แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันศุกร์ที่ ๒๙ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง เข้าพรรษาเข้าหาธรรม ตอนที่ ๔๙ ต่างคนต่างก็มาแก้ไขตนเองให้ถูกต้องตามธรรม เพื่อความมั่นคงของสถาบันหลักของชาติ
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ทุกคนน่ะเป็นห่วงประเทศชาติ ห่วงพระศาสนา ห่วงพระมหากษัตริย์ แล้วพากันมาถามหลวงพ่อว่า การบริหารประเทศจะไปรอดหรือไปไม่รอด ประเทศไทยจะไปรอดก็เพราะเราเอาธรรมะเป็นหลัก ประชาธิปไตยก็ต้องปรับตัวเข้าหาธรรมะ สังคมนิยม อัตตาตัวตน ก็ต้องปรับตัวเข้าหาธรรมะ ประชากรในประเทศต้องสมัครสมานสามัคคี ไม่เอาตัวไม่เอาตน ดำเนินชีวิต เอากฎหมายบ้านเมือง พวกที่พากันเขียนกฎหมายบ้านเมืองก็ต้องเอาธรรมะเป็นหลัก เราจะได้พัฒนาทั้งหลักเหตุหลักผล ให้มันถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์ เราจะได้พัฒนาธรรมะที่เป็นเรื่องจิตเรื่องใจของเราทุกคน ประเทศไทยเราได้รับความเสียหาย เพราะเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เอาตัวตนเป็นการดำเนินชีวิต ประเทศไทยเราน่ะ นักการเมืองก็ไม่ค่อยมี มีแต่นักกินเมือง ข้าราชการของเราไม่ค่อยมี มีแต่ข้าราชกิน เรื่องตัวเรื่องตนนี้เป็นสิ่งที่สำคัญนะ ถ้าเราเอาตัวเอาตนนั้นนั่นแหละคือการคอรัปชั่น การที่เสียสละ การที่มีศีล การที่มีธรรม มีคุณธรรมเป็นสิ่งที่สำคัญ
ความรวยน่ะทุกคนก็ต้องการ ความสะดวกความสบายนั้นทุกคนต้องการ แต่ความรวยความสะดวกความสบายนั้นต้องเกิดจากสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง มันต้องมีความสุขในการเรียนหนังสือ ต้องมีความสุขในการทำงาน เพราะความสุขความดับทุกข์นั้นมันหาจากที่อื่นไม่ได้ ถึงจะได้ก็เป็นความสุขที่ไม่ถาวร ไม่จีรังยั่งยืน
ความมั่นคงถาวรของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ทุกคนต้องพากันรู้จัก พากันเข้าใจ ถ้าจะว่ามันง่ายมันก็ง่าย เพราะเราทุกคนก็ไม่ต้องไปแก้ที่คนอื่น ทุกคนก็แก้ที่ตนเอง ตัวเองก็เพียงแต่คนเดียวนี้แหละ ไม่ใช่หลายคน การประพฤติการปฏิบัติธรรมนี้ถึงเป็นสิ่งที่พากันเข้าใจ เราปฏิบัติเพื่อจะเอา เพื่อจะมี เพื่อจะเป็นมันไม่ถูกต้อง มันเป็นความเห็นผิด เข้าใจผิด เมื่อเราเข้าใจผิดทุกอย่างมันก็ผิดหมด เพราะเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง มันเดินไปคนละทิศคนละทาง สิ่งที่ถูกต้องแล้ว เพราะพระพุทธเจ้าท่านก็เคยหลงผิดอย่างนี้มาก่อน บำเพ็ญทุกรกิริยาตั้ง 6 ปี เพื่อที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ท่านทำท่านปฏิบัติ ถึงขั้นจะหมดลมหายใจ แต่ไปไม่ได้เพราะความคิดเห็นผิด เข้าใจผิด ปฏิบัติผิด ท่านถึงได้มาพินิจพิจารณา กระบวนการแห่งหลักเหตุหลักผล ที่เรียกว่าปฏิจจสมุปบาท เมื่อคิดเห็นอย่างนี้แล้ว ก็มีความลงใจมีความวางใจอย่างนี้ จิตใจก็หยุดภพหยุดชาติ จิตใจถึงเข้าสู่สติความสงบ เข้าสู่สัมปชัญญะที่ไม่มีตัวไม่มีตน
