แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันเสาร์ที่ ๒๖ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง เข้าพรรษาเข้าหาธรรม ตอนที่ ๒๔ ปฏิบัติอย่างจดจ่อต่อเนื่อง เข้มแข็งไม่ใจอ่อน เพื่อถ่ายถอนความลุ่มหลงออกไป
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ให้ทุกท่านทุกคนมีสติคือความสงบ มีสัมปชัญญะคือตัวปัญญา ที่ทุกท่านทุกคนมีการเวียนว่ายตายเกิดนั้น เพราะว่าไม่รู้ทุกข์ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ ไม่รู้ความดับทุกข์ ไม่รู้ปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ทุกท่านทุกคนเลยเอากายเอาใจคือขันธ์ ๕ มาเป็นเราเป็นของเรา คนอื่นเค้าก็เอากายเอาใจเป็นของเค้า
พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพุทธบารมีใช้เวลายาวนานหลายอสงไขย ท่านเป็นลูกหลานของพราหมณ์ ศาสนาพราหมณ์นั้นยังเอาความสงบ ยังเอาตัวเอาตนเป็นเราเป็นของเรา แต่เมื่อใจออกมาผัสสะกับสิ่งภายนอก จิตใจมีการปรุงแต่งก็ย่อมยังมีการเวียนว่ายตายเกิด พระพุทธเจ้าท่านจึงได้ค้นคว้าตามหลักเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ทั้งภาคทฤษฎีทั้งภาคการประพฤติปฏิบัติ จึงได้รู้แจ้งเห็นจริงว่า เราจะหยุดเวียนว่ายตายเกิดได้นั้น ก็เพราะเรามีความเห็นถูกต้องมีความเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ธรรมะคือธรรมชาตินั้น เราไม่ได้เอามาเพิ่ม เราไม่ได้ตัดออก เพียงแต่เรามีสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้องก็จะเกิดขึ้นมาเอง เป็นกระบวนการแห่งการหยุดเวียนว่ายตายเกิด เราไปเอารูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ มาเป็นเรา มันไม่ใช่ มันเป็นมิจฉาทิฏฐิ มิจฉาทิฏฐิตัวนี้ได้ก่อกันเป็นพลังงานที่เป็นการเวียนว่ายตายเกิด
สตินั้นเป็นสิ่งที่ทุกคนมีอยู่ แต่สตินั้นยังเป็นมิจฉาทิฏฐิ สัมปชัญญะตัวปัญญานั้นเป็นสิ่งที่ทุกคนมีอยู่ แต่สัมปชัญญะนั้นยังเป็นมิจฉาทิฏฐิ ทุกท่านทุกคนต้องพากันมาเข้าใจเรื่องนี้ ความเห็นผิดความเข้าใจผิดที่มันเกิดเป็นสติสัมปชัญญะนี้ มันก็เป็นสติสัมปชัญญะแห่งมิจฉาทิฏฐิ ที่มันเป็นตัวเป็นตนเป็นเราเป็นเขา เลยเป็นมิจฉาสติ การปฏิบัติของเรามันเลยไม่ถูกต้อง การดำเนินชีวิตของเรามันเลยไม่ถูกต้อง เราถึงมีถึงเป็นถึงได้ถึงเสีย มีทั้งชอบมีทั้งไม่ชอบ เพราะสาเหตุนี้เองการดำเนินชีวิตของเราถึงเพื่อจะเอา เพื่อจะมี เพื่อจะเป็น
พระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ของภิกษุภิกษุณี ๒๑,๐๐๐ สิกขาบทที่มีอยู่ในพระไตรปิฎก แต่ที่เอามาสวดทุกกึ่งเดือนเพียง ๒๒๗ สิกขาบทนั้น ก็เพื่อเป็นตัวอย่างเป็นแบบอย่าง ธรรมวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่นี้เป็นความบริสุทธิ์เป็นพรหมจรรย์เพื่อจะให้เราเข้าหาธรรมะ เข้าหาความถูกต้องความเป็นธรรมความยุติธรรม เป็นสิ่งที่ไม่เป็นมิจฉาทิฏฐิ ไม่เป็นตัวไม่เป็นตน
