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือพวกเรา เราต้องพากันเข้าใจว่า อุปกรณ์เหล่านี้ เราพัฒนามาเพื่อให้หมู่มวลมนุษย์ได้รับความสะดวกสบาย อย่างนี้มันดีแล้วถูกต้องแล้ว เราต้องพัฒนาใจของเรา เราจะได้ใช้อุปกรณ์เหล่านี้ดำรงชีวิตด้วยสติคือความสงบด้วยสัมปชัญญะคือตัวปัญญาที่ไม่มีตัวไม่มีตน มันเป็นเพียงเพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปถึงมี และทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนไม่ใช่นิติบุคคล ให้ทุกๆ คนพากันเข้าใจอย่างนี้ เราจะได้ไม่หลงในตัวในตน เราจะได้มีความสุขในการดำรงชีวิตอย่างถูกต้องทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิต เราจะได้ใช้ทรัพยากรให้ถูกต้อง เราต้องรู้ทั้งเรื่องวัตถุทั้งเรื่องใจ ถ้าไม่อย่างนั้นมันไม่ได้ เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ตัวตนนั้นน่ะคือการสืบพันธุ์คือการมีเพศสัมพันธ์ ถ้าเราไม่เข้าใจ ทุกคนไม่ว่าหญิงว่าชาย ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ล้วนมีเพศสัมพันธ์ความหลง จิตใจของเรามีผัวมีเมียทั้งวัน ถึงแม้กายไม่มี แต่จิตใจมันมี มันเป็นสาเหตุแห่งการเวียนว่ายตายเกิด การพัฒนาประเทศเค้าพัฒนาทั้งวัตถุทางวิทยาศาสตร์ ทางพระศาสนาคือการพัฒนาใจไปพร้อมๆ กัน เข้าสู่ภาคประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจำวัน เราจะได้หยุดการมีเพศสัมพันธ์ทางความคิดทางอารมณ์
พระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ที่มีอยู่ในพระไตรปิฎก ทำไมถึงมากมายก่ายกองอย่างนี้ มันเป็นเรื่องหยุดวัฏสงสารหยุดความคิดหยุดอารมณ์ หยุดมีเพศสัมพันธ์ทางจิตใจ ที่เราเอามาสวดในพระปาฏิโมกข์ ๒๒๗ ข้อ สวดภายใน ๑ ชั่วโมง ๒๒๗ ข้อนี้ เพราะว่าเป็นเรื่องจิตเรื่องใจ อย่างเราพากันมาบวช เราไม่มุ่งมรรคผลนิพพานมันก็ต้องอาบัติทางจิตทางใจ อยู่ในระดับอาบัติทุกกฏ ถ้าเรายินดีติดอกติดใจใน อาหารบิณฑบาต ยารักษาโรค ที่อยู่ที่อาศัย ลาภยศสรรเสริญ มันเป็นเรื่องจิตเรื่องใจเรื่องความหลง เป็นเรื่องยินดี มีเซ็กส์ทางความคิดทางอารมณ์ อย่างน้อยก็ต้องอาบัติถุลลัจจัย
ให้ทุกคนพากันเข้าใจ พระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่นั้นเริ่มต้นจากเรื่องจิตเรื่องใจ เราต้องเข้าสู่ภาคประพฤติปฏิบัติ มันถึงจะเข้าถึงหลักของพระพุทธศาสนาที่มันเป็นศีลสมาธิปัญญา ที่มันเป็นความสงบที่เรียกว่าสติที่เป็นสัมปชัญญะตัวปัญญาที่ไม่ได้เอาตัวตนเป็นที่ตั้งเอาธรรมเป็นที่ตั้งที่ไม่มีตัวมีตนเรียกว่าพรหมจรรย์ โลกสมัยใหม่ใครอยู่ที่ไหนก็ปฏิบัติอยู่ที่นั่นเพื่อให้สอดคล้องกับการดำเนินชีวิต ไม่ต้องไปหาความสงบที่ไหนเพราะมันอยู่ที่ความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้องมันอยู่ในบ้านในนิคมในเมืองหลวง เราจะได้พากันเป็นพระธรรมพระวินัยจะได้ไม่เป็นนิติบุคคลไม่เป็นตัวตนเหมือนที่กำลังเป็นอยู่นี้