ธรรมะที่เราจะต้องประพฤติปฏิบัตินั้น เราไม่ได้เพิ่ม เราไม่ได้ตัด เพียงแต่เราคิดให้ถูกต้อง ปฏิบัติให้ถูกต้อง มันจะเป็นมรรค แล้วมันจะเป็นผลไปในตัว ผู้ประพฤติผู้ปฏิบัตินั้นจะรู้ได้เฉพาะตน เพราะพระพุทธเจ้านั้นเป็นลูกหลานของพราหมณ์มาก่อน เคยเป็นศาสนาพราหมณ์ มาก่อน พราหมณ์ก็เป็นได้แต่เพียงฌาน ฌานสมาบัติ ออกจากสมาธิก็ยังเป็นตัวเป็นตนอยู่ อย่างหมู่มวลมนุษย์ที่อยู่วัดน่ะ ที่เป็นทุกข์ก็เพราะเราจะเอา มาบวชก็เพื่อจะเอาพระนิพพาน รักษาศีลปฏิบัติธรรมก็เพื่อจะเอาพระนิพพาน การให้ทานการทำอะไรทุกอย่าง ที่เราทำดำรงชีวิตประจำวัน เราทำก็เพื่อจะเอา เอานี้ก็คือการเอาตัวตนเป็นหลัก พระพุทธเจ้ามีความเห็นถูกต้อง แล้วก็ปฏิบัติให้ถูกต้อง คือการเสียสละ เราดำรงชีวิต อย่างพวกที่เรียนหนังสือ มันมีทุกข์ก็เพราะจะเอา พวกทำงานก็จะเอา พวกเป็นข้าราชการนักการเมืองก็เพื่อจะเอา ถ้าเราทำอย่างนี้ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ มันอยู่ไม่ได้ มันตั้งอยู่ไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านให้เราทุกคนพากันเข้าใจ เรามีความรู้ระดับวิทยาศาสตร์ เรามีความรู้ระดับวิทยาศาสตร์ ระดับเหตุระดับผล เรารู้ทั้งเรื่องเศรษฐกิจ เราทำเพื่อจะมีเพื่อจะเป็น มันไม่ได้ มันยิ่งเป็นชั้นเป็นวรรณะ เป็นตัวเป็นตน
เราทุกคนต้องทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีให้สมบูรณ์ เป็นพ่อเป็นแม่ก็ต้องทำหน้าที่พ่อหน้าที่แม่ให้มันดี ให้มันสมบูรณ์ แต่ก่อนเราเป็นพ่อเป็นแม่ เป็นได้แต่เพียงคน แต่ก่อนเราเป็นพ่อเป็นแม่ ก็เป็นได้แต่ความหลง จึงต้องเอาใหม่ ทั้งข้าราชการนักการเมือง ถ้าไม่อย่างนั้น มันเป็นไปไม่ได้ ในการบริการ ข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน ต้องเป็นอริยะมรรค คือ เป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา ปัญญาที่ไม่มีตัวไม่มีตน เราทำไม่ถูกต้อง จะบริหารอย่างไง มันก็ไปไม่ได้ เราต้องเห็นความสำคัญ ถ้าไม่เห็นความสำคัญน่ะ เหมือนพระเราจะเป็นพระเก่าพระใหม่ ไม่เห็นความสำคัญในเวลา ไม่เห็นความสำคัญในการที่ฟังเทศน์ฟังธรรมอย่างนี้ เพราะปัจจุบันเราต้องจัดการตัวเองให้ได้ ถ้าเราจัดการไม่ได้ ความมั่นคงมันก็ไม่มี มันก็เป็นแค่นักปรัชญา ไม่ได้เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ที่เป็นศีลสมาธิเป็นปัญญา เราต้องเข้าใจเรื่องพื้นฐานว่า เราทำให้มันเป็นตัวเป็นตน มันแก้ไม่ได้ เราต้องให้มันเป็นธรรม เราดูตัวอย่างพระศาสนา ทุกศาสนานี้ไม่มีตัวไม่มีตน มีแต่ธรรมะ ทำไมพระพุทธเจ้าไม่เอาอะไรเลย ต้องให้ผู้ที่ได้รับสิทธิพิเศษ ที่บ้านไม่ได้เช่า ข้าวไม่ได้ซื้อ เขาเอาของดีๆ มาให้ก็ยังมากราบมาไหว้ ไม่ได้สะสมอะไรเลย เขาก็มีความสุขในการเจริญสติ ใครความสงบ มีความสุขที่ไม่เป็นนิติบัคคล ไม่เป็นตัวไม่เป็นตน เป็นพระธรรมวินัย เป็นพรหมจรรย์
