แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันอังคารที่ ๑๒ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง เข้าพรรษาเข้าหาธรรม ตอนที่ ๓๖ บาปย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่ทำบาป ใครทำบาป คนนั้นก็เศร้าหมองเอง ใครไม่ทำบาป คนนั้นก็บริสุทธิ์
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ศาสนิกชนไม่รู้จักศาสนาของตัวเอง คนที่เป็นชาวพุทธก็ไม่รู้ศาสนาของตัวเอง อิสลาม คริสต์ พราหมณ์ ฮินดู สิกข์ ก็ไม่รู้จักศาสนาของตัวเอง คำว่าศาสนานั้นคือ เรื่องจิตเรื่องใจ มนุษย์เราต้องพัฒนาทั้งวิทยาศาสตร์และเรื่องใจไปพร้อมกัน พัฒนาหมายถึงการประพฤติปฏิบัติ ถ้าเป็นกฎหมายนี้เป็นเรื่องทางกาย ถ้าเป็นศาสนาเป็นเรื่องทางจิตใจ การจะเข้าถึงศาสนาต้องเข้าถึงเจตนา คือ ความตั้งใจ เราจะได้พัฒนาทั้งกายทั้งใจ เราจะได้พัฒนาทั้งวิทยาศาสตร์และใจไปพร้อมๆ กัน ผู้ที่บวชมาใหม่ก็ย่อมไม่เข้าใจ ผู้ที่เกิดมาใหม่ก็ย่อมไม่เข้าใจ
อย่างพระนี้ ส่วนใหญ่ก็ไม่เข้าใจ คิดว่าทำผิดแล้วจะปลงอาบัติตก การปลงอาบัตินั้นมันไม่ตกนะ อย่างเราต้องอาบัติ สังฆาทิเสส นิสสัคคิยปาจิตตีย์ หรือ ปาจิตตีย์ หรืออาบัติต่างๆ บางศาสนาก็ให้เราเสียสละคืน ต่อหน้าบุคคล ต่อหน้าสงฆ์ หรือว่าต่อหน้าคณะสงฆ์ที่เขากำลังลงโทษเรา ว่าเราจะไม่ประพฤติปฏิบัติอีก ตั้งแต่วันนั้นเราจะไม่คิด ไม่พูด ไม่ทำ ด้วยความตั้งใจด้วยเจตนาถึงจะแสดงอาบัติตก หรือว่าพ้นบาป พ้นกรรมได้
เพราะวัดบ้านถึงคิดว่าเวลาทำผิดแล้วมาแสดงอาบัติตอนเช้า ตอนเย็น ส่วนใหญ่ก็พระเก่านั้นทำไม่ดี ทำไม่ได้ พระใหม่ก็สงสัย พระเก่าก็บอกว่าไม่เป็นไร แสดงอาบัติได้ แสดงอาบัติตก ทุกๆ ศาสนาเขาให้มีการสารภาพบาปด้วยการหยุดทำบาป ทุกคนก็สงสารให้อภัยได้ แต่ถ้าเรามาทำอีก มาทำอย่างเก่า เป็นอันว่ามันไม่ได้นะ เราดูตัวอย่างแบบอย่าง พระไปเข้ากรรมต้องอาบัติสังฆาทิเสส มันเข้าอย่างนั้นทุกปี มันก็แก้ปัญหาไม่ได้ การบรรลุมรรคผลนิพพานนั้นมันถึงไม่มี เพราะเราบวชมาแล้ว เราไม่ได้ปฏิบัติเลย เพราะเราคนเก่า นิสัยเก่า การเดินทางเราต้องตั้งใจเดินทางนะ ถ้าเราไม่ได้ตั้งใจเดินทาง มันก็ไม่ได้ เหมือนพระที่พากันมาบวชอยู่นี้ ไม่มีการประพฤติปฏิบัติ ไม่มีความตั้งใจ ไม่มีเจตนามันก็คืออยู่ไปเฉยๆ ไม่มีการเดินทาง เหมือนเราตั้งโรงงานขึ้นแล้วปล่อยให้โรงงานว่างๆ ไม่ได้เปิดกิจการ เพราะอย่างพระทุกวัดก็ไม่ได้ทำอะไร ไม่ได้พัฒนาใจ ก็อยู่ไปเรื่อยๆ มันก็ไม่มีการก้าวหน้า
การกระทำที่ศาสนาต่างๆ สอนว่าเป็นบาปนั้นผิดแผกกันเป็นส่วนมาก ศาสนาใดสอนว่าโลกและสรรพสัตว์มีพระเจ้าสร้าง ศาสนานั้นก็สอนว่าการกระทำผิดต่อพระเป็นเจ้าเป็นบาป ดังนั้นบาปก็หมายถึงการผิดจากคำสั่งสอนของท่าน และท่านอาจมีสิทธิยกบาปให้ด้วย เช่น คริสต์ศาสนา เป็นต้น ถือว่าคนจะบริสุทธิ์นั้นด้วยการที่พระเจ้าไถ่บาปให้ การกำเนิดของบาป ในทัศนะของศาสนาอื่น เช่น คริสต์ อิสลาม ฮินดู ต่างกับของศาสนาพุทธอย่างมาก เช่น แนวคิดในศาสนาคริสต์ก็ดี อิสลามก็ดี สอนว่าบาปจะเกิดเมื่อผิดคำสั่งของพระผู้เป็นเจ้า เช่น พระผู้เป็นเจ้าสั่งให้นึกถึงพระองค์อยู่เป็นประจำ ถ้าลืมนึกไปก็เป็นบาป หรือพระผู้เป็นเจ้าในศาสนาคริสต์สั่งไม่ให้เอ่ยนามพระองค์โดยไม่จำเป็น ถ้าใครเอ่ยนามพระเจ้าพร่ำเพรื่อก็เป็นบาป