การปฏิบัติที่ถูกต้องก็เทียบเท่ากับการบำบัดในสมัยปัจจุบัน ที่เรามีการบำบัดพวกติดเหล้าติดเบียร์ติดการพนัน นี่ก็เป็นการบำบัดเพื่อหยุดตัวเองนำตัวเองเข้าสู่ภาคประพฤติปฏิบัติ ดูตัวอย่างแบบอย่างอย่างไก่ฟักไข่ มันใช้เวลา ๓ อาทิตย์ มันถึงออกมาเป็นตัวลูกไก่ การประพฤติปฏิบัติในพระศาสนาพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าอย่างเร็วก็ ๗ วัน อย่างกลางก็ ๗ เดือน อย่างมากก็ ๗ ปี "ดูกรภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดก็ตามที่เจริญสติปัฏฐาน ๔ อย่างนี้เหล่านี้ตลอด ๗ ปี เธอหวังผลอย่างใดอย่างหนึ่งในสองอย่าง คือ อรหัตตผลในอัตภาพนี้ หรือเมื่อยังมีความยึดมั่นหลงเหลืออยู่ ก็จะบรรลุอนาคามิผล" "อย่าว่าแต่ ๗ ปีเลย ผู้ใดก็ตามที่เจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้อย่างนี้ตลอด ๖ ปี, ๕ ปี, ๔ ปี, ๓ ปี, ๒ ปี, ๑ ปี, ๖ เดือน, ๕ เดือน, ๔ เดือน, ๓ เดือน, ๒ เดือน, ๑ เดือน, กึ่งเดือน เขาพึงหวังผล ๒ ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ อรหัตผลในอัตภาพนี้หรือเมื่อยังมีความยืดมั่นหลงเหลืออยู่ ก็จะบรรลุอนาคามิผล
อย่าว่าแต่กึ่งเดือนเลย ผู้ใดผู้หนึ่งพึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ อย่างนี้ตลอด ๗ วัน เขาพึ่งหวังผล ๒ ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ อรหัตตผลในอัตภาพนี้ หรือเมื่อยังมีความยึดมั่นหลงเหลืออยู่ ก็จะบรรลุอนาคามิผล"
"ดูกรภิกษุทั้งหลาย หนทางนี้เป็นทางเดียวที่ทำให้เหล่าสัตว์บริสุทธิ์ ล่วงพันความโศกและความรำพันคร่ำครวญได้ ดับทุกข์และโทมนัสได้ บรรลุอริยมรรค และเห็นแจ้งพระนิพพานได้หนทางนี้คือสติปัฏฐาน ๔ ประการ"
พระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่นั้นจึงเป็นการประพฤติปฏิบัติ จึงว่าเป็นการบำบัดเพื่อทุกคนจะได้มีทั้งสติมีทั้งสัมปชัญญะที่ติดต่อต่อเนื่อง พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้วนี่คือเรื่องของทางร่างกาย พระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่นี้ จึงเป็นพระพุทธเจ้าที่แท้จริง
ทุกท่านทุกคนน่ะเราจะเอาตัวตนเป็นที่ตั้งไม่ได้ เราจะเอาตัวตนนั้นคือการเวียนว่ายตายเกิด เราต้องมีสัมมาทิฏฐิมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง มีจิตสำนึกว่าไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา เพราะนี่คือธรรมะคือสภาวธรรมที่มันเกิดจากเหตุเกิดจากปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปถึงมีได้ เรามีความเห็นอย่างนี้มีความเข้าใจอย่างนี้ จะทำให้ทุกอย่างมีแต่คุณมีแต่ประโยชน์ ถ้าเรามีความเห็นผิดเข้าใจผิดปฏิบัติผิดทุกอย่างก็ย่อมมีแต่โทษ
การปฏิบัติของเรามันก็ต้องปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องเพื่อให้เป็นมรรค มันต้องอาศัยเหตุอาศัยปัจจัยจากการประพฤติปฏิบัติในการดำเนินชีวิตประจำวัน พระพุทธเจ้าท่านจึงตรัสว่าอริยมรรคมีองค์ ๘ มันจะแทรกอยู่ในชีวิตประจำวันทุกๆ อณู เรามีความเห็นผิดเข้าใจผิดชีวิตเราถึงเป็นเหมือนที่เป็นอยู่อย่างนี้ การทำอะไรไม่ได้ทำเพื่อดับทุกข์มันจึงสร้างปัญหาให้กับตัวเองให้กับคนอื่น