เราดูโครงสร้างเรื่องพระธรรมวินัย พระพุทธเจ้าให้พระสร้างกุฏิได้หลังไม่ใหญ่ สร้างหลังเล็ก เพื่อให้ตัวเองอยู่ได้อาศัย เพราะท่านไม่ให้มีตัวไม่มีตนไม่มีนิติบุคคล นอกจากกุฏิหลังใหญ่เขาทำให้ ไม่ได้ทำให้พระรูปนั้นนะ ทำให้เป็นของสงฆ์ แม้แต่หลังเล็กก็ต้องให้สงฆ์แสดงที่ว่าเหมาะสมไหม ท่านหมายถึงว่า ไม่ให้พระเป็นนิติบุคคล ไม่เป็นตัวเป็นตน พระนี้ต้องเสียสละ ถ้าเรายังไปเอาเงินเอาสตางค์ เราจะใส่ในย่าม นั่นก็ถือว่าเอา เราไม่จับแต่ให้คนอื่นเก็บรักษาไว้ก็คือเอา เพื่อเราจะไม่ให้เรากั๊กตัวกั๊กตนไว้ ให้เราเสียสละ เราทำให้พระทำความผิด จะไปยินดีในการสร้างศาลา ขวนขวายสร้างศาลาสร้างโบสถ์ นั่งสมาธิไปก็เห็นแต่ขื่อ แต่แปร เห็นแต่อิฐหินปูนทราย แต่ปูนแต่เหล็ก กระเบื้องอะไรอย่างนี้ มันผิดพระธรรมคำสั่งสอน เพราะพระพุทธเจ้าไม่ให้เราทำอย่างนี้ ให้เรามาเสียสละ เราอย่าไปกลัวไม่มีที่อยู่ที่นอนที่อาศัย เพราะพระที่แท้จริงคือพระธรรมพระวินัย ไปที่ไหนเขามองเห็นด้วยตา ฟังด้วยหู ก็เป็นมงคล เพราะได้เห็นสมณะ
เราอย่าไปคิดว่า เราเอาอย่างนู้น ชอบอย่างนี้ เพราะพระเราไม่มีคำว่าชอบหรือว่าไม่ชอบ เมื่อเราไม่เข้าใจศาสนา เราเลยปฏิบัติเพื่อให้มันมีตัวมีตน เพื่อให้เราจะมีจะเป็น เราจะได้บรรลุ ทำอย่างไงมันก็ไม่ได้ เพราะว่าคิดเห็นผิด เข้าใจผิด ทุกคนก็พากันเจ็บปวดกันนะ ทั้งโลกเลย เพราะเราจะเอาจะมีจะเป็น เรามีความเห็นแก่ตัว เลยคิดว่า คนเราถ้าไม่มีความอยาก มันจะพัฒนาได้อย่างไง ต้องเข้าใจอย่างถูกต้อง ยิ่งเสียสละ มันจะไม่เป็นอบายมุข อบายภูมิ ดูตัวอย่างพระพุทธเจ้าท่านทรงบรรทมวันละ 4 ชม. ทำงาน 20 ชม. เราเห็นแก่ตัวมากมันก็ไม่มีความสุขในการเรียนหนังสือ ไม่มีความสุขในการทำงาน ไม่มีความสุขในการที่จะเสียสละ ความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง มันเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ความสุขธรรมดา เป็นการทำที่สุดแห่งการไม่มีทุกข์
การปฏิบัติธรรมน่ะถึงเน้นที่ความเข้าใจ คือสัมมาทิฏฐิ ที่ไม่มีตัวไม่มีตน พระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ ถึงเป็นเรื่องจิตเรื่องใจ ที่เราจะต้องทำความเข้าใจ ต้องประพฤติต้องปฏิบัติ ถ้าเรามีตัวมีตน มันก็ทำให้เราฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม โกหกหลอกลวง แล้วก็หลงเพลิดเพลิน เราได้พากันคิดบาปทำบาป ยุงเราก็จะบี้หัวมัน มดเราก็จะบี้หัวมันทุกอย่าง ปัญหาต่างๆ คือเพราะเราเห็นผิด เข้าใจผิด ปฏิบัติผิด เราถึงเห็นการประพฤติการปฏิบัติธรรมนี้ขวางต่อการดำรงชีพดำรงชีวิต ไม่ได้คิดว่าการดำรงชีพดำรงชีวิตนี้ทำให้มันถูกต้อง ถ้าคิดระดับนักวิทยาศาสตร์ มันคือความเห็นแก่ตัวนะวิทยาศาสตร์ ตามหลักเหตุหลักผล ที่เราเรียนหนังสือจบปริญญาตรี โท เอก ประชาชนคนส่วนใหญ่ 99.99% คิดว่าตายแล้วศูนย์ มันถึงไม่หยุดตัวไม่หยุดตน ที่ว่าโลกนี้มันเต็มไปด้วยสีดำสีเทา ที่เป็นสีขาวนั้นก็มันน่าจะ 0.01% เปอร์เซ็นต์ ด้วยเหตุนี้เราต้องพากันมีสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง เราจะได้ทำข้าราชการที่ถูกต้อง ทำการเมืองที่ถูกต้อง เป็นศาสนาที่ถูกต้อง ไม่ใช่นิติบุคคล ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน มันจะได้เป็นข้าราชการ นักการเมืองที่ไม่ใช่นิติบุคคล ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน มันเป็นหลักการ เป็นภาคประพฤติเป็นภาคปฏิบัติ ความมั่นคงขิงชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ มันจะเกิด
เราอย่าไปคิดว่า ไปทำอย่างนี้ๆ ใครจะพากันปฏิบัติได้ มันคือเราคนเดียว ไม่เกี่ยวกับคนอื่นน่ะ คิดเห็นอย่างนี้คือเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ไม่ได้เอาธรรมะเป็นที่ตั้ง การที่เราเอาธรรมเป็นที่ตั้งอย่างนี้ เอาความถูกต้องเป็นที่ตั้งทุกคนก็มีความลังเลสงสัย พระพุทธเจ้าถึงเอาหลักตัดสินธรรมวินัย 8 ประการไว้ เพราะบางคนมันจะสุดโต่ง มันจะไปทางกามสุขัลลิกานุโยค หรือว่า อัตตกิลมถานุโยค
๑. กามสุขัลลิกานุโยค คือ การประกอบตนแสวงหาความสุขจากกามคุณทั้ง ๕ อันประกอบด้วยรูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัสทางกาย ซึ่งเป็นเหตุให้ตั้งบ้านเรือน หรือมีครอบครัว เป็นโลกิยะ เป็นกิจแห่งปุถุชน ยิ่งปล่อยใจไปจรดกับกามคุณมากเท่าใด กิเลสตัณหาก็สั่งสมมากขึ้นๆ ใจจึงยิ่งมืดมัวลง ประดุจดวงอาทิตย์ที่ถูกเมฆหมอกบดบังฉะนั้น ที่ใดถูกครอบงำด้วยความมืด ที่นั้นย่อมหาความสว่างมิได้ ข้อนี้มีอุปมาฉันใด ดวงใจที่จดจ่ออยู่กับกามคุณ ๕ ก็มีอุปไมยฉันนั้น คือปราศจากแสงสว่างที่จะส่องให้เห็นหนทางอันน้อมไปสู่มรรคญาณ แล้วเกิดปัญญารู้แจ้งในสัจธรรม จนสามารถพัฒนาจิตแห่งตนให้บรรลุโลกุตรธรรมได้ในที่สุด
ผู้ปล่อยกายปล่อยใจระคนอยู่ในกามคุณ ๕ มีความปรารถนากามคุณอยู่เป็นนิจ มีความกระวนกระวายแสวงหากามคุณไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีหยุดหย่อน มีนิสัยชอบเกลือกกลั้ว มัวเมาอยู่ด้วยกามคุณจนเป็นสันดาน ระลึกนึกถึงแต่จะอภิรมย์ชมชื่นอยู่ด้วยกามคุณ จนไม่คิดถึงหรือยินดีที่จะออกจากกาม ความใฝ่ฝันปรารถนาจะอภิรมย์แต่กามคุณนี้ อุปมาเสมือนสุกรบ้านจมปลักอยู่ในกองคูถและมูตร คือ อุจจาระและปัสาวะในคอกของมันเอง ด้วยความชื่นชมยินดีบริโภคสิ่งสกปรกลามกนั้น เพราะสำคัญว่าเป็นของดีตามวิสัยสุกร
กามสุขัลลิกานุโยคก็เปรียบประดุจกา ซึ่งบินไปเกาะกินซากช้าง ซึ่งกำลังลอยไปตามน้ำ ด้วยสำคัญว่าเป็นยานขนาดใหญ่ที่ไม่มีวันจะจม เพราะความโลภ เห็นแก่กินมัวแต่เพลิดเพลินอยู่กับการกิน จนกระทั่งซากอสุภนั้นลอยไปสู่ทะเลลึก กาจึงไม่สามารถบินเข้าฝังได้ ในที่สุดก็จมน้ำตายอยู่ในมหาสมุทรนั้นเอง อุปมาข้อนี้ฉันใด อันบุคคลผู้หลงยินดีบริโภคเบญจกามคุณนี้ก็มีแต่จะต้องประสบทุกข์และภยันตราย ความยากลำบาก ความตายจะหาประโยชน์อันใดสักนิดก็มิได้ ก็มีอุปไมยฉันนั้น
หรือมิฉะนั้น กามคุณ ๕ ก็อาจเปรียบได้กับโครงกระดูกของสัตวโลกที่เป็นโครงร่างถูกทิ้งไว้บนพื้นแผ่นดิน บุคคลผู้บริโภคกามคุณ ๕ นั้นเล่าก็เปรียบเหมือนสุนัขที่ชอบกัดแทะกระดูกอันปราศจากเนื้อหนังมังสา จะได้รู้สึกอิ่มหนำสำราญสักชั่วครู่ชั่วยามก็หาไม่ ลักษณะที่ยินดีปรีดาบริโภคกามคุณ ๕ นั้นเปรียบประดุจดังความฝัน เพราะไม่ยั่งยืน เป็นอยู่เพียงชั่วครู่ชั่วยาม ก็แปรปรวนเป็นอื่นหรืออันตรธานสูญสิ้นไป
กามสุขัลลิกานุโยคหน่วงเหนี่ยวให้สรรพสัตว์ทั้งหลายหลงอยู่ในอวิชชา (ความไม่รู้จริง) จึงต้องเสวยทุกขเวทนาอยู่ในห้วงสังสารวัฏกันมิรู้สุดรู้สิ้น ด้วยเหตุนี้สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตรัสเทศนาว่า กามสุขัลลิกานุโยค คือความกำหนัดยินดีในเบญจกามคุณนั้นเป็นของชั่วช้าลามก มิได้เป็นของแห่งพระอริยเจ้า มิได้ประกอบด้วยประโยชน์ บุคคลผู้เป็นบรรพชิตในบวรพุทธศาสนา พึงละพึงเว้นเสีย อย่าได้ซ่องเสพสมาคม อย่าได้นิยมชมชอบว่าเป็นของดี ไม่ควรประพฤติปฏิบัติเลย
๒. อัตตกิลมถานุโยค คือ การทรมานตนโดยหาประโยชน์มิได้ เป็นวิธีการปฏิบัติตนของพวกเดียรถีย์ คือนักบวชภายนอกพระพุทธศาสนา โดยมุ่งหวังจะดับกิเลสแห่งตนเสีย การทรมานตนนั้นมีนานาประการ เช่น นอนบนกองหนาม ตากแดด ย่างไฟ ใช้ไม้เคาะหน้าแข้ง หาบทราย อดอาหารหลายๆ วัน บางพวกก็บริโภคแต่ผักดองและผลไม้ บางพวกก็บริโภคแต่ปลายข้าว ข้าวสาร หรือรำข้าว เป็นต้น การนอนบนกองหนามย่อมก่อให้เกิดความเจ็บปวด ความกำหนัดยินดีในเรื่องเพศจึงอันตรธานหายไปชั่วขณะ เหล่าเดียรถีย์ก็เข้าใจว่าตนหมดกิเลสการนอนตากแดดที่แผดกล้า หรือการนอนย่างตนเองบนกองไฟ ย่อมรู้สึกร้อนระอุ ความกำหนัดยินดีต่างๆ ในกามคุณ ๕ ที่เกิดขึ้นในจิตใจจึงหายไปชั่วขณะ ผู้ปฏิบัตินอกบวรพุทธศาสนาเหล่านั้นก็เข้าใจว่าตนหมดกิเลสแล้วบางพวกเมื่อเกิดรู้สึกกำหนัดยินดีขึ้นมา มิรู้ที่จะทำประการใด จึงใช้ไม้เคาะหน้าแข้งของตนแรงๆ ยิ่งรู้สึกเจ็บปวดตรงที่ถูกเคาะรุนแรงเพียงใด ความกำหนัดยินดีก็ปลาสนาการไปรวดเร็วเพียงนั้น แต่ก็เพียงชั่วขณะ บางพวกก็ไปหาบทรายมากองเป็นเนินสูง