แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันพฤหัสบดีที่ ๑๔ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง เข้าพรรษาเข้าหาธรรม ตอนที่ ๓๘ กราบพระรัตนตรัยให้เข้าถึงพระคือความรู้ตื่นเบิกบาน ยิ่งกราบก็ยิ่งฉลาด
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ให้นักเรียนให้นักศึกษาให้นักวิทยาศาสตร์ได้เข้าใจ ให้มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติให้ถูกต้อง การพัฒนาตัวเราหรือว่าการพัฒนาหมู่มวลมนุษย์ เราต้องพัฒนาเรื่องหลักเหตุหลักผล เรื่องเหตุปัจจัย และพัฒนาใจไปพร้อมๆ กัน ความมั่นคงของหมู่มวลมนุษย์ เรื่องชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เป็นสิ่งที่เราต้องพัฒนาให้ถูกต้อง เพราะการพัฒนาของเรา ส่วนใหญ่มันพัฒนาเพื่อตัวเราของเรา ถึงจะเป็นหลักเหตุหลักผลหลักวิทยาศาสตร์ก็จริง แต่ก็ถือว่ามันยังไม่ถูกต้อง มันเป็นความสุขความดับทุกข์ทางระดับวัตถุ มันไม่ได้พัฒนาจิตใจไปพร้อมๆ กัน การส่งไม้ผลัดให้ลูกๆ หลานๆ มันยังเป็นการไขว้เขวอยู่ ที่เราได้พัฒนาหลักเหตุผลหลักวิทยาศาสตร์มา แต่มันก็ยังประกอบด้วยตัวด้วยตน ถ้าจะพูดว่าเป็นอัตตาตัวตนที่ใหญ่ยิ่งก็ว่าได้ ให้พากันเข้าใจ ในการพัฒนาหลักเหตุผลหลักวิทยาศาสตร์และพัฒนาใจไปพร้อมๆ กัน เพื่อเราจะได้เข้าใจถูก ปฏิบัติถูก ให้ความประพฤติเราถูกต้องเป็นสัมมาทิฏฐิ ที่ไม่มีทิฏฐิ ไม่มีมานะ ไม่มีอัตตาตัวตน มีแต่สติคือความสงบ มีแต่สัมปชัญญะคือตัวปัญญาไปพร้อมๆ กัน เราจะเอาวิทยาศาสตร์ดำเนินชีวิตด้วยความหลง ด้วยความเห็นแก่ตัวไม่ได้ เราจะเอาหลักความหลงความเห็นแก่ตัวไม่ได้ ถึงจะเป็นวิทยาศาสตร์ก็จริง วิทยาศาสตร์ถ้ายังมีตัวมีตน ก็ยังเป็นความหลงเป็นไสยศาสตร์อยู่ เพราะมีตัวมีตน มีความยึดมั่นถือมั่นเป็นหลักการเป็นจุดยืน
ถามว่า ถ้าเราพัฒนาเพื่อไม่มีสักกายะทิฏฐิ เราจะเอาความสุขจากไหน เพราะว่าเราทุกคนเกิดมามันก็ต้องมีรางวัลคือความสุข พระพุทธเจ้าถึงบอกว่ามันยิ่งกว่าความสุขอีก เราเอาสังขารที่มีใจครองที่มันเป็นพลังงาน ที่รวมกันที่เรียกว่าทิฏฐิมานะอัตตาตัวตนมาประพฤติมาปฏิบัติ เปลี่ยนจากมืดเป็นสว่าง จากความดีจากถูกต้องแล้ว ก็ไม่ยึดในความดีในความถูกต้อง แต่เอาความดีความถูกต้องก้าวไปด้วยสติความสงบ ก้าวไปด้วยสัมปชัญญะตัวปัญญาที่สละคืนเสียซึ่งตัวซึ่งตน
เราทุกคนนะจะได้มีความประเสริฐที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วก้าวไปตามหลักของมนุษย์ เพราะถึงจะสุขขนาดเทวดาแต่ส่วนใหญ่จะได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกก็น้อย เพราะมีมิจฉาทิฏฐิ แม้แต่พรหมโลกจะได้มาเกิดเป็นมนุษย์หรือเป็นพรหมอีกก็น้อย เพราะยังมีตัวมีตนอยู่ ให้พากันเข้าใจ ความมั่นคงถึงจะเกิดขึ้นกับเราได้ จะได้ต่อยอดสืบทอดไป
