แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันจันทร์ที่ ๒๘ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง เข้าพรรษาเข้าหาธรรม ตอนที่ ๒๕ มีสติสัมปชัญญะ รู้ชัดสภาวะของสังขารที่มีใจครองและไม่มีใจครอง
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ให้ทุกคนมีสติมีสัมปชัญญะสติคือความสงบ สัมปชัญญะคือตัวปัญญา ทุกท่านทุกคนน่ะ ถือว่าเป็นผู้ที่ประเสริฐที่ได้เกิดมามีร่างกายเป็นมนุษย์ เราจะใช้สังขารร่างกายนี้ไม่เกิน 120 ปี ทุกคนก็จะต้องจากโลกนี้ไป เราเป็นมนุษย์ ผู้ที่มีร่างกายเป็นมนุษย์นี่เป็นสภาวะธรรม เป็นพลังงานเป็นความปรุงแต่ง เป็นสังขารที่มีใจครอง ๑. อุปาทินนกสังขาร สังขารมีใจครอง คือ สิ่งมีชีวิต มีจิตวิญญาณ สามารถเคลื่อนไหวรับ จำ คิด รู้อารมณ์ได้ ได้แก่ มนุษย์ อมนุษย์ สัตว์ดิรัจฉาน ๒. อนุปาทินนกสังขาร สังขารไม่มีใจ ครอง คือ สิ่งไม่มีชีวิต ไม่มีจิตวิญญาณ รับ จำ คิด รู้อารมณ์ไม่ได้ ได้แก่ ต้นไม้ ภูเขา ดิน น้ำ รถ เรือ เป็นต้น มนุษย์นี่นะพากันไปครอบครองเขา
เราทุกคนน่ะต้องมีความเห็นถูกต้องความเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ใช้ทรัพยากรให้มันถูกต้อง พระพุทธเจ้าท่านให้เราพัฒนาทั้งวิทยาศาสตร์ คือเหตุผลที่ดับทุกข์ได้ เพื่ออำนวยความสะดวกในทางร่างกายเพื่อการดำรงชีวิตที่เรามีอายุขัยไม่เกิน 120 ปีนี้ เราจะได้ทำถูกต้องปฏิบัติถูกต้องเหมือนกับเราส่งบอล เราส่งสิ่งที่ดีๆ ให้กับลูกกับหลาน เราทุกคนต้องรู้จักคำว่า “พระ” พระนั้นหมายถึงพระธรรมพระวินัยที่เป็นพระศาสนา พระศาสนาในโลกนี้ก็มีหลายศาสนา แต่มันก็คือพระศาสนา พระศาสนาไม่ใช่นิติบุคคล ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ถึงจะอยู่ไกลกันห่างกัน คนละที่คนละทาง เราต้องใช้สมมติ เพราะประชากรของโลกนี้ร่วมๆ 8,000 ล้านคน จะใช้ชื่อเดียวกันไม่ได้ มันก็เหมือนกัน แต่ทุกๆ อย่างนั้นคืออันเดียวกันคือสภาวะธรรม ที่เป็นสังขารที่มีใจครอง เราต้องรู้จัก เราต้องทำให้ถูกต้อง ปฏิบัติให้ถูกต้อง พวกเราจะได้ดำเนินสู่ความดับทุกข์ เพื่อความสงบเย็นเป็นสันติภาพหรือว่าเป็นพระนิพพานในปัจจุบันนี้ เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี ทุกท่านทุกคนน่ะถึงต้องเอาธรรมเป็นหลักเอาธรรมเป็นใหญ่ ไม่มีใครที่จะทำตามใจตัวเองทำตามอารมณ์ตัวเอง เป็นการดำเนินชีวิตไม่ได้ เพราะว่าเราทุกคนมันมีสังขารร่างกาย ที่ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน หาใช่นิติบุคคลไม่ แต่มันก็เป็นสภาวะธรรม ที่ประกอบกันขึ้นมา ด้วยเหตุด้วยปัจจัยที่เป็นขบวนการปฏิจจสมุปบาท เพราะสิ่งนี้มี สิ่งต่อไปถึงมี มี DNA มี RNA ที่เชื่อมต่อติดต่อกัน มันเป็นพลังงานแห่งวัฏจักรคือเป็นสังสารวัฏ
หมู่มวลมนุษย์นี้เก่งมันฉลาด ท่านถึงบอกว่าเก่งฉลาดมันต้องพัฒนาทั้งเทคโนโลยี ทั้งทางกายทางใจไปพร้อมๆ กัน ถ้าไม่อย่างนั้นมันไม่ได้ มันไม่ใช่ทางสายกลาง จะเป็นประชาธิปไตยมันก็ไม่ได้ เพราะประชาธิปไตยยังเป็นตัวเป็นตน ถึงจะเป็นสังคมนิยมเป็นคอมมิวนิสต์ก็ยังเป็นตัวเป็นตนอยู่ มันต้องประกอบด้วยปัญญาอย่างนี้ ทุกคนต้องเข้าใจ ความเป็นพระก็จะได้เกิดแก่หมู่มวลมนุษย์ ถ้าไม่อย่างนั้นมันก็จะเป็นได้แค่เพียงคน มันถึงได้เป็นโรคจิตโรคประสาท โรคซึมเศร้า โรคสารพัดโรค โรคแห่งอวิชชาโรคแห่งความหลง เราต้องเข้าใจอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ มีความสุขมีความดับทุกข์อยู่ทุกคนทุกแห่ง ความไม่เข้าใจความเห็นผิดความเข้าใจผิด มันคือการแบกโลกแบกอวิชชาแบกความหลง เราต้องพากันรู้ เราต้องพากันเข้าสู่ภาคประพฤติปฏิบัติ เพราะร่างกายนี้มันไม่ใช่ของเราหรอก เวทนาสัญญาสังขารวิญญาณมันก็ไม่ใช่เราหรอก มันเป็นพลังงานของสังขารที่มีใจครอง เป็นพลังงานของธรรมชาติ เราต้องทำให้ถูก ถ้าเราทำไม่ถูกนะ การเวียนว่ายตายเกิดมันก็ย่อมมี
พระพุทธเจ้าท่านถึงบอกว่า ไม่ต้องไปคิดว่าตายแล้วเกิดหรือตายแล้วสูญ ต้องเอาปัจจุบันนี้แหละที่จะแก้ปัญหาได้ ถ้าไม่อย่างนั้นเราก็จะไปเอาพระนิพพานตอนตายโน้น เอามนุษย์ เอาอบาย ไปเอาสวรรค์อะไรตอนจะตายมันไม่ใช่ มันก็ต้องในปัจจุบันนี้แหละ เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงจะมี ทุกคนนะ พ่อแม่เราพากันทำความผิด และก็เพื่อตัวเพื่อตนเพื่ออะไรอย่างนี้นะ มันก็ถูกอยู่มันก็ถูกระดับหนึ่ง ถูกระดับหาอยู่หากินหาอะไร มันก็ยังเป็นสังสารวัฏอยู่ มันเป็นสัญชาตญรณ มันรักตัวเองมันระแวงภัย มันถูกอยู่ในระดับเวียนว่ายตายเกิด พุทธเจ้าท่านให้เราไปไกลกว่านี้
พระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้นั้นดีมาก ดีพิเศษ ดีจริงๆ พระพุทธเจ้าท่านก็เป็นลูกหลานของพราหมณ์ พราหมณ์ก็ไปได้แค่ความสงบ ไปได้แค่พรหมโลก ยังไม่ได้เป็นพระอริยเจ้าอย่างนี้ อาจจะมีใครแปลกไปมากนิดๆ หน่อยๆ เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าที่ได้ตรัสรู้แล้วก็สอนคนอื่นไม่ได้ เราอยู่อย่างนี้เราอย่าไปน้อยใจว่า เราอยู่อย่างนี้ทำไมเรารวยสู้มหาเศรษฐีของอเมริกาไม่ได้ ของประเทศอะไรต่างๆ ไม่ได้ อย่าไปคิดอย่างนั้น จะไปคิดแบบนั้น มันไม่ใช่ความดับทุกข์ มันไม่ได้อยู่ที่คนรวย ไม่ได้อยู่ที่คนจน ไม่ได้อยู่ที่คนเฒ่าคนแก่คนสาว คนเจ็บไข้ไม่สบายหรืออะไร มันอยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้องมีความเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง อยู่ในปัจจุบันนี้แหละ อยู่ที่เรามีสติ มีความสงบ เรามีสัมปชัญญะคือตัวปัญญา เป็นพลังงาน เป็นมรรคเป็นผลเป็นพระนิพพาน ในปัจจุบันอย่างนี้ เป็นสิ่งที่ไม่หลงทิศหลงทาง ไม่หลงขยะว่าเป็นของดีเป็นของประเสริฐอะไรอย่างนี้ เราทุกคนมีความดับทุกข์ได้อยู่ทุกหนทุกแห่ง ทุกประเทศ ทุกมุมโลก จึงให้เข้าใจ
ให้เรากลับมาหาความเห็นถูกต้องความเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง เราจะเอาสังขารที่มีใจครองนี้มาพัฒนาโลก โลกก็คือวิทยาศาสตร์ ธรรมก็คือความยุติธรรม คือการพัฒนาคือการก้าวไปอย่างนี้ จะได้มีแต่ความสงบ มีแต่ความดับทุกข์ มีแต่ความร่มเย็น เราจะได้ไม่ต้องมาพากันสร้างปืนสร้างระเบิดสร้างอาวุธยุทโธปกรณ์มาประหัตประหารทำลายล้างกัน พากันเดินขบวนอย่างโง่ๆ อย่างนี้มันไม่ได้ ความหลงความงมงายนั้นเป็นไสยศาสตร์ อันนี้ให้ทุกคนเข้าใจ ความสุขความดับทุกข์ หมู่มวลมนุษย์ถึงต้องพากันนอนให้สมองได้พักผ่อนอย่างน้อยก็คือ 6 ชั่วโมงหรือ 