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท่านให้ตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสเป็นพระครูเป็นเจ้าคุณเป็นคณะปกครองก็เพื่อให้ทุกคนรับผิดชอบให้ชัดเจน พากันเสียสละตัวตน ไม่ใช่จะพากันมาหลงงมงาย หลงงมงายในตัวตนเรียกว่าไสยศาสตร์คือความหลง นักบวชเราส่วนใหญ่มาจากครอบครัวที่มีฐานะยากจนถึงปานกลาง ที่มาจากครอบครัวร่ำรวยที่เห็นภัยในวัฏสงสารนั้นมีน้อย เมื่อมาบวชแล้วก็ต้องพากันเรียนพากันศึกษาพากันประพฤติปฏิบัติ ทุกคนให้พากันเข้าใจ ต้องเอาพระพุทธเจ้าเป็นหลัก ไม่เอาภิกษุสามเณรทั้งหลายในปัจจุบันเป็นหลัก เพราะอันนี้ยังไม่ใช่ธรรมวินัย ยังเป็นตัวตนเป็นนิติบุคคล เป็นประชาธิปไตยที่ทำเหมือนกันทั้งจังหวัดทั้งประเทศ ยังไม่ถูกต้อง เป็นความเสียหายเป็นความล้มเหลว
เราทุกคนจะเอาใจตัวเองเอาตัวตนมันเศร้าหมองมันมืดมันเป็นสีดำสีเทา เราไปคิดอย่างเก่าไม่ได้ จะคิดอย่างหลงเห็นแก่ตัวไม่ได้ ต้องเอาความสงบความวิเวกจากที่เราไม่มีตัวไม่มีตน พระศาสนาถึงจะไปได้ หลายปีมานี้จะมองเห็นโครงสร้างของพระภิกษุสามเณรพากันขับรถมากขึ้น ด้วยเหตุผลต่างๆ นานาที่มีความหลงมีความเห็นแก่ตัว อย่างนี้ไม่ได้ ไม่ถูกต้อง เดี๋ยวอีกหลายปีจะกลายเป็นประชาธิปไตยสีดำ เดี๋ยวนี้ยังเป็นสีเทาอยู่ เราไปคิดเหมือนพระมหายานไม่ได้ พระมหายานคิดว่านุ่งห่มจีวรมันไม่ทันสมัย พากันใส่กางเกงใส่เสื้อ ใส่กางเกงใส่เสื้อยังไม่พอ พากันปลูกผักปลูกผลไม้ ไม่มีการรับประเคน หลายร้อยปีต่อมามันเลยเป็นประชาธิปไตยในหลายๆ ประเทศ แต่ประชาธิปไตยนี้มันไม่ถูกต้อง ให้พากันมองดูว่าสิ่งที่ย่อหย่อนอ่อนแอเอาตัวตนเป็นหลักมันก็เกิดขึ้นอย่างนี้แหละ ถ้าพากันขับรถต่อไปก็จะกลายเป็นประชาธิปไตย ต่อไปพระก็จะแอบพากันมีเมีย นานๆ เข้าก็จะไม่ต้องแอบ สุดท้ายสิ่งเหล่านี้ก็จะเป็นประชาธิปไตย ให้พากันเข้าใจ ถ้าเราเอาตัวเอาตนเป็นที่ตั้ง มันไม่เข้าใจหรอก การแก้ไขมันก็ไม่ยากถ้าทำตามพระพุทธเจ้า ถ้าทำตามตัวเองมันถึงยาก
ทุกๆ คนพากันกลับมาหาธรรมวินัย กลับมาหาสติความสงบไม่ต้องฟุ้งซ่าน กลับมาหาสัมปชัญญะคือตัวปัญญา เป็นผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร เราทำไปปฏิบัติไป เราทำอย่างนี้แหละ เพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัว เป็นเรื่องที่แก้ไขตัวเอง พระศาสนามันจะได้เป็นศาสนา จะได้ไม่เป็นนิติบุคคลเป็นตัวตนเหมือนทุกวันนี้ที่พระภิกษุสามเณรพากันหลงประเด็น เพราะทุกคนถ้าไม่เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง มันปฏิบัติได้ มันปฏิบัติไม่ได้ เพราะมันเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง
เรื่องโทรศัพท์มือถือ ให้พระภิกษุสามเณรพากันระวัง เพราะโลกสมัยใหม่ได้พัฒนาเทคโนโลยีการสื่อสารเพื่อใช้งาน ไม่ต้องเดินทางไกล โทรศัพท์มือถือมีทั้งคุณทั้งโทษ เราต้องเอาโทรศัพท์มือถือเอาคอมพิวเตอร์มาใช้การใช้งานที่แท้จริง เราปฏิบัติสิ่งเหล่านี้ด้วยสติด้วยปัญญา ถ้าเราไม่รู้จักเราก็จะไปติดไปหลง ทำให้เรามีเซ็กส์ทางความคิดมีเซ็กส์ทางอารมณ์ จิตใจของเราจะหมกมุ่นในกามารมณ์ในความหลง ให้ถือว่าโทรศัพท์นี่เป็นสิ่งที่ดี คอมพิวเตอร์เป็นสิ่งที่ดีที่เราจะเอามาทำประโยชน์
ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะการมีโทรศัพท์มือถือเท่ากับมีภรรยาหลายคน ฆราวาสเค้ามีภรรยาหนึ่งคน พระภิกษุสามเณรถ้าไม่รู้จักใช้โทรศัพท์มือถือคอมพิวเตอร์ ก็เท่ากับมีภรรยาหลายคน ต้องเข้าใจต้องสมาทานต้องตั้งใจ ถ้าไม่อย่างนั้นมันจะฟุ้งซ่าน ต้องมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ต้องใจเข้มแข็ง พระเราให้พากันเข้าใจจะกลายเป็นฆราวาสไปเรื่อยไม่ได้ ในงานต่างๆ ก็พากันถ่ายรูปเยี่ยงอย่างฆราวาส มันไม่มีสมณสัญญาเลย อย่างนี้นะ
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ท่านให้พวกเราพากันเบรกตัวเอง เราต้องละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป อย่าไปถ่ายรูปอะไรในงานต่างๆ มันไม่เหมาะไม่ควร เราจะทำอะไรเราต้องคิดต้องวางแผน ที่มันแล้วก็แล้วไป เอาใหม่ มันจะเป็นประชาธิปไตยสีดำสีเทาอย่างนี้ไม่ถูกต้อง คนเราอันไหนไม่ดีก็อย่าไปคิดอย่าไปพูดอย่าไปทำ อย่าให้ฆราวาสเห็นภาพพจน์ของพระอย่างนี้ ในงานพิธีต่างๆ เราจะเห็นเรื่องไม่ดีไม่งาม พระผู้ใหญ่ไม่ปิดโทรศัพท์มือถือ พอเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นก็มารับมาโทร อย่างนี้ไม่ถูกต้อง บางทีไปนั่งปลุกเสกอยู่พอโทรศัพท์ดังก็ไปรับโทรศัพท์ มันเป็นภาพพจน์ที่ไม่ดี ไม่สวยงาม ไม่มีสติสัมปชัญญะ ต้องพากันเข้าใจ เดี๋ยวมันจะกลายเป็นประชาธิปไตยสีเทาสีดำในอีกหลายปีข้างหน้า
พระภิกษุสามเณรที่เกี่ยวข้องกับนารีสีกาก็ต้องระมัดระวังในการติดต่อสื่อสาร ต้องใช้สติใช้ปัญญามากๆ มันจะทำให้โครงสร้างของพระศาสนาเสียไป พระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่มันเป็นสิ่งที่สำคัญ พระผู้ใหญ่ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับพระผู้น้อย วันนี้ชี้ให้เห็นพระวินัยชัดเจนเพื่อที่เราจะได้สืบทอดต่อยอดพระศาสนาด้วยการฏิบัติบูชา ถ้าไม่อย่างนั้นเราจะเอาแต่สิ่งของมาบูชา แต่ภาคประพฤติปฏิบัติย่อหย่อนอ่อนแอ มันจะสืบทอดต่อยอดได้อย่างไร ส่วนใหญ่เราก็จะไปว่าประชาชน ทีนี้เราไม่ต้องไปว่าประชาชนอีกแล้ว เราต้องพากันจัดการตัวเอง
ทุกคนต้องมีความสุขในการประพฤติปฏิบัติ อย่าเอาตัวตน ถ้าเอาตัวตนก็เป็นคนเซ่อๆ เบลอๆ เป็นคนหลง ทุกคนมันเก่งมันดีทุกคนถ้าไม่เอาตัวเอาตน ศักยภาพของเราที่มันไม่เด่นเพราะมีตัวมีตน วันหนึ่งคืนหนึ่งให้เราพากันมีสติคือความสงบ มีสัมปชัญญะคือปัญญาที่ไม่มีตัวไม่มีตน มีอริยมรรคมีองค์ ๘ เป็นหนทางแห่งการฝึกปฏิบัติ ชีวิตของเรามันจะได้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี มีสติมีปัญญา เราทุกคนจะได้พากันกตัญญูกตเวทีด้วยความเห็นถูกต้อง เน้นมาหาพระก็คือภาคประพฤติปฏิบัติบูชา คนเรามันมีความเห็นแก่ตัวมากมีตัวตนมาก ตัวตนมันใหญ่คับบ้านคับวัดคับเมือง อันนี้ให้ทุกคนรู้จัก