แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันพุธที่ ๒๓ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง เข้าพรรษาเข้าหาธรรม ตอนที่ ๒๑ เราสร้างวัดสร้างบ้านก็เพื่ออยู่อาศัย เพื่อจะได้สร้างอริยมรรคมีองค์ ๘ ให้เกิดขึ้นที่กายวาจาใจเรา
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
คำเทศนา วันพุธที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๖๖
การปฏิบัติธรรมนี้ เป็นของง่าย มันไม่ใช่เป็นของยาก เพียงแต่เรามีความเห็นถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง เพราะการปฏิบัติธรรมนั้นเป็นเรื่องสำเร็จรูป เป็นเรื่องที่จะเราไม่ต้องไปแก้ไข หรือว่าไม่ต้องไปเพิ่มเติม เพียงแต่เรามีความเห็นถูกต้องมีความเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง เพราะสาเหตุมาจากที่พระพุทธเจ้า ได้บำเพ็ญพุทธบารมีตั้งหลายชาติ ได้ตรัสรู้แล้วก็มาบอกมาสอน ความดับทุกข์ของมนุษย์ถึงเป็นสิ่งที่ง่าย เพียงเราไม่มีสักกายทิฏฐิ ไม่มีตัวมีตน ไม่โลเล ในลูบคลำในข้อวัตรข้อปฏิบัติ ไม่ลังเลสงสัยในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระอริยสงฆ์ เพราะพระพุทธเจ้านั้น คือความถูกต้องคือความเป็นธรรม คือความยุติธรรม ไม่ใช่นิติบุคคลไม่ใช่ตัวตน เป็นสิ่งที่ดับทุกข์ได้ตลอดกาลตลอดเวลา เพราะพระพุทธเจ้านั้นไม่มีตัวมีตน เพราะแบบนั้น พระพุทธเจ้าถึงเป็นพระธรรม พระธรรมถึงเป็นพระพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์ ก็คือ ผู้ที่ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า 100% ไม่มีตัวไม่มีตน ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปด้วยสติ ดำเนินไปด้วยสัมปชัญญะ คือตัวปัญญา คือ รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ให้เราพากันมาปฏิบัติตัวเองในปัจจุบัน สิ่งที่เป็นอดีต ต้องลบออกจากใจตัวเองให้เป็นเลขศูนย์ สัมปะชัญญะคือตัวปัญญา
ทางร่างกายก็ให้เอาธรรมะ ทางวาจาก็เอาธรรมะ ทางกิริยามารยาทก็ให้เอาธรรมะ การกระทำทุกอย่างในชีวิตประจำวัน ถึงจัดได้ว่าอยู่ในอริยมรรคมีองค์ 8 พระพุทธเจ้านะท่านให้พวกเราปฏิบัติ เหมือนเราไปอ่านหนังสือไปเรียนหนังสือ เขียนหนังสือ แล้วก็สามารถอ่านเขียนได้อยู่ทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่าที่บ้านที่ทำงาน ในสังคม ในหมู่บ้านในนิคม ในเมืองหลวง ธรรมะถึงเป็นสิ่งที่ทันโลกทันสมัย พัฒนาการหลักเหตุผลตามหลักวิทยาศาสตร์ เพื่อให้สะดวกสบาย สรีระร่างกาย ที่เราทุกคนมี เป็นมนุษย์มีสติปัญญา เราทำไปตามหน้าที่ ให้มีความสุขในการประพฤติปฏิบัติ เพราะว่าวันหนึ่งคืนหนึ่ง มนุษย์เราก็ต้องนอนอย่างน้อย 6 ชั่วโมง อย่างมากก็ 8 ชั่วโมง สำหรับผู้ใหญ่ ถ้าเรานอนหลับได้แบบนี้ สมองเรามันถึงจะได้ไม่รวน มันจะได้ควบคุมร่างกาย ควบคุมการทำงานอย่างอื่น มนุษย์เราก็จะเข้าสู่ความรวย ความสบาย จิตใจของเราก็จะมีความสุข จิตใจของเราจะได้ผ่านภูมิ ร่างกายยังไม่ตายก็ได้ขึ้นสวรรค์ทั้งเป็นแล้ว เรารวยเราสะดวกสบายนะ พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ให้เราหลง