ยิ่งไปกว่านั้นตามความเชื่อของเขา บาปยังมีการตกทอดไปถึงลูกหลาน ได้อีกด้วย เช่น ในศาสนาคริสต์เขาถือว่าทุกคนเกิดมามีบาป เพราะอาดัมกับอีวา ซึ่งเขาถือว่าเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ ขัดคำสั่งพระเจ้า แอบไปกินแอปเปิ้ลในสวนเอเดน ถูกพระเจ้าปรับโทษเอาเป็นบาป ลูกหลานทั่วโลกจึงมีบาปติดต่อมาด้วย โดยนัยนี้ศาสนาคริสต์เชื่อว่า บาปตกทอดถึงกันได้โดยสายเลือด
ศาสนาพราหมณ์-ฮินดูมีความเชื่อว่า บาปสามารถล้างได้ ศาสนิกของศาสนาพราหมณ์ในสมัยก่อน ถือว่าการได้ลงอาบน้ำชำระกายในแม่น้ำคงคามหานที เป็นการชำระมลทิน ก่อให้เกิดความบริสุทธิ์ เพราะถือว่าแม่น้ำคงคาเป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ไหลมาจากพระโอษฐ์ของพระพรหม หรือพระศิวะที่สถิตอยู่บนเขาไกรลาส แม้คนใกล้ตาย ก็จะถูกหามมายังริมฝั่งแม่น้ำคงคา เพื่อลอยอังคารเมื่อศพถูกเผาแล้ว ถือว่าเป็นการล้างบาปครั้งสุดท้าย แม้ปัจจุบันนี้พิธีกรรมการล้างบาปในทำนองที่กล่าวมาแล้ว ยังคงปรากฏอยู่มากในประเทศอินเดีย เป็นพิธีกรรมที่ยิ่งใหญ่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวฮินดู มีผู้คน นับแสนคนไปรวมกันยังฝั่งแม่น้ำคงคา เพื่อประกอบพิธีล้างบาปตามความเชื่อของตน
พระพุทธศาสนา เป็นศาสนาที่มุ่งสอนให้คนทุกคนมีความประพฤติดีงามทั้งกาย วาจา และใจ ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ให้เชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม ทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว ตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีเป้าหมายสูงสุดคือการกำจัดกิเลสอาสวะให้หมดสิ้นไป โดยนัยนี้ถือว่าเป็นการล้างบาป ในตัวอยู่แล้ว แต่มิได้ใช้คำว่าล้างบาปโดยตรงเท่านั้น เพราะคำนี้เป็นคำของศาสนาพราหมณ์ที่มีอยู่มาก ในอินเดียก่อนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะบังเกิดขึ้น
คำว่า ล้างบาป หรือบางทีใช้คำว่า ลอยบาปนั้น เป็นคำในศาสนาพราหมณ์ ซึ่งเป็นศาสนาเก่าแก่ที่ชาวอินเดียนับถือกันมากในสมัยนั้น และมักจะประกอบพิธีการล้างบาปในแม่น้ำคงคาอยู่เสมอ เมื่อพระพุทธองค์ตรัสรู้แล้วได้เผยแผ่ธรรมะไปทั่วประเทศอินเดีย วิธีการอย่างหนึ่งที่พระองค์ทรงสอนคนต่างศาสนา คือ การใช้ลักษณะคำเดิมของศาสนานั้น อย่างคำว่า ล้างบาป ลอยบาปของศาสนาพราหมณ์ เป็นต้น ทรงใช้คำนี้กับพวกพราหมณ์ แต่ทรงบอกวิธีการปฏิบัติที่แตกต่างและดีกว่า การที่พระพุทธองค์ทรงกระทำเช่นนั้นก็เพื่อให้พราหมณ์เปิดใจยอมรับก่อน ซึ่งเมื่อได้รับฟังธรรมะจากพระองค์แล้วก็จะเข้าไปอยู่ในใจได้ง่าย จนในที่สุดพราหมณ์ก็หันมานับถือพระรัตนตรัย
พุทธศาสนาไม่ได้สอนเรื่องพระเจ้าสร้าง เรื่องบาปเป็นเรื่องเหตุผลทางจิตใจ คือการกระทำใดๆ ก็ตาม เมื่อทำลงไปแล้วจิตใจของคนนั้นแปรสภาพในทางเสียนั้นเป็นบาปทั้งสิ้น บาปคงเป็นบาป ไม่มีการหยิบยื่นบาปให้แก่ผู้ใด และไม่มีการงดเว้นหรือไถ่บาปให้แก่ผู้ใด ใครทำผู้นั้นก็จะต้องได้รับ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระพุทธบารมีมาอย่างดีเยี่ยมไม่มีผู้ใดเสมอเหมือน เป็นผลให้พระองค์ทรงเห็นและรู้จักธรรมชาติของกิเลส อันเป็นต้นเหตุแห่งบาปทั้งหลายได้อย่างถูกต้องตามความเป็นจริง และสามารถกำจัดกิเลสเหล่านั้น ออกไปได้โดยสิ้นเชิงและเด็ดขาด พระองค์ได้ตรัสสรุปเรื่องการกำเนิดของบาปไว้อย่างชัดเจนว่า
“นตฺถิ ปาปํ อกุพฺพโต บาปย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้ไม่ทำบาป”
“อตฺตนาว กตํ ปาปํ อตฺตนา สงฺกิลิสฺสติ ใครทำบาป คนนั้นก็เศร้าหมองเอง”
“อตฺตนา อกตํ ปาปํ อตฺตนา ว วิสุชฺฌติ ใครไม่ทำบาป คนนั้นก็บริสุทธิ์”
พระพุทธวจนะนี้ เป็นเครื่องยืนยันการค้นพบของพระองค์ว่า บาปเป็นเรื่องเฉพาะตัว ไม่ใช่สิ่งติดต่อกันได้ ใครทำบาปคนนั้นก็ได้บาป ใครไม่ทำบาปก็รอดตัวไป พ่อทำบาปก็เรื่องของพ่อ ลูกทำบาปก็เรื่องของลูก คนละคนกัน เปรียบเหมือนพ่อกินข้าวพ่อก็อิ่ม ลูกไม่ได้กินลูกก็หิว หรือลูกกินข้าวลูกก็อิ่ม พ่อไม่ได้กินพ่อก็หิว ไม่ใช่พ่อกินข้าวอยู่ที่บ้าน ลูกอยู่บนยอดเขาแล้วจะอิ่มไปด้วย เพราะเป็นเรื่องเฉพาะตัว ใครทำใครได้
ความหมายของคำว่า ล้างบาป จึงหมายถึง การกำจัดกิเลสอาสวะอันเป็นเหตุแห่งการทำความชั่วให้หมดสิ้นไป มีผลทำให้คุณภาพใจสูงขึ้น มีกาย วาจา ใจสะอาดบริสุทธิ์ จนกระทั่งหมดกิเลส ซึ่งความหมายที่กล่าวสรุปมานี้ มีความหมายเทียบเคียงกับคำว่า ผู้ล้างบาป ที่มีกล่าวไว้ใน ทุติยโสเจยยสูตร ว่า “ภิกษุทั้งหลาย โสเจยยะ คือ ความสะอาด 3 อย่าง บุคคลผู้สะอาดทางกาย สะอาดทางวาจา สะอาดทางใจ ไม่มีอาสวะ เป็นคนสะอาดพร้อมด้วยคุณธรรมของคนสะอาด ปราชญ์ทั้งหลายกล่าวบุคคลนั้นว่า ผู้ล้างบาปแล้ว”
จากพระสูตรนี้สามารถสรุปได้ว่า ผู้ล้างบาป หมายถึง ผู้ที่กำจัดกิเลสให้หมดสิ้น มีความสะอาดบริสุทธิ์ กาย วาจา และใจแล้ว ส่วนความหมายของการล้างบาปจากพระสูตรนี้น่าจะหมายถึง การกำจัดกิเลสอาสวะหมดสิ้นไป จนกาย วาจา ใจ สะอาดบริสุทธิ์
ดังนั้นตามความเห็นของพระพุทธศาสนา บาปจึงเกิดที่ตัวคนทำเอง คือเกิดที่ใจของคนทำ ใครไปทำชั่ว บาปก็กัดกร่อนใจของคนนั้นให้เสียคุณภาพ เศร้าหมองขุ่นมัวไป ทำให้เกิดความทุกข์ทรมานไป ไม่เกี่ยวกับคนอื่น
พระศาสดาประทับอยู่ ณ สวนมะม่วงของนายจุนทกัมมารบุตร นายจุนทกัมมารบุตรได้กล่าวถึง ความสะอาด และวิธีการทำความสะอาดของพราหมณ์ ซึ่งต่างจากความสะอาดของพระอริยะ