ความเหน็ดเหนื่อยจากการออกแรงหาบหาม ย่อมจะกำจัดความกำหนัดยินดีให้สิ้นไปได้ชั่วคราว การบริโภคแต่ผักดองและผลไม้ การอดอาหารหลายๆ วัน หรือการบริโภคแต่ปลายข้าวและข้าวสาร ก็ล้วนมีจุดมุ่งหมายที่จะทำให้ร่างกายอ่อนกำลังลง เพื่อว่าความกำหนัดยินดีในกามคุณ ๕ จะได้ไม่บังเกิดขึ้น เมื่อทำเช่นนั้นอย่างต่อเนื่องแล้ว ก็หลงเข้าใจผิดว่าตนหมดกิเลสโดยสิ้นเชิง
โดยเหตุนี้สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตรัสเทศนาว่าอัตตกิลมถานุโยค เป็นการทรมานตนโดยหาประโยชน์มิได้แม้แต่น้อยนิด เป็นการทำลายตนเองของคนงมงาย โง่เขลาแต่อวดฉลาด เป็นการปฏิบัติของคนพาล ซึ่งถูกครอบงำด้วยมิจฉาทิฏฐิ จะมีความเจริญก็หาไม่ มิได้เป็นการประพฤติปฏิบัติของพระอริยเจ้า
เราต้องเอาทางสายกลางเป็นหลัก ไม่งั้นเราจะทำตามกัน เพราะหลักศุตรท่องจำมันเป็นอดีตไป มันไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่ปัจจุบันธรรม ทุกคนก็มองดูแล้ว พระพุทธเจ้าก็สงสารเรานะ เพราะเราปฏิบัติธรรมนึกว่าจะเอา นึกว่าจะเป็น นึกว่ามันต้องบรรลุธรรม มันมีตัวมีตนมันจะบรรลุได้ไง มันมีความสงบ สงบแบบมีปัญญา สงบด้วยปัญญาไม่ได้หรอก มันก็มีแต่ตัวแต่ตน มันจะทำให้ทุกคนปวดหัวเวียนหัว เราพากันศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้าพากันเข้าใจ ต้องเข้าใจศาสนา ไม่ใช่เอาศาสนามาเป็นนิติบุคคล มาเป็นตัวเป็นตน มีลายเซนต์ที่ให้ทุกๆ ศาสนานั้น กลายเป็นสีดำ สีเทา ประกอบด้วยตัวด้วยตน สงครามศาสนามันไม่น่ามี เราทุกคนน่ะพากันวิตกกังวลว่า โลกนี้จะมีปัญหา มันมีปัญหาแน่อย่างไม่ต้องสงสัย ถ้าเราเอาตัวเอาตนเป็นที่ตั้ง เพราะเราเดินทางผิดมันก็ผิด ข้าราชการทั้งหมดของประเทศก็ต้องมีความสุขในการทำงาน นักการเมืองก็ควรมีความสุขในการทำงาน รับเฉพาะเงินเดือน ถ้าเราไปโกงกินคอรัปชั่น เป็นสีเทา สีดำ เหมือนทุกวันนี้มันไม่ใช่ มันไปไม่รอดธรรมดา มันเรียกว่าถอนรากถอนโคนความมั่นคง นายกรัฐมนตรีก็ต้องจัดการตัวเอง 100% รัฐมนตรีต่างๆ ก็ต้องจัดการตัวเอง 100% ข้าราชการทหารตำรวจก็ต้องจัดการตัวเอง 100% ไม่ต้องเอาความรวย จากที่ตัวเราเป็นมิจฉาทิฏฐิ เพราะคนเราน่ะ ถึงรวยสะดวกสบายยังเกิดแก่เจ็บตายต้องพลัดพราก ทุกคนทุกท่านอย่าเอาตัวเอาตนเลย ไม่ต้องพากันมาหลงขยะ ขยะนี้คือทิฏฐิมานะ อัตตาตัวตน นักการเมืองเราถกเราเถียงกันก็ดี คนในครอบครัวถกเถียงกันก็ดี เพื่อเราจะทำทุกอย่างที่สู่การไม่มีตัวไม่มีตน ให้พากันคิดอย่างนี้ ถ้าเรามีตัวมีตน มันก็เป็นอยู่อย่างนี้แหละ ถ้าเราไม่มีตัวไม่มีตน เราถึงจะไม่เป็นสังฆเภท เราถึงจะหยุดแตกแยกกันได้ ครอบครัวเราถึงจะสงบอบอุ่น เพราะหมู่มวลมนุษย์ไม่เกิน 100 ปี ก็ต้องจากกันอยู่แล้ว