อันนี้ไม่ใช่พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ถ้าเรามีตัวมีตนมันก็เครียด การดำเนินชีวิตมันผิด มันไม่ใช่พระศาสนา วันหนึ่งคืนหนึ่งของเราทุกคนให้มันเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรมไปเรื่อย เพราะสิ่งภายนอกมันเป็นการโคจรของโลกของดวงอาทิตย์ ถ้าเราเข้าใจมันก็จะเป็นปัจจุบันธรรม ไม่ให้ผัสสะสิ่งภายนอกมาครอบงำจิตใจเราได้ เมื่อเรามีตัวมีตนอยู่ ทุกอย่างมันก็มาครอบงำได้ เราต้องมีสติสัมปชัญญะไม่มีตัวไม่มีตน
เราต้องรู้จัก เราอย่าให้ความปรุงแต่งเกิดขึ้นแก่เราได้ อย่าให้ปฏิจจสมุปบาทมันทำงาน ที่พระพุทธเจ้าบอกว่า เรารู้จักเจ้าเสียแล้วเจ้าจะทำเรือนให้เราไม่ได้อีกต่อไป เราจะได้ปลงสังขาร ละสังขาร วางสังขาร วางของหนัก ที่มันยังเข้าใจผิดอีกเยอะ ไม่อย่างนั้นเราจะไม่ได้เข้าถึงแก่นพระศาสนา เราก็ไปไหนไม่ได้ ขนาดเป็นพระโสดาบัน ยังต้องโยกโย้โอ้แอ้อีกตั้ง 7 ชาติ เพราะว่ายังยินดีในความสุข ความสบายอยู่ ถึงแม้จะไม่ทำบาปอย่างหยาบ แต่ก็ยังทำบาปอย่างละเอียดอยู่ เพราะยังตั้งอยู่ในความประมาท ความตั้งมั่นในความประมาทแสดงว่ามันต้องมีกามในใจของเรา เรายังมีความหลงอยู่ในใจของเรา ไม่อย่างนั้น อินทรีย์บารมีของเราจะแกร่งกล้าไม่ได้ เราไม่เป็นหนี้ตัวนี้ แต่เป็นหนี้ตัวอื่นแทน มันก็ไปไม่ได้ เพราะความทุกข์คือการมีหนี้มีสิน คนเราถ้ายังยินดียินร้ายเรียกว่าคนมีหนี้มีสิน คนมีกามในจิตในใจ มันไม่ถึงจุดหมายปลายทางอย่างสมบูรณ์แบบ เราต้องรู้ทุกข์ รู้เหตุให้เกิดทุกข์ รู้ความดับทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ต้องเดินไปทีละก้าว ทานข้าวทีละคำ ทำทีละอย่างในปัจจุบันให้ดีๆ
เรื่องความสุขในการกิน...การอยู่...การนอนน่ะ พระพุทธเจ้าท่านสอนเราให้เราบริโภคเพื่อบรรเทาทุกข์ เพื่อเราจะได้ปฏิบัติธรรมอบรมบ่มอินทรีย์ เราไม่ต้องมาติดมาหลง ความอร่อยมันก็ต้องผ่านไปแค่ลิ้นน่ะ ความสุขความสบายในการพักผ่อนก็บรรเทาทุกข์ไปไม่กี่ชั่วโมงน่ะ
"สิ่งเก่ามันผ่านไป สิ่งใหม่มันก็ผ่านมา มันไม่มีอะไรที่จีรังยั่งยืน พระพุทธเจ้าท่านให้เราคิดดีๆ อย่าได้พากันหลง"
คนเราน่ะถ้าไม่ได้บริโภครูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ก็คือว่า ชีวิตนี้ไม่มีรส รู้มั้ยว่าถ้ามี 'รส' มันก็มี 'ชาติ' มันต้องมีการเวียนว่ายตายเกิด เราก็อยากพากันมี 'รสชาติ' รสชาติมันจะพาให้เรามีความเกิดทางจิตทางใจนะ
สติสัมปชัญญะของเราก็ให้มันแข็งแรง สติ คือ ความระลึกได้ สัมปชัญญะ ก็คือ ตัวปัญญา สติกับปัญญามันจะเกี่ยวข้องกันตลอดน่ะ แล้วก็ตั้งมั่นอยู่กับสมาธิ สติสัมปชัญญะถึงเป็นตัว 'ศีล' ถึงเป็นตัว 'สมาธิ' ถึงเป็นตัว 'ปัญญา' น่ะ เค้าจะได้ขับเคลื่อนชีวิตจิตใจของเราสู่คุณธรรม บางคนไม่รู้การปฏิบัติน่ะ ปล่อยโอกาสปล่อยเวลาไปโดยไม่เจริญสติสัมปชัญญะ จิตใจของเราจึงไม่มี "พุทโธ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน"
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.