แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันศุกร์ที่ ๑๕ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง เข้าพรรษาเข้าหาธรรม ตอนที่ ๓๙ มีหลักการมีอุดมการณ์มีจุดยืน เพื่อมาสังคายนาตนเอง จัดการแก้ไขตนเองให้ถูกต้อง
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ประเทศไทยเราเมื่อมองดูการดำเนินชีวิตแล้ว สีขาวนั้นมีอยู่ 10% สีเทามีอยู่ 40% สีดำมีอยู่ 50% การปกครองประเทศต้องเอาธรรมะเป็นหลักเอาธรรมะเป็นการดำเนินชีวิต ที่ทำให้พวกเรามีสีขาว 10% สีเทา 40% สีดำ 50% นั้น เนื่องมาจากสาเหตุของความเห็นไม่ถูกต้องความเข้าใจไม่ถูกต้องการปฏิบัติไม่ถูกต้อง ประเทศไทยเรามีพระมหากษัตริย์เป็นผู้นำ พระมหากษัตริย์ของประเทศไทยเรานี้ดีมากมีหลักในการดำเนินชีวิตตามทศพิธราชธรรมที่เอาธรรมเป็นหลักเป็นใหญ่
สิ่งที่มีความจำเป็นของประเทศไทยเราคือผู้นำ ประเทศไทยเรามีการปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย ผู้มีอำนาจบริหารคือนายกรัฐมนตรี ถ้าได้นายกรัฐมนตรีดี ได้รัฐมนตรีที่เก่งที่ฉลาด ประเทศไทยเราถึงจะดำเนินไปได้ด้วยดี ดังนั้นประเทศไทยเราถ้าได้นักการเมืองดีมาบริหาร ประเทศไทยเราถึงจะไปได้ เพราะการพัฒนาประเทศ ต้องเป็นทั้งคนดี เป็นทั้งคนฉลาด การพัฒนาของเราถึงพัฒนาไปตามหลักเหตุผลหลักวิทยาศาสตร์ พร้อมทั้งพัฒนาเรื่องจิตเรื่องใจไปพร้อมๆ กัน
ทุกคนต้องพากันแก้ไขตนเอง ปฏิบัติตนเองให้มันได้ในปัจจุบัน เพราะสิ่งนี้มี สิ่งต่อไปมันถึงจะมีได้ เราจะไปเอาตัวตนไม่ได้ ต้องเอาธรรมะ ถึงทุกๆ คนนั้นจะยังไม่ได้เป็นพระอริยเจ้ายังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ก็ไม่เป็นไร เราต้องมีหลักการอย่างนี้ วันหนึ่งคืนหนึ่งมี ๒๔ ชั่วโมง เวลานอนของเราก็ ๖ ชั่วโมง ถึง ๘ ชั่วโมง ถ้าเราหลับสนิทไม่ถึง ๖ ชั่วโมง เราจะเอาระบบสมองสั่งงานทางร่างกายมันก็ไม่มีคุณภาพที่สมบูรณ์ จึงต้องพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อยไม่เกิน ๖ ชั่วโมง อย่างมากไม่เกิน ๘ ชั่วโมง นอกจากนั้นเป็นเวลาที่เราอยู่ในอิริยาบถทั้ง ๓ ยืน เดิน นั่ง ตลอดถึงการพูดและการทำงาน เราทุกคนต้องมีความสุขในการดำเนินชีวิตในการทำงาน คำว่าสุขก็ยังไม่ถูกต้อง พระพุทธเจ้าถึงใช้คำว่าที่สุดแห่งทุกข์หรือความดับทุกข์นั่นเอง
ประชาชนก็มีอยู่ ๒ จำพวก จำพวกหนึ่งก็ได้แก่บรรพชิตนักบวช มีจำพวกหนึ่งก็ได้แก่คฤหัสถ์ฆราวาสผู้ครองเรือน นักบวชนี้เรียกว่าบรรพชิต ไม่มีธุรกิจหน้าที่การงานอย่างอื่น นอกจากการเจริญสติคือความสงบ การเจริญสัมปชัญญะคือตัวปัญญา ไม่มีธุรกิจหน้าที่การงานอะไร บ้านก็ไม่ได้เช่า ข้าวก็ไม่ได้ซื้อ คฤหัสถ์เป็นผู้อำนวยความสะดวกความสบายให้สิทธิพิเศษในการดำเนินชีวิตในการปฏิบัติธรรม สำหรับคฤหัสถ์ผู้ที่ไม่ได้ออกบวช