หมู่มวลมนุษย์ทั้งหลาย พระพุทธเจ้าถึงให้พาเราเข้าใจ แต่ก่อนก็มีศาสนาหลายศาสนา ก่อนพระพุทธเจ้าโลกนี้ก็การเวียนว่ายตายเกิด ไม่มีที่จบ พระพุทธเจ้าโคดม ทำจน 6 ปี ก็แก้ปัญหาไม่ได้ เพราะว่าต้องไม่มาหยุดที่ความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้องในปัจจุบันนี้อย่างนี้ การดับทุกข์ของหมู่มวลมนุษย์เป็นอย่างนี้ ทุกศาสนาก็ต้องไปอย่างนี้ๆ เราจะได้มีเป็นมนุษย์อย่างถูกต้อง เราจะมีข้าราชการ ตำรวจ ทหาร อัยการ ผู้พิพากษา หรือว่าทุกคนจะได้ทำตามหน้าที่ของตัวเองอย่างถูกต้อง จะได้มีความสุข ความดับทุกข์ไปตั้งแต่เด็กๆ มีความสุขในการเรียนการศึกษา มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติอย่างนี้ จะได้พากันหยุดอบายมุข อบายภูมิ จะไม่ได้หลงเอาแค่ความสุขแค่เป็นมนุษย์รวย หรือว่าเป็นเทวดา จะได้ไม่มาแย่งขยะกัน ทุกคนทำได้ปฏิบัติได้
ความดับทุกข์มันไม่ใช่ไปอยู่แต่พวกนักบวชอย่างเดียว พวกนักบวชนี้คือพวกที่เสียสละทุกอย่าง เพื่อจะเป็นพระอรหันต์ขีณาสพ ประชาชนก็เสียสละเป็นพระโสดาบัน ถึงพระอนาคามี ถือว่ามากเพียงพอ แต่ก่อนเราไม่เข้าใจเอาแต่วัตถุอย่างเดียว มันไม่ได้พัฒนาใจอย่างนี้ มันเสียหาย เค้าเรียกว่าไม่รู้จักคำว่าศาสนา เอาโบสถ์ เอาวิหาร เอาเจดีย์ เอามัสยิด เอาอะไรเป็นศาสนาอะไรอย่างนี้มันไม่ใช่ พวกแสดงหนัง แสดงละคร มันไม่ใช่เรื่องจริงนะ แสดงจบแล้วมันจะจบไปตามหน้าที่ ก็หมายถึงเราทำตามความ ตามความรู้สึกเราก็ มันก็จบลงที่เค้าเอาเราไปเผา ไปฝัง แต่ว่าอวิชชามันยังอยู่ ยังหลงอยู่ ให้พากันเข้าใจนะ ทุกๆ ท่านทุกคนต้องพากันฝึก พากันปฏิบัติ เค้าเรียกว่าเข้าถึงภาคประพฤติ ภาคปฏิบัติ เข้าถึงกิจกรรม เรียกว่าศีล สมาธิ ปัญญา หมู่มวลมนุษย์ก็จะได้มีความสุขกัน จะได้รู้จักพระศาสนา ศาสนานี้เป็นสิ่งที่สูงสุด เป็นเรื่องพัฒนาจิตใจ อย่างนี้แหละมันจะได้แก้ปัญหาที่ถูกต้อง เราจะไม่พลัดถิ่นพเนจร หาเงินในประเทศต่างประเทศ ความสุขความดับทุกข์มันอยู่ที่ปัจจุบันของท่านทั้งหลาย ทุกท่านทุกคนในปัจจุบัน
ชีวิตของคนเราทุกๆ คนนี้เหมือนละครนะ ละครที่เค้าแต่งกัน เป็นเรื่องเป็นราว มันเป็นอย่างนั้นแหละ... เดี๋ยวนี้เค้ากำลังให้เราแสดง ละครกันนะ
อันโลกนี้เหมือนโรงละคร ปวงนิกรเราท่านเกิดมา
ต่างร่ายรำทำทีท่า ตามลีลาของบทละคร
บางครั้งก็เศร้า บางคราวก็โศก บางทีก็ทุกข์หัวอกสะท้อน
มีร้างมีรักมีจากมีจร พอจบละครชีวิตก็ลา
อันวรรคตอนละครชีวิต เป็นสิ่งน่าคิดพินิจหนักหนา
กว่าฉากจะปิดชีวิตจะลา ต้องทรมากันสุดประมาณ
ชีวิตเหมือนละครทุกตอนบท มีสลดโศกเศร้าเคล้าสุขสันต์
มีหัวเราะร้องไห้รักใคร่กัน ที่สุดนั้นหลุมฝังศพจบการแสดง
ดูละครโขนหนังแล้วยั้งจิต มองชีวิตการเล่นเช่นโขนหนัง
มีทั้งโศกมีทั้งสุขทุกข์ประดัง ไม่กี่ครั้งก็ลาลับกลับเข้าโลง.
ใครเป็นคนให้เราแสดงละครล่ะ..เดี๋ยวนี้ ? คนที่ให้เราแสดงละครก็ได้แก่ พญามาร' ที่มันอยู่ในจิตในใจของเรา มีทั้งพญามารมีทั้งเสนามาร เทวบุตรมาร ลูกหลานพญามาร ล้วนแต่เป็นมารทางจิตทางใจเราทั้งนั้น มันให้เราทำ ให้เราปฏิบัติ ให้เราแสดง
"พระพุทธเจ้าท่านให้เราทุกคนมองใจของเรานะว่ามีพญามารมาก น้อยเท่าไหร่ ทั้งตัวเล็กตัวใหญ่น่ะ...?" พระพุทธเจ้าท่านถึงเมตตาเรา เมื่อมันมีพญามาร ก็ต้องมีพระพุทธเจ้าที่จะมาแก้
เราทุกคนต้องตั้งมั่นในพระพุทธเจ้า ตั้งมั่นในพระธรรมเราถึงจะได้เป็นพระอริยสงฆ์ พยายามมาแก้ที่จิตที่ใจที่ตัวเอง อย่าได้พากันหลง เพลิดเพลินในความสุขความสะดวกสบาย ในความร่ำความรวย ความมี ความเป็น ทุกท่านทุกคนน่ะเวลาลาละสังขารไป เอาเงินเอาสตางค์ไปด้วยไม่ได้นะ เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์เป็นผู้ประเสริฐแล้ว จิตใจไม่ประเสริฐ จิตใจไปหลงตามพญามาร เทวบุตร เทวธิดาพญามาร ชีวิตของเรานี้แย่เลยนะ
พระพุทธเจ้าท่านให้ทุกท่านทุกคนกลับมาหาความสงบ อย่าได้พากันวิ่งตามความอยาก วิ่งตามอารมณ์ ความสวย ความเพลิดเพลิน ความเอร็ดอร่อยนี้ มันเป็นเหยื่อ เป็นรางวัลสินจ้างให้พวกเราทุกคนหลงเพ้อละเมอฝัน ฝันทั้งกลางวันกลางคืน ไม่นอนก็ฝันแล้ว มันหลับ มันก็ยังฝัน คิดว่าตัวเองได้บริโภคสิ่งที่ดีๆ แล้วมันจะมีความสุข ที่ไหนได้ มีแต่ทุกข์ทั้งนั้น ถ้าเราตามอารณ์ ตามความคิด ตามความอยากไปแย่เลยนะเรานี้
เรามาทำเหมือนพระพุทธเจ้า คนเรานะ...ถ้าใจไม่มีความโลภ ความอยากความต้องการ มีแต่เป็นผู้ให้ มีแต่เป็นผู้เสียสละ มันมีความสุขมาก
เราเป็นพระ เราเป็นชี เราก็ปฏิบัติอยู่ที่วัด เราเป็นญาติเป็นโยมเราก็ปฏิบัติที่บ้านที่ทำงาน เพราะทุกอย่างมันแก้ที่ตัวเรา ที่ปฏิปทาของเราเองพระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราผัดวันประกันพรุ่ง
ถ้าเราแก้ตัวเองได้ ทุกหนทุกแห่งก็จะเป็นที่อยู่ที่มีความสุข เพราะปัญหาทุกอย่างมันอยู่ที่ตัวของเราเอง อย่าไปคิดว่าเป็นเพราะสิ่งโน้นสิ่งนั้น สิ่งนี้มาลิดรอนสิทธิเสรีภาพของเรา มันเป็นเพราะเราเองนี้แหละเราสร้างตัวเองปฏิบัติตัวเอง จะได้พึ่งพาอาศัยตัวเองได้และคนอื่นเค้าก็จะได้พึ่งพาอาศัยตัวเราได้ แล้วทุกอย่างมันจะดี เรตติ้งของการเป็นมนุษย์มันก็จะสูงขึ้น ดีขึ้น ทุกคนก็จะต้องการเรา การบอกสอน หรือการนำทุกคนทำความดีมันก็จะง่ายขึ้น เพราะการประพฤติปฏิบัติมันแจ่มแจ้งในกาย วาจา ใจของเรา ว่าปฏิบัติอย่างนี้มันใช้ได้ ดับทุกข์ได้ เพราะมนุษย์เราเกิดมาถือว่าเป็นผู้ที่ประเสริฐ เป็นผู้ที่เกิดมาเพื่อสร้างความดี สร้างบารมี สร้างคุณธรรม
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.