พระศาสดาตรัสถึงความไม่สะอาดของพระอริยะ คือ การกระทำทุจริต 3 ทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ วิธีการทำความสะอาดของพระอริยะ หมายถึง ทำความสะอาดทางกาย คือไม่ฆ่าสัตว์ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม
ทำความสะอาดทางวาจา คือการละจากการพูดเท็จ ละจากการพูดส่อเสียด ละจากการพูดคำหยาบ ละจากการพูดเพ้อเจ้อ
ทำความสะอาดทางใจ คือ ไม่อยากได้ของคนอื่น ไม่มีความมุ่งร้ายคนอื่น และมีความเห็นถูก จากพระสูตรนี้ จะเห็นว่า สิ่งที่ควรจะทำให้สะอาดบริสุทธิ์ มี 3 ทาง คือ กาย วาจา และใจ และทางแห่งการทำความชั่วก็มีอยู่ 3 ทางหลักๆ เช่นกัน
ให้เราพากันมาเสียสละละทิฏฐิมานะอัตตาตัวตน เอาพระธรรมวินัยเป็นข้อวัตรข้อปฏิบัติเราจะไปทำตามอัธยาศัย ทำตามอารมณ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ใช่พระพุทธศาสนานี้ไม่ได้ สิ่งเหล่านี้เราประพฤติปฏิบัติกว่ามันจะเห็นผลรู้ผลก็ย่อมใช้เวลาหลายปี เหมือนปลูกต้นไม้ กว่ามันจะโตก็หลายปี เหมือนเรารู้ เราเห็น สิ่งที่ผ่านมามันเป็นประวัติศาสตร์ ให้เราได้เรียนรู้ เราจะมองเห็นเป็นเรื่องธรรมดานั้นไม่ได้ เหมือนกับพระมหายาน จะเน้นแต่เรื่องจิตเรื่องใจ คิดว่านุ่งห่มจีวรไม่สะดวกในการดำรงชีวิต ก็เลยใส่เสื้อใส่กางเกง และก็ยังคิดต่อไปอีกว่า เราทำมาหาเลี้ยงชีพด้วยการปลูกผัก ผลไม้ ทุกสิ่งทุกอย่างก็ไม่ต้องประเคน เพราะจะทำให้ประชาชนเขายุ่งยากลำบาก เมื่อทำตามๆ กันไป บ่อยๆ ก็เป็นที่ยอมรับ ทั้งในประชาชนและในกลุ่มนักบวชมหายาน สิ่งเหล่านี้ก็กลายเป็นประชาธิปไตยไปโดยปริยาย ประชาธิปไตยก็จริง แต่ไม่ใช่ธรรมวินัย เป็นประชาธิปไตยสีดำ สีเทา สีสกปรก กว่านักบวชมหายานจะรู้เนื้อรู้ตัว ก็ใช้เวลาหลาย 10 ปี การที่เราทำอะไรไม่ถูกต้อง ไม่เป็นธรรม ไม่เป็นวินัยนี้ เราพากันทำ พากันปฏิบัติกันส่วนใหญ่ สิ่งเรานั้นก็จะเป็นประชาธิปไตยสีดำ สีเทา สีสกปรกไป
ทุกๆ วัด ทุกสำนักสงฆ์ พระภิกษุสามเณรต้องคำนึงถึงความถูกต้อง ความเป็นพระธรรมเป็นพระวินัย เราทุกคนที่พากันบวชมา ต้องมีจิตสำนึก ตั้งมั่นในความกตัญญูกตเวที เราทุกท่านต้องปฏิบัติตนตามพระวินัยให้สมบูรณ์ ด้วยความตั้งใจ ด้วยเจตนา การดำรงชีวิตของเราต้องมีมรรคผลพระนิพพาน ถ้าเราไม่มุ่งมรรคผลนิพพาน เราทุกคนก็จะเป็นบาปเป็นกรรม เพราะเราทุกคนมีสถานะแห่งความเป็นพระภิกษุสามเณร เป็นปูชนียะบุคคล ที่บรรพชาอุปสมบทบทมาแล้วให้ประชาชนได้เคารพนับถือ มีสิทธิพิเศษ บ้านไม่ต้องเช่า ข้าวไม่ต้องซื้อ เขาเอาอะไรมาประเคนให้ยังกราบไหว้เราอีก ทุกท่านทุกคนต้องเอาพระพุทธเจ้าเป็นหลัก อย่าไปเอาหมู่เอาคณะที่มีความย่อหย่อนอ่อนแอเป็นบรรทัดฐาน อย่างนี้ถือว่าใช้ไม่ได้ มันเป็นสีดำ สีเทา สีสกปรก เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ทุกๆ ท่านอย่าไปว่า “ปฏิบัติไม่ได้” มีเหตุผลต่าง ๆ นานา มาเป็นข้ออ้าง ถ้าปฏิบัติไม่ได้ก็ควรพิจารณาตัวเอง ไม่ควรที่จะมาบรรพชาอุปสมบทอยู่ ควรสิกขาลาเพศไปเสีย ถ้าเป็นอย่างนี้ ไม่ต้องมีพระภิกษุสามเณรก็ยังจะดีกว่า การที่พระภิกษุสามเณรเป็นโจร เป็นมหาโจร
