แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันพฤหัสบดีที่ ๗ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง เข้าพรรษาเข้าหาธรรม ตอนที่ ๓๕ แสวงหาอริยทรัพย์ จากกายที่กว้างศอกยาววาหนาคืบที่มีใจครองนี้
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
อายุขัยของหมู่มวลมนุษย์ในปัจจุบันก็ไม่เกิน 100 ปี คือเราได้มีการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ ด้วยอวิชชาด้วยความหลง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านเห็นภายในวัฏสงสารท่านจึงได้บำเพ็ญพุทธบารมี ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้มาบอกมาสอนให้หมู่มวลมนุษย์ที่มีสังขารมีใจครอง แต่มันครองด้วยอวิชชาด้วยความหลง ให้มีความเป็นถูกต้องความเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง เพื่อที่จะได้มีร่างกายที่อายุขัย ได้รับความสะดวกสบายพัฒนาด้วยหลักเหตุผลหลักวิทยาศาสตร์ สร้างเหตุสร้างปัจจัยเพื่อให้สังขารมีความสุขมีบ้านมีรถมีเครื่องอำนวยความสะดวกสบายเหมือนที่เราเป็นอยู่
ส่วนสำคัญคือเรื่องจิตใจ เรื่องที่เราท่องเที่ยวเวียนว่ายตายเกิด ก็ต้องมีความเห็นถูกต้องความเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง เราทุกคนต้องมีความเห็นถูกต้องความเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง เราทุกคนต้องทำให้ถูก ให้จบด้วยสัมมาทิฏฐิ พระพุทธเจ้าถึงให้เรามีสติคือความสงบ อย่าไปวิ่งตามตัวตนอย่าไปวิ่งตามอวิชชาความหลง ต้องเอาธรรมเป็นหลัก อย่าเอาตัวตนเป็นหลัก เอาตัวตนเป็นหลักมันก็เป็นได้แต่เพียงคนที่เวียนว่ายตายเกิด เรื่องความยากความจนความรวย ก็ยังถือว่าไม่ใช่การดับทุกข์ที่แท้จริง
การดับทุกข์ที่แท้จริงนั้นคือเราต้องหยุดวัฏสงสารไม่ให้เราต้องเวียนว่ายตายเกิด ด้วยมีสติความสงบมีสัมปชัญญะคือตัวปัญญา ปัญญานี้หมายถึงรู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ รู้การเวียนว่ายตายเกิด พระพุทธเจ้าแต่ก่อนก็เป็นลูกหลานพราหมณ์มาก่อน พราหมณ์ก็เป็นได้ความสงบเข้าฌานสมาบัติ แต่ก็ยังเอาตัวเอาตัวเอาธาตุเอาขันธ์ เอาอายตนะที่เป็นเรา ออกสมาธิเมื่อไหร่มันก็ยังเป็นการเวียนว่ายตายเกิด พระพุทธเจ้าท่านถึงได้ตรัสสอนอริยมรรคมีองค์ 8 มีความเห็นถูกต้องความเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ทุกท่านทุกคนต้องมีความเห็นถูกต้องความเข้าใจถูกต้อง มีความสุขในการมีสติ มีสติในการงานทำไร่ทำสวนกัน เพราะว่าเราเกิดมาเราต้องมีความสุขในการทำงานวันหนึ่งคืนหนึ่งของมนุษย์มันมี 24 ชั่วโมง เราก็ต้องนอน 6 ชั่วโมง 7 ชั่วโมง 8 ชั่วโมงถ้าเราไม่นอน 6 ชั่วโมง 8 ชั่วโมงสมองเราก็จะมาสั่งร่างกายของเราก็ไม่ได้ จะไปสั่งธุรกิจที่ทำงานอยู่ก็ไม่ได้ ทุกคนก็จะมีความสุขอยู่ทุกหนทุกแห่ง เราต้องเอาเทคโนโลยีสมัยใหม่รุ่นใหม่มาทำงาน ตามใจตัวเองตามอารมณ์ตัวเองไม่ได้ มีหนี้มีสินเล่นการพนันไปเรื่อยไม่ได้ มันหลง ความสงบมันถึงอยู่ที่มีสติสัมปชัญญะในปัจจุบัน