ก็ต้องประพฤติปฏิบัติธรรม เอาธรรมเป็นหลักเหมือนๆ กัน แต่ฆราวาสจะมีภาระมากในการทำมาหาเลี้ยงชีพ สำหรับตนเองญาติพี่น้องวงศ์ตระกูล เป็นผู้สนับสนุนเสียภาษีอากรให้กับประเทศให้กับแผ่นดิน แล้วก็ยังมีภาระสนับสนุนปัจจัย ๔ จีวร อาหารบิณฑบาต เสนาสนะ ยารักษาโรค ให้กับนักบวชอีก ฆราวาสจึงได้มีภาระมากแต่ถึงจะมีภาระมาก ก็ต้องทำให้ได้ ทำให้ถูกต้อง หมู่มวลมนุษย์ต้องมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ตามหลักเหตุผลตามหลักอริยสัจ ๔ เราทุกคนต้องมีความสุขในการดำเนินชีวิตในการปฏิบัติ เราถึงจะไม่พากันเป็นโรคจิต โรคประสาท โรคซึมเศร้าโรคที่ไม่มีความสุขที่เรียกว่าโรคทรัพย์จาง
ทุกๆ คนก็ต้องพากันทำหน้าที่ของตัวเองให้สมบูรณ์ ปรับตัวเองเข้าหาธรรมะเข้าหาเวลา ทุกคนนั้นจะตามใจตัวเองตามอารมณ์ตัวเองไม่ได้ เพราะเราทุกคนได้เกิดมาเป็นมนุษย์ซึ่งถือว่าเป็นผู้ที่ประเสริฐ เราจะมาตัดทอนจะมาทำลายชีวิตที่ประเสริฐนี้ไม่ได้นะ คำว่าตัดทอน ก็เหมือนกับต้นไม้ต้นหนึ่ง ไปตัดยอดตัดลำต้นให้มันต่ำลงให้มันเตี้ยลง และถึงกับถอนรากถอนโคน เราจะไปทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะเราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ซึ่งถือว่าเป็นผู้ที่ประเสริฐ เรายังไม่เข้าใจ ส่วนใหญ่เมื่อหมดอายุขัยไปจึงไม่สามารถกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกได้ หรือว่าเทวดาที่ได้รับความสะดวกสบายแล้วลงประมาทเพลิดเพลิน จะได้กลับไปเป็นเทวดาอีกก็ยาก
คำว่าทอนก็คือทำลาย คำว่าถอนก็คือไม่เหลือ เมื่อ ๔-๕ ปีก่อนที่มีปัญหาเกิดขึ้นเรื่องเงินทอนวัดของพระผู้ใหญ่ที่มีเรื่องมีปัญหากัน เขาจึงมีศัพท์ว่า “เงินทอนวัด”
การปกครองประเทศนี้ต้องปกครองด้วยหลักการหลักวิชาการด้วยเอาธรรมะเป็นหลักเอาธรรมะเป็นใหญ่ ผู้ที่เกิดมาก็ต้องดำเนินชีวิตให้ถูกต้องให้มีความสุขในการดำเนินชีวิต ทุกคนต้องเสียภาษีอากรให้กับส่วนรวมเรียกว่ารัฐ ไม่ว่าเราจะดื่มน้ำจะทานอะไรบริโภคอะไรพัสดุอะไรต่างๆ ทางเจ้าของโรงงานทางผู้ผลิตก็หักเปอร์เซ็นต์ที่เป็นภาษีไปในตัวในการซื้อการขาย การบริหารประเทศนี้เอาเงินภาษีอากรของประชาชนไปบริหาร ถ้าไม่อย่างนั้นก็ไม่มีเงินที่จะไปบริหารประเทศ ผู้ที่เป็นประชากรทุกคนก็ต้องทำให้ถูกต้องปฏิบัติให้ถูกต้อง ข้าราชการนักการเมืองก็ต้องทำให้ดีให้ถูกต้อง ผู้ที่มาบวชในทุกๆ ศาสนาก็ต้องทำให้ถูกต้อง เราถึงจะเรียกว่าไม่ทำร้ายไม่ทอนหรือว่าไม่ถอนรากถอนโคน อันนี้เป็นกรรมเป็นกฎแห่งกรรมของธรรมชาติ ให้ทุกๆ คนพากันมีจิตสำนึก ว่าเราต้องทำให้ถูกต้อง เพราะเราทำไม่ถูกต้องมันกระทบทุกหนทุกแห่ง เราต้องเข้าใจเรื่องกรรม เรื่องกฎแห่งกรรม