ด้วยเหตุนี้ จึงได้มีหนังสือแจ้งมายังทุกวัด และทุกสำนักสงฆ์ เพื่อความสมัครสมานสามัคคี เพราะสิ่งเหล่านี้แก้ไขได้ เพราะเราไม่ได้แก้ที่คนอื่น ให้เราแก้ที่ตัวเอง ทุกๆ ท่าน ไม่ต้องกลัวอดตาย มันไม่อดตายหรอก ยิ่งจะทำให้ทุกคนเขาความเคารพนับถือ ให้ความไว้วางใจ เมื่อพระภิกษุสามเณรไม่เอาข้อวัตรกิจวัตร ไม่เอาพระธรรมวินัย การโกงกินคอร์รัปชันก็ยิ่งเพิ่มขึ้นทวีคูณ เพราะสถาบันหลักทางศาสนาไม่ได้ทำหน้าที่ในการเทศน์ การสอนสิ่งที่ถูกต้อง ทุกคนไม่อาจที่จะเคารพนับถือได้ เขามองเห็นพระภิกษุสามเณรเป็นเพียงผู้ที่ตกงาน ไม่มีระบบสมองสติปัญญาที่จะหาเลี้ยงชีพได้ แล้วพากันมาบวช มีความเป็นอยู่เพียงตามรูปแบบ ด้วยการปลงผม นุ่งห่มจีวร มีกิจกรรมคอยรับจ๊อบ รับประเคน รับของประชาชน ด้วยพิธีกรรมของคนตาย ทำบุญบ้าน งานแต่ง พิธีกรรมต่างๆ ซึ่งไม่ต่างอะไรกับนักร้อง นักรำ ที่เขาตั้งวงคอนเสิร์ต ที่เขาทำการแสดงเสร็จแล้วก็รับเงินรับสตางค์กันไป แบบนี้คือสิ่งที่คนมีสติปัญญาเขามองเห็นกัน นี่คือเรื่องจริง ความเป็นจริง เป็นสิ่งที่ทุกท่านทุกคนจะต้องแก้ไข
เรื่องสติ เรื่องสัมปชัญญะนี้ เป็นสิ่งที่สำคัญ ทุกท่านทุกคนต้องมีสติสัมปชัญญะ เราต้องมีสติคือความสงบ เราต้องมีสัมปชัญญะคือตัวปัญญา ถ้าไม่มีสติสัมปชัญญะ เราย่อมดำเนินชีวิตไม่ถูกต้อง เราอย่าไปคิดว่า “ที่โน่นก็ทำ ที่นี่ก็ทำ เขาทำกันทั้งประเทศแหละ” เรื่องของคนอื่น ก็เป็นเรื่องของคนอื่น เราต้องมาจัดการตัวเอง กลับมาหาสติสัมปชัญญะ กลับมาหาสิกขาบทน้อยใหญ่ด้วยความตั้งใจ ตั้งเจตนา เรื่องอดีตเป็นสิ่งที่แก้ไขไม่ได้ เรื่องอนาคตเป็นสิ่งที่เราต้องตั้งเป้าหมายไว้ คือมรรคผลพระนิพาน เรามาเน้นที่ปัจจุบันให้มีสติสัมปชัญญะ ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้ถึงมี” อันไหนไม่ถูกต้องเราก็ต้องหยุด ไก่มันฟักไข่ใช้เวลา 3 สัปดาห์ ถึงจะฟักออกมาเป็นลูกไก่ ตามพระวินัยเราต้องปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องกัน พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า “มรรคผลนิพพานไม่หมดสมัย ไม่ล้าสมัย” มันเป็นยานที่จะให้เราออกจากวัฏสงสาร
พระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ที่มาในพระปาติโมกข์ 21,000 พระธรรมขันธ์ และที่เราเอามาสวดกัน 227 ข้อทุกๆ กึ่งเดือนนั้น เพราะเป็นหลักการ เป็นหลักใหญ่ ถ้าจะเอามาสวดหมดทั้ง 21,000 พระธรรมขันธ์นั้น มันจะใช้เวลามากเกิน พระธรรมวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ถึงเป็นเรื่องของสติสัมปชัญญะ เป็นเครื่องมือที่จะทำให้พวกเรามีสติสัมปชัญญะ อบรมบ่มอินทรีย์ เพราะสิ่งเหล่านี้มี มรรคผลนิพพานถึงมี เราจะได้เข้าถึงพระพุทธศาสนา จะได้เข้าถึงหลักการ จะได้มีจุดยืนที่แท้จริง
โครงสร้างของประเทศไทยเรามีการปกครอง ที่เอาธรรมเป็นหลัก เป็นใหญ่ ถึงได้เรียกว่า “เป็นไท” ไม่ตกอยู่ในไสยศาสตร์คือ ความหลง ที่ปฏิบัติกันด้วยสีดำ สีเทา สีอะไรต่างๆ นั้น ก็ต้องปรับเข้าหาธรรมะ สังคมที่นิยมพากันทำอะไรทำตามใจ ตามความหลง ก็ต้องปรับเข้าหาธรรมะ คณะสงฆ์มีการปกครองที่เอาพระธรรมวินัยเป็นหลัก ต้องพากันทำให้ได้ทุกๆ คน ไม่มีใครยกเว้น ทุกท่านทุกคนต้องแก้ไขที่ตัวที่ตน ความเคยชินของเรามันเป็นสิ่งที่แก้ไขยาก แต่ถึงจะยากแค่ไหน เราก็ต้องแก้ไข แก้ไขแล้วก็ต้องละ ต้องเลิก ต้องกลับมาหาสติสัมปชัญญะ กลับมาสมาทานตั้งไจทำข้อวัตรกิจวัตรให้สมบูรณ์ เราจะเอาความฟุ้งซ่านเป็นข้อวัตรไม่ได้ ทุกท่านทุกคนต้องจัดการกับตัวเองอย่างนี้
การพัฒนาของระบบของเราทุกๆ คน เขาก็ต้องพัฒนาวิทยาศาสตร์ตามหลักเหตุหลักผลเพราะสิ่งนี้มีสิ่งนี้มันถึงมี พัฒนาจิตใจไปพร้อมๆ กันเพื่อควมคุมเพื่อ control ตัวเอง ให้ตั้งมั่นอยู่ในสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้อง ความเข้าใจถูกต้อง เราที่เป็นผลจากการที่เราทำความดีตามหลักเหตุผล ตามหลักวิทยาศาสตร์ มันจะทำให้ตัวเองหลง ทำให้ตัวเองใจอ่อน เราต้องเอาปัญญามาช่วย ว่า ความอร่อยทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ความสะดวกความสบาย ความทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงนั้น คือสิ่งที่ตั้งอยู่ในความไม่แน่นอน ให้เราต้องบริโภคทุกอย่างด้วยสติ ด้วยปัญญา เพราะว่าเราต้องเสียสละ ถ้าเราไม่เสียสละไม่ได้ มนุษย์เราต้องพัฒนาใจไปพร้อมกับหลักวิทยาศาสตร์ เราขี้เกียจขี้คร้านมันจะรวยได้อย่างไง เราก็พาลูกพาหลาน เข้าสู่ขบวนการแห่งหลักแห่งผลหลักวิทยาศาสตร์
ศาสนาพุทธนี้ไม่มีไสยศาสตร์นะ ไม่ตั้งมั่นในไสยศาสตร์ ในพวกโมหะ พวกนี้มันเป็นกาฝากของทางศาสนา เป็นที่เขาเค้ามาทำมาหากิน มันเป็นเนื้องอก ให้ทุกคนทุกศาสนาก็ไปอันเดียวกัน ไปในแนวทางเดียวกัน คือพัฒนาวิทยาศาสตร์กับพัฒนาใจไปพร้อมๆ กัน ทุกคนรักกันสงสารกัน เมตตากัน กรุณากัน เพราะเราทุกคนมาอยู่ด้วยกันนี้ สรีระร่างกายก็ไม่เกิน ๑๐๐ ปีก็ต้องจากโลกนี้ไป ความสมัครสมานสามัคคีนี้ถึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด การที่เป็นสังฆเภทไม่ดีเลย สามีภรรยา ญาติพี่น้องวงศ์ตระกูล มันแตกแยกกันไม่ได้ อันนั้นมันเป็นความยึดมั่นถือมั่น เขาเรียกว่ามันเป็นวิทยาศาสตร์ แล้วก็หลงในวิทยาศาสตร์ หลงในความสุขความร่ำความรวย พากันไปก๋าไปกร่าง ต้องพัฒนาใจของเรา ให้มีสติสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อม หายใจเข้าก็รู้ชัดเจน หายใจออกก็รู้ชัดเจน หายใจเข้าท่องพุธ หายใจออกท่องโท
ทุกคนต้องพัฒนาตัวเองในปัจจุบัน เพราะอดีตก็ไม่ได้ อนาคตก็ไม่ได้ มันอยู่ที่ปัจจุบัน เพราะสิ่งนี้มีสิ่งนี้มีมันจะเลื่อนของมันไปเอง เขาเรียกว่า บารมี ๑๐ ทัศน์ บารมี ๒๐ ทัศน์ บารมี ๓๐ ทัศน์ มันจะละเอียดคมไป ศีล สมาธิ ปัญญา มันจะเข้าสู่ภาคประพฤติ ภาคปฏิบัติ เข้าสู่ศาสนา อันนี้เป็นความสุขเป็นความดับทุกข์ อันนี้เขาเรียกว่าเป็นความดับทุกข์ที่สุดยอดของหมู่มวลมนุษย์ ทั้งเอเชียทั้งยุโรป ต้องพากันพัฒนากันอย่างนี้ อย่าไปหลงขยะ อย่าไปหลงสิ่งแบบนี้นะ มันไม่สมควรที่จะโง่ๆ อย่างนั้นอีก
เราต้องทานอาหารเสริม อาหารเสริมคือ นั่งสมาธิ ตอนเช้า ตอนกลางคืนอย่างนี้เป็นต้น เขาเรียกว่าอาหารเสริม เพราะปัจจุบันมันอาจจะไม่เพียงพออย่างนี้นะ ต้องทำอย่างนี้เรารูป เสียง กลิ่น รส ลาภยศ สรรเสริญ มันทำให้เราทุกคนเพลิดเพลิน เพราะมันทำตามความหลงนะ เราต้องกลับมามีสติสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อม เราต้องปรับตัวเข้าหาธรรมะเข้าหาเวลา เราจะได้เป็นคนกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่บรรพบุรุษ กตัญญูกตเวทีต่อพระพุทธเจ้า เพราะท่านเสียสละ เราก็เดินตามเรียกว่าสืบทอด ต่อยอดในทางที่ดี พระพุทธเจ้านั้นไม่ใช่นิติบุคคล ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ก็คือธรรมะ คือการให้เขาเข้าใจในการประพฤติในการปฏิบัติ สมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ นั้น มันอยู่ที่เราที่มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง มรรคผลนิพพานไม่ล้าสมัย เป็นของสด สงบสดชื่นเบิกบาน ในปัจจุบันอย่างนี้นะ เราจะได้เข้าถึงสิ่งที่ประเสริฐ เราไม่สมควรที่จะไปยึดมั่นถือมั่นว่าตัวว่าตนอีกต่อไป เราต้องเสียสละเสียคืนซึ่งตัวซึ่งตน ความสุขความดับทุกข์มันไม่ได้เกี่ยวกับคนรวย ไม่ได้เกี่ยวกับคนจน ไม่ได้เกี่ยวกับคนแข็งแรง มันอยู่ที่มีความเห็นถูกต้องความเข้าใจถูกต้อง พัฒนาใจ ความสุขความดับทุกข์ก็จะมีอยู่กับเราทุกหนทุกแห่ง พุทธะ คือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
สิ่งที่ทุกคนหลงเหยื่อ หลงมี Sex ทางจิตใจทางอารมณ์อย่างนี้ เค้าเรียกว่าเรายังยินดีในการบริโภคเหยื่อของพญามาร เราต้องเก่งกว่านี้ ฉลาดกว่านี้ เราต้องเสียสละ เรื่องจิตเรื่องใจ มันติดในวัฏฏะสงสาร มันยินดีในความเอร็ดอร่อย ทางอายตนะ ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ มันไม่ได้ มันเป็นเหยื่อ มันเป็นการรับจ้างมาเวียนว่ายตายเกิด เราต้องรู้จักว่าหนทางที่เราไปมันต้องพาอุปสรรคต่างๆ อุปสรรคมาในความเอร็ดอร่อย รูปสวยๆ เสียงเพราะๆ เราต้องรู้จักว่าอันนี้มันมาปรากฏการณ์ให้ทุกคนได้รู้จัก ไม่ใช่ให้มาหลง เพราะเรามีตาก็เพื่อฉลาด มีหูก็เพื่อฉลาด มีจมูก มีลิ้นมีกายมีใจก็เพื่อฉลาด เมื่อฉลาดเเล้วเราต้องมีสติมีสัมปชัญญะ เสียสละไป หายใจเข้าก็รู้ชัดเจน หายใจออกก็รู้ชัดเจน หายใจเข้าสบาย หายใจออกสบาย เราต้องรู้จักว่าการเวียนว่ายตายเกิด มันต้องตัดอย่างนี้มันถึงได้
คนเรามันมีความสุขอยู่เเล้ว ถ้าเรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง เราจะไม่ตามความคิดตามอารมณ์ไป ทุกคนต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ตอนปฏิบัติใหม่ๆ มันไม่ได้ตามใจมันจะอกเเตกตาย มันจะกระอักเลือด ให้รู้จักให้ทุกคนมีสติสัมปัชญญะ หายใจเข้าก็รู้ชัดเจน หายใจออกก็รู้ชัดเจน มามีสติสัมปชัญญะ ให้รู้ตัวทั่วพร้อมอย่างนี้ เราต้องอย่าไปหลงอารมณ์ อย่าไปหลงนิมิต ให้มีสติมีสัมปชัญญะ การประพฤติการปฏิบัติใหม่ๆ มันก็ต้องยาก เพราะรถมันวิ่งมาตั้ง 100-200 มาหยุดทันทีมันเเทบจะตีลังกาเลย เเต่การปฏิบัติต้องอาศัยเวลาหลายวันหลายอาทิตย์หลายเดือน เช่น คนเรากว่าจะเลิกเหล้าได้ใช้เวลาเป็นเดือน เลิกได้ทุกอย่างต้องใช้เวลา มันต้องเข้าใจว่า มันต้องมีการต่อสู้ในการประพฤติในการปฏิบัติที่ละบาปที่เกิดเเล้วไม่ให้เกิดขึ้น และบาปที่มันกดดันจะให้เราเดินไปต่อ เราต้องรู้จัก กลับมาหาสติสัมปชัญญะ กลับมาหาอานาปานสติ หายใจเข้ามีความสุขหายใจออกมีความสุข
ทุกท่านทุกคนต้องเปลี่ยนเเปลงตัวเอง พัฒนาตัวเอง ปรับตัวเองอย่างเต็มที่เลย เมื่อก่อนเดินไปทางทิศตะวันตก ทีนี้หันหลังกลับไปเดินทางทิศตะวันออกเลย ออกจากโลก ออกจากวัฏฏะสงสาร ผู้ที่อยู่ที่บ้านก็ประพฤติพรหมจรรย์เบื้องต้น คือศีล 5 ให้เรามีความสุขในการถือศีล 5 ตั้งใจตั้งเจตนา อันไหนเป็นศีล เป็นข้อวัตรปฏิบัติ เราต้องตั้งใจตั้งเจตนา มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เราอย่าไปสงสัยว่าเราปฏิบัติได้หรือไม่ได้? มันได้ มันได้ทุกคนถ้าเสียสละ มันถึงจะเก่ง เอาให้มันเป็นธรรม เป็นปัจจุบันธรรม เป็นคุณธรรม ทุกคนพากันตั้งใจนะ
วัดคือข้อวัตรปฏิบัติ วัดอยู่ที่ทุกคนในชีวิตประจำวัน มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ทุกคนปัญหาต่างๆ ในโลกมันไม่มีหรอก ต้องกลับมาหาตัวเอง กลับมาเเก้ไขตัวเอง กลับมามีความสุขในการประพฤติปฏิบัติ เพราะเวลาของเรามันมีค่ามีราคาเวลา เราต้องกลืนกินเวลาด้วยการประพฤติการปฏิบัติ ถ้าเราไม่ปฏิบัติ เวลาจะกินเราปล่อยให้เราเเก่ไปเฉยๆ อย่างนี้มันก็ไม่ได้ มันเสียหาย จะมีประโยชน์อะไร ไปหาอยู่หากิน ให้มันเเก่ไปเฉยๆ เเล้วก็ไม่มีอะไร
คนเราต้องเข้าสู่ระบบระเบียบเข้าสู่ไลน์ของพระพุทธเจ้า มันถึงจะเป็นอย่างนี้นะ ทุกคนถ้าตามใจตัวเองตามอารมณ์ตัวเองมันไม่เก่งหรอก เราอย่าไปคิดว่าเค้าเก่ง ที่เค้าว่าเราเดินตามรอยของพระพุทธ ถ้าเราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ โยมเค้าก็ได้บุญได้กุศล นี้เป็นความมั่นคงของชาติ ชาติที่เป็นมนุษย์เป็นผู้ประเสริฐ เป็นความมั่นคง จะได้ต่อยอดเป็นพระอริยเจ้า ความมั่นคงของศาสนา ของพระมหากษัตริย์ จะได้ส่งไม้ผลัดต่อลูกต่อหลาน เราดูโครงสร้างของสังคมของเรา มันมีเเต่ความล้มเหลวของชาติ ของศาสนา ของพระมหากษัตริย์ บรรพบุรุษเรา เราต้องเข้าใจอย่างนี้ ความมั่นคงมันอยู่ที่ไหน ไม่ได้อยู่ที่พวกทหารตำรวจอะไรหรอก มันอยู่ที่ทุกคนมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง เราต้องปฏิบัติตัวเองให้ได้ มันถึงจะบอกคนได้
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.