เราต้องรู้จักทุกข์ นั้นเป็นเหตุที่จะให้เราเวียนว่ายตายเกิด การที่เราจะออกจากวัฏฏะสงสารได้ เราต้องอาศัยศีล ศีลนั้นเป็นยาน เป็นอุปกรณ์ ที่จะให้เราหยุดภพ หยุดชาติ หยุดวัฏฏะสงสาร เสียสละซึ่งตัวซึ่งตน ศีลจึงเป็นยาน ยานก็เหมือนรถยนต์ เราเดินทางไกลเราต้องไปรถยนต์ ไปเครื่องบิน
ศีลถึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในโลก ทุกท่านทุกคนถึงต้องสมาทานศีล ศีลจะบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ ขึ้นอยู่ที่เราสมาทาน อยู่ที่เราตั้งใจ พระพุทธเจ้าถึงไม่ให้เรา ลูบคลำในศีล ในข้อวัตรปฏิบัติ ต้องสมาทานเต็มที่มันถึงได้เกิดเป็นสัมมาสมาธิ เน้นที่ใจเราทุกคนในปัจจุบัน ในโลกนี้อะไรก็ไม่สำคัญเราความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้องในปัจจุบัน นี้แหละคือ ยานที่จะออกจากวัฏฏะสงสาร ถ้าเราตั้งใจอย่างเต็มที่ สมาทานอย่างเต็มที่ สัมมาสมาธิถึงจะเกิดขึ้นเป็นสมาธิธรรมชาติ ปัญญาก็จะเกิดขึ้นตามระดับ เราจะประพฤติปฏิบัติธรรมได้เพราะเรามีกายนี้ กายที่กว้างศอก ยาววา หนาคืบ นี้คือบ้านที่จิตใจ บ้านที่ใจอาศัยบำเพ็ญ ภาวนา ที่อายุขัยไม่ถึง 100 ปี ก็ต้องจากโลกนี้ไปโดยไม่มีเงื่อนไข การรักษาศีลถึงเน้นไปที่ใจ
เราคิดดูว่า พระอรหันต์ท่านไม่ผิดศีล ท่านไม่ต้องอาบัติเพราะใจท่านบริสุทธิ์ เจตนาท่านบริสุทธิ์ ท่านรักษาศีลยิ่งกว่าชีวิต อันไหนไม่ดีท่านไม่คิด อันไหนไม่ดีท่านไม่พูด อันไหนไม่ดีท่านไม่ทำ อันไหนไม่ดีก็ตัดทิ้ง ลาก่อน ไม่ทำบาปทั้งปวง ทำแต่บุญแต่กุศล ให้ถึงพร้อม ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ไม่เพลิดเพลิน คนที่มีความสุขก็คือผู้ที่มีศีล เพราะผู้มีศีลคือผู้ไม่หลงทาง เรียกว่าเป็นพระอริยเจ้าตั้งแต่เบื้องต้น ประชาชน สามัญชนถึงต้องเอาศีลเป็นของดี คิดว่าเรื่องศีลนี้เป็นเรื่องของพระที่บวชอยู่ที่วัด เรื่องของพวกคนแก่ มันไม่ใช่ มันเป็นของสำหรับทุกคน คนเราต้องเข้าถึงศีล เข้าถึงธรรมตั้งแต่ยังเด็กๆ อยู่ ถ้าเราไม่รู้จักว่าศีลเป็นของดี เราก็ปล่อยศีลทิ้งหมด ไปยินดีแต่รูป เสียง กลิ่น รส ลาภ ยศ สรรเสริญ ยินดีแต่ความร่ำรวย หรูหรา ฟู่ฟ่า สิ่งเหล่านั้นเป็นของใช้ชั่วคราวที่เรายังมีชีวิตอยู่ เรียกว่า เป็นยารักษาโรค เป็นสิ่งที่บรรเทาทุกข์ ความดับทุกข์ของมนุษย์เราต้องมีอยู่ที่ศีลในปัจจุบัน
ถ้าเราประพฤติปฏิบัติอย่างนี้ ความดีของเรามันก็เลื่อนไปเรื่อย มันเป็นฐาน เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันก็ต้องมี เพราะมันเป็นฐานของอนาคต อนาคตก็คือปัจจุบันนี้แหละ ศีลถึงเป็นพื้นเป็นฐาน ความดีทั้งหลายทั้งปวง ผู้ที่หมดลมหายใจ ถึงได้หมดโอกาสที่จะได้ประพฤติปฏิบัติ เพราะร่างกายมันหยุดทำงาน
เราไม่ดีรู้คุณค่าในเรื่องจิตเรื่องใจเรื่องพระนิพพาน เราก็คิดปรุงแต่งไปเรื่อย เขาเรียกว่าเรามีเซ็กซ์ทางความคิด มีเซ็กซ์ทางอารมณ์ ที่มันต่อเติมให้เราสร้างวัฏฏะสงสาร ที่เราไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้เหตุให้เกิดทุกข์ ไม่รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับแห่งทุกข์ เราก็พยายามที่จะไปแก้ไขแต่สิ่งภายนอก ความสุข ความดับทุกข์มันอยู่กับเราทุกๆ คนนะ ผู้ที่เป็นประชาชน อยู่บ้านก็พากันปฏิบัติที่บ้าน ผู้ที่มาบวชก็พากันปฏิบัติอยู่ที่วัด ผู้ที่ทำงานเป็นข้าราชการเป็นพนักงานก็ปฏิบัติอยู่ในธุรกิจหน้าที่การงาน ทุกๆ อย่างต้องพัฒนาทั้งส่วนภายนอกและใจไปพร้อมๆ กัน ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า สมณะที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 มันอยู่นี้แหละ พระพุทธเจ้าตรัสบอกเราว่า พระนิพพานไม่ได้อยู่ที่ไกลนะ อยู่ที่ใจของเรานี้แหละ ให้ทุกท่านทุกคนมีสติ สัมปชัญญะ รู้ตัวทั่วพร้อม ว่าอันไหนผิด อันไหนถูก หายใจเข้าก็รู้ชัดเจน หายใจออกก็รู้ชัดเจน หายใจเข้าให้สบาย หายใจออกให้สบาย อิริยาบถ ยืน เดิน อิริยาบถหยาบๆ คือการทำงาน ก็ให้หายใจเข้ารู้ชัดเจน หายใจออกให้รู้ชัดเจน เรียกว่ามีพุธโธ เพื่อบรรเทาความฟุ้งซ่าน เพื่อหยุดความฟุ้งซ่าน เพื่อจะได้หยุด อวิชชา หยุดความหลง เจ้าโมหะ ความหลง เล่นงานเราจนฟุ้งซ่านเหลือเกิน เอาเราจนไม่เป็นตัวของตัวเอง เอาตัวเองเป็นโรคซึมเศร้า โรคไม่มีความสุข โรคที่ไม่สมปรารถนา มันจะสมปรารถนาได้ยังไง เพราะทุกอย่างมันต้องอยู่บนความไม่เที่ยงแท้ ความไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน
พระพุทธเจ้าท่านเป็นห่วงเรา แม้ท่านจะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ท่านบอกว่า สังขารทั้งหลาย ทั้งปวง มันไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตนนะ ท่านอย่าไปประมาท อย่าไปเพลิดเพลิน อย่าไปหลง ท่านต้องพากันประพฤติปฏิบัติ พวกกามต่างๆ ความสนุก ความสะดวก ความสบาย มันพาเราหลงนะ เราจะเป็นมนุษย์ หลงความสุขอยู่ไม่ได้นะ เราจะเป็นเทวดาเสวยทิพย์ วิมาน อยู่ไม่ได้นะ เราจะเป็นพรหมไปติดความสงบไม่ได้นะ
ผู้นำนี้สำคัญนะ ผู้นำนี้สำคัญ เพราะว่าธาตุขันธ์ ทุกคนมันก็แก่เจ็บไข้ไม่สบาย ถ้าเราไม่เอาความแก่ความเจ็บไข้ไม่สบายมาเป็นคติ ด้วยการภาวนาวิปัสสนา จุดนี้ก็จะทำให้การปฏิบัติธรรมของเราตกลงได้ เพราะทุกวันนี้พระผู้ใหญ่มีกิจนิมนต์เยอะในงานต่างๆ ไม่มีเวลาที่จะพัฒนาใจตนเอง ถ้าเรารู้หลักแล้ว มันง่าย ไม่มีปัญหา เอาหลักเหมือนหลวงพ่อชา ท่านสอนตนเองคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ 95% สอนพระสอนประชาชนเพียง 5% ถ้าไม่อย่างนั้น ไม่ได้ เพราะว่าเทคโนโลยีพวกโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ตพวกนี้ มันมาแรง พวกยศพวกตำแหน่ง สิ่งอำนวยความสะดวกความสบาย มันมาแรง จะทำให้ผู้ที่พัฒนาตนเป็นพระอริยะเจ้า ตั้งอยู่ในความประมาท ตั้งในความเพลิดเพลิน