เมื่อหลายวันก่อนได้พูดเรื่องการพัฒนาวิทยาศาสตร์ การพัฒนาวิทยาศาสตร์นั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องและดีมาก เพื่อหมู่มวลมนุษย์ ที่มีสติ มีปัญญา ไม่ได้พัฒนาวิทยาศาสตร์มาเพื่อตัวเพื่อตน ที่ดำเนินชีวิตเป็นอยู่นี้ มันเป็นการพัฒนาวิทยาศาสตร์มาเพื่อตัวเพื่อตน เพื่อมั่งคั่ง เพื่อร่ำรวย ผู้ที่เข้าใจเรื่องเหตุผล หลักวิทยาศาสตร์ พวกที่หัวดี ปัญญามาก พวกที่การศึกษาสูง ถึงต้องเป็นทั้งคนฉลาด เป็นทั้งคนดี หรือว่าเป็นคนฉลาดเป็นคนมีปัญญา คนมีปัญญาที่แท้จริง มันต้องไม่มีตัวไม่มีตน ถ้าไม่อย่างนั้น การพัฒนาวิทยาศาสตร์มันก็ไปเพียงวัตถุ มันก็เข้าระบบเดียวกับเป็นประชาธิปไตยเพื่อความเห็นแก่ตัว หรือว่าเป็นสังคมนิยมเพื่อความเห็นแก่ตัว มันไม่ได้เป็นไปเพื่อความดับทุกข์ มันไม่ได้เป็นไปเพื่อมรรคผลพระนิพพาน ประชาชนอย่าได้พากันคิดว่า จะให้เราทำได้อย่างไร เพราะเรานี้ไม่ใช่พระ มันต้องได้ สิ่งที่ไม่ได้ ก็คือความเห็นยังไม่ถูกต้อง ความเข้าใจยังไม่ถูกต้อง เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านก็สอนเราให้มีสติหรือความสงบ มีสัมปชัญญะคือตัวปัญญา ชีวิตของเราต้องดำเนินไปตามธรรมะ ได้แก่ปัญญา ศีล สมาธิ ความตั้งมั่น ศีลคือภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ที่จริงแล้วมันไม่ยากหรอก ที่มันยากก็เพราะเราจะให้มันมีตัวมีตน มันถึงยาก
เราได้ขาดตัวอย่างแบบอย่าง เราได้ขาดผู้นำ เมื่อหลังพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธพระนิพพาน ประมาณ ๒๓๐ ปีเศษ พระพุทธศาสนาได้ตกต่ำ เพราะได้ทิ้งหลักการหลักวิชาการ เอาตัวตนเป็นหลัก พระอรหันต์ขีณาสพลดน้อยลงเกือบจะสูญสิ้นไปจากโลก พระเจ้าอโศกมหาราชทรงมีพระราชศรัทธา ทรงมีสัมมาทิฏฐิ จึงได้อาราธนาภิกษุที่ปลอมบวชมาอาศัยพระศาสนา ที่เห็นว่าย่อหย่อนอ่อนแอ ไม่ปฏิบัติตามกฎตามระเบียบ ตามพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ ทรงประทานผ้าขาวคือให้ลาสิกขาไป เพื่อปรับปรุงแก้ไข หลังจากนั้นจึงได้มีพระอรหันต์เกิดขึ้นใหม่อีกหลายหมื่นหลายแสนรูป
ครั้งหนึ่งในอดีต “พระเจ้าอโศกมหาราช” ทรงร่วมปฏิรูปพระศาสนา จับสึกพระอลัชชีผู้ตกอยู่ใต้อำนาจกิเลส สั่งสมของมัวเมาในลาภสักการะ เหลวไหลในเกียรติ เห่อเหิมและเพลิดเพลินในโลกียวัตถุ จากนั้นทรงเป็นศาสนูปถัมภกในการสังคยานา และส่งสมณทูตประกาศพระพุทธศาสนา
เมื่อเกิดเหตุการณ์นักบวชนอกศาสนามาปลอมบวช เพื่อหวังลาภสักการะและบิดเบือนคำสอนองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระเจ้าอโศกมหาราช (AShoka the great) แห่งราชวงศ์ โมริยะ กษัตริย์ผู้ปกครองดินแดนอินเดีย (พ.ศ.276 - พ.ศ.312) พระองค์ ทรงมีพระทัยเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอย่างแรงกล้า ได้ทรงทำนุบำรุงพุทธศาสนา เช่นทรงสร้างวัด วิหาร พระสถูป พระเจดีย์ และหลักศิลาจารึกเป็นต้น ได้บำรุง พระภิกษุสงฆ์ด้วยปัจจัย ๔ คือ อาหาร ที่อยู่ อาศัย เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค การที่พระองค์ทรงบำรุงพระภิกษุสงฆ์เช่นนี้ ก็เพื่อจะได้พระภิกษุในพุทธศาสนาได้รับความสะดวก มีโอกาสบำเพ็ญสมณธรรมได้เต็มที่ ไม่ต้องกังวลในการแสวงหาปัจจัย ๔ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น
แต่กลับปรากฏว่ามีพวกนักบวชนอกศาสนาเป็นจำนวนมาก ปลอมบวชในพุทธศาสนา เพราะเห็นแก่ลาภสักการะ เมื่อบวชแล้วก็คงสั่งสอนลัทธิศาสนาเก่าของตน โดยอ้างว่าเป็นคำสอนของพุทธศาสนา แสดงลัทธิธรรมให้ผิดคลองพระพุทธบัญญัติกระทำให้สังฆมณฑลยุ่งเหยิง แตกสามัคคีด้วยสัทธรรมปฏิรูป
ข้อนี้ทำให้พระโมคคัลลีบุตรติสสะเถระ (คนละรูปกับพระมหาโมคคัลลานะเถระในพุทธกาล) ซึ่งเป็นผู้ที่มีความแตกฉานในพระไตรปิฎก เกิดความระอาใจต่อการประพฤติปฏิบัติของเหล่าพระภิกษุอลัชชีที่ปลอมบวชทั้งหลาย จึงได้ปลีกตัวไปอยู่ที่ ถ้ำอุโธตังคบรรพต เจริญวิเวกสมาบัติอยู่ที่นั้นอย่างเงียบๆ เป็นเวลา ๗ ปี และมอบภารกิจคณะสงฆ์ให้พระมหินทเถระดูแลแทน
ในสมัยนั้นจำนวนของพระอลัชชี มีมากกว่าพระภิกษุแท้ๆ จึงทำให้ต้องหยุดการทำอุโบสถสังฆกรรมถึง ๗ ปี เพราะเหตุที่พระสงฆ์ ผู้มีศีลบริสุทธิ์ไม่ยอมร่วมกับพระอลัชชีเหล่านั้น
จึงทำให้พระเจ้าอโศกมหาราชไม่สบายพระหฤทัยในการแตกแยกของพระสงฆ์ ทรงปวารณาจะให้พระสงฆ์เหล่านั้นสามัคคีกัน จึงได้ตรัสสั่งให้อำมาตย์หาทางสามัคคี ฝ่ายอำมาตย์ฟังพระดำรัสไม่แจ้งชัด สำคัญผิดในหน้าที่ จึงได้ทำความผิดอันร้ายแรง คือ ได้บังคับให้พระภิกษุบริสุทธิ์ทำอุโบสถร่วมกับพระอลัชชี พระภิกษุผู้บริสุทธิ์ต่างปฏิเสธที่จะร่วมอุโบสถสังฆกรรม อำมาตย์จึงตัดศีรษะเสียหลายองค์
เมื่อพระเจ้าอโศกมหาราชทราบข่าวนี้ ทรงตกพระทัยยิ่งจึงเสด็จไปขอขมาโทษต่อพระภิกษุที่อาราม และได้ตรัสถามสงฆ์ว่า การที่อำมาตย์ได้ทำความผิดเช่นนี้ ความผิดจะตกมาถึงพระองค์หรือไม่ พระสงฆ์ถวายคำตอบไม่ตรงกัน บ้างก็ว่า ความผิดจะตกมาถึงพระองค์ด้วยเพราะอำมาตย์ทำตามคำสั่ง แต่บางองค์ก็ตอบว่าไม่ถึงเพราะไม่มีเจตนา
คำวิสัชนาที่ขัดแย้งกันเช่นนี้ทำให้พระเจ้าอโศกมหาราชกระวนกระวายพระทัยยิ่งนัก ทรงปรารถนาที่จะให้พระภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง ผู้มีความสามารถและแตกฉานในพระธรรมวินัยถวายคำวิสัชนาอย่างแจ่มแจ้ง จึงได้ตรัสถามถึง พระภิกษุเหล่านั้นก็ได้ตรัสตอบว่า มีแต่พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระรูปเดียวเท่านั้นที่อาจแก้ความสงสัยได้
พระเจ้าอโศกมหาราช จึงได้ส่งสาส์นไปอาราธนาพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ ให้ท่านเดินทางมายังเมืองปาฏลีบุตร แต่ไม่สำเร็จ เพราะพระเถระไม่ยอมเดินทางมาตามคำอาราธนา พระเจ้าอโศกมหาราชก็ทรงไม่หมดความพยายาม จึงได้รับสั่งให้พนักงานออกเดินทางโดยทางเรือรบท่านตามคำแนะนำของพระติสสะเถระ ผู้เป็นพระอาจารย์ของโมคคัลลีบุตรติสสะเถระ
ในที่สุดพระเถระก็ยอมมาและในวันที่ท่านเดินทางมาถึงนั้น พระเจ้าอโศกมหาราชได้เสด็จไปรับพระเถระด้วยพระองค์เอง ได้เสด็จลุยน้ำไปถึงพระชานุ แล้วยื่นพระกรให้พระเถระจับและตรัสว่า "ขอพระคุณท่านจงสงเคราะห์ข้าพเจ้าเถิด" แล้วได้นำท่านไปสู่อุทยาน ได้ทรงแสดงความเคารพพระเถระอย่างสูง และได้ตรัสถามพระเถระว่า การที่อำมาตย์ได้ตัดศีรษะพระภิกษุนั้นจะเป็นบาปกรรมตกถึงตนหรือไม่ พระเถระได้ตอบว่า “มหาบพิตร จะเป็นเป็นบาปได้ก็ต่อเมื่อพระองค์มีเจตนาที่จะฆ่าเท่านั้น”
คำวิสัชนาของพระเถระนั้น ทำให้พระองค์ทรงพอพระทัยมาก
ฝ่ายพระอลัชชีผู้ปลอมบวชในพุทธศาสนานั้นก็ยังพยายามที่จะประกอบมิจฉาชีพอยู่ต่อไป พระเหล่านั้นได้มัวเมาหลงใหลในลาภสักการะไม่พอใจในการปฏิบัติธรรม อาศัยผ้าเหลืองเลี้ยงชีพ ประพฤติผิดธรรมวินัยไม่สำรวมระวังในสีลาจารวัตร เที่ยวอวดอ้างคุณสมบัติโดยอาการต่างๆ เพื่อหลอกลวงประชาชนให้หลงเชื่อ เพื่อหาลาภสักการะเข้าตัว เพราะเหตุนี้จึงทำให้พระสัทธรรมอันบริสุทธิ์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องพลอยด่างพร้อยไปด้วย ความอลเวงได้เกิดขึ้นในวงการของพุทธศาสนาทั่วไปลาภสักการะมีอำนาจเหนือ อุดมคติของผู้เห็นแก่ได้
แม้กระทั่งผู้ทรงเพศเป็นพระภิกษุห่มเหลือง ก็ยังตกอยู่ภายใต้อำนาจของมัน ที่จริงผู้มีลาภคือผู้มีบุญ แต่มัวเมาในลาภคือสั่งสมบาป การที่พระได้ของมามากๆ จากประชาชนที่เขาบริจาคด้วยศรัทธานั้น นับว่าเป็นการดีไม่มีผิด แต่การที่พระสั่งสมของมัวเมาในลาภ เหลวไหลในเกียรติ เห่อเหิมและเพลิดเพลินในโลกียวัตถุ จนลืมหน้าที่ของตนนั้นนับว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง
เริ่มกระบวนการกวาดล้างพระอลัชชี เพื่อทำพระพุทธศาสนาให้บริสุทธิ์ พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ ได้ถวายเทศนาแก่พระเจ้าอโศกมหาราช จนพระองค์ทรงมีความเลื่อมใส และซาบซึ้งในหลักธรรมอันบริสุทธิ์ของพระพุทธองค์ ได้ประทับอยู่ที่อุทยานนับเป็นเวลา ๗ วัน เพื่อชำระพระศาสนาให้บริสุทธิ์จากเดียรถีย์ที่เข้ามาปลอมบวช ในวันที่ ๗ พระองค์ได้ประกาศบอกนัดให้พระภิกษุที่อยู่ในชมพูทวีปทั้งสิ้น ให้มาประชุมที่อโศการามเพื่อชำระความบริสุทธิ์ของตน ภายใน ๗ วัน พระองค์ประทับนั่งภายในม่านกับท่านโมคคัลลีบุตรติสสเถระ ได้สั่งให้ภิกษุผู้สังกัดอยู่ในนิกายนั้นๆ นั่งรวมกันเป็นนิกายๆ แล้วตรัสถามให้พระภิกษุเหล่านั้นอธิบายคำสอนของพระพุทธองค์ ซึ่งพระสงฆ์เหล่านั้นได้อธิบายผิดไปตามลัทธิของตนๆ พระเจ้าอโศกมหาราชจึงได้ตรัสให้สึกพระอลัชชีเหล่านั้นทั้งหมด ซึ่งเป็นจำนวน ๖๐,๐๐๐ รูป
ครั้นกำจัดพระภิกษุพวกอลัชชีให้หมดไปจากพุทธศาสนาแล้ว พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ จึงได้จัดให้มีการทำสังคายนาครั้งที่ ๓ ขึ้น ณ อโศการาม เมืองปาฏลีบุตร โดยได้รับราชูปถัมภ์จากพระเจ้าอโศกมหาราชอย่างเต็มที่การสังคายนาพระไตรปิฎก ครั้งที่ ๓ และเผยแผ่พระพุทธศาสนา ผ่านคณะสมณทูต
หลังจากที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเสด็จดับขันธปรินิพพานไปได้ประมาณ ๒๓๖ ปีเศษ คณะสงฆ์ได้ทำการสังคายนาครั้งที่ ๓
ปัจจุบันก็เป็นเหมือนๆ กับก่อนที่พระเจ้าอโศกที่จะจับให้พระลาสิกขาไปเกือบจะหมด การเปลี่ยนแปลงมันเปลี่ยนแปลงได้ ด้วยความเห็นถูกต้อง ด้วยความเข้าใจถูกต้อง ด้วยความสมัครสมานสามัคคีไปทางหนึ่งทางเดียวกัน ทุกๆ คนนั้นต้องเอาธรรมเป็นหลัก จะเอาตัวเอาตน เอาหลักเหตุหลักผลของตัวเองนั้นไม่ได้
ให้เข้าใจคำว่า “ปล่อยวาง” คำว่า “ปล่อยวาง” นี้มันปล่อยวางตัวตน หรือว่าหยุดมีตัวมีตน แล้วไปมีความสุขในการดำเนินชีวิตที่ประเสริฐทั้งวันทั้งคืน เราดูตัวอย่างแบบอย่างของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าที่ปล่อยวาง ปล่อยวางตัวตน วันหนึ่งคืนหนึ่ง พระพุทธเจ้าทรงบรรทมคืนละ ๔ ชม. ทำงานเพื่อเสียสละวันละ ๒๐ ชม. พระอรหันต์ก็เหมือนกัน วันหนึ่งก็นอน ๔ ชม. ทำงานวันละ ๒๐ ชม. เพราะคนเรามีความสุขในการเสียสละทั้งวันทั้งคืน ความสุขความดับทุกข์ของประชาชน มันมีความสุขในการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องทั้งวันทั้งคืน ความฟุ้งซ่านมันไม่มี มันมีการสร้างสรรค์ทั้งทางวัตถุ หรือว่าเทคโนโลยี และก็การสร้างสรรค์ในเรื่องจิตเรื่องใจ ไม่เป็นคนขี้เกียจขี้คร้าน เพราะศาสนาที่แท้จริงนั้น ความสูงสุดอยู่ที่ไม่มีตัวไม่มีตน พระพุทธเจ้าก็เป็นลูกหลานของพราหมณ์มาก่อน พราหมณ์ก็ได้แค่ความสงบ ได้แก่ตัว ได้แก่ตน เมื่อออกจากสมาธิ ออกจากความสงบ มันก็ยังมีตัวมีตนอยู่ ถ้ามีตัวมีตนก็เหมือนกับนักวิทยาศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์ก็พัฒนาวิทยาศาสตร์เพื่ออวิชชา เพื่อความหลง เพิ่มตัว เพิ่มตน ยิ่งรวยมาก ก็ตัวตนมาก ยิ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ก็ตัวตนมาก การพัฒนาวิทยาศาสตร์ถึงต้องให้นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายพากันเข้าใจ ถ้าไม่อย่างนั้น การบริหารประเทศของเรามันไปไม่ได้ เพราะการพัฒนาเพื่อตัวเพื่อตน มันไม่ใช่เพื่อนิพพาน ไม่ใช่เพื่อธรรมะ นี้ถือว่าเป็นความหายนะ
ผู้นำอย่างพระพุทธเจ้านี้ ปฏิบัติได้ ทำได้ แล้วก็ถึงสอนผู้อื่น ด้วยเหตุผลนี้แหละ ข้าราชการก็ดี นักการเมืองก็ดี ต้องสอนตนปฏิบัติตน และเพื่อบริหารทรัพยากรจากภาษีอากรของประชาชนทุกๆ คนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เจ้าคณะพระสังฆาธิการผู้ปกครองคณะสงฆ์ทั้งหลาย ก็ต้องจัดการตัวเอง บริหารตัวเอง ปฏิบัติตัวเองพร้อมกับบริหารบุคคลอื่น เพราะว่าปัญหามันจะอยู่ที่หัวแถว ไม่ใช่อยู่ที่ปลายแถว มันแก้ไม่ได้ อย่างในปัจจุบัน พระกำลังฮิตกำลังนิยมขับรถกัน พระผู้น้อยก็ว่าเจ้าคณะตำบลยังขับ เจ้าคณะตำบลก็ว่าเจ้าคณะอำเภอยังขับ เจ้าคณะอำเภอก็ว่าเจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะจังหวัดจะให้รายงานเจ้าคณะภาคเถรสมาคม ก็ไม่กล้ารายงาน ความผิดที่ข้าราชการนักการเมือง หรือความผิดของพระภิกษุ สามเณร มันเลยกลายเป็นประชาธิปไตย โดยไม่ได้ตั้งใจ อันไหนที่พากันทำจนยอมรับว่า โลกมันเป็นอย่างนี้ นั่นแหละประชาธิปไตย ให้ทุกคนพากันเข้าใจ ให้ทุกคนพากันตั้งในใจไว้เลย ถ้าเราจะเป็นนักบวชก็ดี จะเป็นข้าราชการ นักการเมืองก็ดี เราต้องพากันมาเสียสละตัวตน ไม่ใช่เราจะมาเป็นทำลาย หรือว่าทอน หรือว่าถอน อย่างนี้มันเสียหาย เพราะที่ทำมานี้มันเป็นประชาธิปไตยที่ทุกคนก็รู้อยู่แก่ใจของตัวเอง
ทุกคนต้องมีสัมมาทิฏฐิ ต้องมีความเข้มแข็ง จิตใจเข้มแข็ง ต้องเสียสละทิฏฐิมานะอัตตาตัวตน ที่พระพุทธเจ้าบอกว่าตัวของเรามันมีสังขารที่มีใจครอง ใจครองมันครองด้วยอวิชชา ด้วยความหลง มันไม่ใช่สัมมาทิฏฐิ ไปทำอย่างไรก็แก้ไม่ได้ เพราะเราครองโดยความหลง ครองด้วยอวิชชา ต่อให้กี่รัฐบาลมันก็แก้ไขไม่ได้ ต่อให้กี่ผู้นำสงฆ์ก็แก้ไขไม่ได้ ถ้ามันเอาตัวเอาตนเป็นที่ตั้ง พระพุทธเจ้าท่านไม่มีตำแหน่งอะไรเลย ถึงเรียกว่าพระพุทธเจ้า แต่เรารับทรงเกียรติ รับตำแหน่งนู้น ตำแหน่งนี้ ความกตัญญูกตเวทีนี้เราต้องมี ความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ต้องพากันปฏิบัติถูกต้อง อย่าพากันอดตาย อย่าพากันกลัวตาย ต่อให้รวยเป็นเศรษฐี เป็นมหาเศรษฐี มันก็ดับทุกข์ไม่ได้ แก้ปัญหาไม่ได้ อย่าเอาความหลงเป็นหลัก อย่าเอาความหลงเป็นใหญ่ อันนั้นไม่ได้ หมู่มวลมนุษย์นี้ไม่เข้าถึงความดับทุกข์ได้ มันเป็นได้แต่อวิชชา เป็นได้ความหลง เป็นได้แต่เพียงคน
ผู้นำที่ดีที่สุดคือ ผู้ที่เอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นใหญ่ เอาธรรมเป็นที่ตั้ง มีความเสียสละ ถ้าไม่เสียสละก็เป็นผู้นำไม่ได้ แม้จะนำตัวเองก็ยังไม่ได้เลย การสังคายนาก็ต้องกลับมาหาตัวเอง มากตัญญูกตเวทีต่อพระพุทธเจ้า ต่อบรรพบุรุษของเรา ต่อประเทศชาติบ้านเมือง ต่อศรัทธาประชาชนที่เขาให้การดูแล อุปถัมภ์ อุปัฏฐาก เราจะได้สะสางตัวเอง เพราะคนที่คอรัปชั่นมากที่สุดก็คือผู้นำ เมื่อผู้นำพาคอรัปชั่น ก็พากันคอรัปชั่นตาม เพราะว่ามันมาจากหัว เราจะไปปวดหัวว่าแก้ไม่ได้มันไม่จริงหรอก แก้ไม่ได้ก็คือยังไม่ได้แก้ ปฏิบัติไม่ได้ก็คือยังไม่ได้ปฏิบัติ เราดูตัวอย่าง หลวงปู่มั่น หลวงปู่ชา หลวงตามหาบัว หลวงปู่เทศน์ ท่านเห็นหลวงปู่มั่นปฏิบัติ ท่านก็เกิดศรัทธา เพราะว่าผู้นำปฏิบัติจริงๆ จึงจะมีความไว้วางใจปฏิบัติตาม เพราะใครเขาจะไว้วางใจกันง่ายๆ
เราก็ดูการสังคายนาที่เอาพระไม่ดีออกเหลือไว้แต่พระปฏิบัติ จึงได้บรรลุเป็นพระอรหันต์กันมากมาย เมื่อสมัยพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ทรงเผยแผ่ศาสนา ผู้คนก็เลื่อมใสศรัทธาอย่างสุดหัวใจ ได้ฟังธรรมก็บรรลุไปเลย เพราะท่านพูดออกจากใจ ออกจากความจริง ออกจากพระนิพพาน ฟังก็ง่ายเข้าใจก็ง่าย เพราะผู้นำทำให้เกิดศรัทธา พระคุณเจ้าเทศน์แต่ไม่ปฏิบัติตามประชาชนเขาก็รับไม่ได้ เพราะไม่ได้ออกมาจากการเสียสละ
เพราะผู้นำเป็นสิ่งสำคัญ ครูบาอาจารย์ท่านถึงว่า เจ้าอาวาสต้องเป็นเจ้าอาวาส ผู้ที่ไม่ได้เป็นเจ้าอาวาสก็ต้องเป็นเจ้าอาวาสต้องปกครองตัวเองก่อน ผู้ที่เป็นเจ้าอาวาสที่เขาแต่งตั้งแล้วต้องปกครองทั้งตัวเองและผู้อื่นด้วย ให้เอาธรรมเอาวินัยไว้ ใจต้องมีศีล มีสมาธิ มีความตั้งมั่น มีพระนิพพานในใจ ไม่ใช่เอาความแก่มาอ้าง เอาความเจ็บมาอ้าง เอาความตายมาอ้าง พระนิพพานไม่ได้อยู่ที่แก่ที่เจ็บที่ตาย อยู่ที่ใจที่มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ใจมีพระนิพพานในการดำเนินชีวิตในชีวิตประจำวัน
ทุกคนต้องพากันสำนึกสำเหนียก พากันตั้งใจปฏิบัติ บางทีคนเรามันก็รู้อยู่ แต่ไม่อยากปฏิบัติ ถ้าไม่อยากปฏิบัติก็ให้สึกไป ไปเป็นโยมอุปัฏฐากที่ดีก็ได้ เป็นพระถ้าไม่ปฏิบัติ เขาเรียกว่าพระโกหกหลอกลวง ไม่ใช่มีศีล ๕ นะ ยังปฏิบัติตามศีล ๕ ข้อมุสาวาทยังไม่ได้เลย จะไปปฏิบัติตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้หรอก เพราะโกหกหลอกลวงตั้งแต่พระพุทธเจ้าจนถึงประชาชน พระถ้าไม่ทำตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ศีล ๕ ก็ไม่ได้ อย่าไปพูดใหญ่พูดโตถึงศีล ๒๒๗ เลย มันน่าเกลียด
ต้องเอาธรรมเป็นหลัก ธรรมเป็นใหญ่ ธรรมเป็นที่ตั้ง มันต้องมีความสุขในการประพฤติปฏิบัติ มีความสุขมาก มีความสุขจริงๆ มีความสุขพิเศษ การพักผ่อนของพระอริยสาวก เขาพักผ่อนด้วยการเข้าสมาธิ เข้าสมาบัติ ไม่ใช่พักผ่อนนอนหงายท้อง พระพุทธองค์ก็ทรงสอนว่า ภิกษุเมื่อฉันอาหารแล้ว เดินจงกรม นั่งสมาธิ เพื่อพักผ่อนกาย ให้สมองไม่ได้คิดอะไร มีความสุขกับอานาปานสติ ทุกคนต้องประพฤติปฏิบัติ เพราะว่าการประพฤติปฏิบัติมันทำให้คนเป็นพระอริยเจ้า เป็นสมณะ เป็นพระอรหันต์ได้ อย่าไปคิดว่าพระอรหันต์มันหมดยุค หมดสมัย ที่มันหมดเพราะไม่ได้ปฏิบัติ มันจะมีได้ไง พระพุทธเจ้าเสด็จพระพุทธดำเนินไปทางตะวันออก ออกจากโลกจากวัฏสงสาร เราไปทางตะวันตก ตกต่ำลงทุกทีๆ ให้เข้าใจอย่างนี้ ทุกคนต้องมีความสุขในการปฏิบัติ
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.