ชีวิตของเรานี้นะมันจะได้มีแต่ความดับทุกข์ หยุดความทุกข์ มันจะได้เหนือความสุขความทุกข์ ไม่ต้องไปแบกอวิชชาแบกความหลง ใจของเราจะได้เป็นอิสระ ใจของเราจะได้ไม่มีไสยศาสตร์คือความหลง ความดับทุกข์นั้นย่อมมีกับเราได้ วันหนึ่งคืนหนึ่งเรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องแล้วก็มีความสุขในการทำงาน ในการพูดการเจรจา ในกิริยามารยาท ขยันรับผิดชอบอดทนที่เป็นอริยมรรคมีองค์ ๘ ทุกท่านทุกคนต้องพากันก้าวไปอย่างนี้ ปฏิบัติได้อยู่ทุกหนทุกแห่ง
เมื่อวานนี้ได้กล่าวเรื่องทอนวัด ทอนวัดก็หมายถึงว่า เราไม่เข้าใจที่ถูกต้อง เราไม่รู้จักอริยสัจ ๔ เราเลยพัฒนาวิทยาศาสตร์เพื่อเป็นตัวเป็นตน เราต้องเข้าใจว่า เราต้องพัฒนาวิทยาศาสตร์ที่ไม่มีตัวไม่มีตน เพราะการปฏิบัติของเรานี่แหละ มันเป็นการปฏิบัติทั้งวันทั้งคืน เราจะไม่ได้เน้นเฉพาะแต่เพียงสมาธิที่ส่วนใหญ่กำลังสอนกันอยู่ในปัจจุบัน เพราะว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้สอนเพียงเท่านี้ พระพุทธเจ้าสอนให้มีศีลสมาธิปัญญาเป็นอริยมรรคมีองค์ ๘ อยู่ในปัจจุบัน มันจะก้าวไปทั้งกายทั้งวาจากิริยามารยาท มันต้องปรับตัวเองในปัจจุบัน มีสติความสงบในปัจจุบัน มีสัมปชัญญะตัวปัญญาที่ไม่มีตัวไม่มีตัวตนในปัจจุบัน
พระอรหันต์คือผู้ที่ตายก่อนตายอยู่ในปัจจุบัน คืออวิชชาคือความหลงได้ตายไปดับสนิทไปด้วยอริยมรรคมีองค์ ๘ ที่เริ่มด้วยสัมมาทิฏฐิ ด้วยความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้องอยู่ในปัจจุบัน พระพุทธเจ้าให้ประชาชนทุกคนในโลกนี้ได้พากันเข้าใจ สัมมาทิฏฐิและศีลสมาธิปัญญาถึงเข้าสู่รายละเอียดภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ด้วยความตั้งใจด้วยเจตนา เราจะไปพากันทิ้งศีล ทิ้งสมาธิ ทิ้งปัญญา ด้วยความมีตัวมีตน มันไม่ได้
ถ้าเราไม่เห็นความสำคัญ ถือว่าเราไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ พระปัญจวัคคีย์ ท่านโกณฑัญญะถึงบอกว่า จักขุเกิดขึ้นแล้วแก่เรา ญาณเกิดขึ้นแล้วแก่เรา ปัญญา วิชชา แสงสว่างเกิดขึ้นแล้วแก่เรา มรรคผลนิพพานถึงไม่สงวนสิขสิทธิ์ ถ้ามีความเข้าใจแล้วก็จะปฏิบัติได้ทุกคน ถามว่า การประพฤติปฏิบัติเดี๋ยวนี้มันจะไม่ทำให้โลกนี้ด้อยการพัฒนาหรือ การทำอย่างนี้มันถึงมีการเจริญในการพัฒนา เพราะเราได้ทำถูกต้อง เรามีความสุขในการปฏิบัติ เพราะความเกียจคร้านมันไม่มีสำหรับผู้ที่ไม่มีตัวไม่มีตน อย่างพระอรหันต์ขีณาสพ ท่านหมดกิเลส สิ้นอาสวะ ท่านมีความสุขในการเทศน์ การสั่งสอนประชาชน ถ้าท่านไม่มีความสุข ในการเทศน์ในการสั่งสอนประชาชน สังขารร่างกายท่านก็อยู่ไม่ได้ เราดูตัวอย่าง องค์หลวงตามหาบัว ท่านได้สั่งสอนลูกศิษย์ลูกหาพ่อค้าประชาชนมาก็เป็นอันมากพอสมควร ท่านคิดในใจว่าจะละธาตุละขันธ์ เพราะอยู่ไปก็ต้องมีภาระที่ต้องดูแลตัวเอง ให้ข้าว ในน้ำให้การพักผ่อนตัวเอง ท่านจึงมีความขวนขวายน้อย ร่างกายท่านก็ไม่แข็งแรง เมื่อประเทศชาติ บ้านเมืองมันเป็นอย่างนี้ ที่นักการเมือง ข้าราชการ โกงกินคอรัปชั่นเยอะ เงินในคลังของประเทศก็มีน้อย ท่านก็คิดในใจว่า เรายังลาละธาตุขันธ์ไม่ได้ เพื่อเอาทองคำเข้าคลังหลวง เอาเงินเข้าคลังหลวง ท่านดำริอย่างนั้น ท่านก็แข็งแรงขึ้นมา เพราะคนเรานี้จะแข็งแรงได้อยู่ที่เรามีสัมมาทิฏฐิที่เราเสียสละ พระอรหันต์ท่านมีความสุขในการทำงาน ในการเสียสละ ท่านก็แข็งแรงขึ้น