การพัฒนาจิตใจต้องพัฒนาติดต่อต่อเนื่อง นี่เราลองดูเรานี่แหละ เราปล่อยใจของเราให้หลงใหลในวัตถุ 99.9% ปล่อยให้จิตใจหลงใหลอย่างนี้ มันไม่ได้นะ มันไม่ได้เข้าทางสายกลาง ต้องเจริญสติสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อมให้ชัดเจน พวกแรงดึงดูดของโลกของโลกิยะมันมาก มันไม่สมดุล มันไม่ได้ไปสายกลาง ทุกคนพากันทิ้งอานาปานสติ หายใจเข้าหายใจออกก็ไม่รู้ชัดเจน อานาปานสตินี้ใช้ได้ เพราะอิริยาบถเราเดินเรานั่งเป็นอิริยาบถหยาบ หายใจเข้าออกให้รู้ชัดเจน ถ้าเราไม่ตั้งใจพิเศษ ความรู้สภาวะธรรมตามเป็นจริงมันจะหายไป มันจะมีแต่ความหลงมาแทนที่
ถ้าเราไม่ตั้งสมาทานไม่ตั้งใจก็ไปไม่ได้ เพราะการพัฒนาเทคโนโลยีมาแรงรูปก็สวย เสียงก็เพราะ กลิ่นก็หอม อาหารก็อร่อย สัมผัสถูกต้องก็น่าหลงใหล พวกรูปเสียงกินรสลาภยศสรรเสริญ ทั้งโทรศัพท์มือถือ อินเตอร์เน็ตคอมพิวเตอร์ เขาสร้างมาก็เพื่อขายสิ่งเหล่านี้ให้ผู้มีอินทรีย์อ่อนได้มาบริโภคกัน ถ้าเราไม่ตั้งใจไม่ปฏิบัติ มันไปไม่ได้ เพราะสิ่งเหล่านี้มีอิทธิพลต่อญาติพี่น้องวงศ์ตระกูลต่อเรามันยิ่งกว่าโรคระบาดเสียอีก
ทุกท่านทุกคนต้องพากันเสียสละ พิจารณาทุกสิ่งทุกอย่างเข้าสู่พระไตรลักษณ์นะ ทำไปปฏิบัติไป ทุกท่านทุกคนที่ว่ารักตน ต้องรักตนให้ถูกต้องนะ ปฏิบัติธรรมะเพื่อมรรคผล พระนิพพานถึงเรียกว่ารักตน ถ้าไม่ประพฤติปฏิบัติธรรมะเรียกว่าไม่รักตนนะ เป็นคนประทุษร้ายตนนะ ไม่สงสารตัวเอง ปล่อยให้ตัวเองทำบาป ทำกรรม ปล่อยให้ตัวเองมีเซ็กซ์ทางอารมณ์ มีเซ็กซ์ทางความคิด บริโภคกาม กิน เกียรติ ลาภ ยศ สรรเสริญ เรากำลังพากันหลงขยะนะ
ในสมัยหนึ่งมีสองสามีภรรยาต้องการจะเดินทางไปเยี่ยมญาติในต่างหมู่บ้าน จึงออกจากบ้านเดินทางไป พวกเขามิได้นำเสบียงกรังติดตัวไปเพราะคิดว่า จะเดินทางไปถึงในเวลาเช้า ในระหว่างทางพบทางสองแพร่ง จึงเดินไปทางแยกด้านซ้ายมือ พวกเขาเดินทางผิดอย่างนี้จึงหลงทางอยู่ในป่า ทั้งหิวกระหาย ทั้งเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า สักครู่หนึ่งพบต้นไม้จึงไปนั่งพัก บังเอิญผลไม้หล่นมา พวกเขาไม่รู้ว่าต้นไม้นี้ชื่ออะไร ผลไม้เป็นอย่างไร คิดว่าจะเอาผลไม้เป็นเสบียงในระหว่างทาง พอพักหายเมื่อยแล้วจึงออกเดินทางต่อ คนหนึ่งเอาผลไม้ทูนหัวเดินไป คนหนึ่งแบกขึ้นบ่าไป เมื่อเดินสักระยะหนึ่งก็หิว จึงทุบผ่าผลไม้ แต่พบเพียงเปลือกหนา ไม่มีเนื้อหรือน้ำเลย ยิ่งเดินไปเรื่อยๆ แดดร้อนมากขึ้น พวกเขาเห็นพยับแดดก็สำคัญว่าเป็นน้ำ เมื่อวิ่งไปหาก็ไม่พบอะไร ตกค่ำลงได้ยินเสียงคำรามพวกเขาไม่ทราบว่าเป็นสัตว์อะไร ก็พบว่าเป็นเสือร้ายในที่สุดทั้งสองคนถูกเสือกิน ไม่สามารถเดินทางไปถึงจุดหมายได้สำเร็จ