คำว่า พระ ทุกท่านทุกคนต้องพากันรู้จัก พระนั้นคือพระธรรมพระวินัยไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน พระอรหันต์ท่านเป็นพระที่สูงสุด เพราะการประพฤติปฏิบัติของท่านได้อบรมบ่มอินทรีย์สมบูรณ์
ชีวิตในการปฏิบัติของหมู่มวลมนุษย์จะมีความสุขความดับทุกข์ได้ เมื่อมีการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่พัฒนาตามหลักเหตุหลักผลทางวิทยาศาสตร์ตามหลักธรรมะที่เป็นสัมมาทิฏฐิที่ไม่มีตัวไม่มีตน ด้วยเหตุนี้ พระพุทธเจ้าท่านถึงมีความสุขมาก จะว่าสุขก็ได้เพราะไม่มีความทุกข์อะไร ท่านบรรทมวันละ ๔ ชั่วโมง ทำงานวันละ ๒๐ ชั่วโมง เพราะท่านมีสัมมาทิฏฐิปฏิบัติตนตามหลักสัมมาที่สมบูรณ์ เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปถึงมี ความดับทุกข์ของมนุษย์จะมีได้ต้องมาจากสัมมาทิฏฐิและการประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้อง ที่เราไม่ได้ตัดออกไม่ได้เอามาเพิ่ม เราทุกคนจะมีตัวมีตนจะมาเป็นผู้หญิงผู้ชายเป็นคนหนุ่มคนสาวเป็นแก่เจ็บตาย มันไม่ใช่ ไม่ถูกต้อง เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา พระพุทธเจ้าท่านถึงให้เราวางความรู้สึกนึกคิดในสิ่งเหล่านี้ ที่ท่านตรัสว่าเป็นบุคคลที่แบกของหนักพาไป แบกอะไร? แบกอวิชชา แบกความหลง แบกมิจฉาทิฏฐิ แบกโลก หลงโลก หลงในตัวในตน
เราทุกคนต้องมีสัมมาทิฏฐิ เราเอาสติความสงบมาใช้งาน เราเอาสัมปชัญญะที่เป็นสัมมาปัญญาญาณมาทำงานมาปฏิบัติ ความเห็นผิดเข้าใจผิดเป็นชีวิตที่ล้มเหลวเป็นความคิดที่ไม่สำเร็จประโยชน์เป็นความคิดที่ไม่เจริญงอกงาม พระพุทธเจ้าตรัสว่า งามในเบื้องต้นคือศีล ศีลคือพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ งามในท่ามกลางคือสมาธิ สมาธิคือความตั้งมั่นในการปฏิบัติที่ติดต่อต่อเนื่องเอาศีลสิกขาบทน้อยใหญ่มาปฏิบัติเพื่อให้มันติดต่อกันเป็นสายน้ำเปรียบเสมือนสายน้ำที่มันไหลติดต่อต่อเนื่องกันไม่ขาดสาย งามในที่สุดคือปัญญา เอาปัญญาที่เป็นญาณเข้าสู่ภาคปฏิบัติถึงจะเป็นความงามที่แท้จริง ที่เรามองเห็นหน้าเห็นตาคนนั้นว่าสวยว่างามว่าหล่อ มันไม่ใช่ความงาม มันเป็นอวิชชาความหลง ที่เราพากันประกวดชายงาม นางสาวไทย นางงามจักรวาลอย่างนี้ไม่ถือว่าเป็นความงามนะ ถือว่าเป็นความหลง หลงไปเรื่อย ในชีวิตประจำวันร้องในใจไปเรื่อย โอ้ยๆๆ ผัสสะทั้งหลายอารมณ์ทั้งหลายทำให้หมู่มวลมนุษย์ยังมีความเห็นไม่ถูกต้องเข้าใจไม่ถูกต้องปฏิบัติไม่ถูกต้อง พากันหลงร้องไปเรื่อย โอ้ยๆๆ วิ่งตามความหลงไปเรื่อย ให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจในชีวิตอันสั้นไม่ยาวนานของเราทุกคนที่อายุไม่เกิน ๑๒๐ ปี ทุกท่านทุกคนให้เอาชีวิตให้เอาร่างกายที่ประเสริฐที่เกิดเป็นมนุษย์พากันประพฤติปฏิบัติเราจะได้ไม่เสียทรัพยากรที่ประเสริฐที่เกิดเป็นมนุษย์