การที่เรามีความสุขในการทำงาน มันถึงเป็นสิ่งที่ดี แต่ก่อนนั้นมันเป็นมิจฉาทิฏฐิ มันทำการทำงานอะไรก็เพื่อแต่ตัวเรา ของเรา เพื่อตัวเพื่อตน ตามหลักเหตุผลตามหลักวิทยาศาสตร์ เพื่อตัวเพื่อตน ถ้าทำเพื่อตัวเพื่อตน มันคือความเสื่อม มันเป็นขาลง อย่างหลวงพ่อทุยที่วัดป่าดานวิเวก บึงกาฬ เมื่อหลายปีก่อน ร่างกายท่านไม่แข็งแรง เมื่อท่านมาตั้งอกตั้งใจสอนพระและก็เสียสละทำสาธารณกุศล สร้างโรงพยาบาล เครื่องมือหมอ เครื่องมือแพทย์ บริจาคอะไรต่างๆ ท่านก็แข็งแรงขึ้น เพราะความสุขของหมู่มวลมนุษย์มันอยู่ที่เสียสละ ที่ไม่มีทิฏฐิมานะไม่มีอัตตาตัวตน การทำอะไรที่ไม่มีตัวไม่มีตน มันถึงมีความสุข การพัฒนาวิทยาศาสตร์ก็ให้เราเข้าใจ เราทำไปเพื่อเสียสละละตัวละตน ทุกอย่างมันเกิดขึ้น มันก็เกิดขึ้นด้วยสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง มันก็จะเป็นวิทยาศาสตร์ที่ประกอบด้วยสติด้วยปัญญา ด้วยสัมมาทิฏฐิ โลกเราถึงจะไม่มีอาชกรรม ไม่มีแก็งค์ ไม่มีอะไรเหมือนที่ทำกันอยู่ ส่งลูกส่งหลาน เรียนปริญญาตรีโทเอก เรียนถึง ป.ธ.๙ มันก็ถือว่ามันไม่ได้ เพราะว่าการเรียนการศึกษา การเข้าใจมันยังเป็นตัวเป็นตน มันยังไม่ได้เสียสละ พระพุทธเจ้าให้เราทุกคนพากันสอนตัวเองและก็ปฏิบัติตัวเอง 100% มองตัวเอง 100% มันถึงจะแก้ไขคนอื่นได้ อย่ามีตัวมีตนแอบแฝงเลย
ปัจจุบันเป็นสิ่งที่สำคัญ ทุกคนจะต้องมีสติ มีสัมปชัญญะ เพราะว่าการปฏิบัตินั้นอดีตก็ปฏิบัติไม่ได้ อนาคตก็ปฏิบัติไม่ได้ มันต้องอยู่ที่ปัจจุบัน เราต้องเห็นความสำคัญของสติ สัมปชัญญะ การภาวนาของถึงจะเป็นการประพฤติ การปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญา ถึงจะได้มารวมกัน ต้องมีเจตนา มีความตั้งใจ ตัวสัมปชัญญะคือตัวปัญญา ตัวที่เราต้องมีความตั้งมั่นในสัมมาสมาธิ เราต้องมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้องว่า อันไหนมันทำให้เราเวียนว่ายตายเกิด เราต้องเสียสละ เราต้องตัดกรรมตัดเวรของเรา ใจของเราถึงจะมีสติปัฏฐาน ใจของเราถึงเข้าสู่กระบวนการปฏิจจสมุปบาทได้ เพราะว่าสิ่งนี้มี สิ่งนี้ถึงมี เป็นธรรมะที่มีอุปการะมาก เป็นธรรมที่ยิ่งใหญ่ ใหญ่ยิ่ง คือ สติสัมปชัญญะ ไปตามหลักของธรรมะ ที่เรียกว่า พระรัตนตรัย นั่นไม่ใช่ตัวบุคคล พระรัตนตรัยเป็นธรรมะ เป็นพรหมจรรย์ที่สละคืนแล้วซึ่งตัวซึ่งตน พระพุทธเจ้าที่แท้จริงคือ มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง มีความสุขในการเสียสละ มนุษย์เราไม่อาจจะทำตามใจตัวเอง ตามอารมณ์ตัวเอง ตามความรู้สึกไม่ได้ ต้องเสียสละ มันถึงจะแก้ปัญหาได้ มันถึงจะได้พัฒนาทั้งเทคโนโลยี พัฒนาทั้งจิตใจ เพราะเป็นความประเสริฐของเรา ที่เราต้องพากันประพฤติปฏิบัติ เข้าถึงศาสนาพุทธแท้ๆ เข้าถึงความดับทุกข์ที่แท้จริง
เพราะทุกวันนี้ ที่เราต้องเวียนว่ายตายเกิดคือ มันเอาอารมณ์ของสวรรค์ มันถึงต้องมีปัญหา ที่พากันดิ้นรนกระเสือกกระสน ผู้ที่เวียนว่ายตายเกิดทุกภพทุกชาติ เพราะไม่น่าปล่อยโอกาสให้พลาดไปอย่างนี้ ทุกคนต้องมีความรักธรรมะ รักศีล รักข้อวัตรปฏิบัติ รักสมาธิ คือความตั้งใจมั่น คนเราต้องใจเข้มแข็ง ใจไม่เข้มแข็งมันไม่ใช่ภาคปฏิบัติ เราจะข้ามมหาสมุทรอย่างนี้ เราต้องนั่งในเรือ หรือว่าขึ้นเครื่องข้ามมันไปเลย เราต้องอาศัยเทคโนโลยี อาศัยศีล อาศัยข้อวัตรข้อปฏิบัติ ความทุกข์ของเรามันอยู่ที่ความเห็นผิด เข้าใจผิด อยู่ที่เราไปหลงในสวรรค์ต่างหาก ทุกคนมีสิทธิที่จะประพฤติปฏิบัติได้พอๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นนักบวช หรือว่า เป็นประชาชน แต่นักบวชมีอุปกรณ์ทุ่นแรงมาก มีศีลมาก
วัตถุข้าวของเงินทองเป็นของใช้ชั่วคราวเป็นหนทางให้เราเดินผ่านไม่ใช่มาหลง ทุกคนจะได้รู้ว่า อ๋อ... ความดับทุกข์มันอยู่ที่ มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ที่มีสติสัมปชัญญะ เราจะไปหลงไปเพลิดเพลิน เราจะไปประมาทไม่ได้ เราประมาทกันจน เคยชินแล้ว จะไปประมาทไม่ได้ เพราะความประมาทนี้ เป็นการทำให้เราเสียหาย ทำให้เราเนิ่นช้า ทำให้เราทุกคนต้องเสียเวลา เราต้องพากันประพฤติปฏิบัติกันในปัจจุบัน เพราะพระพุทธเจ้าวางหลักไว้ดีอยู่แล้ว คำว่าพระ คือคำว่าเสียสละ เป็นผู้ที่ไม่ตามใจตัวเอง ประชาชนต้องมีศีล 5 เพื่อจะได้พัฒนาใจ ครั้งพุทธกาล วัน 7 ค่ำ 8 ค่ำ วัน 14 ค่ำ 15 ค่ำ เดือนนึง มี 8 วัน วันอุโบสถ
ธาตุทั้ง 4 ต้องอาศัยอาหาร ขันธ์ทั้ง 5 ก็ต้องอาศัยอาหาร อาหารที่เราได้มา ก็ต้องมาจากการละความเห็นแก่ตัวของเรา อย่างหาเลี้ยงอาชีพได้ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเพียงการอำนวยความสะดวกในชีวิต มีความสุขมีความทุกข์ ให้เราได้ปฏิบัติธรรม
สติ-ความระลึกได้ สัมปชัญญะ-ตัวปัญญา การประพฤติการปฏิบัติของเรามันอยู่ปัจจุบัน ถ้าเราไม่ประพฤติปฏิบัติอยู่ในปัจจุบัน แสดงว่าเราไม่ได้ปฏิบัติ ศีลก็ไม่เกิด สมาธิก็ไม่เกิด ปัญญาก็ไม่เกิด ปฏิบัติที่เรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติให้ถูกต้อง เราต้องหยุดตัวเอง ไม่ทำตามใจตัวเอง ตามความอยาก การทำอย่างนี้เขาเรียกว่า ศีล ที่เราตั้งมั่น เรียกว่า สมาธิ การที่ทำอย่างนี้ เรียกว่า มีปัญญา ต้องปฏิบัติในปัจจุบัน ที่ว่าไม่ทำบาปทั้งปวง ทำแต่บุญแต่กุศล
ส่วนใหญ่คนเรา เป็นผู้ที่ทำดี แต่มันก็ยังในติดในความไม่ดี เราทำดี เห็นพระองค์นี้ โยมคนนี้ ทำไม่ดี ทำไม่ถูก เราก็ไม่พอใจ เราก็เครียด ทำอย่างนี้ถือว่าเรายังไม่ติดในการทำความดีนะ เพราะว่าเราเอาความชั่วของเค้ามายึดมั่นถือมั่น ถือว่าเรายังไม่เป็นคนทำดีนะ เพราะเราเป็นคนไม่มีสัมปชัญญะคนไม่มีปัญญานะ อย่างนี้เข้าวัดหลายปีก็ไม่มีประโยชน์ เพราะว่าเรายังไม่ได้ติดความดีเลย เรายังติดในความชั่ว คนนั้นก็ทำไม่ดี คนนี้ก็ทำไม่ดี ไปมองข้างซ้ายข้างขวาก็เห็นแต่คนไม่ดี อย่างนี้เรา เป็นคนไม่มีสัมปชัญญะ ไม่มีปัญญา ถ้าเรายังติดในความชั่วอยู่ เอาความชั่วของผู้อื่นมาแบก แสดงว่า คนที่ยังไม่ติดในความดี ความดีไม่พาเราเหาะไป เพราะเรายังมีอวิชชา มีความหลง ตัวปัญญาของเรายังอ่อน เรายังไม่เข้าถึง ปฏิจจสมุปบาท ไม่เข้าถึงสติปัฏฐานเลย
คนทั้งโลกก็ทำทั้งดีทั้งชั่ว เราจะเอาของเค้ามาแบกทำไม พวกเรามันติดลูกเป็นอย่างโน่น หลานเป็นอย่างนี้ โอ้... อย่างนี้เสร็จเลย เราไปห่วงเค้า ตัวเองยังเอาตัวไม่รอด เป็นผู้ติดในบาป บาปของคนอื่น ดีชั่วของคนอื่น ไม่ได้เป็นปัจจุบันธรรม เป็นภพ เป็นชาติอยู่ อย่างนี้พระรัตนตรัย สิ่งที่เป็นพรหมจรรย์มันจะเกิดขึ้นแก่เราได้ยังไง เราไม่มีพระพุทธเจ้าเลย เราไปแบกเอาคนนั้นชั่ว คนนั้นผิด คนนั้นถูก คนนี้น่าเกลียด ไม่น่าเกลียด อันนี้อร่อย ไม่อร่อย มันยังติดอยู่ การติดอย่างนี้แสดงว่าเรายังไม่ถึงขั้นความดี เพราะความดีของคุณยังมีโทษอยู่ ยังไม่เป็นสัมปชัญญะ คือมีแต่สติ สติอย่างนี้หมาแมวจับหนูมันก็มีสติ นายพรานยิงปืนแม่นก็มีสติ มันไม่มีปัญญาว่า มันต้องหยุดยิงเลย ถ้างั้นนะกินของอร่อยก็ไปยึดถืออยู่นั้นนะ กินของไม่อร่อยก็ยึดถืออยู่นั้นนะ มีลูกมีหลานมีอะไรก็คิดถึง ไปถือศีลก็ไม่ได้พูดอะไร พูดแต่เรื่องลูกเรื่องหลานเรื่องคนนั้นดี คนนี้ไม่ดี มันเป็นวจีทุจริต อันนี้มาจากใจของเราที่มันไม่มีสัมปชัญญะ ไม่มีตัวปัญญา ไม่รู้จักกระบวนการเวียนว่ายตายเกิดเลย
ถ้ายังสำคัญว่าเก่งกว่าเค้า เป็นพระอรหันต์ไม่ได้ สำคัญว่าเสมอเขา ก็เป็นพระอรหันต์ไม่ได้ เพราะยังมีตัวมานะอยู่ พระรัตนตรัยถึงไม่ใช่บุคคลตัวตน เราเขา พระพุทธเจ้าถึงเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้ไม่มีตนไม่มีตัว
รู้คือ รู้อริยสัจ ๔ เป็นต้น และรู้สิ่งอื่นๆ อีกเท่าที่จำเป็นต้องรู้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ทรงปฏิญาณพระองค์ว่าทรงเป็นสัมมาสัมพุทธะเพราะทรงรู้อริยสัจ ๔ อันประกอบด้วยรอบ ๓ หรือ ญาณ ๓ อาการ ๑๒ (ไตรปริวัฏทวาทสาการ) จัดเป็นพระปัญญาญาณ
ตื่น (ไม่ใช่ตื่นตระหนกตกใจหรือตื่นเต้น) แต่หมายถึงตื่นที่ตรงกันข้ามกับหลับในที่นี้ หมายถึงตื่นจากความหลับ คือกิเลส (กิเลสนิทรา) ความหลับมี ๒ อย่าง คือ ปกตินิทรา หลับตามปกติ เพื่อร่างกายได้พักผ่อน และกิเลสนิทรา หลับเพราะกิเลส จัดเป็นพระบริสุทธิคุณ
เบิกบาน หมายถึง มีใจเบิกบานด้วยความกรุณา ใบหน้าสดชื่นเพราะความกรุณาต่อสรรพสัตว์ ไม่คิดเบียดเบียนใคร มีแต่เอื้ออาทรคิดอนุเคราะห์ ดังที่พระศาสดาตรัสแก่ภิกษุทั้งหลาย เมื่อคราวทรงส่งท่านเหล่านั้นไปประกาศพระศาสนาว่า “ภิกษุทั้งหลายบัดนี้เราและเธอทั้งหลาย พ้นแล้วจากบ่วงทั้งปวงทั้งที่เป็นของทิพย์และเป็นของมนุษย์ เธอทั้งหลายจงจาริกไปเพื่อประโยชน์และความสุขของคนหมู่มากเพื่ออนุเคราะห์ชาวโลกอย่าไปทางเดียวกัน ๒ รูปจงแสดงธรรมอันงามทั้งเบื้องต้นท่ามกลางและที่สุดพร้อมทั้งอรรถและพยัญชนะ (เนื้อความและเนื้อธรรมให้ชัดเจน) จงประกาศพรหมจรรย์ (ระบอบการครองชีวิตอันประเสริฐ งดงาม) ให้บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิง สัตว์ผู้มีธุลีในจักษุน้อย (คือมีกิเลสน้อย) ก็พอมีอยู่ สัตว์เหล่านั้นจะเสียโอกาสเสื่อมจากธรรม เพราะไม่ได้ฟังธรรม ผู้รู้ธรรมจักมีเป็นแน่แท้ แม้เราเองก็จะไปยังตำบลอุรุเวลาเสนานิคม เพื่อแสดงธรรมเหมือนกัน” ลักษณะดังกล่าวนี้เป็น พระมหากรุณาคุณ
ชาวพุทธผู้เคารพเลื่อมใสในพระผู้มีพระภาคเจ้าต้องการบูชาพระองค์ด้วยการบูชาอย่างสูง ควรทำโดยการถ่ายแบบคือดำเนินตามรอยพระองค์ อบรมตนให้มีคุณทั้ง ๓ ประการ คือ ความรู้ ความบริสุทธิ์ และความกรุณา
สิ่งที่เหมือนกันของรูปเปรียบของพระพุทธเจ้านี้ ที่สังเกตเห็น ได้มีอยู่ด้วยกัน ๓ ประการ คือ
๑. พระเศียรแหลม มีคำถามว่า ทำไมพระพุทธรูปจึงมี พระเศียรแหลมในเมื่อพระพุทธเจ้าของเรา ก็เป็นมนุษย์ ...ที่เป็นเช่นนี้เพราะ เขาสร้างพระพุทธรูปเพื่อให้คิดเป็น ปริศนาธรรม พระเศียรที่แหลมนั้น หมายถึง สติปัญญาที่เฉียบแหลม ในการดำเนินชีวิต สอนให้ชาวพุทธ แก้ปัญหาต่างๆ ด้วยสติปัญญา ไม่ใช่ใช้อารมณ์ หากใช้ปัญญาคิดพิจารณา ไตร่ตรองให้รอบคอบเสียก่อนแล้วจึง ทำ ความผิดพลาดก็เกิดขึ้นน้อย หรือ ไม่เกิดขึ้นเลย
๒. พระกรรณยาน หรือ หูยาน ในมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ เช่น มี “ฝ่าเท้าตั้งแนบสนิทดี” และ “ในฝ่าเท้ามีจักรลักษณะ” คือหมายถึงว่าเวลายืน ฝ่าเท้าทั้งหมดจะแนบลงกับพื้นเต็มทั้งฝ่าเท้า รอยพระพุทธบาทที่สร้างกันมาจึงต้องทำเป็นรูปรอยฝ่าเท้าเต็มๆ (ไม่มีอุ้งเท้าเว้าแหว่งให้เห็นแบบรอยเท้าคนทั่วไปเวลาเดินย่ำน้ำมา) และมักทำเป็นลวดลายธรรมจักรอยู่ตรงกลาง มหาปุริสลักษณะข้ออื่นๆ ก็มีได้แก่ “ส้นเท้ายาว” “นิ้วมือนิ้วเท้ายาว” “แข้งเหมือนแข้งเนื้อทราย” “ยืนตัวตรง ไม่โค้งลำตัว จะใช้ฝ่ามือลูบได้ถึงเข่า” ฯลฯ แต่ทั้งหมด ไม่มีข้อไหนเลยที่พูดถึงติ่งหูยื่นยาว ดังนั้นเรื่องนี้จึงไม่เกี่ยวกับมหาปุริสลักษณะ
หากแต่ช่างผู้สร้างพระพุทธรูปตั้งแต่โบราณมา ทำส่วนติ่งหูยื่นยาวนี้ เพื่อสื่อถึงชาติกำเนิดดั้งเดิมของพระพุทธเจ้า ที่ทรงเป็นคนในวรรณะกษัตริย์ คือเป็นเจ้าชายสิทธัตถะมาก่อน ตามประเพณี พระราชา หรือเจ้าชายเจ้าหญิงย่อมสวมต่างหูหรือ “ตุ้มหู” ที่มีน้ำหนักมาก ถ่วงหูไว้จนติ่งหูยื่นยานลงมา ลักษณะเช่นนี้คงนับถือกันในสมัยนั้นว่าเป็นความงาม เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะออกผนวชจึงทรงตัดมวยผมที่เป็นสัญลักษณ์ของชนชั้นสูง และถอดเครื่องประดับร่างกายต่างๆ ออกจนหมดสิ้น รวมถึงต่างหูนั้นด้วย หากแต่เนื้อส่วนติ่งหูที่เคยถูกถ่วงน้ำหนักไว้จนยืดยานด้วย “ต่างหู” ย่อมมิอาจหดกลับคืน จึงยังคงยื่นยาวอยู่เช่นนั้น ถ้าสังเกตให้ดี ช่างที่เข้าใจคติเรื่องนี้ นอกจากจะทำส่วนปลายพระกรรณ (ติ่งหู) ของพระพุทธรูปให้ยื่นยาวลงมาแล้ว ยังจะแสดงให้เห็น “ร่อง” ผ่ากลาง ยาวลงมาเกือบตลอดติ่งหูที่ว่านั้นด้วย เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่านี่คือ “ร่องรอย” ที่หลงเหลือตกค้างจากการสวมใส่ต่างหูเป็นเวลานาน อันสื่อถึงราชสถานะของพระพุทธองค์นั่นเอง
พระกรรณยาน หรือ หูยาน เป็นปริศนาธรรม ให้ชาวพุทธเป็นคนหูหนัก คือ มีจิตใจหนักแน่นมั่นคงนั่นเอง ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ แต่คิดพิจารณาไตร่ตรองด้วยสติปัญญาอันแยบคายแล้วจึงเชื่อ ในฐานะที่เป็น ชาวพุทธ ก็ต้องเชื่อในกฎแห่งกรรม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เราต้องเชื่อมั่นในหลักเหตุและผล (Cause & Effect) เชื่อว่า... บุคคลหว่านพืชเช่นใดย่อมได้รับผลเช่นนั้น เชื่อว่า... สุดท้าย คนๆ เดียวที่จะสามารถทำให้เราสุขหรือทุกข์ ดีหรือเลวได้คือตัวเราเอง และชีวิตเราจะเสื่อมทรามหรือเจริญรุ่งเรือง ก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับอำนาจภายนอกหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่ขึ้นอยู่กับการทำ การพูด การคิดของตนเอง นี้เป็นการเชื่อตามหลักของพระพุทธศาสนา
๓. พระเนตรมองต่ำ พระพุทธรูปที่สร้างโดยทั่วไป จะมีพระเนตรมองลงที่พระวรกายของพระองค์ อย่างในพระอุโบสถของวัด ทั่วไป จะนั่งมองดูพระวรกาย ไม่ได้มองดูหน้าต่างหรือมองดูประตูพระอุโบสถว่าจะมีใครเข้ามาไหว้บ้าง
นี้เป็นปริศนาธรรม สอนให้มองตนเองพิจารณาตนเองก่อนเสมอ ตักเตือนแก้ไขตนเองก่อน ไม่ใช่คอยจับ ผิดผู้อื่น ซึ่งตามปกติของคนแล้วมัก จะมองเห็นความผิดพลาดของบุคคลอื่น แต่ลืมมองของตนเอง ทำให้สูญ เสียเวลา และโอกาสในการปรับปรุง พัฒนาตนเอง ใครเล่าจะตักเตือนตัว เราได้ดีกว่าตัวเราเอง จึงมีพุทธพจน์ ตรัสให้เตือนตนเองว่า "อตฺตนา โจทยตฺตานํ" = จงเตือนตน ด้วยตนเอง
จงเตือนตนของตน ให้พ้นผิด ตนเตือนจิตตนได้ ใครจะเหมือน
ตนเตือนตนเตือนไม่ได้ ใครจะเตือน ตนแชเชือน ใครจะเตือน ให้ป่วยการ
พระเนตรที่มองต่ำ คือ การสอนให้ใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน ไม่ใช่เหม่อฝันเฟื่องถึงเรื่องที่ยังไม่ได้เกิดขึ้น หรือมัวหลงอยู่ในอดีตที่ผ่านพ้นไปแล้วและไม่มีวันหวนกลับมาตาที่มองลงต่ำจะช่วยย้ำเตือนใจเราว่า “กลับมาก่อนเถิด กลับบ้านมาอยู่กับลมหายใจที่ปลายจมูก เพราะนั่นคือบ้านแท้จริง”
๔. พระพักตร์อันสงบนิ่ง (หน้าสงบนิ่ง) หมายถึง ไม่หวั่นไหวกับปัญหาต่างๆ ทั้งเล็กและใหญ่ ให้ความรู้สึกเย็นสบายใจต่อผู้พบเห็นเสมอ
๕.รอยยิ้มจากพระโอษฐ์ หมายถึง ปริศนาจากปากที่มีรอยยิ้ม เป็นสัญลักษณ์ของผู้ที่มีเมตตาต่อสรรพสัตว์ และเข้าใจความจริงของโลก... ทุกสิ่งย่อมเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเป็นธรรมดา ไม่มีอะไรแน่นอน ไม่มีอะไรคงทนถาวร ไม่มีอะไรเป็นของเราอย่างแท้จริง ฉะนั้น “ผู้ที่เข้าใจความจริง” จะสามารถสงบนิ่งอยู่ได้ในธรรมชาติของสรรพสิ่ง ไม่วิ่งตามกระแสโลกจนเหนื่อยเกินไป และสามารถใช้ชีวิตอย่างเบิกบานได้ท่ามกลางพายุที่โหมกระหน่ำ เพราะมีสัจธรรมเป็นที่พักพิง
ที่กล่าวมาทั้ง ๕ ประการนั้น เป็นการสอน โดยใช้ปริศนาธรรมจากพระพุทธรูปเป็นสื่อการสอนใจตนเอง ดังนั้น เราเมื่อมีปัญหาอะไร แก้ไขไม่ได้ คิดไม่ตก ก็กราบพระไหว้พระ หายใจเข้าหายใจออกให้สบาย เมื่อกราบพระพุทธปฏิมา จะมองเห็นพระเศียรแหลม สอนใจตนว่า "อย่าแก้ปัญหาด้วยอารมณ์นะ ใจเย็นเย็น ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโลกนี้ไม่มีอะไรแก้ไขไม่ได้ ค่อยๆ คิด ค่อยๆแก้ ด้วยสติปัญญา ที่เฉียบแหลม เหมือนพระพุทธเจ้าของเรา ที่พระองค์ใช้สติปัญญาในการแก้ไขปัญหา"
เห็นพระกรรณยานก็บอกตน เองว่า "สุขุมเยือกเย็นมีเหตุผลเข้าไว้ อย่าปล่อยใจตามอารมณ์ หรือหุนหัน พลันแล่น เดี๋ยวจะผิดพลาดได้ ต้องมีจิตใจหนักแน่นมั่นคง เชื่อในสิ่งที่มีเหตุผล"
เห็นสายพระเนตรที่มองต่ำก็บอกตน เองว่า "มองตนเองบ้างนะ อย่าไปมองคนอื่นมากนักเลยเดี๋ยวจะไม่สบายใจ การมองตนเองบ่อยบ่อย จะได้พิจารณาตนเองปรับปรุงตนเอง และแก้ไขตนเองให้ดีขึ้น"
เห็นพระพักตร์อันสงบนิ่ง (หน้าสงบนิ่ง) ก็บอกตนเองว่า “อย่าไปหวั่นไหวกับปัญหาต่างๆ ทั้งเล็กและใหญ่ ให้ใจดีใจสบายเข้าไว้”
เห็นรอยยิ้มจากพระโอษฐ์ ก็บอกตนเองให้มีรอยยิ้มกับผู้อื่นบ้าง
กราบพระด้วยสติปัญญา และจิตใจที่ชื่นบาน นี้เรียกว่า "ยิ่งกราบยิ่งฉลาด" ...สมกับเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ที่แท้จริง....
พระพุทธเจ้าทรงค้นคว้าปฏิบัติตั้งหลายแสนหลายล้านชาติจนได้ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง เรียกว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ที่ปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าค้นคว้าจนได้มรรคผล เรียกว่า พระอริยสาวก นี้คือพระรัตนตรัยที่แท้จริง พวกประชาชนเป็นพระอริยะเจ้าถึงอนาคามี ผู้ที่มาบวชเป็นถึงพระอรหันต์ เพราะมียาน มีอุปกรณ์ที่จะนำไป มีเสบียงที่จะนำไปไกล พระรัตนตรัยถึงเป็นสิ่งที่ขลังศักดิ์สิทธิ์ผู้ที่ปฏิบัติตามได้ออกจากวัฏสงสาร ที่เขาพูดกันว่า พวกนี้เข้าใจในธรรม แล้วก็เทศน์ดี บางทีก็เครียดไม่ได้ ว่าคนนี้ทำไม่ดี คนนั้นทำไม่ดี คนนั้นโกงกินคอร์รัปชั่น ที่จริงมันยังไม่ได้ติดดี มันยังติดชั่วอยู่ เพราะว่าตัวสัมปชัญญะ ตัวปัญญามันยังไม่มี คนนั้นจะทำดีทำชั่ว เราก็ต้องเสียสละ เราถึงจะว่าเป็นผู้ที่ติดดี เพราะเราไม่ไปเอาชั่วของเค้ามา
พระจะได้รู้ จะได้ปล่อยวางไปในตัว ถ้างั้นไปเอาบาปเขามาติดไว้ในใจ หลายวัน หลายปี ยังไม่ปล่อยวางนะพวกนี้ ไม่พอใจหลายปีก็ไม่ปล่อยวาง ฝังอยู่ในจิตใจ ถ้างั้นเขาเครียดให้พ่อเขา ไม่ปล่อยวาง ไม่ใช่เขาติดดี ยังติดชั่วอยู่ อาการของตัวตนที่มันยึดมั่นถือมั่น
ธรรมะของพระพุทธเจ้าถึง ถ้าว่าพูดถึงความดี ถ้าพูดทำต่อเนื่องคือบุญกุศล บุญก็คือความดี กุศลก็คือความฉลาด พวกที่อยู่กับการเวียนว่ายตายเกิด พวกที่อยู่กับอดีต ตัวเองติดดี คนอื่นก็ทำไม่ถูกก็อดคิดไม่ได้ มันไม่ใช่ติดดี มันติดชั่ว มันไม่มีปัญญา ไม่มีสัมปชัญญะ มันยังไม่เป็นสัมมาทิฏฐิ ยังมีหนี้มีสิน คำว่าติด มันยังมีหนี้มีสินอยู่ ยังไม่ปล่อย ยังไม่วาง ถ้าเราไม่มีตัวสัมปชัญญะ ตัวปัญญา ตัวสัมมาทิฏฐิ มันก็ไม่ได้นะ
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.