ผู้ที่เดินทางอยู่ในสังสารวัฏบางคนก็เหมือนกับสามีภรรยาคู่นี้ คือ มิได้สะสมเสบียงคือทานในการเดินทางไกลอย่างเพียงพอ และเดินทางผิดที่เหมือนกับการไม่ประพฤติศีลอย่างหมดจด การไปพักใต้ต้นไม้ที่ไม่รู้จักชื่อ ก็เหมือนการเกิดในภพที่ตนเองไม่รู้จัก ไม่รู้คุณค่าของภพที่สั่งสมบารมีได้ ผลไม้ที่มีแต่เปลือกที่คู่สามีภรรยาทั้งแบกทั้งหามเป็นเวลานาน เหมือนทรัพย์สมบัติและเกียรติคุณที่ชาวโลกยกย่องให้ความสำคัญ เมื่อถึงเวลาใกล้ตายจึงรู้ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แก่นสารในชีวิตของเรา เพราะติดตามไปสู่ภพหน้าไม่ได้ ส่วนการพบกับเสือร้ายเหมือนกับการตกไปในอบายภูมิอันได้แก่ นรก เปรต อสุรกาย และสัตว์ดิรัจฉาน ได้รับความทุกข์ทรมานในภพเหล่านั้นเพราะการไม่ให้ทาน ไม่รักษาศีล และสำคัญสิ่งที่ไม่มีแก่นสารว่ามีแก่นสาร
พ่อค้าวาณิชย์ฐานะร่ำรวยผู้หนึ่งมีภรรยาทั้งสิ้น ๔ นาง
ภรรยาคนแรก ฉลาดปราดเปรียวน่ารัก คอยติดตามใกล้ชิดเสามีตลอดเวลา ไม่เคยห่างแม้เพียงก้าวเดียว เขารักมากที่สุด ไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ ตามใจตลอดอยากได้อะไรเขาก็หาให้ทุกอย่าง
ภรรยาคนที่สอง พ่อค้าได้มาจากการช่วงชิง บังคับ เนื่องเพราะนางมีรูปโฉมงดงามยิ่ง เขารักมาก ยินดีทำทุกอย่างเพื่อภรรยาคนนี้และจะไปหาภรรยาคนนี้เสมอ
ภรรยาคนที่สาม เป็นผู้คอยดูแลจัดการเรื่องราวความเป็นไปจุกจิกในชีวิตประจำวัน ทำให้สามีมีชีวิตที่สงบเรียบร้อย เขารักรองลงมา ดูแลเอาใจใส่พอควร แวะไปหาบ้างเป็นครั้งคราว
ส่วนภรรยาคนสุดท้าย ขยันขันแข็ง มุมานะทำงานอย่างหนัก จนทำให้พ่อค้าผู้เป็นสามี หลงลืมการดำรงอยู่ของนางไป เขาไม่เคยสนใจ ไม่เคยดูแลเอาใจใส่ ไม่เคยไปหา ไม่เคยคิดถึงเลยด้วยซ้ำ
ครั้งหนึ่ง พ่อค้าวาณิชย์คนนี้กระทำความผิด ถูกตัดสินประหารชีวิตได้รับอนุญาตให้กลับบ้านไปร่ำลาภรรยา เขารีบตรงไปหาภรรยาคนที่ 1 เล่าเรื่องต่างๆให้ฟังและถามว่า “ถ้าฉันต้องตาย เธอจะทำอย่างไร” ภรรยาคนที่ 1 ตอบว่า “ถ้าเธอตาย เราก็จบกัน” เขารู้สึกเจ็บปวดจากคำตอบที่ได้เป็นอย่างยิ่ง นึกเสียดายว่าไม่น่าทุ่มเทให้ภรรยาคนนี้เลย จากนั้นก็ไปหาภรรยาคนที่ 2 เล่าเรื่องต่างๆและถามคำถามเดิมกับภรรยาคนที่ 2 ว่า“ถ้าฉันต้องตาย เธอจะทำอย่างไร” ภรรยาคนที่ 2 ตอบว่า “ถ้าเธอตาย ฉันก็จะมีใหม่” เหมือนสายฟ้าผ่าลงมาซ้ำที่เขาอย่างจัง นึกเสียดายว่าไม่น่าทุ่มเทให้ภรรยาคนนี้เช่นกัน จึงเดินคอตกไปหาภรรยาคนที่ 3 เล่าเรื่องต่างๆ และถามคำถามเดิมกับภรรยาคนที่ 3 ว่า “ถ้าฉันต้องตาย เธอจะทำอย่างไร”ภรรยาคนที่ 3 ตอบว่า “ถ้าเธอตาย ฉันจะไปส่ง” ทำให้เขาคลายโศกไปได้บ้าง อย่างน้อยก็มาภรรยาที่จริงใจกับเขา
เขานึกขึ้นมาได้ว่ามีภรรยาอีกคนที่ไม่เคยไปหาเลย จึงไปหาภรรยาคนที่ 4 เล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟังและถามว่า “ถ้าฉันต้องตาย เธอจะทำอย่างไร” ภรรยาคนที่ 4 ตอบว่า “ถ้าเธอตาย ฉันจะตายตามไปด้วย” แทนที่เขาจะดีใจกลับเสียใจหนักขึ้นไปอีก เพราะมันสายเกินไปเสียแล้ว เขาไม่เคยเห็นค่าของภรรยาคนนี้ แต่ภรรยาคนนี้กลับไม่คิดจะทิ้งเขาและจะติดตามเขาไปอยู่ด้วย หลังจากนั้น ชายคนนั้นก็ถูกประหาร
ปริศนาธรรมของภรรยาทั้ง 4 คน มีความหมายดังนี้
“ภรรยาคนแรก” เขารักมากที่สุด ไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ ตามใจตลอดอยากได้อะไรเขาก็หาให้ทุกอย่าง นั่นคือร่างกาย เพราะเวลามีชีวิตอยู่ จะบำรุงบำเรอด้วยของทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าดูแลแค่ไหน เมื่อชีวิตถึงจุดสิ้นสุดไม่สามารถรั้งเอาไว้ได้ พอตายไปกลับไม่ไปกับเรา มีค่าเพียงท่อนไม้ท่อนหนึ่ง กลายเป็นแค่ซากเน่าเปื่อยเท่านั้น
“ภรรยาคนที่ 2” เขารักมาก ยินดีทำทุกอย่างเพื่อภรรยาคนนี้และจะไปหาภรรยาคนนี้เสมอ นั่นคือ สมบัติทรัพย์สินเงินทอง ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มันมา ต่อให้หามาได้มากมายสักเท่าไร ก็ไม่อาจนำติดตัว ไปได้ และจะกลายเป็นของคนอื่น
“ภรรยาคนที่ 3” ขารักรองลงมา ดูแลเอาใจใส่พอควร แวะไปหาบ้างเป็นครั้งคราว นั่นคือ พ่อแม่ ลูกเมีย ญาติ พี่น้อง ถึงจะรักและผูก พันยังไง สุดท้ายเมื่อความตายมาเยือน ก็สามารถ ส่งได้แค่งานศพหรือทำบุญกุศลส่งไปให้ได้บ้าง เขาจึงแค่ไปส่งเท่านั้น
“ภรรยาคนที่ 4” เขาไม่เคยสนใจ ไม่เคยดูแลเอาใจใส่ ไม่เคยไปหา ไม่เคยคิดถึงเลยด้วยซ้ำ นั่นคือบุญกับบาป เมื่อเราตายไป เราไม่อาจเอาอะไรไปด้วยได้ มีเพียงแค่บุญกับบาปเท่านั้นที่จะตามเราไป เพราะกรรม ผลของความดี และความเลวที่ได้กระทำไว้ ก็จะติดตามตัวไปตลอด ไม่ว่าจะอยู่หรือตายไปแล้วก็ตาม กรรมดี กรรมชั่ว หรือเรียกว่า บุญและบาปนั้น จะติดตามดวงจิตตลอด ไปทั้งในชาตินี้และชาติหน้า คนเราทุกคนเกิดมาล้วนตัวเปล่า ตายไปก็ล้วนไปตัวเปล่า มีเพียงกรรมเท่านั้นที่จะติดตามคนเราไปในทุกหนทุกแห่ง
เมื่อเจ้ามา มีอะไร มาด้วยเจ้า เจ้าจะเอา แต่สุข สนุกไฉน
เมื่อเจ้ามา มือเปล่า เจ้าจะเอาอะไร? เจ้าก็ไป มือเปล่า เหมือนเจ้ามา
ออกจากครรภ์ มารดา แก้ผ้าร้อง- อุแว้ก้อง เผชิญทุกข์ และสุขา
เติบโตขึ้น มุ่งหาเงิน เพลินชีวา แท้ก็หา “ทุกข์สารพัด” มารัดตน
ยศและลาภ หาบไป ไม่ได้แน่ มีเพียงแต่ “ต้นทุน-บุญกุศล”
“ทรัพย์สมบัติ” ทิ้งไว้ ให้ปวงชน “ร่างของตน” เขาก็เอา ไปเผาไฟ!!
ที่เคยรัก ก็จะลืม ไม่ปลื้มจิต ที่เคยหลง เคยติด ไม่พิสมัย
ที่เคยคู่ เคียงข้าง ไม่ห่างไกล ที่เคยใกล้ ก็กลับหลบ ไม่พบพาน
ที่เคยกอด จุมพิต สนิทแนบ ที่เคยแอบอิง กลับเมิน ไม่เดินผ่าน
ที่เคยยิ้ม สรวลสันต์ ทุกวันวาร ที่เคยหวาน ก็กลับขม ระทมทรวง....
“มามือเปล่า-ไปมือเปล่า” อย่าเศร้าโศก กิเลส-โลก ในมนุษย์ ที่สุดหวง
“กอดกองขี้ และซากศพ”พบภาพลวง รีบ “ตัดบ่วงโลกีย์” หลบหนีไป
“เกิด-กำมือแน่นร้องไห้”บอกใจรู้- ว่า “ยึดอยู่- จิตหมายมั่น” จึงหวั่นไหว
“ตาย-แบมือ” ไม่ต้องถาม บอกความนัย- ว่า “ตายไป เหลือมือเปล่า เหมือนเจ้ามา”
“ให้ปลงตก ในชีวิต”สะกิดเจ้า “เลิกมัวเมา” กอบโกย และโหยหา
“ลาภ-ยศ-สุข-สรรเสริญ-และเงินตรา” เมื่อ “มรณา” ก็สูญลับ ดับตามตัว!!!
“ให้ปล่อยวาง คืนโลก” สิ้นโศกเศร้า “กลับมือเปล่า” เป่าเสกมนต์ ไว้บนหัว
แล้ว “ทำจิต เป็นอิสระ-ละตนตัว พ้นดี-ชั่ว “กลับโลกทิพย์ นิพพาน” เอย ฯ
ดังนั้น ยามที่เรายังมีชีวิตอยู่ อะไรที่เราได้มา หลังจากที่เราเกิด ต้องคอยเตือนใจว่า ไม่มีอะไร อยู่กับเราได้ตลอดไป แม้แต่สังขาร ที่เรารักมากที่สุด วันหนึ่งก็ดับสลายไปเช่นกัน
ทุกท่านทุกคนต้องภาวนาอยู่เสมอว่าทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เรามีความแก่เป็นธรรมดา มีความเจ็บเป็นธรรมดา มีความตายเป็นธรรมดา มีความพลัดพรากเป็นธรรมดา ประชาชนคนทั้งบ้าน ทั้งเมือง ทั้งโลก เค้าทิ้งความถูกต้อง เค้าไปเอาความหลง เอาความเห็นแก่ตัว อันนี้มันเป็นความเสียหาย ถึงกับแยกโลกออกจากธรรม แยกธรรมออกจากโลก ครอบครัวเราถึงเป็นอย่างนี้ บ้านเราถึงเป็นอย่างนี้ ให้พากันเข้าใจนะ ไปแยกธรรมออกจากชีวิตของเราไม่ได้ ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเต็มที่ โลภเต็มที่ ประพฤติผิดในกามเต็มที่ โกหกหลอกลวง ซิกแซกอย่างเต็มที่ กินเหล้าเมาเบียร์ เมาสาว เล่นการพนัน เจ้าชู้อย่างนี้ เราไปทำอย่างนั้นมันแย่กว่าพวกสัตว์เดรัจฉานเสียอีก สัตว์เดรัจฉานมันก็อยู่ด้วยการเบียดเบียน อยู่ด้วยการฆ่า อยู่ด้วยการมีผู้หญิงมีผู้ชาย แต่ศีลข้อที่สี่เรานี้แย่กว่าพวกสัตว์เดรัจฉานนะ เราพูดโกหก หลอกลวง ซิกแซก ปากติดระเบิด ติดเอ็ม 16 ติดอาก้า พูดถึงเรื่องการฆ่า เราก็หนักกว่าสัตว์เดรัจฉาน สัตว์เดรัจฉานมันไม่มีปืน ไม่มีระเบิด สัตว์เดรัจฉานมันไม่มีค้าขายมนุษย์ มันไม่มีค้าขายตัวผัวตัวเมีย นี่มนุษย์เราที่ยังไม่ได้เป็นมนุษย์เป็นแต่เพียงคน มันก็ถือว่าแย่กว่า พวกสัตว์เดรัจฉาน มันไม่มีความโลภที่พิศดารลึกซึ้งอะไร ที่เราไปเอาตั้งแต่ทางโลก มันเลยไม่เอาธรรมด้วย มันก็ต้องเป็นอย่างนี้แหละ
ญาติโยมอย่าได้พากันเข้าใจผิดนะ เข้าใจผิดว่าตัวเองทำไม่ได้ ปฏิบัติไม่ได้ ไปทอดธุระปล่อยใจไปตามเวรตามกรรม ไปฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ประพฤติผิดต่างๆ นานา เข้าใจผิดว่าตัวเองมันปฏิบัติไม่ได้
แม้คำว่า 'พระศาสนา' ก็มีความเข้าใจผิดกันเยอะ ศาสนา แปลว่า ไม่มีความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นผู้ที่เสียสละ เป็นผู้ให้ เป็นผู้ไม่เห็นแก่ตัว ตั้งมั่นในความเมตตาอย่างไม่มีที่สุด ไม่มีประมาณ อย่างพระพุทธศาสนามันก็ชื่อๆ หนึ่ง...อิสลามพระศาสนา คริสต์พระศาสนา ฮินดูพระศาสนา ก็เป็นชื่อๆ หนึ่ง เป็นชื่อของความดี เพื่อจะได้สะดวกในสมมุติ "ศาสนา ก็แปลว่า ความดีนั่นแหละ" เพื่อให้คนไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง จุดมุ่งหมายเหมือนกันหมด คนไม่เข้าใจพระศาสนาเลยเอาพระศาสนาไปตีกันไปแบ่งแยกกัน มันเลยกลายเป็นก๊ก กลายเป็นเหล่า กลายเป็นพรรค กลายเป็นพวกไป "มันผิดวัตถุประสงค์คำว่า 'ศาสนา' ไป"
คนรุ่นใหม่นี่แหละ มีความเข้าใจผิดมาก จึงได้มีสงครามเกี่ยวกับพระศาสนาทั่วโลก แบ่งแยกนิกายต่างๆ ว่านิกายนั้นผิด นิกายนี้ถูก แม้แต่เราคิดว่าเราไม่ถือศาสนาอะไร "ถ้าเราทำความดีก็ถือว่าเราถือศาสนาแล้ว" เพราะศาสนาเป็นชื่อแห่งความดี ทุกศาสนาก็ว่าศาสนาของตัวเองดี ศาสนาอื่นสู้เราไม่ได้ คนเรามันชอบเอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่คนอื่น มันชอบคิดอย่างนี้นะคนเรา... ความจริงแล้ว ทุกศาสนาดีหมด ที่ไม่ดีเพราะผู้ปฏิบัติตามมันไม่ดี เดี๋ยวนี้ประชาชนสับสนไปหมดว่า "คนศาสนาพุทธ คริสต์ อิสลาม ตายไปจะตกนรกที่เดียวกันหรือเปล่า?"
คนเรานะ ถ้ามันทุกข์...มันก็ทุกข์เหมือนกันหมด สุข...ก็สุขเหมือนกันหมด ไม่มีอะไรแบ่งแยก เหมือนเราบริโภคข้าว บริโภคขนมปัง ผลไม้ทุกสิ่งทุกอย่าง สิ่งที่เราได้รับคือความดับทุกข์ มีความสุขเหมือนกันทุกอย่าง ไม่ว่าตกนรกชนิดไหนก็ทุกข์เหมือนกันหมด ไม่ว่าขึ้นสวรรค์ชนิดไหนก็สุขเหมือนกัน ถ้าเราไม่มีกิเลสสิ้นอาสวะ ก็ไปนิพพานทั้งหมดทั้งสิ้น เราปฏิบัติตาม 'อริยมรรคมีองค์ ๘' ไม่ว่าเราจะเป็นนักบวช เป็นญาติโยมสามารถบรรลุธรรมทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่มีอะไรแตกต่างกัน
เราต้องเปลี่ยนแปลงความคิดใหม่ เพราะความคิดเก่าๆ มันเป็นความคิดที่เห็นแก่ตัว พาเราเวียนว่ายตายเกิด เป็นความคิด ที่ขาดสติ ขาดปัญญา มันมีความคิดที่ตั้งอยู่ในความประมาท ตั้งอยู่ในความเพลิน
ให้ทุกท่านทุกคนตั้งใจอธิษฐานจิตว่า ต่อไปนี้ข้าพเจ้าจะตั้งใจใหม่ ตั้งใจให้ดีอย่างนี้ตลอดไป ตลอดกาลยิ่งๆ ขึ้นไป จะไม่เป็นคนขี้เกียจขี้คร้าน จะไม่เป็นคนเอาเวลาเรียน เวลาทำงาน ไปเพลิดเพลินเหมือนที่แล้วๆ มา ที่ผิดไปแล้วถือว่าเป็นครู ที่รู้ถือเป็นอาจารย์ต้องตั้งใจมั่นนะ เคยติดอะไรต่างๆ จะพยายามละ จะพยายามเลิก ถ้ามัวอาลัยอาวรณ์อย่างนี้ ไม่ได้แน่ ไม่ดีแน่ อันไหนไม่ดีให้หยุดตั้งแต่วันนี้ เดี๋ยวนี้จะเป็นบุคคลใหม่ คนเก่าทิ้งไปกับกาลเวลาที่เสียไป จะไม่อาลัยอาวรณ์คิดถึงมัน มันทำให้ข้าพเจ้าเวียนว่ายตายเกิดมาถือว่าพอแล้ว ทำความดีมันไม่ตาย ที่ตายส่วนใหญ่เพราะมันคิดมาก เพราะวิตกกังวล เพราะกลัวความดี
จะมาสร้างประโยชน์ตน... และสร้างประโยชน์ผู้อื่น... ช่วยเหลือผู้อื่นด้วยความไม่ประมาท เหนื่อยก็ช่างมัน ผอมก็ช่างมัน ให้ข้าพเจ้าได้ทำดี พูดดี คิดดี ลาก่อนนะอันไหนไม่ดีก็จะทิ้งมันวันนี้แหละ เมื่ออินทรีย์บารมียังไม่แก่กล้า ก็ต้องพยายามประพฤติปฏิบัติยิ่งๆ ขึ้นไป จะถือเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จะน้อมนำพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาชำระล้างสิ่งปฏิกูลทั้งกาย วาจา ใจ ให้สะอาด สร้างฐานชีวิตตามรอยบาทขององค์สมเด็จพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ตราบจนหมดลมหายใจ
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.