7 ชั่วโมงหรือ 8 ชั่วโมง ถ้าเราไม่นอนไม่พักผ่อนขนาดนี้ สมองเราที่มันจะไปสั่งร่างกายมันก็จะไม่สมบูรณ์ ไปสั่งธุรกิจหน้าที่การงานมันก็ไม่สมบูรณ์ เราทุกคนต้องมีความสุขความดับทุกข์ทุกวัน เหมือนลมหายใจของเราที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง เหมือนที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงถึงอริยมรรคมีองค์ 8 เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมีไม่ใช่เอาแต่สมาธิ เอาสมาธิเหมือนที่พระส่วนใหญ่กำลังสอนกัน สอนแต่สมาธิ แต่ไม่ได้เข้าถึงสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้องพอเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ไม่มีความสุข มีแต่ความทุกข์ มีแต่ตัวมีแต่ตน มีแต่เรามีแต่เขา มีแต่การแย่งขยะกัน ไม่มีสติสัมปชัญญะกัน
ในมหาสติปัฏฐานสูตร พระพุทธเจ้าได้ตรัสอานาปานปัพพะ ข้อว่าด้วยลมหายใจเข้าออก อิริยาปถปัพพะ ข้อว่าด้วยอิริยาบถ แล้วก็ตรัสสัมปชัญญะปัพพะ ข้อว่าด้วยสัมปชัญญะคือความรู้ตัว ซึ่งมีใจความว่า “ภิกษุหรือผู้ปฏิบัติสติปัฏฐานทำสัมปชัญญะความรู้ตัว ในการก้าวไปข้างหน้า ในการถอยมาข้างหลัง ...ในการแลไปข้างหน้า ในการเหลียวซ้ายแลขวา ...ในการคู้อวัยวะเข้ามา ในการเหยียดอวัยวะออกไป ...ในการทรงสังฆาฏิ บาตร จีวร ทำสัมปชัญญะคือความรู้ตัว ในการกิน การดื่ม การเคี้ยว การลิ้ม ...ในการถ่ายอุจจาระปัสสาวะ ...ในการเดิน ยืน นั่ง หลับ ตื่น พูด และในความนิ่ง ดังนี้”
คำว่าสัมปชัญญะนั้นแปลกันว่าความรู้ตัว คู่กับสติความระลึกได้ ดังที่แสดงในธรรมะมีอุปการะมาก ๒ อย่าง คือสติความระลึกได้ และสัมปชัญญะความรู้ตัว ได้มีการแสดงสัมปชัญญะไว้เป็น ๔ ข้อ คือ
๑. สาตถกสัมปชัญญะ รู้ชัดว่ามีประโยชน์ หรือตระหนักในจุดหมาย คือ รู้ตัวตระหนักชัดว่าสิ่งที่กระทำนั้นมีประโยชน์ตามความมุ่งหมายอย่างไรหรือไม่ หรือว่า อะไรควรเป็นจุดมุ่งหมายของการกระทำนั้น เช่น ผู้เจริญกรรมฐาน เมื่อจะไป ณ ที่ใดที่หนึ่ง มิใช่สักว่ารู้สึกหรือนึกขึ้นมาว่าจะไป ก็ไป แต่ตระหนักว่าเมื่อไปแล้ว จะได้ปีติสุขหรือความสงบใจ ช่วยให้เกิดความเจริญโดยธรรม จึงไป โดยสาระคือ ความรู้ตระหนักที่จะเลือกทำสิ่งที่ตรงกับวัตถุประสงค์หรืออำนวยประโยชน์ที่มุ่งหมาย
๒. สัปปายสัมปชัญญะ รู้ชัดว่าเป็นสัปปายะ หรือตระหนักในความเหมาะสมเกื้อกูล คือรู้ตัวตระหนักชัดว่าสิ่งของนั้น การกระทำนั้น ที่ที่จะไปนั้น เหมาะกันกับตน เกื้อกูลแก่สุขภาพ แก่กิจ เอื้อต่อการสละละลดแห่งอกุศลธรรมและการเกิดขึ้นเจริญงอกงามแห่งกุศลธรรม จึงใช้ จึงทำ จึงไป หรือเลือกให้เหมาะ เช่น ภิกษุใช้จีวรที่เหมาะกับดินฟ้าอากาศและเหมาะกับภาวะของตนที่เป็นสมณะ ผู้เจริญกรรมฐานจะไปฟังธรรมอันมีประโยชน์ในที่ชุมนุมใหญ่ แต่รู้ว่ามีอารมณ์ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อกรรมฐาน ก็ไม่ไป โดยสาระคือ ความรู้ตระหนักที่จะเลือกทำแต่สิ่งที่เหมาะสบายเอื้อต่อกาย จิต ชีวิต กิจ พื้นภูมิ และภาวะของตน
๓. โคจรสัมปชัญญะ รู้ชัดว่าเป็นโคจร หรือตระหนักในแดนงานของตน คือ รู้ตัวตระหนักชัดอยู่ตลอดเวลาถึงสิ่งที่เป็นกิจ หน้าที่ เป็นตัวงาน เป็นจุดของเรื่องที่ตนกระทำ ไม่ว่าจะไปไหนหรือทำอะไรอื่น ก็รู้ตระหนักอยู่ ไม่ปล่อยให้เลือนหายไป มิใช่ว่าพอทำอะไรอื่น หรือไปพบสิ่งอื่นเรื่องอื่น ก็เตลิดเพริดไปกับสิ่งนั้นเรื่องนั้น เป็นนกบินไม่กลับรัง โดยเฉพาะการไม่ทิ้งอารมณ์กรรมฐาน ซึ่งรวมถึงการบำเพ็ญจิตภาวนาและปัญญาภาวนาในกิจกรรมทุกอย่างในชีวิตประจำวัน โดยสาระคือ ความรู้ตระหนักที่จะคุมกายและจิตไว้ให้อยู่ในกิจ ในประเด็น หรือแดนงานของตน ไม่ให้เขว เตลิด เลื่อนลอย หรือหลงลืมไปเสีย - clear comprehension of the domain)
๔. อสัมโมหสัมปชัญญะ รู้ชัดว่าไม่หลง หรือตระหนักในตัวเนื้อหาสภาวะ ไม่หลงใหลฟั่นเฟือน คือเมื่อไปไหน ทำอะไร ก็รู้ตัวตระหนักชัดในการเคลื่อนไหว หรือในการกระทำนั้น และในสิ่งที่กระทำนั้น ไม่หลง ไม่สับสนเงอะงะฟั่นเฟือน เข้าใจล่วงตลอดไปถึงตัวสภาวะในการกระทำที่เป็นไปอยู่นั้น ว่าเป็นเพียงการประชุมกันขององค์ประกอบและปัจจัยต่างๆ ประสานหนุนเนื่องกันขึ้นมาให้ปรากฏ เป็นอย่างนั้น หรือสำเร็จกิจนั้นๆ รู้ทันสมมติ ไม่หลงสภาวะเช่นยึดเห็นเป็นตัวตน โดยสาระคือ ความรู้ตระหนัก ในเรื่องราว เนื้อหา สาระ และสภาวะของสิ่งที่ตนเกี่ยวข้องหรือกระทำอยู่นั้น ตามที่เป็นจริงโดยสมมติสัจจะ หรือตลอดถึงโดยปรมัตถสัจจะ มิใช่พรวดพราดทำไป หรือสักว่าทำ มิใช่ทำอย่างงมงายไม่รู้เรื่อง และไม่ถูกหลอกให้ลุ่มหลงหรือเข้าใจผิดไปเสียด้วยความพร่ามัว หรือด้วยลักษณะอาการภายนอกที่ยั่วยุ หรือเย้ายวนเป็นต้น
พระพุทธเจ้าท่านทรงสอนการดำเนินชีวิตของเราต้องทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ เราไม่ต้องไปวิ่งหาความสุขความดับทุกข์ว่ามันอยู่ที่ไหน มันอยู่ที่เรามันอยู่ที่ใจของเรา คนเราถ้ามีความสุขในในการทำงานตั้งแต่เช้าจนถึงหลับ ความยากจนมันจะมาจากไหน ความเห็นผิดเข้าใจผิดทำให้เราขี้เกียจขี้คร้าน ตามใจตามตัวเอง ตามอารมณ์ตัวเอง มันก็ต้องยากจน จึงต้องมีความสุขในการทำงาน มีความขยัน รับผิดชอบ ให้มีความสุขอย่างนี้นะ แต่นี่ไม่รับผิดชอบตัวเองเลยปล่อยให้ตัวเองหลงงมงาย หัวใจเต็มไปด้วยไสยศาสตร์เต็มด้วยอัตตาตัวตน การเรียนการศึกษามันก็ใช่จะมีผลประโยชน์อะไร มันมีแต่ความหลงงมงาย เอาตัวตนเป็นหลัก ไปแข่งกันแย่งขยะกัน เราต้องเอาธรรมเป็นหลักเอาธรรมเป็นใหญ่ ทุกคนต้องเข้าใจว่าเราจะเป็นนักบวชหรือจะเป็นคฤหัสถ์ คฤหัสถ์ก็ต่างกันที่มีภาระเยอะ ดูแลครอบครัวตัวเอง ดูแลพวกพ้องตัวเอง ต้องรับผิดชอบประเทศชาติรับผิดชอบศาสนาเยอะ พระก็ต้องเอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นใหญ่ เป็นพระเป็นเจ้าก็ต้องพากันปฏิบัติให้ถูกต้องอะไรอย่างนี้นะ เพราะว่าพระคือพระธรรมพระวินัย ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ไม่ใช่เราไม่ใช่เขา มีแต่สติคือความสงบ สัมปชัญญะคือตัวปัญญา คือไม่มีตัวไม่มีตน ไปที่ไหนคนเขาก็ได้บุญได้กุศล อย่างนี้นะ เขาได้กราบได้ไหว้ เขาถวายของชิ้นเดียวก็เป็นบุญเป็นกุศลมากมาย เพราะพระอรหันต์นั้นหายาก เพียงได้เห็นหน้าก็เป็นบุญเป็นกุศลอย่างไม่มีที่สุดไม่มีประมาณแล้ว
เราน่ะต้องถือนิสัยของพระพุทธเจ้า เพราะพระพุทธเจ้านั้นไม่ใช่นิติบุคคลพระพุทธเจ้าคือพระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ ที่มีอยู่ในพระไตรปิฎก 84,000 พระธรรมขันธ์ ที่เราเอามาสวดกันชั่วโมงเดียว 227 ข้อ ให้เราเข้าใจในการดำเนินชีวิตของเรา ให้เราเอาสติคือความสงบ สัมปชัญญะคือตัวปัญญา ต้องถอนสักกายทิฏฐิ ถอนตัวถอนตน เราอย่ามาเอาอะไร ท่านบอกว่าเราไม่ต้องไปละมัน เพียงแค่เรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ธรรมะเป็นสิ่งที่พอดี เพิ่มก็ไม่ได้เพิ่ม ตัดก็ไม่ได้ตัด ทำอย่างนี้ถึงจะมีมรรค เมื่อมีมรรคคือการลงมือปฏิบัติ ก็ย่อมมีผล เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี หมู่มวลมนุษย์ถึงจะมีความสุข มันจะไม่ได้เป็นแบบมองเห็นหน้าใคร หมอก็ให้แต่ยานอนหลับ
ให้เราเข้าใจ พวกที่พากันมาบวช บวชในพรรษามาบวช 3 เดือน 4 เดือนก็ให้เข้าใจ เวลาสึกออกไป ก็ต้องเอาความถูกต้องความเป็นธรรมความยุติธรรม ทุกคนจะได้เป็นพระที่บ้าน เรียกว่าพระบิดาพระมารดาอย่างนี้นะ ครอบครัวเราจะได้มีความสุขมีความอบอุ่นอยู่อย่างนี้ เราต้องเข้าใจ อย่าไปโง่ โง่หลงงมงาย เอาตัวตนเป็นหลัก ก๋ากร่าง เราจะรวยเท่าไหร่ ใหญ่เท่าไหร่ มันก็ไม่พ้นความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพรากไปได้ ให้ทุกคนพากันเข้าใจอย่างนี้ จะให้คนอื่นเขาช่วยเหลือเราเหมือนที่พ่อแม่ดูลูก แต่อันนี้เราต้องมาช่วยเหลือตัวเองด้วยด้วยภาพประพฤติปฏิบัติ เราต้องเข้าใจ ในการดำเนินชีวิตที่เราเกิดมาที่ประเสริฐ ไม่เกิน 120 ปี พวกเรื่องอาหารการกิน เราจะไปหลง ความอร่อย ความแซ่บ ความลำ ความนัว ความหรอยไม่ได้ เราต้องใจเข้มแข็ง มีสติคือตัวสงบ มีสัมปชัญญะคือตัวปัญญาต้องเสียสละต้องปล่อยต้องวาง ให้จิตใจเดินไปด้วยสติด้วยปัญญา เผามันทิ้งทำลายมันทิ้งให้หมดทุกอย่างด้วยการพิจารณาสู่พระไตรลักษณ์ “เพราะรูปไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง สัญญาไม่เที่ยงสังขารไม่เที่ยง วิญญาณไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นเป็นอนัตตา สิ่งใดเป็นอนัตตา พึงเห็นสิ่งนั้นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่ใช่ตัวตนของเรา เมื่อเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงอย่างนี้ จิตย่อมคลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่น”
ทุกอย่างคืออนิจจัง ทุกอย่างคือทุกขัง ถ้าเราไปหลงไปยึด ทุกอย่างคืออนัตตา หาใช่ตัวใช่ตนไม่ ลมหายใจผ่านเข้าผ่านออก อาหารเก่าอาหารใหม่ มันก็เป็นอย่างนี้ เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี มันก็อย่างนี้ อายุเรามันก็ 120 ปี นี่ก็ตั้งให้เยอะแล้ว มันไม่มากหรอก ส่วนใหญ่มันไม่ถึงหรอก เราต้องเข้าใจ
ทุกคนต้องมีความสุขมีความดับทุกข์ เพราะว่าเรามีโอกาสมีเวลาพอๆ กันนั่นแหละ เจะไปว่าไม่มีเวลาปฏิบัติ มันมีเวลา ไม่ว่าจะอยู่ที่บ้านอยู่ที่ไหนอยู่ที่ทำงานทุกอย่างมันคือการปฏิบัติ ครอบครัวเราตัวเรามันก็จะสงบอบอุ่น ความสามัคคีเป็นสิ่งที่สำคัญ เราอย่าเอาตัวตนเป็นหลัก เอาความสมัครสมานสามัคคีเป็นหลัก เห็นไหมล่ะพระทะเลาะกัน พระวินัยธรกับพระธรรมธรเถียงกันเรื่องถูกเรื่องผิดพระวินัย พระพุทธเจ้าท่านให้เอาธรรมเป็นหลัก เอาความสามัคคีเป็นหลัก อย่าเอาประชาธิปไตยเป็นหลัก อย่าไปเอาสังคมนิยมเป็นหลักอย่างนี้ ต้องเอาความถูกต้องความเป็นธรรมความยุติธรรม ประชาธิปไตยเขาให้เอาธรรมเป็นหลัก สังคมนิยมหรือว่าทุนนิยมก็ต้องเอาธรรมะเป็นหลัก ต้องเอาธรรมะเผด็จการตัวเอง เราจะเอาตัวตนมาเผด็จการตัวเองได้ยังไง เพราะอันนี้มันไม่ใช่มันไม่เป็นธรรม มันไม่ใช่ความยุติธรรม มีตัวมีตนอย่างนี้มันจะไปแก้ไขอะไรได้ เราต้องไม่มีตัวมีตน มีแต่ธรรมะมีแต่สภาวะธรรมที่มันก้าวไปด้วยไม่แบกโลกไม่หลงโลกอย่างนี้ เราจะได้พัฒนากัน ปฏิบัติมันต้องติดต่อต่อเนื่อง ไก่มันฟักไข่มันใช้เวลา 3 สัปดาห์ ถึงออกลูกมาเป็นตัว เราจะบำบัดพวกติดยาเสพติดหรืออะไร มันก็ต้องหยุดเสพยาเสพติดหรืออะไร ใช้เวลามากกว่าไข่ฟักไข่อีก การปฏิบัติมันต้องติดต่อต่อเนื่อง ต้องมีสติสัมปชัญญะ พระพุทธเจ้าท่านถึงให้เรามีสัมมาสมาธิ ใจเข้มแข็ง วินัยสิกขาบทน้อยใหญ่มันจะจับกันเป็นกระบวนการ เป็นสติสัมปชัญญะ
ถ้าพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ไม่เอามาทำงาน มันก็เป็นพระอรหันต์ไม่ได้ เพราะมันไม่มีการบำบัดไม่มีภาคประพฤติปฏิบัติ อย่างนี้นะ ให้ทุกคนพากันเข้าใจ เราจะไปเอาแต่ใจ แต่ใจทิ้งพระวินัยไปหมด มันก็เท่ากับว่าคนมีความรู้ความเข้าใจแต่ไม่มีอุปกรณ์ในการทำงาน จะข้ามวัฏสงสารเราก็ต้องใช้ยาน เราต้องอาศัยพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่เราจะไปทิ้งได้ยังไง เราอย่าไปคิดว่า ใส่จีวรมันรุ่มร่ามมันไม่คล่องแคล่ว แล้วก็พากันมาใส่กางเกงเหมือนพระมหายาน ใส่กางเกงใส่เสื้อแล้วก็ยังไม่พอ จะไปบิณฑบาตก็คิดว่าไปเบียดเบียนญาติโยม ก็เลยปลูกผักปลูกผลไม้ฉันดีกว่า ประเคนก็ไม่ต้องประเคน มันไปใหญ่แล้ว เพราะทิ้งพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ มันก็เท่ากับทิ้งพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ เวลาเราจะข้ามมหาสมุทรเราไม่อาศัยเครื่องบินไม่อาศัยเครื่องมือดีๆ จะไปได้เหรอ เห็นไหมพระพุทธเจ้าท่านว่ายข้ามหาสมุทรตอนที่เป็นพระมหาชนก
พระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ถึงเป็นสิ่งที่สำคัญ คนเราจะดับทุกข์ได้ ก็ต้องมีเหตุมีปัจจัย ไม่ใช่ว่าโกนหัวห่มผ้าเหลือง ไปคิดว่ามันจะได้เป็นพระ พระก็คือพระธรรมพระวินัย ให้พระในประเทศไทยหรือว่าทุกประเทศพากันเข้าใจ อย่าพากันทิ้งธรรมทิ้งวินัย จนเป็นประชาธิปไตยสีดำสีเทาทั้งโลกทั้งประเทศ มันเกิดความเสียหายมาหลายร้อยปีแล้วนะ พวกคณะปกครอง พวกคณะสังฆาธิการ มหาเถรสมาคม ที่มีสมเด็จพระสังฆราชเป็นผู้นำ มันั่นดีแล้วถูกต้องแล้ว พวกการเรียนการศึกษาประเสริฐมาก เราต้องเอาการเรียนการศึกษา เข้ามาสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ อย่าไปพากันหลงในขยะ อย่าไปพากันหลงในยศ ในตำแหน่ง ยศตำแหน่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท่านพระราชทานให้ ก็เพื่อที่จะให้ท่านทำหน้าที่ให้สมบูรณ์ อย่าไปพากันหลงยศหลงพัดยศอยู่นะ มันไม่ปกติ มันคือความหลง เราต้องกลับมาหาสติ กลับมาหาสัมปชัญญะ กลับมาประพฤติปฏิบัติกัน เพื่อที่จะเอาทรัพยากรที่ประเสริฐที่เราอยู่ในเมืองไทย อยู่ในทุกหนทุกแห่ง มาใช้ให้มันถูกต้อง เป็นสัมมาทิฏฐิ อย่าให้มันเป็นไสยศาสตร์เป็นอวิชชาเป็นความหลง เราต้องมีความสุขในการประพฤติปฏิบัติ
เราอย่าไปว่า โอ้...การปฏิบัติมันยาก ถ้าไปคิดว่ามันยากมันคือความหลง ไปเอาตัวตนมันก็ยาก เพราะธรรมวินัยก็เหมือนสิ่งที่สำเร็จรูปอยู่แล้วมีอยู่แล้ว เราไม่ต้องไปคิดอะไร เหมือนที่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า เธอจงมาประพฤติพรหมจรรย์เถิด มันมีพอดีอยู่แล้ว มันไม่ใช่เอาอะไรมาเพิ่มมาเติมให้มันยาก ตัวตนนี่แหละมันยาก เราอย่าไปสนใจมัน เราต้องมีสติสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อม เพราะความสุขความดับทุกข์เกิดมีอยู่กับผู้ที่มีความเห็นถูกต้องความเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ถ้ามีความเห็นถูกต้องมีความเข้าใจถูกต้อง แต่ไม่ได้ปฏิบัติถูกต้อง มันก็เป็นแค่โมฆะบุรุษโมฆะสตรี เราต้องพากันเข้าใจ ถ้าจะว่ามันเสียเวลา มันก็เสียเวลา ถ้าเราว่ามันไม่เสียเวลา มันก็จะไม่เสียเวลา เพราะว่าประสบการณ์ถือว่ามันเป็นสิ่งที่สำคัญ มันเป็นสิ่งที่เจ็บปวด คนเราน่ะกว่าจะรู้ตัวเอง มันก็เป็นคนจนไปเสียแล้ว กว่าจะรู้ตัวเองก็กลายเป็นคนเฒ่าคนแก่ไปเสียแล้ว กว่าจะรู้ตัวเองมันก็กลายเป็นคนตายไปซะแล้ว มันต้องเข้าใจประสบการณ์ในการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารของเรานี่แหละ ให้พากันเข้าใจ ถ้าเราเอาปัจจุบัน เราก็มีความสงบ มีปัญญา พัฒนาไปอย่างนี้
ให้ทุกท่านทุกคนมีความเที่ยงแท้แน่นอนในความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง มีความสุขในการประพฤติปฏิบัติ เราไม่ต้องขึ้นกับใคร เราต้องขึ้นกับธรรมะขึ้นกับพระพุทธเจ้า เราจะเอาคนมีกิเลสมาควบคุมเราได้ยังไง เราต้องเอาสิ่งที่ไม่มีกิเลสอาสวะคือพระธรรมพระวินัยอย่างนี้นะ หลายคนมันก็อยากควบคุมแต่คนอื่น มันไม่อยากควบคุมตัวเอง มองดูแล้วก็หน้าเกลี่ยด ขอให้ได้เป็นหัวหน้าเถอะ หัวหน้าอะไรล่ะ หัวหน้าในทางไสยศาสตร์ทางหลงงมงาย ตัวเองไม่สอน มีแต่จะไปจัดการคนอื่น มันต้องจัดการตัวเอง ถ้าเราทำได้ปฏิบัติได้ คนอื่นมันก็จะนับถือ อย่างคนเป็นพ่อเป็นแม่ ถ้าทำไม่ได้ปฏิบัติไม่ได้ลูกหลานมันก็เถียง ลูกหลานมันก็ไม่อยากจะฟัง เพราะว่าความรู้มันก็ใกล้เคียงกัน แต่ความประพฤติเป็นสิ่งที่สำคัญ ให้ทุกท่านทุกคนกลับมาหาสติสัมปชัญญะนะ เราจะได้เป็นพระด้วยกันทุกๆ คน พระทั้งอยู่ที่บ้าน พระทั้งอยู่ที่ศาสนา ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีให้สมบูรณ์ ต้องมีความสุข มีความดับทุกข์อย่างนี้แหละ จะว่าความสุขก็ความสุข เพราะว่ามันไม่มีทุกข์อะไร เพราะว่าความสุขความดับทุกข์มันอยู่ที่ใจมีสัมมาทิฏฐิ อยู่ในสังขารที่มีใจครอง ที่เราต้องพัฒนาทั้งวิทยาศาสตร์ทั้งใจไปพร้อมๆ กัน เราอย่าไปปล่อยวางแบบบางศาสนา ปล่อยวางอย่างโง่ เดินแก้ผ้า ปล่อยวางแบบนั้น ถ้วยโถโอชามอะไรมันก็แตกหมด มันไม่ถูกต้อง พระพุทธเจ้าท่านให้อาบน้ำแปรงฟัน แม้แต่จีวรก็ยังต้องได้มาตรฐาน สีแก่นขนุน ไม่ดำเกินไม่เหลืองเกิน ห่มผ้านุ่งผ้าก็ให้ได้ปริมณฑลไม่สูงเกินไม่ต่ำเกิน ทุกคนที่เป็นพระน่ะก็อย่าไว้เล็บยาว อย่าไว้ผมยาว ประเทศไทยของเราสมัยก่อนยากลำบาก การปลงผมบางคนก็เอาไว้ยาวเกิน แบบนี้มันก็แยกไม่ออก เขาบังคับให้ 1 เดือนก็ให้ปลงผม แต่เดี๋ยวนี้น่ะ จะปลงเร็วกว่านั้นมันก็ได้ เพราะว่าเรามีมีดโกนสมัยใหม่มีดโกนยิลเลจอะไรอย่างนี้นะ จะเอาไว้ยาวเกินมันก็แยกกันยาก มันไม่ต่างอะไรจากฆราวาส พอให้มีแบรนด์เนมที่มันชัดเจน เราจะได้ไม่หลงงมงาย เราจะได้มีพุทธะอยู่ในใจ ผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน อย่างประเทศไทยเรานี่ พระโกนคิ้ว ทำไมพระถึงโกนคิ้ว เพราะว่าสมัยก่อนน่ะ เรามันหลงขยะกัน ประเทศพม่ากับประเทศไทยก็รบกันอะไรอย่างนี้ เพื่อที่จะแยกกันใครเป็นพระไทยเป็นพระพม่า เขาจึงมีการโกนคิ้ว การโกนคิ้วก็มาจากสมัยนั้น เราแยกแยะเฉยๆ ให้เข้าใจ เราไปเห็นพระพม่าเขาไม่โกนคิ้ว จะไม่ว่าเป็นพระอะไรไม่โกนคิ้ว จะไปว่าเขามันก็ไม่ถูกต้องอย่างนี้นะ เพราะมันเกิดขึ้นจากสงครามระหว่างประเทศไทยกับประเทศพม่า ทำอะไรติดต่อกันหลายปีหลายเดือนหลายวันมันก็เป็นประชาธิปไตยเฉยๆ ยังไม่ใช่พระธรรมพระวินัยนะ
เหมือนตอนที่เราเกิดมามีสังขารมีใจครอง เราก็ว่า เป็นตัวเป็นตน จนมันเป็นโรคจิตโรคประสาท โรคซึมเศร้า ร้องโอ๊ยๆๆๆ ไปเรื่อย ใจมันร้องน่ะ มันมีแต่ความทุกข์ ให้เราเข้าใจ ความสุขความดับทุกข์ก็มีอยู่กับเราทุกหนทุกแห่งอย่างนี้แหละ ไม่ได้อยู่ไกลหรอก เราอย่าไปทำตามใจตามอารมณ์น่ะ เห็นไหมล่ะพระมหายาน นี่ไม่ได้ว่าให้พระมหายานนะ แต่เล่าประวัติศาสตร์ความเป็นจริงให้ฟัง เมื่อพากันไปทำอาหารการกินอะไรกัน มันก็อดไม่ได้ มันก็ทานวันนึงหลายครั้ง ทำไปทำมาหลายปีมันก็กลายเป็นประชาธิปไตย ทุกคนทั้งโยมทั้งพระมันก็รับกันได้ เห็นไหมล่ะมันก็ค่อยๆ เพี้ยนไปเรื่อยเพี้ยนไปเรื่อย การตามใจตามอารมณ์อย่างนี้มันเพี้ยน เราต้องกลับมาหาสติสัมปชัญญะ กลับมาหาพระธรรมพระวินัย สิกขาบทน้อยใหญ่ เห็นไหมมันเพี้ยนไป เหมือนพระเราเนี่ย ทำไมมีการฉันเพล ก็เพราะว่าออกพรรษาแล้ว รับจีวร พระพุทธเจ้าให้ทำจีวร การฉันอาหารท่านก็ให้ฉันได้ตั้งแต่เช้าจนไปถึงเที่ยง เพราะการงานมันบังคับ ต้องทำเสร็จภายใน 1 เดือนอย่างนี้แหละ ทำงานไปแล้วก็ลุกไปฉันระหว่างทำงานอะไรอย่างนี้ เราก็เอางานฉุกเฉินมาเป็นงานหลัก พากันฉันเพลกัน หรือว่าพระป่วยพระที่ดูแลพระป่วย พระป่วยมันก็ฉันไม่ได้ ตั้งแต่เช้าไปจนถึงเที่ยง พระไม่ป่วยก็เลยเสียดาย ก็เลยฉันแทน ก็เลยกลายเป็นการฉัน 2 เวลา ก่อนเที่ยง ทำกันมาหลายปี มันก็เลยกลายเป็นประชาธิปไตย เขาก็เลยมองว่า พวกที่มันฉันมื้อเดียว มันเพี้ยน โง่เง่าเต่าตุ่น ไม่ทันสมัย มันน่าจะมีปัญญา กลับว่าไปอย่างนั้น พระพุทธเจ้าตั้งแต่ออกผนวชท่านฉันอาหารเพียงมื้อเดียว ไม่มีไปฉันอาหารเพลที่ไหนนะ ต้องเข้าใจ พระในพระพุทธศาสนารับเงินรับสตางค์กัน โลกที่เจริญขึ้นมานี้ใหม่ๆ ก็จะวิพากษ์วิจารณ์กัน ทุกคนพากันไปติดอกติดใจกันพาไปทำกัน หลายเดือนหลายปีไปมันก็เป็นประชาธิปไตยไป มันต้องเข้าใจประชาธิปไตยที่ส่วนใหญ่พากันทำ ต้องเอามาเทียบเคียงพระธรรมวินัยด้วย เพราะที่พึ่งอันประเสริฐของเราคือพึ่งธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า ได้แก่อริยมรรคมีองค์แปด ที่อื่นนั้นเราพึ่งไม่ได้หรอกนะ ที่พึ่งของเราที่แท้จริงน่ะคือธรรมวินัย ให้พากันเข้าใจให้ชัดเจน
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee