แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ใน วันเสาร์ที่ ๗ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง เข้าพรรษาเข้าหาธรรม ตอนที่ ๕๕ ปัญญาประเสริฐกว่าทรัพย์ โดยเฉพาะปัญญาจากวิปัสสนา ที่พาให้ดับทุกข์ได้
ให้พระใหม่ พระที่พากันมาบวชในพรรษาเข้าใจ ฆราวาสญาติโยม คฤหัสถ์ พากันเข้าใจว่า ความเป็นพระที่แท้จริง พระพุทธเจ้านับเอาพระโสดาบันจนถึงพระอรหันต์น่ะ พวกที่เป็นนักบวชที่มาบวช ก็สามารถเป็นพระได้ และผู้ที่ไม่ได้บวชก็เป็นพระได้ พระนั้นคือ พระธรรมพระวินัย ไม่ใช่นิติบุคคลไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตัว เพราะการดำรงชีพของเรา ให้เราพากันรู้จักพากันเข้าใจ การรู้จักเข้าใจนี้ เรียกว่ารู้ความจริง หรือสัจจะธรรม ความเป็นจริง เราจะได้ไม่คอยเฉย เราจะได้รู้จักว่า ความเป็นพระนั้น อยู่กับทุกคนทุกหนทุกแห่ง เราต้องมีความเห็นให้มันถูกต้อง และความเข้าใจถูกต้อง และปฏิบัติให้มันถูกต้อง พัฒนาวัตถุทั้งใจไปพร้อมๆ กัน ถึงเรียกว่าทางสายกลาง เราจะได้ปิดอบายมุขและอบายภูมิของตนเอง ชีวิตใครก็คือชีวิตคนนั้น ชีวิตเราก็คือชีวิตเรา มีอายุขัยส่วนใหญ่ก็ไม่เกิน 120 ปีหรอก ให้เข้าใจนะ ที่เราพากันเวียนว่ายตายเกิดนี่นะ ร่างกายของเรามันก็มีแต่สภาวะธรรม เกิดแก่เจ็บตายน่ะ แต่ใจของเราถ้ามันอวิชชามีความหลง มันจะเวียนว่ายตายเกิด เพราะว่าสิ่งนี้มีสิ่งน้ันมันถึงมี ที่ได้กล่าวไปเมื่อวานแล้ว
ปัจจุบันก็คือผลของอดีต ปัจจุบันนี้ก็จะเป็นผลของอนาคตอีกทีหนึ่ง เราถึงจำเป็นต้องมีความเข้าใจถูกต้อง มีความเห็นถูกต้อง ปฏิบัติให้ถูกต้อง เราจะได้ไม่ปล่อยโอกาสให้เสียเวลาไปโดยไม่มีจุดยืน เราจะได้มีความเข้าใจถูกต้อง มีความเห็นถูกต้อง ถึงจะมีความขยัน จะได้ขยันเพราะความเห็นถูกต้อง ถึงจะอดทนจะได้อดทนเพราะความเห็นถูกต้อง ความรับผิดชอบก็คือความรับผิดชอบเพราะความเห็นถูกต้อง ไม่อย่างนั้นมันก็ไม่มีการประพฤติการปฏิบัติ ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับอวิชชาความหลงน่ะ ชีวิตของเราจะเอาเป็นตัวเป็นตน เป็นนิติบุคคลไม่ได้ เพราะว่ามันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ไม่ใช่นิติบุคคล มันเป็นธรรมะ มันเป็นสภาวะธรรม ต้องมีความเห็นอย่างนี้ มีการปฏิบัติแบบนี้ ให้พากันเข้าใจ
ชีวิตของเราน่ะ ต้องคอนโทรลตนเองให้ได้ คอนโทรลเวลาให้ได้ คอนโทรลความเป็นธรรม ปัจจุบันธรรมให้ได้ มันเป็นไฟท์ ต้องไฟท์ต้องสู้ในปัจจุบันอย่างนี้ ปฏิบัติอย่างนี้ เราต้องเข้าสู่กระบวนการที่เรียกว่า ศีล สมาธิ ปัญญา เป็นญาณที่พระพุทธเจ้าแสดงธรรมให้แก่ท่านโกณฑัญญะ ท่านโกณฑัญญะรู้แล้วก็อุทานขึ้นในใจเลยว่า จักขุเกิดขึ้นแล้วแก่เรา ปัญญาเกิดขึ้นแล้วแก่เรา ญาณ วิชชา แสงสว่างเกิดขึ้นแล้วแก่เรา ถ้าเราตามใจตามอารมณ์ตัวเองนี่ มันก็มืดเหมือนสายตาเริ่มเสีย มันจะค่อยๆ มืดเข้ามืดเข้า จนกระทั่งมืดสนิท เพราะเรียนเท่าไหร่ก็ยิ่งมืด ถ้าเราเรียนเพื่อตัวเพื่อตนอย่างนี้ การดำเนินชีวิตของเรามันต้องมีความเห็นถูกต้อง ความเข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ผู้ที่จะลาสิกขา จะได้จับหลักจับประเด็นชัดเจน ว่า ชีวิตของเราต้องทำแบบนี้ปฏิบัติแบบนี้ ทำอย่างอื่นไม่ได้ ผู้ที่บวชอยู่ก็สามารถพัฒนาตนเองตั้งแต่พระโสดาบันจนถึงพระอรหันต์น่ะ เพราะการบวชเป็นพระนี่ดีที่สุด บ้านไม่ต้องเช่า ข้าวไม่ต้องซื้อ เขาเอาของมาให้ยังต้องมากราบมาไหว้อีก เราต้องดำเนินชีวิตของเราให้ประเสริฐ เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งไม่ได้ มันไม่ใช่ทาง
พระพุทธเจ้าไม่เอาอะไรเลย ฉันอาหารวันละมื้อเดียว มีสติมีความสงบ มีตัวปัญญา เสียสละไปอย่างนี้ ทุกคนมันถึงมีความสุข มีความดับทุกข์อย่างนี้ เราดูคนในโลกนี้น่ะ มีจำนวนเกือบ 8 พันล้านคน เราจะเอาคนส่วนใหญ่นี้เป็นบรรทัดฐานไม่ได้ เพราะว่ามันเป็นประชาธิปไตยที่เป็นอวิชชา เป็นความหลง ถ้าเราเอาตัวตนของเราเป็นที่ตั้ง ชีวิตของเรามันก็จะเป็นสีดำ หรือไม่ถ้า เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ชีวิตของเราก็จะเป็นสีเทาน่ะ ถ้าเรามีความเห็นถูกต้องความเข้าใจถูกต้องและเข้าสู่ภาคประพฤติปฏิบัติ ชีวิตของเรามันถึงจะค่อยๆ ขาวขึ้น สีขาวมันจะชัดเจนขึ้น ชัดเจนขึ้น เราถึงจะได้มีสติความสงบ มีสัมปชัญญะ รู้ตัวทั่วพร้อม ปฏิบัติธรรม มันไม่มีความทุกข์หรอก ที่มันยังทุกข์ ก็เพราะลังเลสังสัย เพราะว่ามันยังมีตัวมีตนอยู่ มันเลยยังทุกข์อยู่
เราทุกคนต้องทำประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านในปัจจุบัน อย่าพากันเซ่อๆ เบลอๆ เพราะความเคยชิน มันเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง มันเลยถึงเซ่อ ถึงเบลอ พระพุทธเจ้าท่านคิดเร็ว มีสติ มีศีล สมาธิ ปัญญา จนคิดเร็วมาก ยอดเยี่ยมเป็นอัตโนมัติ เราต้องฝึกให้ชำนาญเป็นแบบนี้ เราต้องพากันประพฤติปฏิบัติ จะได้รู้จักพระศาสนา การมีอยู่มีกินมีใช้เหลือกินเหลือใช้ทางวัตถุ มันถึงจะได้ไม่มีปัญหา การที่มีธรรม มีคุณธรรม ในปัจจุบันมันก็จะไม่มีปัญหา ให้เราละตัวละตน ละนิติบุคคล เราจะได้เข้าใจแบบนี้
เราทุกคนต้องพากันมาแก้ที่ตนเอง ถ้าไม่มีสิ่งภายนอก ไม่มีความแก่ความเจ็บความตายไม่มีสิ่งนู้นสิ่งนี้ เราก็ไม่ได้ทำใจ เพราะเราก็ไม่มีข้อสอบในการปฏิบัติ ในปัจจุบันมันถึงมีข้อสอบ มีข้อปฏิบัติ ที่ตาเห็นรูป หูฟังเสียง อะไรทุกอย่างเลย คือการปฏิบัติ คือสติสัมปชัญญะ เราต้องรู้จักรู้แจ้งว่าไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เป็นผัสสะ เป็นอารมณ์ ไม่ให้เราไปตามอารมณ์ ไปตามผัสสะ เพื่อเราจะได้ฝึก ได้ปฏิบัติ ภายนอกก็พากันแก้ไป ปรับอุณหภูมิภายนอกไป ส่วนอุณหภูมิภายใน ก็พากันแก้พากันปรับ ด้วยความเห็นถูกต้อง ความเข้าใจถูกต้อง ความสงบจะอยู่กับเราทุกหนทุกแห่งน่ะ อยู่ในเมืองก็สงบ อยู่ในป่าก็สงบ ผู้คนหลายหมื่นหลายแสนหลายล้านก็สงบ ถ้าเรามีสติกลับมาหาตัวเอง ถ้าเรามีสัมปชัญญะ ไม่มีตัวไม่มีตน มีความสงบมีความวิเวกอยู่ทุกหนทุกแห่ง เราอย่าไปหาพระที่ไหน หาพระที่ตัวเราเองนี่แหละ ให้มีความเห็นถูกต้อง ความเข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง เพราะการปฏิบัติธรรมที่ดีที่สุด คือการปฏิบัติธรรมที่ตัวเอง หยุดมีเพศสัมพันธ์ทางความคิดทางอารมณ์ เรียกว่าหยุดมาจากใจ หยุดมาจากภายใน ดีมาจากใจ ดีมาจากภายใน ด้วยสติสมาธิปัญญาอย่างนี้ เราจะได้เป็นคนที่มีความขลัง มีความศักดิ์ มีความสิทธิ์ที่แท้จริง ต้องทำให้ได้ปฏิบัติให้ได้ เราจะไม่ต้องมีความด้อยว่า เมื่อเราสึกไปแล้ว ลาสิกขาลาเพศไปแล้ว เราไม่ได้เป็นพระ อันนั้นมันพระภายนอก พระภายในมันอยู่ที่จิตใจ มันอยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้อง มีความเข้าใจถูกต้อง ที่ไม่มีตัวไม่มีตน มีแต่สติความสงบ มีสัมปชัญญะ ที่ไม่มีตัวไม่มีตน เราต้องพากันรู้จัก เราจะเอาสิ่งภายนอกที่มีตัวมีตน มาเป็นพระเป็นศาสนาไม่ได้ เราต้องมีสัมมาทิฏฐิ เราจะมาเอาอะไร เพราะไม่ได้อะไร ทุกอย่างมันก็ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป
เหมือนไปถามพระอรหันต์ว่าตายแล้วไปไหน พระอรหันต์ก็ตอบว่า ทุกอย่างมันเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ดับไป ก็ไม่มีอะไรไปอะไรมา ไม่มีความปรุงแต่ง มีแต่ความรู้ความเข้าใจ มีแต่การประพฤติการปฏิบัติอย่างนี้ ทุกคนทำแบบนี้ถึงจะมีความสุข ให้เข้าใจ ความสุขของเราอยู่ที่ทำงานนะ วันหนึ่งมันต้องมีความสุขในการทำงาน การคิดก็คือการทำงาน อันไหนไม่ดีก็ไม่คิด ปัจจุบันเราก็ต้องวางแผนดีดี แก้ไขเรื่องจิตเรื่องใจอย่างนี้ ก็ถึงเรียกว่า ความคิด คำพูด การกระทำ คือการปฏิบัติของเรานะ อย่าพากันไปหลงในความคิด อย่าพากันไปหลงในอารมณ์ ต้องทำอย่างนี้ปฏิบติอย่างนี้ แต่ก่อนเราไม่เข้าใจ ไปหลงแต่ตัวแต่ตนน่ะ เพราะว่าตัวตนเป็นเพียงสมาธิ ไม่ใช่วิปัสสนาภาวนาหรอก มันเป็นอาตมัน มันเป็นตัวเป็นตน เหมือนพระเทวทัตตัวตนมากจนคิดปลงพระชนม์พระพุทธเจ้า วางแผนฆ่าพระพุทธเจ้า ก็เพราะตัวตนมาก ที่ในครอบครัวเราทะเลาะกัน ตัวตนมาก ที่ไม่รู้จักบาปไม่รู้จักบุญคุณโทษ นึกว่าทุกอย่าง มาให้เราบริโภค มาให้เราใช้สอย ให้เราได้ดำเนินชีวิตอย่างนี้ ไม่ใช่ เราต้องมาแก้ที่ใจของเรา อย่าไปแก้ที่คนอื่น แก้ที่ตัวเรามันสงบอย่างนี้ อย่าไปคิดว่าโลกนี้คนมันเยอะ จะไปแก้ได้ยังไง ทุกคนต้องมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง มันก็จะทั่วถึงกันหมด เหมือนโรคโควิดนี่แหละ โควิดก็เป็นกันได้ทั้งโลกนี่แหละ ถ้าเรามีความเห็นถูกต้อง มีความเข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ใครๆ ต่างก็ปฏิบัติตนเอง มันก็แก้ได้ไม่ยาก โควิดก็เป็นมาสองปีสามปี เข้าสี่ปีนี่ก็เริ่มสงบแล้ว เพราะว่ารู้วิธีป้องกัน ทุกคนก็พากันแก้ไขตัวเอง ใครเป็นก็เก็บตัว ก็เพื่อไม่แพร่ต่อคนอื่น ให้พากันเข้าใจ
พระใหม่ที่จะสึกไป หรือโยมจะได้เข้าใจ จะได้ทำหน้าที่ของคฤหัสถ์ ทำหน้าที่ของความเป็นพ่อเป็นแม่อย่างถูกต้อง เราจะพากันไปแก้แต่ภายนอก แก้แต่ลูกแต่หลาน แก้แต่คนอื่น มันก็ต้องมีปัญหาอย่างนี้ เพราะว่ามันไม่ได้แก้ตนเอง ไม่ได้เป็นพระ ไม่ได้เป็นพระประจำบ้านประจำตระกูล ให้ปรับเข้าสู่ความเป็นพระที่หยุดตัวหยุดตน ละความเป็นตัวเป็นตน มันก็ทำได้ปฏิบัติได้ เพราะพระพุทธเจ้าก็ทำเป็นตัวอย่างแล้ว พระอรหันต์ก็ทำเป็นตัวอย่างแล้ว แต่ก่อนคิดว่าจะแก้ไม่ได้ แต่ดูดีๆ แล้ว ทุกคนก็มีความแก่ความเจ็บความตาย มีความพลัดพราก มีความรวยความจน ทุกอย่างมันแก้ปัญหาได้ รู้จักใช้ร่างกาย รู้จักใช้เทคโนโลยีเช่น เครื่องจักรที่เราใช้งาน ใช้โทรศัพท์โทรศัพท์คอมพิวเตอร์ เราก็ต้องใช้มันให้เกิดประโยชน์ เราขึ้นรถขึ้นเรือขึ้นเครื่องบินมันก็มีความสุข ลดความทุกข์ลง แต่เราต้องพัฒนาใจชไม่ให้มันหลง เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งอำนวยความสะดวกความสบาย อาหารก็พัฒนาให้มันอร่อย แต่ก็ต้องให้มันสมดุล อย่าให้มันหวานเกิน อย่าให้มันเค็มเกิน อย่าให้มันเกิน ให้มีสติมีสัมปชัญญะ ทุกวันนี้ง่าย เครื่องตรวจเลือด ผลการตรวจเลือดจากการกินการบริโภค เพื่อปรับปรุงเรื่องโภชนาการ การบริโภค มันแก้ได้ทุกอย่าง แต่แก้ยังไง มันก็ยังมีความแก่ความเจ็บความตายอยู่ ให้เราพากันเข้าใจนะ ไม่ใช่วิ่งไปเรื่อย พากันไปหาเงินหาสตางค์ไปเรื่อย เราต้องรู้จัก จะไปอยู่ประเทศไหน เจริญยังไง มันก็ยังแก่ ยังตาย ยังพลัดพรากอยู่ มันก็ยิ่งหลง ใจมันก็จะครวญครางไปเรื่อย เราต้องกลับมาหาสติ หาสัมปชัญญะ เราจะได้เป็นพระอริยเจ้าในตัวตนเรา ไม่ได้วิ่งหนีไปหาความดับทุกข์
ความสงบ ความสุข ความสบาย มันดับทุกข์ไม่ได้จริง มันเป็นสิ่งที่บรรเทาทุกข์เฉยๆ ถ้านั้นเราจะไปคิดว่า มีเงินดีกว่ามีปัญญา มีปัญญา สู้มีเงินไม่ได้ มันไม่ใช่ มันต้องมีปัญญา ดีกว่ามีเงิน มีเงินไม่มีปัญญา มันจะหลง ต้องเป็นคนรวยอย่างฉลาด ต้องเป็นคนขยันอย่างฉลาด รับผิดชอบอย่างฉลาด ต้องมีความสุข ต้องมีการเสียสละ พวกเหล้าเบียร์ พวกการพนัน เราต้องหยุดตัวเอง เบรคตัวเอง
“ปญฺญา เว ธเนน เสยฺโย. ปัญญาเทียวประเสริฐกว่าทรัพย์”
ทรัพย์สมบัติทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นแก้วแหวนเงินทอง คฤหาสถ์ ที่ดิน หรืออะไรก็แล้วแต่บรรดามี เป็นสิ่งที่มนุษย์ทั้งหลายต้องการ ต้องมี เป็นสิ่งจำเป็นมากสำหรับการใช้ชีวิต แต่สิ่งทั้งหลายเหล่านั้น เมื่อจะได้มาก็ย่อมหามาได้ด้วยปัญญา บุคคลจะมีทรัพย์มีสมบัติต่าง ๆ มากมายแค่ไหน ก็ต้องอาศัยปัญญาประกอบอาชีพแสวงหาให้ได้มา เพราะฉะนั้น ปัญญาจึงอยู่เหนือทรัพย์สมบัติเหล่านั้น ถ้าขาดปัญญาเสียแล้ว การที่จะได้ทรัพย์สมบัติเหล่านั้นมานั้นเป็นเรื่องยากนักยากหนา ถึงได้มาแล้วถ้าไม่มีปัญญาก็ไม่สามารถรักษาเอาไว้ได้
อีกอย่างหนึ่ง ทรัพย์สมบัติเหล่านั้นสามารถตอบสนองความต้องการของมนุษย์ได้ คือมีประโยชน์แก่มนุษย์เฉพาะในโลกนี้เท่านั้น แต่ปัญญา สามารถทำให้มนุษย์กระทำที่สุดแห่งทุกข์ ถึงสันติสุขคือมรรคผลนิพพานได้ ดังนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ปัญญาประเสริฐกว่าทรัพย์ เพราะทรัพย์สินเงินทองทั้งหลาย ไม่สามารถทำให้ความสุขอันเป็นบรมสุขเกิดขึ้นมาได้ แต่ปัญญาในทางธรรม คือปัญญาที่เกิดจากวิปัสสนานั้น สามารถทำให้ความสุขอันเป็นเอกันตบรมสุขเกิดขึ้นมาได้
ผู้ที่จะลาสิกขาไป เราต้องใจเข้มแข้ง ต้องหยุด ต้องสมาทาน พออากาศมันร้อนก็ต้องสู้ อากาศหนาวก็ต้องสู้ให้ไหว ทุกอย่างต้องมีสติ มีความสงบ มีสัมปชัญญะ มีปัญญา ไม่เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เอาสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกต้อง มีความเข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้องอย่างนี้ มันถึงจะต่อเนื่องกันไป มันไม่ได้ยากลำบาก มันเป็นเรื่องที่ต้องทำให้ถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง มีความสุขในการประพฤติปฏิบัติอย่างนี้ คนเราอยู่ด้วยกันพ่อแม่ ญาติวงศ์ตระกูลอยู่ด้วยกันก็ไม่เกิน 100 กว่าปี ก็ต้องจากกันไป ให้รักกันสมัครสมานสามาคคีกัน ให้เอาธรรนมเป็นหลัก ถ้าเราเอาตัวตนเป็นหลักมันก็แย่งขยะกัน ออกมาเดินขบวน เพราะมันเป็นนิติบุคคล มันเป็นตัวเป็นตน เป็นเขาเป็นเราอย่างนี้หน่ะ ให้เข้าใจอย่างนี้ ปฏิบัติอย่างนี้เข้าใจอย่างนี้ การปฏิบัติธรรม ทุกคนมีความสุขมันเป็นแอร์คอนดิชั่น เข้าเรียกว่ามีสติ อยู่ในกายในจิตในธรรมที่มีสติมีสัมปชัญญะอย่างนี้นะ เราจะได้เป็นสุคะโต อยุ่ก็ดีไปก็ดี อย่างนี้น่ะ เราจะได้ดี ประกอบด้วยดี ประกอบด้วยสัมมาทิฐิดีด้วยสติประกอบด้วยปัญญา พากันเข้าใจอย่างนี้หน่ะ อย่างนี้ทุกคนทำได้ปฏิบัติได้ ถ้าเราเอาตัวเอาตนเป็นหลักไม่ได้ ให้เอาธรรมะเป็นหลัก เอาความถูกต้องเป็นหลัก
องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเปรียบเทียบไว้เป็นบุคคล ๔ ประเภทในโลกนี้ ซึ่งในพระบาลีมีแสดงไว้ว่า
“ตโม ตมปรายโน” ผู้มืดมามืดไป “ตโม โชติปรายโน” ผู้มืดมาสว่างไป
“โชติ ตมปรายโน” ผู้สว่างมามืดไป “โชติ โชติปรายโน” ผู้สว่างมาสว่างไป
ทั้ง ๔ ประเภท เปรียบเทียบคนเราทั้งหมด จะเป็นหญิงก็ตาม ชายก็ตาม เกิดมาแล้วในโลกมีลักษณะเป็น ๔ ประการ
ประการที่ ๑ “ตโม ตมปรายโน” ผู้มืดมามืดไป คนทั้งหลายเหล่าใด ไม่มีศีลธรรมประจำใจ เป็นชายก็ตามหญิงก็ตาม อยู่ในสกุลใดก็ตาม จะเป็นผู้สูงศักดิ์หรือต่ำต้อยก็ตาม เกิดมาแล้วส่วนตนไม่ได้กระทำคุณงามความดี ไม่ประกอบกรรมอันเป็นบุญเป็นกุศล ไม่คิดดี ไม่พูดดี ไม่ทำดี ไม่คบหาคนดี ไม่ส่งเสริมคนอื่นให้กระทำคุณความดี มีแต่ความคิดอ่านสิ่งที่เป็นบาป คิดร้ายต่อคนอื่น พูดจากล่าวหาว่าร้ายผู้อื่น ใจบาปหยาบช้า ทำร้ายทำลายชีวิตผู้อื่นหรือสัตว์อื่นอยู่เนื่องนิตย์ ในที่สุดแม้มีอายุมากแล้ว ก็ยังไม่กลับเนื้อกลับตัว ประพฤติตนอยู่อย่างนั้นไม่จบไม่สิ้น ครั้นสิ้นชีพไปแล้วจะไปสู่อบายภูมิ อันนี้ท่านเรียกว่า “ผู้มืดมามืดไป” ท่านเปรียบไว้กับบุคคลอย่างนี้ว่า “ต้นก็คด ปลายก็คด” ตลอดชีวิตหาความดีไม่ได้ และหาความสุขไม่เจอ (คนใจบาปหยาบช้าต่ำต้อยน้อยวาสนา)
ประการที่ ๒ “ตโม โชติปรายโน” ผู้มืดมาสว่างไป บุคคลชายก็ตามหญิงก็ตาม บางคนในโลกนี้เกิดมาแล้ว ในตระกูลที่ต่ำต้อยประกอบกรรมอันเป็นบาปหยาบช้าลามก ไม่มีศรัทธาในสิ่งที่เป็นความดีงาม ไม่เคารพในบุญทานการกุศลใด ๆ อยู่ในสิ่งแวดล้อมด้วยความไม่ผ่องใส โดยประการทั้งปวง ในเบื้องต้นฯ แต่เมื่อมีชีวิตเติบโตขึ้นได้รับการศึกษาพอสมควร หรือได้รับคำแนะนำอบรมพร่ำสอนถอนตนออกให้ไกลจากบาป พิจารณากลับตนเสียใหม่จากร้ายให้กลายเป็นดี จากมืดให้เป็นสว่าง หมั่นประกอบคุณงามความดีที่ยังไม่มี ให้มีขึ้น กุศลเจตนาใดๆ ที่มีอยู่แล้ว เพราะเพิ่มเสริมสร้างให้มากยิ่งขึ้น บริบูรณ์สมบูรณ์ยิ่งขึ้น จนเกิดความร่มเย็นเป็นสุขในบั้นปลายในชีวิต ได้รับความผาสุกด้วยประการต่างๆ ครั้นเมื่อสิ้นชีพไปแล้วก็ไปสู่สุคติ ซึ่งท่านเปรียบเทียบบุคคลเช่นนี้ไว้ว่า “ต้นคดแต่ปลายตรง” เรียกว่าในชีวิตนี้เกิดมาใช้ได้ไม่เสียที ไม่เสียชาติเกิด
ประการที่ ๓ “โชติ ตมปรายโน” ผู้สว่างมามืดไป บุคคลบางคนที่เกิดมาแล้ว ได้รับการอุปถัมภ์ค้ำชูจากสิ่งแวดล้อมดี เบื้องต้นมีความประพฤติดี มีสัมมาทิฏฐิเป็นต้น ประพฤติตนตามคลองธรรม มีจิตใจเป็นกุศล มีความคิดความตั้งใจดี ประพฤติตนอยู่ในศีลธรรมอันดี อ่อนน้อมถ่อมตน เคารพต่อความดีของบรรพชน แต่บั้นปลายแห่งชีวิต ละทิ้งบุญกุศลและวาสนาบารมีของตน ไปประพฤติในอกุศลเกลือกกลั้วตนอยู่ในสังคมบาป ประพฤติตัวชั่วช้า คือละบุญไปบำเพ็ญบาป ครั้นสิ้นชีพแล้ว จิตใจก็เศร้าหมองสู่อบายภูมิ นี้เรียกว่า “สว่างมามืดไป” แม้มีชีวิตอยู่ก็ลำบาก จึงเรียกผู้นี้ว่า “ผู้สว่างมามืดไป” หรือ “ต้นตรงปลายคด”
ส่วนประการที่ ๔ “โชติ โชติปรายโน” ผู้ที่สว่างมาสว่างไป บุคคลนี้กล่าวโดยสั้นๆ ก็คือ ผู้มีบุญญาธิการถึงแม้เกิดมาแล้วจะมีภาวะอย่างไร ครอบครัวจะตกอยู่ในสภาวะยากจนอย่างไร แต่ก็ไม่ท้อถอย มีสติปัญญา มีมานะอุตสาหะรู้จักประมาณในสิ่งต่างๆ ได้ดี ทำให้ชีวิตของตนได้รับความราบรื่นร่มเย็นเป็นสุข มีแก่นสารในชีวิตบั้นปลาย ทั้งในฐานะและในคุณธรรม สร้างสมคุณงามความดี ให้เป็นประโยชน์ให้แก่ส่วนรวมเป็นต้น บุคคลเช่นนี้ ชื่อว่าหายากที่สุด ได้นามว่า “โชติ โชติปรายโน” หรือ “ต้นก็ตรงปลายก็ตรง”
ในคัมภีร์พระธรรมบทได้กล่าวถึงเรื่องเศรษฐีบุตรคนหนึ่งในเมืองพาราณสี มีทรัพย์มากถึง ๘๐ โกฏิ เป็นลูก คนเดียวของมารดาบิดา ไม่ต้องทำการงานใดๆ เพราะมารดาบิดาเกรงว่าลูกจะลำบาก และคิดว่าทรัพย์ที่มีอยู่ นั้น จะทำให้ลูกมีชีวิตอยู่อย่างสุขสบาย และในเมืองพาราณสีเช่นกัน มีเศรษฐีอีกตระกูลหนึ่ง มีทรัพย์ ๘๐ โกฏิ มีลูกสาวคนเดียว มารดาบิดาไม่ได้ให้ การศึกษาอะไร นอกจากการเรียนศิลปะ การขับร้องและการฟ้อนเท่านั้น
ต่อมาลูกเศรษฐีทั้งสองตระกูลได้แต่งงานกัน จึงทำให้มีทรัพย์รวมกัน ๑๖๐ โกฏิ เมื่อมารดาบิดาของคนทั้งสองถึงแก่กรรม เศรษฐีบุตรได้ครอบครองสมบัติสืบต่อมา เขาไปสู่ราชสำนักวันละ ๓ ครั้ง พวกนักเลงสุราเห็นเข้า จึงคิดวางแผนจะให้เศรษฐีบุตรเป็นนักเลงสุรา เพื่อจะได้เป็นที่พึ่งของพวกตนในการดื่มกินอย่างมีความสุข ดังนั้น เมื่อเห็นเขากลับออกมาจากราชสำนัก ก็นั่งคอยท่าอยู่ แล้วยกเหล้าขึ้นดื่ม กล่าวว่า ขอให้เศรษฐีบุตรมีอายุยืน ๑๐๐ ปี
เศรษฐีบุตรจึงถามคนใช้ว่า คนพวกนี้เขาดื่มอะไรกัน รสของมันอร่อยหรือไม่ เมื่อคนใช้ตอบว่าดื่มน้ำชนิดหนึ่ง เป็นน้ำที่ควรแก่การดื่ม ที่ไม่มีน้ำชนิดไหนเทียบได้ในโลกนี้ เศรษฐีบุตรจึงให้คนใช้นำสุรามาทดลองดื่ม และได้ดื่มเป็นประจำ พวกนักเลงสุราพอรู้ว่าเศรษฐีบุตรดื่มสุรา ก็พากันตีสนิทเป็นพรรคพวก หาสุราและกับแกล้มมาให้เศรษฐีบุตร ด้วยทรัพย์ของเศรษฐีบุตรนั่นเอง เขากลายเป็นคนมีบริวารมากมาย ดื่มกินอย่างไม่อั้น ใช้ทรัพย์มากมาย เพื่อสุรารสเลิศ ให้นำดอกไม้เครื่องหอมมาตกแต่งห้องให้ สวยงาม หาสตรีสาวสวยที่มีความสามารถในการขับประโคมและการฟ้อน และให้รางวัลแก่สตรีเหล่านั้น วันๆ หมกมุ่น อยู่กับการดื่มสุราและเพลิดเพลินอยู่กับสตรี จนละเลยราชการที่เคยเข้าเฝ้าในราชสำนักเสียสิ้น
เมื่อเศรษฐีบุตรใช้จ่ายทรัพย์อย่างสุรุ่ยสุร่าย ในไม่ช้า ทรัพย์ทั้ง ๑๖๐ โกฏิ ก็หมดลง เขาต้องขายบ้าน ที่นา ที่สวน เครื่องเรือน ฯลฯ จนไม่มีอะไรเหลือ ต้องถือชิ้นกระเบื้องเที่ยวขอทานเลี้ยงชีพ อาศัยนอนตามฝาเรือนของคนอื่นไปวันๆ เป็นที่น่าสลดใจยิ่งนัก
วันหนึ่งพระบรมศาสดา ทรงเห็นเขาที่ประตูโรงฉันอาหาร ซึ่งเขายืนรอขอเศษอาหารจากพระภิกษุสามเณร ก็ทรงแย้มพระโอษฐ์ พระอานนท์เห็นเช่นนั้นจึงกราบทูลถามถึงเหตุแห่งการแย้มนั้น พระพุทธองค์ตรัสว่า เศรษฐีบุตรผู้นี้ผลาญทรัพย์เสีย ๑๖๐ โกฏิ พาภรรยาเที่ยวขอทานในนครนี้ ถ้าเขาประกอบ การงานในปฐมวัยก็จะเป็นเศรษฐีชั้นเลิศของนครนี้ ถ้าออกบวชก็จะเป็นพระอรหันต์ ภรรยาของเขาจะเป็นอนาคามี ถ้าเขาประกอบการงานในมัชฌิมวัย เขาจะเป็นเศรษฐี ที่ ๒ ในนครนี้ ถ้าออกบวชจะเป็นพระอนาคามี ภรรยาของเขาจะเป็นสกทาคามี ถ้าเขาประกอบการงานในปัจฉิมวัย เขาจะได้เป็นเศรษฐีอันดับ ๓ ในนครนี้ ถ้าออกบวช จะได้เป็นสกทาคามี ภรรยาของเขาจะเป็นโสดาบัน
แต่บัดนี้ เศรษฐีบุตรนี้เสื่อมแล้วจากโภคทรัพย์ และสามัญผลคือ การบรรลุธรรม เป็นเหมือนนกกระเรียนแก่ ที่จับเจ่าอยู่ในแอ่งน้ำที่แห้ง ไม่มีปูปลาให้ถือเป็นอาหารได้เลย ได้แต่นอนทอดถอนถึงอดีต ถึงทรัพย์เก่า ถึงความ สุขสบายเก่าๆ เหมือนลูกศรที่ตกจากแล่ง ฉะนั้น จึงตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า
อจริตฺวา พฺรหฺมจริยํ อลทฺธา โยพฺพเน ธนํ ชิณฺณโกญฺจาว ฌายนฺติ ขีณมจฺเฉว ปลฺลเล
อจริตฺวา พฺรหฺมจริยํ อลทฺธา โยพฺพเน ธนํ เสนฺติ จาปาติขีณาว ปุราณานิ อนุตฺถุนํ.
พวกคนเขลา ไม่ประพฤติพรหมจรรย์ ไม่ได้ทรัพย์ในคราวยังเป็นหนุ่มสาว ย่อมซบเซา ดังนกกระเรียนแก่ซบเซาอยู่ในเปือกตมที่หมดปลาฉะนั้น. พวกคนเขลา ไม่ประพฤติพรหมจรรย์ ไม่ได้ทรัพย์ในคราวยังเป็นหนุ่มสาว ย่อมนอนทอดถอนถึงทรัพย์เก่า เหมือนลูกศรที่ตกจากแล่งฉะนั้น.
ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลมีโสดาปัตติผลเป็นต้น
การที่เศรษฐีบุตรผลาญทรัพย์ย่อยยับ เพราะโดนกลยุทธ์ทางการตลาดเล่นงาน จะเห็นได้ว่า เมื่อลูกเศรษฐีบุตรถามคนใช้ว่า นักเลงสุราดื่มน้ำอะไร คนใช้ไม่บอกว่าเป็นสุรา เพราะถ้าเป็นสุรา เศรษฐีบุตรก็อาจจะ รังเกียจที่จะดื่ม แต่พอได้ยินว่าเป็นน้ำดื่มชั้นเลิศของ โลก ก็เลยอยากทดลองดื่ม พรีเซ็นเตอร์ของเรื่องนี้ คือ นักเลงสุราที่แสดงการดื่มเป็นการปลุกเร้าความสนใจให้ลูกค้าต้องการ สุราที่นักเลงสุราให้คนใช้นำไปให้เศรษฐีบุตร คือ การโปรโมต แจกฟรีให้ลูกค้า เมื่อดื่มแล้วก็จะชอบ เพราะมันมีรูป กลิ่น เสียง และสัมผัสที่น่าพึงพอใจ ทำให้ลูกค้าติดใจ และซื้อไปบริโภค เมื่อปริโภคเป็นประจำ ก็แสดงว่าลูกค้านั้นเกิดความภักดีในตัวสินค้า ผู้ผลิตจึงต้องเพิ่มจำนวนการบริโภคให้มากขึ้น ด้วยการเพิ่มความ ถี่ของการบริโภคมากกว่าเดิม ก็จะทำกำไรได้จากตัวสินค้านั้นมากขึ้น จากนั้นก็เริ่มผลิตสินค้าที่สอดคล้องกับสินค้าตัวเดิม เอามาแจกมาแถม จัดสถานที่จำหน่ายให้น่า ดูน่าชม ใช้คนที่มีความสามารถเรียกลูกค้าได้ อำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าในการบริโภคสินค้า ดังเช่นเศรษฐีบุตรจัดแต่งห้องดื่มสุราของเขา เพราะฉะนั้น กลยุทธ์ทางการตลาดสุรา เมื่อสองพันกว่าปีมาแล้ว ที่เกิดขึ้นในอินเดีย ไม่มีอะไรแตกต่างจากปัจจุบัน ถ้ามองไปในสถานบริการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จะมีพนักงานหญิง มีนักดนตรี มีนักร้อง มาขับกล่อมผู้บริโภค แม้การโฆษณาจะถูกห้าม แต่ภาพของผู้บริโภคที่อยู่ในร้านก็คือตัวพรีเซ็นเตอร์ชั้นดีนั่นเอง
ที่นำเรื่องนี้มากล่าวไว้ ก็เพื่อให้เห็นว่า เรื่องราวในศาสนานั้น สามารถบอกให้เรารู้ถึงกลยุทธ์ทางการตลาดได้ และทำให้เกิดการเปรียบเทียบกับอดีตและปัจจุบัน ที่ทำให้พุทธศาสนาไม่ได้มีแต่เรื่องคร่ำครึ ล้าสมัยอย่างที่ หลายคนเข้าใจ ถ้าอ่านและคิดดีๆ จะพบกับความน่าทึ่งไม่น้อยเลย
ธรรมะคือธรรมชาติ ที่ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ไม่ใช่เราไม่ใช่เขา ให้ทุกท่านทุกคนมีสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจให้ถูกต้อง ตัวของเรานั้นไม่มีนะ ที่เรามีตัวมีตนได้เพราะเรามีความเห็นผิดเข้าใจผิด ที่เราต้องเวียนว่ายตายเกิดอย่างไม่มีที่จบไม่มีที่สิ้นนั้นเนื่องมาจากเรามีความเข้าใจผิด เห็นผิดว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณนี้เป็นเรา... รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณนั้นไม่ใช่เรานะ มันเป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ ที่เค้าเกิดมาได้เนื่องจากอวิชชาที่เป็นรากเหง้าแห่งความหลง เมื่อเรามีความหลง เราก็ย่อมเป็นทาสของอวิชชา ให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจอย่างนี้
เราต้องเอาศีล เอาสมาธิ เอาปัญญา มาประพฤติมาปฏิบัติ หยุดก่อนลาก่อนวัฏฏะสงสารทุกคน ทุกคนทำได้ปฏิบัติได้ ไม่ว่าจะเป็นใครมาจากไหน จะเป็นนักบวชหรือเป็นประชาชน ก็ต้องทำอย่างนี้ทุกคน ทุกคนต้องเป็นหนึ่ง ต้องเป็นเอก ไม่ต้องไปพึ่งใคร พึ่งการประพฤติการปฏิบัติของเราเอง เราจะได้เป็นตัวพระธรรมคำสั่งสอน จะได้เป็นตัวธรรมะ เราไม่ต้องวิ่งไปหาความสุขที่ไหน เพราะมันอยู่ที่กายยาววาหนาคืบ มันอยู่ที่ใจเราอย่างนี้ เราเข้าถึงศีลที่เเท้จริง เข้าถึงพระนิพพานที่เเท้จริง เราจะไม่ได้เป็นศีล เป็นกฎหมายบ้านเหมือนอย่างนี้ไม่ใช่นะ เราอย่าไปชักช้า โอ้เอ้ โลเล มันจะได้เข้าถึงความสงบ ความวิเวกที่ปัจจุบัน ด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา เราเข้าใจ เราจะไม่ไปหาความสงบอยู่ที่อื่น ความสงบอยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้อง ความเข้าใจถูกต้อง การปฏิบัติที่ถูกต้อง
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.