ในปัจจุบันสิ่งที่สำคัญ จะมีความเห็นถูกต้องความไม่หลงเพลิดเพลินคือมันเป็นสัมมาทิฏฐิ มันเป็นสัมมาสติ และก็เป็นสัมมาสมาธิ หรือว่าสัมมาปัญญา ปัจจุบันนี้เป็นสิ่งที่สำคัญเป็นสิ่งที่ด่วน เพราะว่าทุกคนนะมันชอบพากัน ปล่อยเวลาปล่อยโอกาสให้มันผ่านไป การประพฤติปฏิบัติของเรามันเลยบกพร่อง ลักษณะอย่างนี้เราเลยต้องอาบัติ เพราะมันเคยชิน ปัจจุบันนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ ปัจจุบันนี้เราก็ต้องรับผิดชอบ ที่พระพุทธเจ้ามอบหมายให้เรา มอบหมายให้เราว่าเราจงประพฤติพรหมจรรย์ เอาธรรมเป็นหลักเอาธรรมเป็นใหญ่ พระวินัยเล็กน้อยนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ มันเป็นการเจริญสติสัมปชัญญะของเราทุกๆ คน อย่างหลวงพ่อไปสั่งงานไปสั่งอะไร น้อยคนที่จะตามผลงานปึ๊บๆๆ เพราะไม่เห็นความสำคัญในปัจจุบัน ทำให้คนนั้นพลาดโอกาส ในการที่จะฝึกตัวเองปฏิบัติตัวเอง เราจะทำตามอัธยาศัยของเราไม่ได้ เพราะว่ามันจะเป็นสีลัพพตปรามาส ลูบคลำในศีลในข้อวัตรข้อปฏิบัติ ความเพลิดเพลินในความประมาท นี้สำคัญ เรื่องฉันเรื่องอยู่มันเป็นเรื่องรอง เรื่องรีบด่วนก็คือเราต้องแก้ไขต้องจัดการ เราจะไปตามอัธยาศัย มีตัวมีตนอยู่ไม่ได้ แม้แต่ความเห็นถูกต้องความเข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติเนิ่นช้าเหมือนพระโสดาบัน เพราะไม่เห็นความสำคัญในการปฏิบัติของตัวเอง นึกว่าแน่แล้ว เลยปล่อยให้ตนเองเวียนว่ายตายเกิดอยู่อีกตั้ง 7 ชาติ ไม่เหมือนพระโสดาบันที่มีความเห็นถูกต้องความเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง เป็นสิ่งที่เร่งด่วน ปฏิบัติตัวเองให้หมดกิเลสสิ้นอาสวะในปัจจุบัน เพราะหลวงพ่อมองเห็นความบกพร่องของพระของประชาชน มองเห็นความบกพร่องของพระตั้งเยอะ ที่ว่ารู้แล้วรู้แล้ว ถึงยังไงมันก็ได้บรรลุอยู่แล้ว สุดท้ายก็ปล่อยตัวเองจนแก่เฒ่าชรา สุดท้ายคุณธรรมอะไรก็ไม่ได้ การประพฤติปฏิบัติเร่งด่วนนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ
พระพุทธเจ้านั้นเอาชีวิตเป็นเดิมพัน พระอรหันต์เอาชีวิตเป็นเดิมพันในการประพฤติการปฏิบัติที่เกิดจากความเห็นถูกต้องความเข้าใจถูกต้องการปฏิบัติถูกต้อง แล้วมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ โดยความตั้งมั่นโดยความตั้งใจด้วยเจตนา เราจะข้ามวัฏสงสารเราต้องอาศัยยาน ยานนั้นคือศีล สมาธิ ปัญญา ศีลนั้นคือความยึดมั่นถือมั่นในความดี สมาธิคือความตั้งมั่น ปัญญาคือรู้อริยสัจ ๔ รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เราจะข้ามมหาสมุทร เราต้องอาศัยเรือ เราจะทิ้งเรือปล่อยเรือไม่ได้ เราถึงต้องมีความเพียร พระอรหันต์รุ่นเก่าเขาถึงมีอานาปานสติทุกอิริยาบถ เดินเหินนั่งนอนหายใจเข้าสบายออกสบาย แล้วแต่อิริยาบถหยาบหรือละเอียด อิริยาบถหยาบก็หายใจแรงขึ้นอย่างนี้ ทำงานอะไรอยู่ก็หายใจเข้าสบายออกสบาย มันคืออันเดียวกับพุทโธ ต้องให้เข้าใจอย่างนี้ คนโบราณเขาถึงท่องแต่พุทโธ ทำอะไรอยู่ ก็พุทโธๆ ท่องพุทโธ จนบางทีเอามีดหั่นผัก มัวแต่ท่องพุทโธ ไปหั่นมือตัวเอง บางทีคนรุ่นใหม่สมัยใหม่ ท่องแต่พุทโธ จนเลยสีแยกไฟแดงไป