เราต้องรู้จักธรรมชาติ สภาวะธรรม ที่มันเกิดกับชีวิตประจำวัน ล้วนแต่เป็นอนิจจัง ล้วนแต่เป็นทุกขัง ล้วนแต่เป็นอนัตตา เราจะพากันมาหลงมาเพลิดเพลินไม่ได้ เห็นโทษในความสุข ความสะดวกความสบาย เราต้องจิตใจเข้มแข็งอย่าไปใจอ่อน ต้องเสียสละ ที่ว่าเสียสละจิตใจของเรา อดีตที่ผ่านมาก็ให้มันเป็นเลข 0 ถ้ามีเสียสละแล้ว ใจของเรามันก็จะหลง ใจของเรามันก็จะมืด ทุกอย่างสิ่งที่เราสร้างมามันก็จะกลายเป็นโทษ เพราะว่าทุกอย่างนั้นถ้าเรามีความเห็นถูกต้องปฏิบัติถูกต้องมีความเข้าใจถูกต้อง ทุกอย่างนั้น มันก็จะไม่มีโทษ ทุกอย่างนั้นมันก็จะมีแต่คุณ การปฏิบัตินั้นมีอยู่ในชีวิตประจำวัน ทุกท่านทุกคนต้องพากันเอาใจใส่เป็นพิเศษ พระพุทธเจ้านั้นท่านก็เป็นลูกหลานของศาสนาพราหมณ์ หรือศาสนาฮินดูในปัจจุบัน ในศาสนาพราหมณ์นั้นพวกเขาไปได้แค่พรหมโลก พรหมโลกน่ะ ก็ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ ที่อินเดียเลยมีพวกฤาษีชีไพรกันเยอะ เพราะอย่างนั้นเลยมีพวกชีเปลือย ส่วนใหญ่ก็ยังไม่ได้เป็นพระอริยเจ้าหรอก เพราะว่าความดับทุกข์การเข้าถึงพระนิพพาน มันอยู่ที่อริยมรรคมีองค์ 8 ที่มีความเห็นถูกต้องมีความเข้าใจถูกต้องมีการปฏิบัติถูกต้อง ในชีวิตประจำวันของเรานี่เอง การประพฤติปฏิบัติธรรมของเรามันถึงเป็นการกลมกลืนในชีวิตประจำวันของเรา พระพุทธเจ้าท่านบอกวิธีให้เราปฏิบัติ กลมกลืนกับชีวิตประจำวันนะ
ความดับทุกข์มันถึงมีอยู่แก่เราทุกคนทุกแห่ง ไม่ได้แบ่งจนแบ่งรวยแบ่งชาติแบ่งศาสนา อยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้องความเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง หมู่มนุษย์จะได้ไม่วิ่งตามความคิด ตามความฟุ้งซ่าน ทุกคนนะก็ร้องไปเรื่อยโอ้ยๆๆ ยิ่งดิ้นรนก็จะยิ่งเหนื่อยยิ่งเจ็บตัว ยิ่งกินไม่ได้นอนไม่หลับ เป็นโรคฟุ้งซ่าน เป็นโรคประสาทเป็นโรคจิต โรคซึมเศร้า โรคทรัพย์จาง สารพัดอย่าง ที่เราไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ ทีนี้มันก็วิ่งไปอย่างนี้แหละ ทุกคนก็ร้องอยู่ในใจโอ๊ยๆๆๆ ไปเรื่อย เราทุกคนต้องหามรรคหาผลที่มันอยู่ในใจของเรานี่แหละ ทุกคนไม่ต้องไปอาศัยใคร เพราะว่าทุกคนก็ปฏิบัติให้เราไม่ได้ เช่นหายใจให้เราก็ไม่ได้ ทานข้าวทานอาหารดื่มน้ำ เวลาเจ็บไข้ไม่สบาย ทุกคนก็เป็นแทนเราไม่ได้ ด้วยเหตุนี้ทุกท่านทุกคนต้องเข้าสู่ภาคประพฤติปฏิบัติ เราทุกคนอย่าพากันทำตาม ตามคนทางโลกที่มีอยู่ 8 พันล้านคน ในจำนวนนี้นี้ส่วนใหญ่ก็ยังถือเป็นอวิชชาเป็นความหลงอยู่
เราเป็นอะไร? ...อยู่ตรงไหนแล้ว? ต่อไปนี้เป็นการประมาณเพื่อให้เห็นภาพชัดเจน ปัจจุบันโลกนี้มีมนุษย์อาศัยอยู่ประมาณเกือบ 8 พันล้านคน แต่เป็นคนที่นับถือศาสนาพุทธทั้งมหายานและเถรวาทราวๆ 7.1% คือ 568 ล้าน (คริสต์ 31.5% อิสลาม 23% ศาสนาฮินดู 15% ไม่มีศาสนา 16% ศาสนาและลัทธิอื่นประมาณ 10% )
ใน 568 ล้านคนนี่ เป็นพุทธแต่ในทะเบียนบ้าน คือไม่มีศรัทธา ไม่เชื่อเรื่องกรรมและผลของกรรม ไม่เชื่อเรื่องทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว สมมุติว่าครึ่งหนึ่ง เหลือ284 ล้านคน
ในจำนวน 284 ล้านคนที่มีศรัทธานี่ ให้ทาน ทำบุญ ทอดกฐิน แต่ยังทำบาปอยู่ ไม่รักษาศีล สมมุติว่าครึ่งหนึ่งของคนเหล่านี้มีศีล 5 เหลือ 142 ล้านคน
ในจำนวนคนที่ถือศีลนี้ ไม่เคยสนใจจะฟังธรรม หรือศึกษาคำสอนที่ลึกซึ้งของพระพุทธเจ้า สมมุติว่าในจำนวนนี้มีผู้สนใจฟังธรรมครึ่งหนึ่งเหลือ 70 ล้านคน
ในจำนวนผู้ฟังธรรมเหล่านี้ ก็ฟังอย่างเดียว ทุกครั้งที่ฟังธรรมก็จะชื่นชมว่า หลวงปู่ หลวงพ่อเทศน์ดี พระอาจารย์เทศน์ดี แต่ไม่เคยคิดจะปฏิบัติธรรมหรือทำตามที่ครูบาอาจารย์เทศน์เลย สมมุติว่าในจำนวนนี้มีผู้สนใจปฏิบัติธรรมด้วยการเจริญสติครึ่งหนึ่ง เหลือ 35 ล้านคน
ในจำนวน 35 ล้านนี้ ปฏิบัติตามคำสอน ทำได้เพียงขณิกสมาธิ คือสมาธิเล็กน้อย ครึ่งหนึ่ง เหลือ 17.5 ล้าน ได้อุปจารสมาธิ สมาธิปานกลางครึ่งหนึ่ง เหลือ 8 ล้าน ได้อัปปนาสมาธิ คือได้ฌาน ครึ่งหนึ่งเหลือ 4 ล้าน
ในจำนวนผู้ได้ฌานนี้สมมุติว่าได้ ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน ลดลงไปครึ่งหนึ่งตลอดเหลือ 2 ล้าน 1 ล้าน 5 แสน 3 แสน 2 แสน คน
ในจำนวนผู้ได้ฌานนี้มีผู้เจริญวิปัสสนาได้ครึ่งหนึ่ง เหลือ ๑ แสนคน ได้เข้าถึงธรรม แต่ยังไม่บรรลุเป็นพระอริยบุคคลครึ่งหนึ่งเหลือ 5 หมื่นคน
ใน ๕ หมื่นคนมีผู้บรรลุมรรคผล เป็นพระอริยบุคคล ๘ ขั้น คือโสดาปฏิมรรค โสดาปฏิผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตมรรค อรหัตผล ลดลงครึ่งหนึ่ง... จะเหลือผู้สามารถบรรลุมรรคผลพ้นทุกข์ไปได้ เพียงไม่กี่ร้อยคน... จากจำนวนคนในโลกปัจจุบันนี้ ๘ พันล้านคน...
“เวลาคนเขาร่อนทอง ทองนั้นอยู่รวมกับดินทราย คนร่อนทองจะค่อยๆ เอาน้ำละลายเศษดินทรายออกจากที่ร่อน จนดินทรายนั้นออกไปหมด เหลือแต่ก้อนทองคำชิ้นเล็กๆ นิดเดียว การปฏิบัติธรรมก็ไม่ต่างกัน เราก็ต้องเลือกทางชีวิตของเรา ว่าจะเป็นก้อนทองที่มีค่า หรือจะเป็นดินทรายที่ถูกร่อนทิ้ง และวนเวียนอยู่ในกองทุกข์ไปชั่วกัปชั่วกัลป์...
หรือถ้าสิ่งนี้คือการแข่งขันกีฬา การชิงชัยในแต่ละรอบคือการผ่านเข้ารอบมาตามลำดับ เราลองถามตัวเองดูซิว่า เราผ่านเข้ารอบมาถึงตรงไหนแล้ว..หรือว่าตกรอบมาตั้งแต่รอบแรกแล้ว...”
ดังนั้น ควรให้ตอบปัญหาของตัวเองว่า ชาตินี้เราเกิดมาเพื่อที่จะหยุดปัญหาหยุดพลังงานแห่งการเวียนว่ายตายเกิด เราต้องปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ด้วยความตั้งใจด้วยการสมาทานด้วยการปฏิบัติ พุทธัง ยาวะนิพพานัง สะระณัง คัจฉามิ ชีวิตนี้เราต้องปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าอย่างไม่มีเงื่อนไข มีความสุขในการที่จะต้องเสียสละ
ถ้าสำหรับบรรพชิตนี้จุดหมายปลายทางของเราคือพระนิพพาน หรือว่า พระอรหันต์ขีณาสพ สำหรับฆราวาสนี้ก็จุดหมายปลายทางของเราคือพระนิพพาน เราไม่ถึงพระขีณาสพเราก็ย่อมถึงพระอนาคามีได้ ขึ้นอยู่ที่เราตั้งใจอยู่ที่เราสมาทาน อุปสรรคทั้งหลายทั้งปวงนั้นย่อมมีแก่เราแน่นอนในการประพฤติในการปฏิบัติ เพราะการปฏิบัตินี้คือ ไฟท์ติ้ง ที่เราทุกคนจะต้องสอบผ่านในปัจจุบัน เราเอาฉันทะเราเอาความพอใจ สัมมาสมาธิเรา ทุกท่านทุกคนต้องพากันตั้งมั่น เอาชีวิตเป็นเดิมพัน ยอมเสียอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต ยอมสละชีวิตเพื่อรักษาธรรม
ทุกท่านทุกคนต้อง พากันประพฤติพากันปฏิบัติ ถ้าเราทำไม่ถูก ทำยังไงมันก็ไม่ถูกอยู่อย่างนั้นแหละ ถ้าเรามีความเห็นถูกต้องมีความเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง มันก็จะเป็นของง่าย การประพฤติปฏิบัติธรรมนั้นถือว่าเป็นของง่าย เราต้องไม่เอาตัวเอาตน ให้เราเอาพระพุทธเจ้า หรือพระรัตนตรัย เมื่อทุกคนมีสติแล้ว กลับมาหาเนื้อหาตัวแล้ว ใจของเรามันก็จะสงบ เมื่อสงบนะทุกคนมันก็จะติดความสงบ มันก็จะไม่อยากทำการทำงานอะไร มันต้องหัดทำการทำงาน ถ้าเราไม่ทำการทำงานภาวนาวิปัสสนา เราก็จะอยู่ได้แค่ระดับของพรหมโลกอยู่ได้แต่ความสงบ มันยังไม่ใช่ความดับทุกข์ที่แท้จริง พระพุทธเจ้าท่านถึงได้ตรัสอริยมรรคมีองค์ ๘ เราจะได้มีสติมีตัวปัญญา ถ้าเราจะติดในความสุขในความสบาย มันก็จะไปไม่ได้ เหมือนลูกคนรวยหลานคนรวย มาบริโภคทรัพย์สมบัติของพ่อของแม่ของปู่ย่าตายายที่เป็นมหาเศรษฐี พากันมาติดสุข ไม่ได้ต่อยอด มันก็ไปต่อไม่ได้ มันก็จะมาหลงอยู่ในบ้านหรู รถหรู หลงในอาหารรสเลิศ ลงในอุณหภูมิที่มันพรีเมี่ยม ไม่ได้เข้าสู่การเสียสละ ชีวิตมันก็จะเป็นเพียงแค่มนุษย์รวย เป็นเทวดาเป็นอะไรได้ทุกอย่าง เพราะว่าไม่มีสติสัมปชัญญะไม่มีตัวปัญญา คนรวยหรือเทวดาที่จะไปเกิดเป็นมนุษย์มันถึงไม่ค่อยจะมี มันถึงจะตกต่ำลงไปอยู่ได้แค่เพียงคน คนก็คือความหลง ให้ทุกคนเข้าใจ พระพุทธเจ้าท่านถึงได้แสดงถึงโทษแห่งความสุขโทษทางกาม กามาทีนวกถา กล่าวถึงโทษแห่งกาม หมายถึง การพรรณนาโทษเรื่องของกามว่า แม้จะเป็นความสุข แต่ก็มีความทุกข์เจือปน ไม่มีความจีรังยังยืน มีโทษมากแต่คุณน้อย เพราะเป็นเหตุให้เวียนวายอยู่ในสังสารวัฏ เป็นต้น
จึงต้องมีสติสัมปชัญญะกันทุกคน ต้องปรับตัวเองเข้าหาอริยมรรคมีองค์ 8 ถ้าไม่อย่างนั้นน่ะปริญญาเอก หรือว่า ปธ.9 มันก็จะงงอยู่อย่างนั้นแหละมันไปไหนไม่ได้ เพราะว่ามันเกิดตาบอดไปเสียแล้ว มันมองไม่เห็นอะไร เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เห็นชั่วเป็นดี สัมปชัญญะนี้คือตัวที่สำคัญ เราต้องพากันมาเสียสละ ศักยะทิฐิ ตัวตน เราต้องตั้งมั่นอยู่ในพระรัตนตรัย ไม่เพลิดเพลินไม่หลงไม่ประมาท แม้ทุกอย่างมันจะแซ่บมันจะนัวมันจะหรอย ทุกอย่างอ่ะ เพราะว่าเราเกิดมามีพระพุทธเจ้าอยู่ในใจ มีพระธรรมอยู่ในใจ มีพระอริยสงอยู่ในใจ ก็ต้องมีทั้งสติสัมปชัญญะ รู้ตัวทั่วพร้อมในการประพฤติปฏิบัติ ต้องปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ ต้องทำต่อไปเรื่อยๆ กาลเวลามันก็จะผ่านไปด้วยสติ ด้วยสัมปชัญญะ มันเป็นการเจริญมรรค และผลมันก็จะตามมาตามหน้าที่ตามเหตุปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี หมู่มนุษย์ถึงเป็นสิ่งที่ประเสริฐมากประเสริฐดี ประเสริฐจริงๆ ทุกคนที่เกิดมาที่พระพุทธเจ้าท่านพัฒนา เอาอริยทรัพย์มากองอยู่ตรงหน้าของเราทุกคน มันถึงไม่ใช่เรื่องยากอะไร ให้ทุกคนน่ะมีสัมมาทิฏฐิมีความเห็นถูกต้องมีความเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง คนเราน่ะถ้ามันมีตัวมีตน ถ้ามันมาแบกโลกทั้งใบ แต่ทุกคนน่ะคิดว่าตัวเองไม่ได้แบกนะ ความเป็นจริงน่ะเรากำลังแบกโลก โลกก็คือตัวตนของเรา เราอย่าไปแบกตัวแบกตน เราทุกคนต้องเสียสละตัวตน
ประเทศไทยเรานี้โชคดี ประเทศของเรานี้โชคดีที่ได้เอาพระพุทธศาสนาเป็นหลัก การปกครองไม่เอาตัวเอาตน เอาธรรมะเป็นหลัก ประชาธิปไตยของคนส่วนมากก็ให้ปรับตัวเข้าหาธรรมะ ไม่เอาประชาธิปไตยสีดำ ต้องเอาประชาธิปไตยสีขาว คือประชาธิปไตยที่มีสติมีสัมปชัญญะไม่มีตัวไม่มีตน ถ้าเราเอาตัวเอาตนแล้ว การศึกษามันก็ไปไม่ได้ มันไปได้อยู่ มันไปได้อย่างเห็นแก่ตัว พวกนักการเมืองทั้งหลายก็ให้พากันเข้าใจ พวกข้าราชการทั้งหลาย การปกครองประเทศไทยของเรา เพื่อที่จะได้เอาธรรมะเป็นหลักเอาธรรมะเป็นที่ตั้ง เป็นการเสียสละทิฏฐิมานะอัตตาตัวตน ทุกท่านทุกคนต้องมีความสงบ อย่าไปกะลิ้มกะเหลี่ยกับลาภสักการะที่มันเกิดขึ้น ต้องมีสติสัมปชัญญะให้ได้
ให้ทุกคนทำหน้าที่ของตัวเองให้ถูกต้อง อย่าเอาใต้โต๊ะบนโต๊ะมันไม่ถูก ต้องมีสัมมาสมาธิมีจิตใจเข้มแข็ง ประเทศไทยนี้ยิ่งโชคดีเอาศาสนาเป็นที่ตั้ง มีสถาบันหลักก็คือสถาบันสงฆ์ มีผู้นำ ก็คือสมเด็จพระสังฆราช มีการเรียนการศึกษา เป็นรูปแบบที่ชัดเจน มีสมเด็จพระสังฆราช มีสมเด็จพระราชาคณะ มีเจ้าคณะปกครอง อย่างนี้ดีมาก มันถูกต้องแล้ว ต้องเอาการเรียนการศึกษาการปกครอง เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ
ทุกท่านทุกคนต้องเข้าสู่ภาคประพฤติปฏิบัติ เรียนก็ให้มันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะทุกวันนี้ผู้บอกผู้สอน ผู้ดำเนินนโยบายไม่ได้ปฏิบัติตัวเอง หรือว่าปฏิบัติตัวเองก็นิดๆ หน่อยๆ อย่างนี้มันไม่ได้ มันไม่ถูกต้อง มันต้องปฏิบัติตัวเอง อย่าไปว่าอยู่ในบ้านอยู่ในกรุง มันปฏิบัติไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านก็สอนและอริยมรรคมีองค์ ๘ เนี่ย ให้มีความเห็นถูกต้องมีความเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง มีสติอยู่ทุกหนทุกแห่ง มีสัมปชัญญะคือตัวปัญญา รู้อนิจจัง รู้ทุกขัง รู้อนัตตา สละเสียซึ่งอดีต มีแต่สติสัมปชัญญะดำเนินไปเรื่อยๆ เพราะมรรคผลพระนิพพานนั้นมีได้ทุกหนทุกแห่ง ไม่ได้เลือกสถานที่ เจ้าคณะปกครองน่ะโดยเฉพาะคณะสงฆ์ เราได้ดำเนินมา ได้เสียทรัพยากรในการช่วยเหลือ ก็ต้องให้มันเกิดประโยชน์ เป็นพระนี้ดี เป็นพระนี้ดีมาก บ้านก็ไม่ได้เช่า ข้าวก็ไม่ได้ซื้อแถมเขายังมากราบมาไหว้ เขาอยากมาอัญชลี ทุกคนน่ะต้องเป็นพระให้สมบูรณ์ อย่าให้มันมีอะไรแอบแฝง เราน่ะอย่าไปพากันเป็นพระคอนเสิร์ต ไปกิจนิมนต์บ้าง กิจนิมนต์อะไรต่างๆ ไปสวดผี ลองคิดไปคิดมาไม่ต่างอะไรกับคอนเสิร์ตที่เขารับจ๊อบ ในการดำเนินชีวิตของคณะสงฆ์ไม่ว่าจะอยู่ในกรุงเทพฯ หรือว่าอยู่ต่างจังหวัด ต่างอำเภอ ให้ทุกท่านทุกคนระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้านี้ท่านไม่เอาอะไรเลย มีแต่สติมีแต่สัมปชัญญะ ไม่หลง ไม่เอาเบี้ยใบ้รายทาง เราจะได้ไม่เป็นพระคอนเสิร์ต ให้เข้าใจอย่างนี้นะ ประเทศไทยของเราเป็นอย่างนี้มาเป็นร้อยๆ ปีแล้ว ถึงเวลาแล้วคนรุ่นใหม่คนสมัยใหม่เจนเนอเรชั่นใหม่ ต้องมีสติมีแต่สัมปชัญญะ จะไปหลงในความอร่อยความแซ่บความรำความนัวนี้ไม่ได้
เราต้องรู้จัก เราทุกคนน่ะ ศักดิ์ศรีของความเป็นพระน่ะ คือพระธรรมพระวินัย ถ้าเราทิ้งวินัย ศักดิ์ศรีความเป็นพระของเรามันก็จะไม่มี มันก็จะเป็นแค่เณร มันเป็นความเดือดร้อนของความมั่นคงของชาติของกษัตริย์ ให้ทุกท่านทุกคนเข้าใจ การที่เราไปสอนแต่เรื่องอภินิหาร เรื่องขลังเรื่องศักดิ์สิทธิ์ เรื่องอะไรเนี่ย ประชาชนเขาก็พากันโง่อยู่แล้ว เราก็ยัดเยียดผลประโยชน์ที่ไม่ใช่ความดับทุกข์ให้เขาใหญ่ ถึงจะขลัง ถึงจะศักดิ์ถึงจะสิทธิ์ มันก็ยังแก่ยังเจ็บยังตาย พระพุทธเจ้าท่านขลังจริง ศักดิ์สิทธิ์จริง แต่ก็ทรงสอนว่าไม่ใช่ทางแห่งความดับทุกข์ หยุดเวียนว่ายตายเกิด เราต้องพากันเข้าใจนะ ถ้าเราเป็นใหญ่เป็นโต ไม่มีใครมาเตือนสติ คนอื่นมาเตือนสติ มันสู้ตัวเองเตือนไม่ได้ (อตฺตนา โจทยตฺตานํ)
ทุกท่านทุกคนต้องพากันเข้าหาสติเข้าหาสัมปชัญญะกัน เพราะว่าในแต่ละวันแต่ละคืน ความฟุ้งซ่านเป็นก้อนใหญ่ก้อนโต ไม่มีโอกาสได้นิ่ง มีแต่ความเพลิดเพลิน ในระดับคอนเสิร์ต อันนี้ก็ไม่ได้ว่าให้ใคร นี่พูดความจริง ความจริงทุกคนมันก็ต้องรู้ว่ามันผิด มันไม่ใช่ความถูกต้อง มันไม่ได้เป็นธรรม มันเป็นความหลง ให้พากันเข้าใจอย่างนี้ ทุกคนทำได้ปฏิบัติได้ ไปว่ามรรคผลพระนิพพานมันหมดสมัยแล้ว สมัยนี้เข้าไปรถไปเครื่องบินไปอะไรกันแล้ว แบบนั้นเราก็อย่าพากันคิด ธรรมะของพระพุทธเจ้าคือสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกต้องมีความเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง พัฒนาการหลักเหตุผลตามหลักวิทยาศาสตร์ เมื่อเรารวยเราก็ไม่หลง มีสติสัมปชัญญะ มีมรรคผลพระนิพพานอยู่ในตัว แบบนี้ถึงจะถูกต้อง จะได้ไม่หลงขยะเหมือนที่พวกเราพากันหลงนี่ มันหลงกันอย่างน่าเกลียด หลงอย่างน่าสลดสังเวชเลย อะไรก็จะเอา เอาแต่ตัวเอาแต่ตน มีอย่างที่ไหน อาจารย์ส่งลูกศิษย์ไปเรียนในเมืองกรุง ได้เป็นเจ้าคุณเป็นสมเด็จได้เป็นอะไร เวลางานใหญ่งานหลวงมา อาจารย์ไปนั่งหางแถว ก็ต้องคิดดูมันน่าสังเวชนะ มันเพี้ยนขนาดนี้ มันยังไม่รู้จักตัวเอง ยกตนข่มท่าน
พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เราอ่อนน้อมถ่อมตัว มีสติมีสัมปชัญญะ มีความงาม นั้นคือไม่มีตัวไม่มีตัวตน มีแต่การเสียสละ มีแต่สติสัมปชัญญะ ไม่เอาตัวไม่เอาตนน่ะ เขาเรียกว่าความงาม ทุกท่านทุกคนน่ะต้องพากันเข้าใจ ส่วนใหญ่มันก็ไม่อยากเข้าใจ เพราะว่ามันแซ่บมันรำมันนัวมันหรอยน่ะ มันไม่อยากจะเข้าใจ มันหลับตาไปเรื่อยเหมือนหมีกินผึ้ง เวลาหมีมันกินผึ้ง ต้นไม้ใหญ่ๆ นะอยู่ในป่าใหญ่น่ะ มันมีอยู่หลายสิบรัง เขาใหญ่ ทุ่งใหญ่อะไรพวกนี้ที่มันเป็นป่าลึกๆ ต้นไม้ใหญ่ๆ น่ะ บางทีก็มีอยู่ 100-200-300 รัง เวลาหมีมันไปกินผึ้ง มันขึ้นไปแล้ว มันก็หลับตา เอาตัวผึ้งออก แล้วมันก็กินแต่น้ำผึ้ง ที่มันหลับตาเพราะว่าหมีตัวมันขนยาว ถ้ามันไม่หลับตาพึ่งมันจะต่อยตาย ตัวเราก็เหมือนกันถ้าเอาแต่เรื่องกินเรื่องเที่ยวเรื่องหลงอย่างเดียว เสพสุขเสพกามอย่างนี้ มันไม่ได้ มันเสียหายต่อส่วนรวม พระพุทธเจ้าท่านให้เรามีความเห็นถูกต้องความเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง มีสติสัมปชัญญะกัน
การเรียนการศึกษาน่ะมันดีมาก ถ้าเราไม่เรียนไม่ศึกษามันก็ไม่เข้าใจ เพราะคนเรามันขี้เกียจขี้คร้านติดสุขติดสบาย มันต้องเรียนไปเข้าสู่ภาคประพฤติปฏิบัติไป ความเสื่อมนี้มันเริ่มขึ้นจากเรารู้แล้วเราไม่ปฏิบัติ ปล่อยให้มันเสื่อม นี่มันคือสีลัพพตปรามาส ไม่สนใจในข้อวัตรข้อปฏิบัติ มันมีอยู่ในเรา ทุกคนจะไปหาโจรที่ไหน มัวแต่ไปหาโจรข้างนอก มันไกลเกิน โจรอยู่ที่ตัวเรา พระพุทธเจ้าท่านถึงให้เรามีสติสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อม มีความสุขในการประพฤติปฏิบัติ เราน่ะเสียหายกันมาก พากันไปสร้างโบสถ์ สร้างวิหาร สร้างเจดีย์ สร้างพระใหญ่ แต่ก็ไม่ได้สร้างพระธรรมพระวินัยเลยอย่างนี้ พระพุทธเจ้าไม่มีสร้างโบสถ์สร้างวิหารสร้างเจดีย์สร้างอะไรที่ไหน ให้ทุกคนพากันปฏิบัติ ถ้าไม่ทำอย่างนี้จะให้ทำยังไง ก็ให้พากันประพฤติปฏิบัติศีลสมาธิปัญญา ให้พากันเสียสละ มีคนได้บรรลุเป็นพระอริยเจ้าทั้งบรรพชิตทั้งคฤหัสถ์ อันนี้เขาเรียกว่าการสร้างวัด เพราะว่าคนเรา อย่างเราเป็นพ่อเป็นแม่ เราก็ต้องสอนตัวเอง 100% แล้วค่อยไปบอกลูกบอกหลาน ถ้าเราไม่สอนตัวเองไม่ปฏิบัติตัวเอง จะไปบอกลูกบอกหลานได้ยังไง เราต้องกลับมาหาธรรมะ หาสติสัมปชัญญะ หาความดับทุกข์ เราจะไปเป็นนักปกครองเดินแต่เอกสาร พวกที่อยู่ในระดับการปกครองมันก็เป็นแค่ไปรษณีย์เท่านั้นนะ พวกนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับไปรษณีย์หรอก เราต้องเข้าหาภาคประพฤติปฏิบัติอย่างนี้
ที่ว่าปัจจุบันนี้ไม่ค่อยมีใครบวช คนทุกวันนี้มันเสื่อมลงมาก มันจะไปบวชได้ยังไง เพราะว่าผู้นำมันเพี้ยนขนาดนี้ ไม่เอาพระนิพพาน เอาแต่ตัวแต่ตนเอาแต่ลาภยศสรรเสริญ พวกผู้นำเนี่ยเป๋หน้าเป๋หลัง ปัญญาชนทั้งหลายเขาก็รู้ ว่า ไอ้พวกนี้มันเป็นโจรกันมาก เขาก็ไม่อยากพากันไปเป็นโจร ให้พากันมาแก้โจรในตัวเอง กำจัดโจร มหาโจร อภิมหาโจร ต้องรู้จักว่ามันอยู่ในเรา เราก็ต้องรู้จักทำสมาธิ ทำใจให้สงบ มีสัมปชัญญะ เข้าสู่ภาวนาวิปัสสนา ใจของเรามันถึงจะสงบ ต้องทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ มันถึงจะได้ผล ถ้าไม่ทำอย่างนั้นมันจะแก้ไขพวกโกงกินคอรัปชั่นไม่ได้หรอก เพราะว่าการที่เราไม่ประพฤติปฏิบัติ ไม่ทำหน้าที่ของตัวเอง ที่ไม่เข้าสู่ความถูกต้องความเป็นธรรมความยุติธรรม มันทำให้ทุกอย่างเป็นอย่างนี้ ให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจ ถึงจะเก่งจะฉลาดอย่างไร ทุกคนก็ไม่พ้นความแก่ความตายไม่พ้นความพลัดพราก เราจะเอาอะไรส่งบอลให้ลูกให้หลานน่ะ จะเอาอะไรสืบทอดให้ลูกให้หลาน เพราะอันนี้มันไม่ใช่ศาสนา มันคือความเห็นแก่ตัว มันคือความไม่ถูกต้อง ความไม่เป็นธรรม ความไม่ยุติธรรม เพราะว่าเราต้องพากันประพฤติปฏิบัติทุกคนน่ะ อย่าให้พระศาสนาต้องมีเรื่องมีราว ทุกๆวัน หรือว่าจะเป็นรายเดือนรายปี มันไม่ถูกต้อง เมื่อมันทำได้ปฏิบัติได้ เพราะการปกครองก็มีระดับเจ้าอาวาส เจ้าคณะตำบล เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะภาค เจ้าคณะใหญ่ มหาเถรสมาคม แบบนี้ก็ง่ายอยู่แล้ว ที่มันยากก็เพราะว่าเราไม่พากันเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ไม่เข้าสู่สติสัมปชัญญะ ไม่เข้าสู่ธรรมะวินัย เป็นการเมืองเป็นการปกครองไป แบบนี้มันไม่ได้ แบบนี้มันพากันทิ้งพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ พระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ในพระไตรปิฎกนะ ทุกท่านทุกคนก็รู้อยู่แล้วว่า พระวินัยปิฎก 21,000 พระธรรมขันธ์ ที่เราเอามาสวดกันนี่ก็ 227 ก็ไม่ได้สวดทั้งวินัยปิฎก ถ้าสวดหมดก็ไม่ไหว สวดแบบไม่ช้าไม่เร็วเกิน ก็จะได้ประมาณ 1 ชั่วโมง พอเราไม่เอามรรคผลพระนิพพาน ก็จะบวชมาเพื่ออาศัยพระศาสนา แบบนี้มันก็ต้องอาบัติทุกกฏ เราน่ะหลอกลวงพระพุทธเจ้า ไปหลอกลวงประชาชน ไปยินดียินร้ายอะไรต่างๆ ก็ต้องอาบัติถุลลัจจัย มันก็จะเป็นอาบัติชั่วหยาบ เดี๋ยวนี้เยอะแยะเลย เราจะไปพากันทิ้งธรรมทิ้งวินัย เอาตัวตนเป็นหลักเอาตัวตนเป็นที่ตั้งไม่ได้ มันเสียหาย เราต้องเป็นคนกตัญญูกตเวทีทุกคนน่ะ ต้องพากันมามีสติสัมปชัญญะมีความสุขในการเสียสละ ละทิฏฐิมานะอัตตาตัวตนน่ะ ธรรมะนั้นดีอยู่แล้ว เป็นของถูกต้อง อันนี้เป็นหลักการแห่งการดับทุกข์ ของหมู่มวลมนุษย์ นี่คือความมั่นคงของชาติศาสน์กษัตริย์ ให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจอย่างนี้ อย่าไปพากันคิดในใจว่า โอ้...แย่แล้ว เอาเรื่องไม่ดีมาเปิดโปงหมด แบบนี้มันทำร้ายกันนี่หว่า อย่าไปคิดแบบนี้ ความคิดแบบนี้มันเหมือนกลุ่มมหาสังฆิกะ
ธรรมคือสิ่งเดียวกันน่ะ ถ้าใครปฏิบัติก็เหมือนกันหมด อย่างเราเป็นพระอย่างนี้ เราก็ต้องหายใจเหมือนกับประชาชน พักผ่อนเหมือนประชาชน พัฒนาทั้งไอคิว อีคิวเหมือนกันหมด ผู้ที่ปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์แปด คือผู้ที่นำตัวเองและนำผู้อื่น ถ้าใครไม่ปฏิบัติก็เรียกว่า "ทาส" ทาสรับใช้ความโลภ ความโกรธ ความหลง
เราสร้างวัดสร้างวา สร้างไปทำไม? เราสร้างวัดสร้างวาก็เพื่อที่อยู่อาศัย เพื่อเราจะได้สร้างอริยมรรคมีองค์แปดให้เกิดขึ้นที่กายวาจาใจของเรา เราสร้างบ้านสร้างเรือนก็เพื่อจะได้สร้างอริยมรรค เราจะเอาแต่เปลือก เราไม่เอาแก่น ไม่เอาสาระนั้นไม่ได้ ไม่ถูกต้อง เราเป็นพระ ก็พากันปฏิบัติให้เต็มที่ เราเป็นประชาชนก็ปฏิบัติให้เต็มที่ อย่าไปแยกธรรมะออกจากหน้าที่การงาน เอาธรรมะกับการงานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ที่พึ่งอันประเสริฐของเราคือพึ่งธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า ได้แก่อริยมรรคมีองค์แปด ที่อื่นนั้นเราพึ่งไม่ได้หรอกนะ ที่พึ่งของเราที่แท้จริงน่ะคือธรรมวินัย ให้พากันเข้าใจให้ชัดเจน