แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันพฤหัสบดีที่ ๒๑ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง เข้าพรรษาเข้าหาธรรม ตอนที่ ๔๕ ไม่มีแสงสว่างใดใดในโลก ที่เสมอด้วยปัญญา ที่มาจากการปฏิบัติภาวนา
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
การเรียนการศึกษาเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของความเป็นมนุษย์ เราถึงมีโครงสร้างในการเรียนการศึกษาตั้งแต่ยังเด็กๆ อายุ 3 ขวบเข้าอนุบาลศึกษาต่อไปเรื่อยๆ จนถึงจบปริญญาเอก ทางธรรมก็ตั้งแต่นักธรรมตรีจนถึงเปรียญธรรม 9 ประโยค เพราะมนุษย์เราคือผู้ที่ประเสริฐต้องมีความเห็นถูกต้องมีความเข้าใจถูกต้องและผ่านการปฏิบัติให้ถูกต้อง นี้เป็นทางเดินชีวิตของเราทุกๆ คน การศึกษาถึงมีความจำเป็น ให้ทุกคนที่เกิดมาได้รับทราบว่าการเรียนการศึกษานี้เป็นสิ่งที่จำเป็น เมื่อเข้าใจจะไดมีโอกาสทำอย่างถูกต้องปฏิบัติที่ถูกต้อง เราดูตัวอย่างแบบอย่างที่เขาไม่ได้เรียนไม่ได้ศึกษาเป็นคนบ้านป่าบ้านดง เขาก็ไม่เก่งเขาก็ไม่ฉลาด การศึกษามันมีอยู่กับเราทุกๆ คนในชีวิตประจำวัน จากตาเราเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกดมกลิ่น ลิ้นลิ้มรสของอาหาร โผฏฐัพพะคือสิ่งที่กระทบกับร่างกาย ธรรมารมณ์คืออารมณ์ที่เกิดขึ้นที่ใจ เราทุกคนต้องรู้จักว่านี่คือการเรียนการศึกษา เราจะได้ปฏิบัติต่อสิ่งที่มาเกี่ยวข้องกับเราอย่างถูกต้อง
การเวียนว่ายตายเกิดของเรานะมันเกิดจากความไม่เห็นความไม่เข้าใจ ที่พระพุทธเจ้าตรัสบอกว่า เพราะไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ ไม่รู้ความดับทุกข์ ไม่รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เรียกว่าไม่รู้อริยสัจ 4 เราเลยทำทั้งผิดทั้งถูก เราถึงเป็นได้แต่เพียงคน ทุกคนจะไปมองข้ามตาหูจมูกลิ้นกายใจในปัจจุบันนี้ไปไม่ได้ เพราะเรามันตกอยู่ในสัญชาตญาณ สัญชาตญาณก็แปลว่า ความหลง ความไม่รู้ ความรู้ก็เป็นตัวเป็นตนเป็นความยึดมั่นถือมั่น เรามีตาก็ต้องให้เกิดปัญญา มีหูก็ต้องให้เกิดปัญญา มีจมูกลิ้นกายใจก็ต้องให้เกิดปัญญา คนเราต้องมีความสงบ อย่าไปวิ่งตามอวิชชาอย่าไปวิ่งตามความหลง คนเราต้องมีปัญญาต้องไม่มีตัวตน ให้พากันเข้าใจอย่างนี้
แม้เราจะมีรูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณนี้ ที่มันเป็นสังขารที่มีใจครอง มีใจครองจริง แต่มันก็ครองด้วยอวิชชาครองด้วยความหลง พระพุทธเจ้าจึงให้เราทุกคนข้ามตัวข้ามตน ข้ามจากห้วงความหลงให้เป็นพุทธะ ข้ามจากทะเลมหาสมุทรแห่งความทุกข์ที่เราเวียนว่ายตายเกิด ให้เข้าถึงฝั่งคือพระนิพพาน เราจึงต้องเข้าใจ
คำว่า โอฆะ แปลว่า ห้วงน้ำ ท่านนำมาใช้เป็นชื่อของกิเลส ๔ ประเภท ว่าเป็นเหมือนห้วงน้ำใหญ่ เพราะว่าห้วงน้ำใหญ่นั้น ไม่ว่าอะไรจะตกลงไปก็ตาม ย่อมซัดพัดพาสิ่งเหล่านั้นไปด้วยกระแสของตน สิ่งที่ตกลงในกระแสน้ำย่อมขาดความเป็นตัวของตัวเอง จนถึงกับต้องเป็นอันตรายเพราะห้วงน้ำฉันใด ใจของคนที่ถูกวังวน คือกิเลสพัดพาไปก็จะมีลักษณะเช่นเดียวกัน ฉันนั้น โอฆะ ๔ ประการเหล่านั้นคือ
๑. กาโมฆะ - โอฆะคือกาม ได้แก่ ความใคร่ ความพอใจ ความยินดี ความปรารถนา ความต้องการและความอยากได้ในสิ่งต่างๆที่เป็นวัตถุกาม คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันตนผูกใจว่าสิ่งเหล่านั้น น่าใคร่ น่าปรารถนา น่าพอใจ และภายในจิตของตนได้มี "กามธาตุ" คือ ธาตุความใคร่ในสิ่งนั้นอยู่ เมื่อเป็นเช่นนี้ จิตของเขาก็จะดำริถึงรูปเป็นต้นเหล่านั้นด้วยแรงปรารถนา จากการดำริถึงด้วยความใคร่นี้เอง ทำให้ความเร่าร้อนเพราะแรงปรารถนา เกิดขึ้น จึงมีการแสวงหา เพื่อสนองตอบความต้องการของตน ด้วยทางถูกบ้างผิดบ้าง จนได้สิ่งเหล่านั้นมาไว้ในครอบครอง แต่ก็ต้องเป็นทุกข์ด้วยการรักษา การเสื่อมสลายหรือแตกดับไปของสิ่งเหล่านั้น ทุกช่วงของความคิดที่เกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้น ใจของบุคคลเหมือนถูกท่วมทับด้วยกระแสน้ำ ยิ่งคิดมาก แสวงหามาก ได้มามาก จิตก็จะถูกท่วมทับด้วยแรงความใคร่ได้ใคร่มีในวัตถุกามเหล่านั้น จนหาที่สิ้นสุดไม่ได้ เพราะใจของคนที่ถูกท่วมทับด้วยกาโมฆะ เป็นจิตที่พร่องอยู่เป็นนิตย์ไม่อาจให้เต็มให้อิ่มได้ ด้วยการพยายามตอบสนองความต้องการที่เกิดขึ้น ความทุกข์ที่เกิดจากกาโมฆะท่วมทับ จนต้องเหนื่อยยากลำบาก ในการแสวงหาเป็นต้นจะเกิดขึ้นหาที่สิ้นสุดไม่ได้
๒ . ภโวฆะ – โอฆะคือภพ ได้แก่ ความใคร่ในความมีความเป็น เพราะความฝังใจว่า ยศ ตำแหน่ง และฐานะนั้นๆ เป็นภาวะที่นำความสุขความยิ่งใหญ่มาให้แก่ตน ทั้งในกาลปัจจุบันและอนาคต ทั้งชาติปัจจุบันและชาติหน้า ความใคร่ พอใจในฐานะต่างๆนั้น จะแสดงอาการออกมา ทำนองเดียวกับกาโมฆะ คือ จิตจะดำริถึงสิ่งที่ตนพอใจมากๆ จนเกิดการกำหนดหมายที่จะได้ฐานะนั้นๆ เกิดความเร่าร้อน เพราะแรงปรารถนาจนต้องแสวงหาต่อสู้แย่งชิงกัน จนบางครั้งมีการล้มตาย มีคนเป็นจำนวนไม่น้อยเลย ที่ความปรารถนาของตนยังไม่เต็ม แต่ต้องตายไปก่อน ยิ่งเป็นความต้องการให้ภาวะที่ตนต้องการบังเกิดขึ้น ในอนาคตด้วยแล้ว จิตจะมีแต่ความวิตกกังวล ขาดความเป็นอิสระ จิตของเขาเป็นเหมือนถูกท่วมทับด้วยกระแสน้ำ เมื่อเป็นเช่นนี้ เป็นการยากที่จะทำตนให้สวัสดีได้
๓. ทิฎโฐฆะ – โอฆะคือทิฏฐิ คำว่า ทิฏฐิ แปลว่าความเห็น โดยปกติแล้วเป็นคำกลางๆ คือไม่มีความหมายว่าดีหรือชั่ว แต่เมื่อมาเพียงคำเดียว ไม่มีคำอื่นต่อหน้าหรือหลัง ท่านหมายเอาความเห็นที่ไม่ดี ในที่นี้มีความหมายไปในทางไม่ดีโดยตรง เพราะเป็นชื่อของกิเลส ความเห็นที่เป็นโอฆะคือทิฏฐิ เช่น เห็นว่าทำดีไม่ได้ดี ทำชั่วไม่ได้ชั่ว มารดาบิดาไม่มีคุณ กรรมที่ได้ชื่อว่าบุญบาปไม่มี การกระทำที่ว่าเป็นดีเป็นชั่วจึงไม่มีผลที่เกิดขึ้นในชีวิตของคน ไม่มีเหตุชาติก่อน ไม่มีชาติหน้า เป็นต้น ความเห็นผิดในลักษณะต่างๆนี้ มีอิทธิพลอย่างสำคัญในชีวิตของคน เพราะคนเราจะทำ จะพูดทางกาย ทางวาจานั้น เกิดมาจากความเห็นภายในจิตใจของเขา เป็นสำคัญ เมื่อความเห็นผิด การกระทำของเขาก็จะผิดตามไปด้วย และที่เป็นอันตรายมากคือ เมื่อเขาปฏิเสธบาปบุญทั้งที่เป็นส่วนเหตุและผล จะทำให้เขาขาดความรับผิดชอบในการกระทำ โอฆะคือทิฏฐิจะท่วมทับใจของเขา ให้ไหลไปตามอำนาจของทิฏฐิ คือ ความเห็นผิด ซึ่งมีความทุกข์ความเดือดร้อนเป็นผลทั้งแก่ตน และคนอื่น ทั้งโลกนี้และโลกหน้า
๔. อวิชโชฆะ – โอฆะคืออวิชชาความเขลา ไม่รู้แจ้งเห็นจริงในสิ่งทั้งหลาย ซึ่งท่านจัดเป็นอวิชชา ๘ ประการ ดังกล่าวแล้ว คือความไม่รู้จริงในทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ไม่รู้จริงในเรื่องอดีตกาล ในเรื่องอนาคตกาล ทั้งอดีตและอนาคตกาล และไม่รู้ธรรมทั้งหลายที่เป็นปัจจัยของกันและกัน อาศัยกันและกันเกิดขึ้น คือ ไม่รู้กฏปฏิจจสมุปบาท
ผลเสียของจิตใจที่ถูกโอฆะท่วมทับ
- ห้วงน้ำคือกาม เมื่อท่วมทับใจบุคคลใดแล้ว ทำให้ใจของบุคคลนั้น ซัดส่ายไปหารูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันน่าใคร่ น่าปรารถนา น่าพอใจ ต้องมีความวิตกกังวล เร่าร้อน ผจญอุปสรรค เหน็ดเหนื่อย เพราะวัตถุกามที่ตนใคร่ ตนแสวงหา และได้มาไว้ในครอบครอง เมื่อสิ่งเหล่านี้เสื่อมสลายไป เปลี่ยนแปลงไป ก็เกิดความทุกข์โทมนัส หมุนเวียนกันอยู่อย่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุด ความรู้สึกเป็นอิสระสุขสบาย อย่างแท้จริงจะเกิดขึ้นได้โดยยาก
- ห้วงน้ำคือภพ ทำให้จิตใคร่ในความเป็นต่างๆ ที่สังคมยอมรับ และตนเห็นว่าดี เมื่อห้วงน้ำคือภพครอบงำจิต ความคิดของตนจะหมุนวนอยู่ด้วยการกำหนดหมายว่า ฐานะ ตำแหน่ง ชั้น ยศ ภพ อย่างนั้นอย่างนี้น่าพอใจ จิตจะดำริถึงแต่เรื่องนั้นๆ จนเกิดความเร่าร้อนเพราะแรงปรารถนา จากนั้นการแสวงหาสิ่งนั้น จะเกิดขึ้นด้วยความเหนื่อยยากลำบากมีการต่อสู้แย่งชิงกัน และต้องเกิดความทุกข์โทมนัส เมื่อฐานะตำแหน่งของตน ต้องเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ตนไม่ต้องการ
- ห้วงน้ำคือทิฏฐิ เมื่อไหลมาท่วมทับจิตใจใคร ทำให้บุคคลผู้นั้น มีความคิดเห็นห่างไกลจากความจริงออกไป จนปฏิเสธสัจธรรมทั้งหลาย ใจของเขาจะประกอบด้วยมโนทุจริต การคิด การพูด การกระทำ จะมากไปด้วยบาปอกุศลอันมีผลเป็นความทุกข์ความเดือดร้อน เพราะการไหลไปตามอำนาจของกิเลส พัฒนาการในด้านจิตใจจะเกิดขึ้นได้ยาก หากยังไม่ยอมปรับจิตของตนให้ถูกต้องตามธรรม
- ห้วงน้ำคืออวิชชา ถือว่าเป็นตัวการสำคัญ อันนำสัตว์เข้าสู่ความมืดบอดทางปัญญา เพราะอวิชชาความไม่รู้จริงนี้เอง ที่ทำให้คนมีความหลง มัวเมา งมงาย ไร้เหตุผล ไม่ทราบปัญหาที่แท้จริงของชีวิต ของโลกและสังสารวัฏ คนที่ถูกห้วงน้ำคืออวิชชาพัดพาไป จะเป็นเหมือนเต่าตาบอด ตกอยู่ในกระแสน้ำ ย่อมไม่อาจพบความสวัสดีในชีวิตได้
สิ่งที่เป็นทำนบกั้นกระแสห้วงน้ำเหล่านี้โดยตรงคือสติปัญญา แต่เมื่อจะกล่าวเป็นข้อๆ ตามลำดับแล้ว บุคคลอาจอาศัยหลักธรรมต่อไปนี้ในการกั้นกระแสห้วงน้ำ คือ - อสุภสัญญา อสุภกรรมฐาน คือ การกำหนดหมายว่าไม่สวย ไม่งาม และการเจริญอสุภกรรมฐาน จะช่วยลด ทำลายห้วงน้ำคือกามได้
- ความมีสติระลึกถึงเหตุผล แล้วทำใจตนให้เกิดความยินดี ในฐานะที่ตนเป็น คือสันโดษ จะช่วยบรรเทาห้วงน้ำคือภพได้
- สัมมาทิฏฐิ คือปัญญาอันเห็นชอบในระดับต่างๆ จะผ่อนคลายทิฏฐิ อันเป็นความเห็นผิดให้เบาบาง จนถึงหมดสิ้นไปได้ในที่สุด
- จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา อันเป็นตัวปัญญาที่แท้จริง เมื่อบังเกิดขึ้นแล้ว ย่อมขจัดห้วงน้ำคืออวิชชาให้หมดไป ดุจพระอาทิตย์อุทัยกำจัดมืดให้หมดไปฉะนั้น
เราทุกคนต้องพากันเข้าใจ หนังสือตำรับตำราก็ได้พัฒนาร้อยกรองตามหลักเหตุผลตามหลักวิทยาศาสตร์มา เราต้องเข้าใจการศึกษา การศึกษานี้เพื่อที่ให้เรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ไม่ได้ศึกษาเพื่อจะให้เป็นตัวเราให้เป็นของเราให้เป็นตัวกูของกู การศึกษาอย่างนั้นเขาเรียกว่าเป็นการศึกษาไปสู่ความพินาศ ไม่ใช่เป็นการศึกษาไปสู่ความดับทุกข์ ยิ่งเรียนยิ่งศึกษาก็ยิ่งหลง ความหลงที่ปรากฏการณ์ให้เราเห็นที่มันเป็นคอรัปชั่น ก็เพราะการเรียนการศึกษาก็เพื่อตัวเพื่อตน เราทำงานก็เพื่อตัวเพื่อตน แม้แต่ผู้บวชในพระศาสนาก็ทำเพื่อตัวเพื่อตน ถึงจะเรียนธรรมะก็ไม่ใช่ธรรมะ มันยังเป็นตัวเป็นตน แทนที่ผู้ที่มาบวชในพระพุทธศาสนาจะอ่านจะศึกษาให้เข้าใจในหนังสือในสิ่งที่อาจารย์อธิบาย แต่ก็เป็นไปเพื่อตัวเพื่อตน การศึกษาในคณะสงฆ์จึงเป็นสิ่งที่ผิดพลาดเป็นสิ่งที่เสียหาย นี่พูดตามความเป็นจริง เพราะเราเรียนเราศึกษาไปเพื่อตัวกูของกูเพื่อตัวเราของเรา ไม่ได้เอายศเอาตำแหน่งพากันมาเสียสละ แต่ไปเอายศเอาตำแหน่งเพื่อเป็นตัวเราของเราเป็นตัวกูของกู จากคนบ้านป่าบ้านนอกบ้านนาบ้านทุ่งตามชนบทเรียนและศึกษาก็เพื่อตัวเพื่อตน ถือว่าเป็นการศึกษาเพื่ออวิชชาเพื่อความหลง ถึงแม้จะจบมาเป็นคุณครูเป็นอาจารย์จนถึงเป็นศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยขององค์กรต่างๆ มันก็ยังไม่ดีไม่ถูกต้องเพราะมีความเห็นแก่ตัวเป็นพื้นฐาน เพราะเมื่อเป็นเณรเป็นพระ ไม่ได้เสียสละทิฏติมานะอัตตาตัวตน ผู้ที่ลาสิกขาไปถึงไม่ต่างอะไรจากคนที่ไม่ได้เรียนไม่ได้ศึกษาธรรมะวินัย เพราะไม่ได้เอาทางธรรมไปใช้ ที่ผิดพลาดที่มองดูร่วมๆหลาย 10 ปี ถึงจะรู้ก็เสียเวลาน่าดู อย่างเด็กบ้านนอกบ้านนามาเป็นเด็กวัดอาศัยเข้าเรียนเข้าศึกษาแต่ก่อนก็นับว่าดีนะ แต่ในปัจจุบันก็ยิ่งแย่ลง
ทุกท่านทุกคนต้องพากันคิดนะเรื่องกตัญญูกตเวทีนี้เป็นเรื่องใหญ่ เรามาศึกษาทางตาก็ต้องปฏิบัติ ทางหูก็ต้องปฏิบัติ ในการเรียนหนังสือในตำรับตำราก็ต้องปฏิบัติ จากที่ครูบาอาจารย์บอกสั่งสอนก็ต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เพราะความดับทุกข์นั้น มันอยู่ทุกหนทุกแห่ง จะอยู่ในเมืองกรุงอยู่ที่ไหนๆ ถ้าเรารู้แล้วเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ จะอยู่ไหนมันก็สงบอยู่ทุกหนทุกแห่ง เพราะอันนี้เราจัดการตัวเราเองไม่ได้ไปจัดการคนอื่น
ประเทศไทยเรานี้ก็โชคดีที่องค์พระมหากษัตริย์ทรงเอาธรรมเป็นหลักเอาธรรมเป็นใหญ่ พระราชทานสมณศักดิ์ตั้งแต่สมเด็จพระสังฆราชจนถึงพระครูสัญญาบัตร ท่านให้ยศให้ตำแหน่งเราเพื่อให้พากันมาเสียสละ ไม่ใช่เพื่อให้มาได้มามีมาเป็น ถ้าไม่อย่างนั้นก็ไม่ต่างอะไรจากผู้ที่มาทำธุรกิจในการเรียนเป็นนักร้องนักคอนเสิร์ตที่ออกงานต่างๆ แล้วก็รับจ๊อบรับค่าตัว ถ้าเราเรียนเราถ้าไม่เข้าสู่ธรรมวินัยไม่เข้าสู่ภาคปฏิบัติ เราก็ไม่ต่างอะไรจากพวกคอนเสิร์ตหรือพวกนักร้องนักแสดงเลย ไปงานต่างๆ เสร็จพิธี เขาก็ให้ค่าตัวกลับวัด ถ้าเราไม่เข้าสู่ภาคปฏิบัติ ก็ถือว่าไม่ถูกต้อง ยังเป็นตัวเป็นตน ถ้าเราไปคิดอย่างสามัญชน เราจำเป็นต้องมีค่าใช้จ่ายต้องมีค่าอะไรต่างๆ การคิดอย่างนี้ก็ยังไม่เป็นพระศาสนา จึงให้พากันคิด เพราะความเป็นธรรมะน่ะ ถ้าเราเอาตัวเอาตนเป็นที่ตั้ง คอรัปชั่นก็ต้องเกิดแก่เราทุกคน เพราะทุกคนไม่ว่าจะเป็นอะไร เขาก็ต้องให้ค่าตอบแทนด้วยบูชาความดีของเราอยู่แล้ว ถ้าเราไม่มีความสุขในการทำงานอย่างนี้ มันก็ไม่ได้สร้างสรรค์ เราก็เป็นโรคจิต โรคประสาท โรคซึมเศร้า โรคอาหารไม่ย่อย โรคเครียด โรคนอนไม่หลับ เพราะความเป็นพระหรือว่าความเป็นพระศาสนาหรือว่าความเป็นธรรมมันจะเกิดขึ้นกับเราได้ยังไง จะเกิดกับคนอื่นได้ยังไง
เราจึงต้องพากันมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง อย่างพวกนักเรียนนักศึกษาก็เริ่มต้นเป็นคนมีศีลมีธรรมตั้งแต่เด็กๆ ผู้ที่เป็นครูอาจารย์ทหารตำรวจข้าราชการ เป็นพระสงฆ์องคเจ้าก็ต้องทำหน้าที่ของตนเองให้ถูกต้องสมบูรณ์ เราอย่าเอาประชาธิปไตยแบบตามอัธยาศัยเป็นที่ตั้ง ประชาธิปไตยก็ต้องประกอบด้วยธรรม เพราะประชาธิปไตยมันก็เป็นเรื่องของคนส่วนมากออกกฎหมาย แต่บางกฎหมายก็ยังไม่ใช่ความเป็นธรรม ยังมีอัตตาตัวตนที่ใช้เผด็จการ ต้องให้ความสุขความดับทุกข์มีอยู่ในเราทุกๆ คน อยู่ในนักเรียนนิสิตนักศึกษามหาวิทยาลัยต่างๆ ต้องพากันเข้าใจ เพราะทุกอย่างนั้นที่เราเป็นกลุ่มเป็นก้อนก็ล้วนมาจากภาษีอากรของประชาชน ไม่ว่าจะทำอะไรก็เป็นภาษีอากรของประชาชนทั้งนั้น ไม่ว่าของกินของใช้ของอำนวยความสะดวกสบายตั้งแต่เกิดจนหมดลมหายใจ คือมีการเสียภาษีอากรหมด ถ้าเราไม่มีความเห็นถูกต้อง ไม่มีความเข้าใจถูกต้องไม่มีความสุขในการละตัวละตน ไม่มีความสุขในการทำงานอย่างนี้ มันไม่ได้ เราอย่าไปคิดจนปวดหัวเลยว่า เอ๊… มันจะเป็นไปได้ยังไง มันเป็นไปได้ ถ้าเรามีความเห็นมีความเข้าใจแล้ว เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เพราะตัวเรามันก็คือจัดการตัวเรา ไม่ได้ไปจัดการคนอื่น จึงให้ศึกษาให้มันเข้าใจ ให้รู้อริยสัจ 4 รู้ทุกรู้เหตุเกิดทุกข์รู้ความดับทุกข์รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ รู้ทุกรู้เหตุเกิดทุกข์รู้ความดับทุกข์รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ต้องอาศัยการปฏิบัติติดต่อต่อเนื่อง
หลวงพ่อพุทธทาสภิกขุ เป็นพระภิกษุที่เพียบพร้อมไปด้วยศีลาจารวัตรและภูมิปัญญาอันสูงยิ่งในสังคมไทย ท่านเป็นรูปหนึ่งที่รอบรู้ทางการศึกษาและมองเห็นข้อบกพร่องของการศึกษาของไทย และได้เรียกการศึกษาในโลกปัจจุบันว่า “การศึกษาหมาหางด้วน” การศึกษาตามแบบปัจจุบันละเลยบทเรียนทางศีลธรรม การศึกษาที่ปราศจากการปลูกฝังจริยธรรม จึงเปรียบเหมือนสุนัขหางด้วนที่พยายามหลอกผู้อื่นว่า สุนัขหางด้วนเป็นสุนัขที่สวยงามกว่าสุนัขมีหาง ท่านจึงพยายามชี้ให้เห็นว่าสุนัขที่มีหางเป็นสุนัขที่สวยงาม การศึกษาจึงต้องเน้นบทเรียนทางศีลธรรม การศึกษาที่ไม่มีบทเรียนทางศีลธรรม ไม่เน้นภาคจริยศึกษา ย่อมไร้ประโยชน์ และอาจจะเป็นอันตรายต่อสังคมอีกด้วย “การศึกษาในปัจจุบันนี้ ทั้งโลกก็ว่าได้ มักมีแต่เพียงสองอย่าง คือ รู้หนังสือกับอาชีพแล้วก็ขมักเขม้นจัดกันอย่างดีที่สุด มันก็ไม่มีผลอะไรมากไปกว่าสองอย่างนั้น มันก็ยังขาดการศึกษาที่ทำให้มีความเป็นมนุษย์ที่ถูกต้องอยุ่นั้นเอง ดังนั้นอาตมาจึงเรียกการศึกษาชนิดนี้ว่า เป็นการศึกษาเหมือนกับหมาหางด้วน
ขอย้ำอีกที่หนึ่งว่า การศึกษาหมาหางด้วน มันรู้มาก รู้มาก แต่เรื่องหนังสือกับวิชาชีพ, แต่ไม่มีความรู้เสียเลย ว่าจะดับทุกข์ในจิตใจกันอย่างไร ฉะนั้นการศึกษาทั้วโลกเวลานี้เป็นการศึกษาหมาหางด้วน เพราะไม่ประกอบไปด้วยวิชชาที่ดับทุกข์, มีแต่วิชชาที่จะทำอะไรเพื่อปากเพื่อท้องเพื่ออาชีพ, พอเผลอเข้า ควบคุมไม่ได้,อันนั้นเกิดเป็นพิษขึ้นมา,เกิดปัญหาเกิดความทุกข์อะไรขึ้นมา เพราะวิชชาชนิดนั้น ไม่ควบคุมความโลภได้, ไม่ได้ควบคุมความโกรธได้, ไม่ควบคุมความหลงได้; นี้เราไม่เรียกว่าวิชชา, มีค่าเท่ากับอวิชชา. ตลอดเวลาที่เรายังไม่มีวิชชา เราก็ตกอยู่ใต้อำนาจสัญชาตญาณที่ปราศจากวิชชา, สัญชาตญานเดิมๆมีตัวตนแล้วก็เห็นแก่ตัวตน ยิ่งเห็นแก่ตัวตนก็ยิ่งไม่มีวิชชา ยิ่งมีอวิชชา อวิชชามาจากสัญชาตญาณแห่งการมีตัวตน ที่ไม่ได้รับการอบรม.”
การศึกษาที่เอาแบบตะวันตกและมุ่งพัฒนาวัตถุนั้น เป็นการศึกษาที่เน้นความรู้เพื่อความรู้ ซึ่งมักให้ผลเป็นสภาพ “ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด” เป็นเรื่องเกี่ยวกับทฤษฎีเป็นปรัชญา เป็นหลักการใช้เหตุผล แต่ไม่มีประโยชน์ในทางปฏิบัติ ไม่สามารถแก้ปัญหาส่วนตัว ปัญหาสังคม และทำให้ผู้เรียนพ้นทุกข์ได้ แม้แต่การเรียนพุทธศาสนาในปัจจุบันก็เป็นการเรียนแบบปรัชญา ไม่ใช่เรียนแบบศาสนา เป็นการฝึกการคิดเหตุผล และการพลิกแพลงทางภูมิปัญญาแต่ไม่ทำให้เข้าใจโลกและชีวิตตามความเป็นจริง
แม้แต่การศึกษาของบรรพชิต ท่านพุทธทาสก็เห็นว่าเป็นการศึกษาที่สูญเปล่า เช่น การศึกษาของสามเณร ก็มิได้มุ่งพัฒนาจิตตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า สามเณรเองก็ต้องการศึกษาเช่นเดียวกับนักเรียนฆราวาส ให้มีความรู้แบบฆราวาส ระบบสามเณรจึงสูญเปล่าเช่นเดียวกับการศึกษาของคนโดยทั่วไปซึ่งสรุปได้ว่าตามทัศนะของท่านพุทธทาส ระบบการศึกษาของไทยมุ่งส่งเสริมกิเลสตัณหาของมนุษย์ หากจะเป็นประโยชน์บ้างก็เพียงทำให้ประกอบอาชีพและมีรายได้ ซึ่งก็ได้มาเพื่อจับจ่ายสนองกิเลสตัณหาของมนุษย์เท่านั้น มิได้เป็นไปเพื่อความก้าวหน้าทางสติปัญญาและเพื่อความเจริญของจิตใจ ดังที่ท่านได้กล่าวปรารภว่า “ดูการศึกษาชั้นอนุบาล ดูการศึกษาชั้นประถม ดูการศึกษาชั้นมัธยม ดูการศึกษาชั้นวิทยาลัย มหาวิทยาลัย หรือถ้ามันจะมีอีก เป็นบรมมหาวิทยาลัยอะไรก็ตามใจ มันก็เป็นเรื่องให้ลุ่มหลง ในเรื่องกิน กาม เกียรติ ทั้งนั้น อย่างดีก็ให้สามารถในอาชีพ ก็ได้อาชีพแล้ว ได้เงินแล้ว ให้ทำอะไร? ให้ไปบูชาเรื่องกิน เรื่องกาม เรื่องเกียรติ มันไม่มีอะไรมากไปกว่านี้”
การที่เราร่ำเรียน เพื่อร่ำรวย ไม่ได้ผิดอะไร แต่เราควรร่ำเรียน เพื่อร่ำรวย ด้วยการมีศีลธรรม กำกับด้วย เพื่อให้เราอยู่ร่วมกันได้อย่าง สุข สงบ และสันติ
ที่โลกเรายังคงวุ่นวาย ไม่ใช่เพราะเราขาดแคลน คนเรียนเก่ง คนมีความรู้ โลกเรามีคนแบบนั้นมากมาย คนที่เราขาดแคลนคือ... เราขาดคนที่ใช้คุณธรรมนำความรู้ต่างหาก จะไปเรียนเรื่องต่างๆ ได้ปริญญา มาไม่รู้กี่สิบปริญญาแต่ไม่มีเรื่องดับทุกข์เลย ในทางธรรมะไม่เรียกว่าวิชชา, ต่อเมื่อมันมีส่วนแห่งการดับทุกข์ได้ จึงจะเรียกว่าวิชชา
ถ้ามีความรู้ทางโลกอย่างเดียว ไม่ว่าตนเองจะเป็นคนฉลาดเพียงใดก็มีโอกาสพลาดพลั้งได้ เช่น มีความรู้เรื่องปรมาณู อาจนำไปใช้ในทางสันติเป็นแหล่งพลังงาน หรือนำไปสร้างเป็นระเบิดทำลายล้างชีวิตมนุษย์ก็ได้ เราจึงต้องศึกษาความรู้ทางธรรมไว้คอยกำกับความรู้ทางโลกด้วย ความรู้ทางธรรมจะเป็น เสมือนดวงประทีปส่องให้เห็นว่า สิ่งที่กระทำนั้นถูกหรือผิด ควรหรือไม่ควร
ผู้ที่คิดแต่จะตักตวงความรู้ทางโลก แม้จะฉลาดร่ำรวย มีอำนาจสักปานใดก็ไม่น่ารัก ไม่น่าเคารพ ไม่น่ายำเกรง ไม่น่านับถือ ยังเป็นบุคคลประเภท เอาตัวไม่รอด “ความรู้ที่เกิดแก่คนพาล ย่อมนำความฉิบหายมาให้ เพราะเขาจะนำความรู้ไปใช้ในทางที่ผิดๆ”
เราทุกคนจึงควรจะแสวงหาโอกาสศึกษาทั้งทางโลกและทางธรรม และ รู้ให้ลึกซึ้งเกินกว่าการงานที่ตนรับผิดชอบ ความรู้ที่เกินมานี้ จะเป็นเสมือนดวงประทีปส่องให้ทางเบื้องหน้านำไปสู่ความสำเร็จได้โดยง่าย
ไม่มีแสงสว่างใดเสมอด้วยปัญญา (นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา) แสงอาทิตย์สว่างในกลางวัน แสงจันทร์สว่างในกลางคืน บางคืนก็ไม่สว่าง เช่นคืนข้างแรม แสงตะเกียง แสงไฟฟ้า เป็นต้น ล้วนแต่ไปจากปัญญาของมนุษย์ทั้งนั้น สัตว์โลกชนิดอื่นไม่มีปัญญาที่จะทำแสงสว่างให้เกิดขึ้นได้ คงอยู่ไปตามธรรมชาติ อาศัยแต่เฉพาะแสงอาทิตย์และแสงจันทร์เท่านั้น
อาศัยแสงสว่างคือปัญญา ทำให้มนุษย์สามารถสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ได้มากมาย ที่อำนวยความสุขความสะดวกสบายให้แก่หมู่มนุษย์ เช่น ที่อยู่อาศัย เครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ มากมาย เหลือที่จะพรรณนาได้ ซึ่งสัตว์เหล่าอื่นไม่มี เคยอยู่กันมาอย่างไรเมื่อแสนปีล้านปีก่อน ก็คงอยู่กันไปอย่างนั้น ทั้งนี้เพราะไม่มีแสงสว่างคือปัญญา
แต่ปัญญาของมนุษย์ ก็ได้สร้างเครื่องมือสำหรับทำลายมนุษย์ด้วยกันเอง และสัตว์อื่น มากมายเหมือนกัน เช่น อาวุธชนิดต่างๆ ตลอดถึงอาวุธสงคราม ระเบิดปรมาณูและขีปนาวุธเป็นต้น
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๒ สิ้นสุดลงปี พ.ศ. ๒๔๘๘ เมืองฮิโรชิมาและนางาซากิของญี่ปุ่นได้พังพินาศไปแล้ว ด้วยฤทธิ์ระเบิดปรมาณูของทหารอเมริกัน มีผู้ถามอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์นักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ว่า สงครามโลกครั้งที่ ๓ มนุษย์จะรบกันด้วยอะไร ไอน์สไตน์ตอบว่าไม่รู้ แต่สงครามโลกครั้งที่ ๔ มนุษย์จะต้องใช้ก้อนหินปากัน นั่นหมายความว่า สงครามโลกครั้งที่ ๓ มนุษย์จะใช้อาวุธที่ร้ายแรงถึงขนาดล้างโลกทีเดียว มนุษย์ต้องถอยหลังไปสมัยหินอีก จะจริงหรือไม่ใครจะเป็นคนคอยดู แสดงให้เห็นอีกอย่างหนึ่งว่า ปัญญาของมนุษย์นี้สร้างสรรค์ก็ได้ทำลายก็ได้ สุดแล้วแต่ว่าได้รับการควบคุมด้วยศีลธรรม หรือมโนธรรมเพียงไร ที่สำคัญมากอย่างหนึ่งก็คือ ความทุกข์ในใจของมนุษย์นั้น จะเอาชนะได้ด้วยปัญญา บุคคลจะบริสุทธิ์ได้ด้วยปัญญา
ปรัชญาของชีวิตในการเรียนการรู้การศึกษานี้เป็นสิ่งที่ดี แต่ก็ยัง ไม่ยิ่งเท่ากับนำตัวเองมาประพฤติมาปฏิบัติ การเสียสละและรับผิดชอบ มีความตั้งมั่น อนาคตบุคคลผู้นั้น ก็ย่อมเข้าถึงความสุขความดับทุกข์แน่นอน ชื่อว่า 'เป็นบุคคลที่มีหลักของชีวิต'
เพราะฉะนั้น เมื่อมีปัญหาเรื่องใดเกิดขึ้น ให้ใช้สติปัญญาพิจารณาไตร่ตรองเรื่องราวที่เกิดขึ้น ด้วยใจที่สงบเยือกเย็น ปัญหาทั้งหลายนั้นมีไว้ให้แก้ ไม่ได้มีไว้ให้กลุ้ม จงแก้ไขปัญหาด้วยสติปัญญา สติมาปัญญาจะเกิด สติเตลิด มักจะเกิดปัญหา ปัญญานี่แหละที่สามารถแก้ไขปัญหาได้ทุกเรื่อง ยิ่งจิตว่างจิตละเอียด ปัญญายิ่งละเอียดลึกซึ้ง ความรู้ความเห็นกว้างไกล ทำให้การตัดสินใจถูกต้อง มีวินิจฉัยไม่ผิดพลาด ดังพระบาลีว่า "นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา แสงสว่างเสมอ ด้วยปัญญาไม่มี" ยิ่งกว่านั้นแสงสว่างแห่งปัญญานี้ ยังสามารถขจัดกิเลสอาสวะ และครอบงำอวิชชาที่ปิดบังใจของชาวโลกได้ ทำให้เปลี่ยนจากคนธรรมดา มาเป็นผู้รู้แจ้งโลกได้ในที่สุด
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.