เพราะอันนี้มันเป็นความเพียรที่จะต้องมีสติติดต่อต่อเนื่อง ที่พระพุทธเจ้าสอนว่าเมื่อตาเราเห็นรูปเราต้องพิจาณาสู่พระไตรลักษณ์ รูปจะสวยหรือไม่สวย ต้องทำอย่างนี้ทุกๆ ครั้ง เพราะการปฏิบัติมันอยู่ที่ปัจจุบัน ถ้าเราไม่พิจารณา ปัญญาเรามันจะเจริญได้ยังไง พอเราเห็นรูป เราพิจารณาสู่พระไตรลักษณ์ ตาเห็นรูปหูฟังเสียงอะไรอย่างนี้ มันต้องมีการปฏิบัติอย่างนี้จนมันเป็นอัตโนมัติ ถ้างั้นมันก็ไม่มีอะไรปฏิบัติ เห็นรูป ก็สวยไปเลย ไม่สวยไปเลย ชอบไปเลย ไม่ชอบไปเลย เราก็ไม่ได้เจริญปัญญาอะไร อย่างเราเป็นพระเป็นนักบวช วันหนึ่งๆ เราพิจารณาพระกรรมฐาน พิจารณาเกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ แยกจนไม่เป็นสัตว์ไม่เป็นบุคคลตัวตน มันต้องทำอย่างนี้ทุกวันๆ วันหนึ่งอาจจะหลายรอบ ถ้าเราไปเรียนเป็นเด็ก ป.๑ ป.๒ ก็ต้องท่อง ก. ข. ถ้าเราเลื่อนขึ้นไปสูง ก็ต้องท่องพยัญชนะ ให้อ่านออกเขียนได้เลย
การปฏิบัติก็เหมือนกัน พระวินัยทุกข้อเราต้องมีความเพียรว่า อันนี้คิดไม่ได้นะ พูดไม่ได้นะ ทำไม่ได้นะ อันนี้มันเป็นความเพียรของเรา เราไปปล่อยวางไม่ถูก ไม่ได้ ทุกอย่างนะ พระวินัยที่มาในปาฏิโมกข์ ๒๒๗ ข้อ ในพระวินัยปิฎก ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ด้วยใจด้วยเจตนา เราต้องมีความเพียรรักษา เราจะเป็นคนปล่อยวางโดยไม่เอาธรรมไม่เอาวินัย ไม่ได้ เพราะเราทำตามใจตัวเองตามอารมณ์ตัวเอง พอเราทำตามใจตัวเองทำตามอารมณ์ตัวเอง เราเป็นคนที่มีทิฏฐิมานะมาก ที่จริงพระวินัยไม่ใช่ทำให้เรายุ่งยาก มันเป็นระบบแห่งมรรคผลนิพพาน การรักษาพระวินัยไม่ใช่ให้คนเคารพเลื่อมใส เราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ คนเขาเคารพเลื่อมใสเอง ถ้าเราไม่ทำอย่างนี้ เราก็เป็นพระอริยเจ้าไม่ได้
อะไรก็ปล่อยวางๆ หมด มันไม่ใช่นะ ปล่อยวางอย่างเป็นคนตามใจตัวเองตามอารมณ์ตัวเอง ตามความรู้สึก เราไปปล่อยวางไม่ถูก คิดว่าเราบวชมาแล้วมาอยู่วัดแล้ว เราไปปล่อยวาง เขาปล่อยวางเรื่องทิฏฐิมานะ อัตตาตัวตน ไม่มีศีลก็ให้มีศีล ไม่มีสมาธิก็ให้มีสมาธิ ไม่มีปัญญาก็ให้มีปัญญา ไม่ใช่มาปล่อยวาง สวดก็จะไม่สวด ทำวัตรสวดมนต์ก็จะไม่ทำ วัดก็จะไม่กวาด เบื่อที่นี่ก็ย้ายไปที่ใหม่ สุดท้ายก็ไม่มีอะไร เป็นคนหลักลอยคอยงานสังขารเสื่อมเฉยๆ มันปล่อยวางไม่ถูก ปล่อยวางอย่างขี้เกียจ ปล่อยวางอย่างโมหะ ไม่ต่างจากสัตว์เดรัจฉานที่มันเอาแต่นอน เอาแต่พักผ่อน แล้วก็กิน ผสมพันธุ์กัน มันก็แค่นั้น เป็นได้แต่เพียงคน ปล่อยวางอย่างนั้นมันถูกต้องแล้วหรอ
เราดูตัวอย่างอย่างหลวงปู่มั่น หลวงปู่ชา หลวงตามหาบัว หรือพระอริยเจ้าทั้งหลาย ดูท่านเหมือนจะเป็นคนยึดมั่นถือมั่นแต่ความยึดมั่นมันมี ๒ อย่างนะ ความยึดมั่นถือมั่นที่เป็นสัมมาทิฏฐิกับที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็นมิจฉาทิฏฐิคือเอาแต่ใจตัวเองเอาแต่อารมณ์ตัวเองไม่เอาธรรมไม่เอาพระวินัย แต่ความยึดมั่นถือมั่นที่เป็นสัมมาทิฏฐิ มันจะทำลายอัตตาตัวตน เราต้องมีความสุขในอย่างนี้แหละ เดี๋ยวทุกอย่างมันจะดีเอง ถ้างั้นท่านจะข้ามวัฏสงสารได้ยังไง ถ้างั้นท่านจะข้ามมหาสมุทรได้ยังไง เพราะท่านไม่มียาน ยานคือศีล คือสมาธิ ยานก็คือปัญญา ที่รู้จักทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ความดับทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ ญาณรู้อริยสัจ ๔ เราต้องมีความสุขอย่างนี้แหละ
เราต้องรู้จักความยึดมั่น (ในศีล สมาธิ ปัญญา) ความยึดมั่นนี้มันทำให้เราประพฤติพรหมจรรย์ ทำให้เราตั้งมั่นในสมาธิ ทำให้เราเจริญปัญญา มันไม่เจริญปัญญาไม่ได้ ตาเห็นรูป เราก็ต้องให้เกิดปัญญา หูฟังเสียงก็ให้เกิดปัญญาพิจารณาสู่พระไตรลักษณ์ สังคมทุกวันนี้ไม่ยึดมั่นถือมั่น (ในความดี) มันเป็นอบายมุขอบายภูมิ แย่เลย อวิชชาครองบ้านครองเมือง เราเลยไม่ได้พัฒนาธุรกิจหน้าที่การงานแล้วก็ไม่ได้พัฒนาใจเข้าสู่มรรคผลนิพพาน
อานาปานะสติถ้าเราเจริญอย่างนี้ๆ นั่นแหละคือพุทโธ นั่นแหละคือ สติปัฏฐาน ๔ นั่นแหละคือวิปัสสนา มันจะรวมกันเป็นหนึ่ง เป็นศีลสมาธิปัญญา หือ...ที่เราฟุ้งซ่านอยู่กับตัวเองไม่เป็น ไปอยู่กับสิ่งที่มันหยาบ อะไร มันหยาบ “กาม” กามมันหยาบ รูปเสียงกลิ่นรสลาภยศสรรเสริญ ใจไม่สงบ เขาเรียกว่าใจมันหยาบ เราต้องพัฒนาขึ้น ใจของเราถึงจะได้กลับมาหาเนื้อมาหาตัว ที่ว่ากลับมามองดูตัวเอง กลับมาแก้ไขตัวเอง มันต้องทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ ไม่ต้องเสียเวลาให้มากเกิน ความยึดมั่นถือมั่นมันมี ๒ อย่าง ถ้าเรายึดมั่นในธรรมนั่นแหละ คือเราจะทำลายตัวตน ถ้าเรายึดมั่นในตัวตน นั่นแหละคือวัฏสงสาร มันจะได้เข้าใจเกิดสัมมาทิฏฐิ การปฏิบัติของเรามันจะทุกอิริยาบถ แต่ หืม...ไม่ได้ภาวนาอะไรเลย ตาเห็นรูปสวยก็พอใจ ไม่สวยก็พอใจ ไม่ได้ภาวนาอะไรเลย ไม่มีอะไรเลย ปัจจุบันไม่มีการปฏิบัติ แล้วก็ไม่มีการพิจารณาเกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ จนจิตมั่นเข้าสู่ความว่างเข้าสู่สุญญตาได้ เมื่อไม่พิจารณาวิปัสสนาก็ไม่เกิดอย่างนี้แหละ มันไม่ได้
ให้ดูตัวอย่างหลายๆ ท่าน ที่เขามุ่งมรรคผลนิพพาน จะเป็นคนต่างประเทศ หรือเป็นคนในประเทศ เขาเอาข้อวัตรข้อปฏิบัติ เพราะการเข้าศาลา ทำวัตรสวดมนต์ นั่งสมาธิ มันเป็นงานหลักของพระของเณรของชี ของผู้ปฏิบัติธรรม คนที่ทิ้งข้อวัตรข้อปฏิบัติคือ คนโง่ที่สุดในโลก มีพระพุทธพจน์รับรองเรื่องความเพียรว่า “บุคคลผู้ไม่เกียจคร้านทั้งกลางวันทั้งกลางคืนจะข้ามโอฆะได้ ไม่จมในห้วงน้ำลึก” ความรับผิดชอบมันต้องสูง ความรับผิดชอบต่ำอย่างนี้ มันก็ตกต่ำ หลวงพ่อใหญ่ก็ดูอยู่นะ บางคนเข้าฟังเทศน์ฟังธรรมอะไรไม่สนใจ มาตามจิตตามใจตามอารมณ์ ไม่น่าจะมาอยู่วัดทำไม อย่างนี้มันไม่ได้กระตือรือร้น ในการขยันรับผิดชอบ เสียสละ เราจะเป็นคนดีได้ยังไง
บางทีพ่อแม่เราน่ะ เห็นเราพากันมาอยู่วัด เขาก็ดีใจว่า มันไม่เอาฝืนเอาถ่านเลย มันไปอยู่วัดมันคงจะดีขึ้น มาอยู่วัดอย่างนี้ยังทำแบบเดิม มันดีไม่ได้หรอก มันไม่ละอายต่อบาป เกรงกลัวต่อบาป ไม่มีศรัทธาอะไรใช่ไหม อย่างนี้มันอยู่ในระดับหมากับแมว ระดับเป็ดกับไก่ แถมยังจะเป็นขี้เรื้อนอีกตั้งหาก พวกหมานั้นนะ พวกที่เข้าวัดเข้าวาจิตใจนี้ก็เป็นขี้เรื้อน พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย ท่านเห็นไหมว่าเมื่อตอนเย็นวันนี้ หมาป่าตัวหนึ่งมันเดินอยู่ที่นี่เห็นไหม? มันจะยืนอยู่มันก็เป็นทุกข์ มันจะวิ่งไปมันก็เป็นทุกข์ มันจะนั่งอยู่ก็เป็นทุกข์ มันจะนอนอยู่ก็เป็นทุกข์ เข้าไปในโพรงไม้มันก็เป็นทุกข์ จะเข้าไปอยู่ในถ้ำก็ไม่สบาย มันก็เป็นทุกข์ เพราะมันเห็นว่าการยืนอยู่นี้ไม่ดี การนั่งไม่ดี การนอนไม่ดี พุ่มไม้นี้ไม่ดี โพรงไม้นี้ไม่ดี ถ้ำนี้ไม่ดี มันก็วิ่งอยู่ตลอดเวลานั้น
ความเป็นจริงหมาป่าตัวนั้นมันเป็นขี้เรื้อน มันไม่ใช่เป็นเพราะพุ่มไม้ หรือโพรงไม้หรือถ้ำ หรือการยืน การเดิน การนั่ง การนอน มันไม่สบายเพราะมันเป็นขี้เรื้อน ภิกษุทั้งหลายนี้ก็เหมือนกัน ความไม่สบายนั้นคือ ความเห็นผิดที่มีอยู่ ไปยึดธรรมที่มีพิษไว้มันก็เดือดร้อน ไม่สำรวมอินทรีย์ทั้งหลาย แล้วก็ไปโทษแต่สิ่งอื่น ไม่รู้เรื่องของเจ้าของเอง ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่สบาย
นี่ก็คือความเห็นผิดนั้นยังมีอยู่ในตัวเรานั่นเอง มีความเห็นผิด ยังไปยึดมั่นถือมั่นในธรรมอันมีพิษไว้ในใจของเราอยู่ อยู่ที่ไหนก็ไม่สบายทั้งนั้น นั่นคือเหมือนกันกับสุนัขนั้น ถ้าหากโรคเรื้อนมันหายแล้ว มันจะอยู่ที่ไหนมันก็สบาย อยู่กลางแจ้งมันก็สบาย อยู่ในป่ามันก็สบายอย่างนี้ ผมนึกอยู่บ่อยๆ แล้วผมก็นำมาสอนพวกท่านทั้งหลายอยู่เรื่อยเพราะธรรมตรงนี้มันเป็นประโยชน์มาก
เราต้องมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง มีความสุขในการดำเนินชีวิตเรียกว่าพรหมจรรย์ พระรูปไหนก็ทำเหมือนกัน ไม่ว่าพระวัดบ้านวัดป่า ไม่ว่าธรรมยุติมหานิกายก็อันเดียวกัน มรรคผลนิพพานอันเดียวกัน ไม่มีแยก สีผ้าจะต่างกัน แต่ว่าจิตใจมีความตั้งใจ มีเจตนาอันนี้อันเดียวกัน เราถึงจะไว้วางใจกัน มีศีลเสมอกัน มีสมาธิเสมอกัน มีปัญญาเสมอกัน
น้ำทุกหยด อาหารทุกอย่าง ที่อยู่ที่อาศัยนี้เพราะมาจากบารมีของพระพุทธเจ้า เราต้องมาต่อยอดให้บารมีของพระพุทธองค์ จากรุ่นพี่สู่รุ่นน้องไปอย่างนี้ เราเป็นโรคภัยไข้เจ็บ จะไปแก้ปลายเหตุมันไม่ได้ ต้องมาแก้ที่ต้นเหตุคือให้มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง จะไปตามแนวทางเหตุทางผลทางหลักวิทยาศาสตร์อย่างนี้ ทุกคนต้องมีฉันทะมีความพอใจ มีความสุขในการดำเนินอย่างนี้ ปฏิบัติอย่างนี้ ให้ตัวเองกราบไหว้ตัวเองได้อย่างสนิทใจ ให้มีความสุข ตัวเองกราบไหว้เคารพตัวเองไม่ได้ จะให้ใครมากราบมาไหว้เรา มันไม่ถูกหลัก ไม่ถูกต้อง
ที่พูดมานี้เป็นพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่พระองค์ทรงเมตตา ไม่ได้ว่าให้ใคร ไม่ได้ว่าให้พระ ไม่ได้ว่าให้ประชาชน เพราะเป็นข้อเสนอแนะ เพื่อให้ทุกคนได้เข้าสู่กระบวนการกระแสแห่งพระนิพพาน ด้วยหลักเหตุหลักผลที่ถูกต้อง ที่จะเป็นไปได้ ที่จะแก้ปัญหาได้ ที่ต้องแก้ไขที่ทุกๆ คนเอง
พวกเราต้องทำจิตใจให้เข้มแข็งมั่นคง ไม่หวั่นไหวเหมือนภูเขาศิลาแท่งทึบที่ไม่สั่นสะเทือนหวั่นไหวจากกำลังพายุโหมกระหน่ำฉันนั้น เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นอนิจจัง เมื่อเกิดขึ้นมาดำรงอยู่เพียงชั่วคราวแล้วก็ดับสลายไปในที่สุด เราจึงต้องใจเข้มแข็ง รู้เท่าทันอารมณ์ในปัจจุบัน ถ้าใจไม่เข้มแข็ง ก็ไม่สามารถเปลี่ยนพฤติกรรมที่เคยชินของตัวเองได้ จิตใจต้องเป็นปัจจุบันธรรม ในขณะที่จิตจดจ่อต่อเนืองอยู่กับอารมณ์ที่เป็นปัจจุบัน ในขณะจิตนั้นไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนเราเขา
ทุกคนทำงานเหนื่อย ถึงเหนื่อยก็ต้องทำ หากทำงานด้วยความเสียสละจะไม่เหนื่อย เพราะงานคือชีวิต ชีวิตของงาน บันดาลสุข ทำงานให้สนุก เป็นสุขขณะทำงาน ในการปฏิบัติธรรมเรามารักษาศีลทำสมาธิเจริญปัญญา ถึงจะฝืนใจขัดใจก็ต้องทำ เพราะเรามาทวนกระแสกิเลส ทวนกระแสโลก ต้องอดทนให้มากที่สุด
ธาตุขันธ์ร่างกาย ในปัจจุบันถึงจะเหนื่อยยากเพียงใด ก็ให้แยกออกด้วยปัญญา เพราะว่ากายก็ส่วนหนึ่ง ใจก็ส่วนหนึ่ง ใจเรามีความเห็นแบบนี้ ความเข้าใจแบบนี้ ปฏิบัติแบบนี้ เราต้องมาล้างจิตล้างใจตนเอง ทำความเพียรสม่ำเสมอ ถ้าไม่เช่นนั้น จะเป็นคนเลื่อยลอยคอยงานสังขารเสื่อมไปวันๆ ทำแบบนี้หยุดหย่อน ลุ่มๆดอนๆ ลูบคลำในศีลในข้อวัตรปฏิบัติ หากคิดว่าการปฏิบัติธรรมนั้นเหนื่อยยาก ความคิดแบบนี้คือ ความเห็นแก่ตัว อัตตาตัวตน
เราต้องเอาหลักพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามาใช้ในการดำเนินชีวิต เราให้เขาคอยจูงจมูกเหมือนกับไม่มีเจ้าของไม่ได้ เจ้าของก็คือเรา เราต้องมีพุทธะผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ที่นำทางของเรา ที่ประกอบอริยมรรคมีองค์แปด มันง่ายอยู่แล้วที่จะปฏิบัติ คนเรามันไม่อยากปฏิบัติ ก็คือความเห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวนี้แหล่ะก็คืออบายมุขอบายภูมิ เราจะไปแก้ที่ไหนถ้าไม่ใช่ที่ตัวของเรา
ความใจอ่อนมันทำให้ลุกตื่นมาทำความเพียรตีสามไม่ได้นะ ทำยังไงถึงจะใจแข็ง มันต้องเน้นที่ปัจจุบัน ลบอดีตล้างอดีตออกจากใจให้เป็นศูนย์ ต้องปรับตัวเข้าหาธรรมะในปัจจุบัน ปัจจุบันเราต้องเอาศีลสมาธิปัญญาให้เต็มที่ อินทรีย์บารมีของเราถึงจะไปได้ ถ้าอย่างนั้นไม่ได้หรอก เราจะไปหวังพึ่งใครไม่ได้หรอกต้องพึ่งตัวเองพึ่งปฏิปทาของตัวเองเนาะ ต้องมาจากการพึ่งพระพุทธเจ้า พึ่งพระธรรม พึ่งพระอริยสงฆ์ เพิ่งพระพุทธเจ้าก็คือเพิ่งตัวผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานในปัจจุบันนี่แหละ
เพราะฉะนั้นจึงต้องมีใจเข้มแข็งในปัจจุบัน เพราะมันเป็นความเสียหายของทุกคนที่ไปใจอ่อน มันต้องลบอดีตไปให้ได้ อนาคตมันก็มาจากปัจจุบันนี่แหละ จากอานาปานะสติในปัจจุบันนี่แหละ ต้องเห็นโทษเห็นภัยของความใจอ่อนเห็นคนเห็นประโยชน์ของความเป็นผู้ใจเข้มแข็งตั้งมั่นเป็นสัมมาสมาธิ
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee