แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันอังคารที่ ๒๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง เข้าพรรษาเข้าหาธรรม ตอนที่ ๒๐ ความงดงามของแต่ละคน อยู่ที่ไม่มีตัวตน ไม่มีสักกายทิฏฐิ
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
พระใหม่ให้พากันทั้งอกตั้งใจพากันปฏิบัติ เพราะการประพฤติปฏิบัตินี้เป็นหน้าที่ของเรา ต้องปรับตัวเองเข้าหาเวลา ปรับตัวเองเข้าหาธรรม ควบคุมตัวเอง คอนโทนตัวเอง เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมีได้ ทุกท่านทุกคนต้องเข้าสู่ภาคประพฤติปฏิบัติให้เต็มที่เต็มร้อย เราไม่ไม่ต้องมีตัวมีตน มีแต่สติสัมปชัญญะ สติก็คือความสงบ สัมปชัญญะคือตัวปัญญา ถ้าเรามีสติ ทุกคนก็สงบ ถ้าเราไม่มีสัมปชัญญะ เราก็จะพากันหลงอยู่ในความสงบ เราก็จะเป็นคนขี้เกียจขี้คร้านโดยที่ไม่รู้ตัว การที่จะประพฤติปฏิบัติตัวเองได้ มันต้องมีความสงบ มีปัญญา มีการปฏิบัติไปพร้อมๆ กัน ผู้ที่มีอินทรีย์อ่อน หลวงพ่อใหญ่ก็ให้พระพี่เลี้ยงคอยดู คอยสังเกต เพื่อที่จะช่วยเหลือ ไม่ใช่ไปจับผิด เพราะทุกคนนั้นมาจากความเคยชิน ต้องอาศัยการประพฤติปฏิบัติ พระที่เป็นพระพี่เลี้ยงมีอินทรีย์ที่แข็งแรงก็พอได้ ก็ต้องเจริญเมตตากรุณา หาวิธีที่จะช่วยเหลือ เพื่อประพฤติปฏิบัติ ธรรมวินัยไปเป็นทีม
พระเก่าที่บวชมาหลายปี รูปไหนยังไม่ได้มาตรฐาน ก็ให้ตั้งใจ ให้จัดการตัวเองเต็มที่ เพราะการบวชมานานถ้าไม่เอามรรคผลนิพพานก็ยังมีกิเลสมาก การจะบวชมานานไม่ใช่เครื่องหมายของความเป็นพระ ความหลงนั้นย่อมเป็นประชาธิปไตยของเราทุกคน เราจะเอาประชาธิปไตยแบบความหลงนั้นมันไม่ใช่ ต้องเอาพระธรรมวินัย เพื่อจะได้มีสติสัมปชัญญะ มีปัญญาก้าวไปทุกขณะ มีคณิกะสมาธิน้อมทุกอย่างเข้าสู่พระไตรลักษณ์ เพื่อจะได้เกิดความสงบเกิดปัญญาไปพร้อมๆ กัน ศาสนาพุทธไม่ใช่ไสยศาสตร์ ไสยศาสตร์ก็คือความหลงในตัวในตน หลงในความสงบ ทุกอย่างต้องมีสติสัมปชัญญะก้าวไปเรื่อยๆ
พระเก่าพระใหม่ทั้งหลาย ถึงเวลา 21:00 น ต้องพากันจำวัดพักผ่อน เพื่อจะได้ตื่นตี 3 จะได้นอนหลับให้เพียงพอ เพราะว่าถ้านอนหลับไม่เพียงพอสมองของเราจะรวน มันจะควบคุมส่วนต่างๆของร่างกายไม่ได้ ตี 3 ครึ่งจะได้ทำวัตรเช้า ว่า โยโส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ พร้อมๆ กัน ทำวัดให้ตั้งใจว่าเสียงดังฟังชัด ให้พากันตั้งใจอย่าเอาแต่หลับ มันต้องตั้งใจให้เต็มที่ ให้ทำเพราะสวดมนต์ให้เต็มที่ เวลาทำวัตรจบก็ยังไม่ถึงเวลาเลิก ก็ให้ตั้งใจฝึกสมาธิให้เต็มที่ อย่าให้ถีนมิทธะความง่วงเหงาหาวนอนมาครอบงำ จนทำให้หลับหรือถึงกลับขึ้นไปหลบนอน ใจของเราต้องเข้มแข็ง พัฒนาใจของเราให้เป็นหนึ่ง ให้เข้าถึงความว่าง ที่มันไม่มีตัวมีตน ท่านจะได้นั่งอยู่ในความเป็นหนึ่ง โปร่งว่างเบาสบาย พวกท่านทั้งหลาย ต้องพากันทำให้ได้ จะได้เป็นหลักในการประพฤติปฏิบัติ พระเรามีพระหน้าที่ทำไปปฏิบัติไปโดยไม่หวังอะไรตอบแทน ถ้าเราไม่มีความเหงาหาวนอน ความปวดเมื่อย มันก็ไม่มีการประพฤติปฏิบัติ เพราะสิ่งเหล่านี้ทำให้มีการฝึกใจ เราพยายามให้จิตใจเข้มแข็ง อย่าพากันนั่งคอตก นั่งหลับ ให้พากันตั้งจิตตั้งใจฝึกอานาปานสติ รู้ลมหายใจเข้ารู้ลมหายใจออก อย่าคิดว่า ไม่ไหวขอไปนอนขอเป็นงีบดีกว่า ถ้าไม่ไหวมันก็จะแพ้ไปเรื่อย หลวงปู่ชา หลวงปู่สุเมโธ ตอนอยู่วัดหนองป่าพง ในวันพระท่านก็ให้พระเณรถือเนสัชชิก เพื่อฝึกตัวเองไม่ให้พากันนั่งหลับ สู้กันทั้งคืนเลย คนไม่เข้าใจก็นั่งให้มันผ่านไปเป็นคืนเฉยๆ พากันนั่งหลับ การประพฤติปฏิบัติมันก็เลยไม่ได้ผล ต้องอดทนถึงเป็นการฝึกใจ เราไปถือโอกาสหลับในการนั่งสมาธิ เรานอนพักผ่อน 6 ชั่วโมงถือว่าเพียงพอแล้ว เพราะความสุขความดับทุกข์มีอยู่ในอิริยาบถทั้ง 4 ที่มีสติสัมปชัญญะ อิริยาบถหลักก็ได้แก่การยืนการเดินการนั่งการนอน อิริยาบถย่อยก็ได้แก่การฉันการดื่ม เป็นต้น ทุกท่านทุกคนต้องพากันประพฤติปฏิบัติอย่างนี้ เรามีโอกาสพิเศษต้องพากันประพฤติปฏิบัติ ท่านอย่าไปคิดว่า เรามาบวชให้มันผ่านไป 3 เดือน 4 เดือน คิดแบบนี้มันเสียหาย มันไม่ใช่การฝึกตัวเอง มันเป็นการพ่ายแพ้ในปัจจุบัน ในอนาคตมันก็ต้องพ่ายแพ้แน่นอน
การเดินทางเราต้องก้าวไปเรื่อยๆ ไม่มีถอยหลัง จึงะเป็นคุณธรรมของพระโสดาบัน ถึงจะเดินช้าแต่ไม่ถอยหลัง เดินเร็วย่อมถึงจุดหมายปลายทางเร็ว เดินช้ามันก็จะไปถึงจุดหมายปลายทางได้ช้า พระพุทธเจ้าให้เราพากันประพฤติปฏิบัติติดต่อต่อเนื่อง ทุกท่านทุกคนมีความเก่งฉลาด ต้องเอามาประพฤติปฏิบัติ เพราะผู้ที่อยู่เบื้องหลังของเราทุกคน คือพ่อแม่ญาติพี่น้องวงศ์ตระกูล ทุกคนมีลมหายใจอยู่ เพื่อรู้เพื่อเห็นว่าเราเป็นคนดีคนเก่ง คนฉลาด เป็นผู้ที่มีปัญญา ให้ทุกท่านทุกคนเข้าใจอย่างนี้ เราจะได้ถึงความเป็นพระคือพระธรรมพระวินัย ถึงพระโสดาบันจนถึงพระอรหันต์ นี้เป็นเป็นการทำที่สุดแห่งความดับทุกข์ของเราทุกคน ธรรมะก็เหมือนลมหายใจ สามารถเอาไปใช้ได้ทุกหนทุกแห่ง เรารู้ธรรมะ ก็เอาไปใช้ได้ทุกหนทุกแห่ง ให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจอย่างนี้ เราจะเป็นนักบวชหรือเป็นคฤหัสถ์ ก็ให้เอาศีลเอาธรรม เอาความถูกต้องเป็นหลักเป็นหลัก มีความสงบ มีปัญญาติดต่อต่อเนื่องกันไป
คนเราน่ะถ้าทำตามอัธยาศัยทำตามอารมณ์อารมณ์มันใช้ไม่ได้ ทุกท่านทุกคนอย่าพากันหลงเพลิดเพลิน อย่าประมาท ให้ปรับตัวเข้าหาเวลาปรับตัวเข้าหาธรรม เหมือนนาฬิกาดีๆ ที่ได้มาตรฐาน ไม่ใช่นาฬิกาโหลๆใครเขาจะไม่ปฏิบัติก็ช่างเขา เราต้องทำกันอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ติดต่อต่อเนื่องไปเลย พากันรับผิดชอบให้เต็มที่ เราจะเอาความมาตรฐานของอวิชชาของความหลง มันไม่ได้ เราจะไปเอามาตรฐานของพระของประชาชนที่เรารู้อยู่เห็นอยู่นี้ไม่ได้ เพราะอันนั้นไม่ใช่พระธรรมพระวินัย ไม่ใช่พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า มันเป็นประชาธิปไตยสีดำสีเทาสีสกปรก ให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจ
ความสวยงาม อยู่กับเราทุกท่านทุกหนทุกแห่ง ที่เรามีสติสัมปชัญญะ ไม่ได้อยู่ที่ไหน แต่มันอยู่ที่ใจของเราที่มีสติสัมปชัญญะ ที่มีศีลมีสมาธิมีปัญญา ศาสนาพุทธเราสอนอย่างนี้ พระพุทธเจ้าท่านก็เกิดในตระกูลพราหมณ์เป็นลูกหลานพามาก่อน ศาสนาพราหมณ์ก็ไปได้แค่พรหมโลก พระพุทธเจ้าท่านบำเพ็ญบารมีมาหลายล้านชาติ ให้พากันเข้าใจอย่างนี้เราต้องเข้าถึงพระพุทธศาสนา ไม่ต้องไปเอาตามพระในประเทศไทยที่ทำผิดพระธรรมวินัยเป็นหลัก ต้องเอาอย่างนี้ การเทศน์การสอนส่วนใหญ่ก็เพื่อแสวงหาผลกำไรเป็นหลัก เรียกว่าหาประโยชน์แอบแฝง เป็นการโฆษณาแต่เรื่องนรกสวรรค์ ทุกท่านทุกคนต้องถือนิสัยของพระพุทธเจ้า ที่ได้พูดมานี้เป็นเหตุเป็นผล ที่ทำให้พระเสื่อมไปเพราะคนหมู่มากที่เป็นสามัญชนเป็นปุถุชนพากันทำจนเป็นประชาธิปไตยที่ไม่ถูกต้อง ที่ไม่ใช่พระพุทธศาสนา เราทุกคนต้องมีสติมีสัมปชัญญะ ใจของเราต้องไม่มีไสยศาสตร์ไม่มีความหลง ไม่ต้องเอาอภินิหารที่มันเป็นวิธีหาเลี้ยงชีพเฉยๆ พวกที่ขายตะกรุดผ้ายันต์เครื่องรางของขลัง ดูหมอดูดูดวง จะมีอภินิหารก็จริงอยู่ แต่มันดับทุกข์ไม่ได้ ไปนิพพานไม่ได้ ให้ทุกท่านทุกคนรู้จักพุทธศาสนาที่แท้จริง ต้องไม่มีตัวมีตน ต้องรู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน น้อมใจเข้าสู่ธรรมะวินัย เข้าสู่สิกขาบทน้อยใหญ่ อย่าไปมีสักกายทิฏฐิ มันเป็นสิ่งที่ไม่สวยงาม มันเป็นตัวเป็นตน มันก๋ามันกร่าง มันน่าเกลียด
ความสวยงามของเราคือไม่มีสักกายะทิฏฐิไม่มีตัวตน คือเอาธรรมวินัย คือการถือเอาหน้าที่ ไม่ได้ตัดออกไม่ได้เพิ่ม มันเป็นสติสัมปชัญญะ ที่มีสัมมาทิฏฐิคือมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง พระพุทธเจ้าท่านให้เราประพฤติปฏิบัติ เหมือนต้นไม้ต้นหนึ่งที่มันเกิดอยู่กลางแจ้ง ไม่ใช่เกิดอยู่ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ พี่ไม่ได้รับแสงแดดไม่ได้รับอากาศอุณหภูมิ ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะแล้วก็เปรียบเสมือนต้นไม้ที่อยู่ในกลางแจ้ง ได้รับแสงแดดอากาศเต็มที่มีความเจริญงอกงามเต็มที่ สิกขาบทน้อยใหญ่เป็นความสวยงาม ทุกท่านทุกคนต้องมีความดับทุกข์ของตนเอง เป็นผู้นำตนเอง มีความแข็งแรงแข็งแกร่ง เหมือนต้นไม้ที่ไม่หักง่าย เหมือนน้ำบริสุทธิ์อยู่ทุกหนทุกแห่งที่อยู่ลึกหลายเมตรลงไป เพราะน้ำเป็นสิ่งที่ไปแทรกอยู่กับทุกอย่างในโลกนี้มีน้ำ 3 ส่วนมีแผ่นดิน 1 ส่วน
ความคิดเก่าๆ ต้องทิ้งไปเลยอย่างพระอรหันต์ท่านไม่มีความคิดเก่าๆ เพราะอรหันต์ท่านอยากรู้อะไรท่านก็เข้าฌานดู ไม่เหมือนปุถุชนคิดแต่เรื่องเก่าๆ จะนอนไม่หลับ พะว้าพะวงถึงอนาคตจนนอนไม่หลับ ทุกท่านทุกคนพากันฝึกตัวเองอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ ต้องทำให้ได้ปฏิบัติให้ได้อยู่ที่ไหนก็ให้มีการประพฤติปฏิบัติอยู่ทุกคนทุกแห่ง ที่เป็นประชาชนก็ปฏิบัติอยู่ทุกหนทุกแห่ง ความสงบก็จะมีอยู่ทุกคนทุกแห่งความสงบเกิดขึ้นกับเรานี้ก็เพราะมีสติ มีสัมปชัญญะ มีปัญญา รู้ทุกข์รู้เหตุให้เกิดทุกข์รู้ความดับทุกข์รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ใจของเราจะได้รู้แจ้งโลก น้อมทุกอย่างสู่พระไตรลักษณ์ ไม่เอาแค่สมาธิที่เหมือนหินทับหญ้า เพราะอารมณ์อะไรมากระทบก็ยิ่งกว่าถูกฟ้าผ่าอีกเพราะมันไม่มีสติสัมปชัญญะไม่มีปัญญาอะไร ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภภิกษุผู้กระสันอยากสึกเพระเห็นสาวงามรูปหนึ่งจึงตรัสให้โอวาทว่า "ภิกษุ..ธรรมดากิเลสย่อมไม่มีความชื่นบาน มีแต่จะให้ตกนรก กิเลสทำให้เธอลำบากเหมือนลมพัดภูเขา ทำให้ใบไม้เก่า ๆ กระจัดกระจายได้ โบราณบัณฑิตได้อภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ แล้ว ยังเสื่อมจากฌานได้ด้วยอำนาจกิเลส" แล้วได้ตรัสอดีตนิทานสาธกว่า
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว พระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลพราหมณ์มั่งคั่งตระกูลหนึ่งมีนามว่า หาริตกุมาร เมื่อเติบโตแล้วได้ไปศึกษาศิลปวิทยาที่เมืองตักกสิลา อยู่ต่อมาเมื่อมารดาบิดาเสียชีวิตแล้วมีความคิดว่า "ทรัพย์เท่านั้นตั้งอยู่ได้ ส่วนผู้ทำให้ทรัพย์เกิดหาตั้งอยู่ไม่ได้ จะมีประโยชน์อะไรด้วยการครองเรือนเล่า"
กลัวต่อความตายได้ให้ทานเป็นการใหญ่แล้วเข้าป่าไปบวชเป็นดาบส มีเผือกมันและผลไม้เป็นอาหาร บำเพ็ญเพียรเป็นเวลานานหลายปี จนได้อภิญญา ๕ และสมาบัติ ๘ จึงลงจากเขามาเที่ยวภิกขาจารในเมืองพาราณสี พระราชาเลื่อมใสจึงนิมนต์ให้จำพรรษาอยู่ในสวนหลวงเป็นเวลา ๑๒ ปี ตลอดเวลาที่จำพรรษาอยู่ที่สวนหลวง ทุกเช้าดาบสจะไปรับอาหารในพระราชวังเป็นประจำ
อยู่มาวันหนึ่ง พระราชาเสด็จไปปราบกบฎชายแดน จึงมอบหน้าที่ถวายอาหารให้พระเทวีทรงแต่งโภชนาไว้เรียบร้อยแล้ว เมื่อดาบสยังช้าอยู่ จึงสนานด้วยน้ำหอมแล้วทรงพระภูษาเลี่ยนเนื้อละเอียดรับสั่งให้เผยสีหบัญชร (หน้าต่าง) ประทับอยู่บนเตียงให้ลมพัดพระวรกายอยู่
ฝ่ายดาบสได้เหาะมาทางอากาศผ่านมาทางสีหบัญชรพอดี พระเทวีได้ยินเสียงเปลือกไม้กระทบกันก็ทราบว่าดาบสมาถึงแล้ว จึงรีบลุกขึ้น ขณะนั้นเองพระภูษาได้เลื่อนหลุดหล่นลง ทำให้ร่างกายของนางถูกดาบสเห็นทั้งหมด เป็นเหตุให้กิเลสของดาบสกำเริบขึ้น ทำให้ฌานเสื่อมทันที ดาบสไม่สามารถควบคุมสติไว้ได้จึงเข้าไปจับพระหัตถ์ของพระนางแล้วคนทั้งสองก็เสพโลกธรรมกัน ดาบสหลังจากรับอาหารแล้วก็เดินกลับสวนหลวงไปตั้งแต่วันนั้นมาคนทั้งสองก็เสพโลกธรรมกันทุกวัน
ข่าวที่ดาบสเสพโลกธรรมกับพระเทวีได้แพร่สะพัดไปทั่วพระนคร พวกอำมาตย์ก็ส่งหนังสือไปกราบทูลพระราชา พระองค์ไม่ทรงเชื่อว่าจะเป็นไปได้ เมื่อปราบกบฎเสร็จแล้วพระราชาก็เสด็จกลับเมือง เข้าไปห้องพระเทวีสอบถามความเป็นจริง พระเทวีทูลว่าจริง พระองค์ก็ยังไม่ทรงเชื่อจึงเสด็จไปหาดาบสตรัสถามความจริง
ดาบสคิดว่า "ถ้าเราบอกว่าไม่เป็นความจริงพระราชาก็ทรงเชื่อ แต่ที่พึ่งที่ดีที่สุดคือคำสัตย์" จึงทูลว่า "ขอถวายพระพรพระองค์ได้สดับมานั้นเป็นความจริง อาตมาหมกมุ่นอยู่ในอารมณ์แห่งความหลงผิดเสียแล้วละ"
พระราชาสดับแล้วตรัสว่า "ปัญญาที่ละเอียดคิดสิ่งที่เป็นประโยชน์ เป็นเครื่องบรรเทาราคะของท่านมีไว้เพื่อประโยชน์ อะไร ท่านไม่อาจใช้ปัญญาบรรเทาความคิดที่แปลกได้หรือ"
ดาบส "มหาบพิตร กิเลส ๔ อย่างคือราคะ โทสะ โมหะ และมทะ เป็นของที่มีกำลังกล้า หยาบคายในโลก ยากที่ปัญญาจะหยั่งถึงได้"
พระราชา "โยมได้ยกย่องท่านเป็นพระอรหันต์ มีศีลเป็นบัณฑิต เบียดเบียนแม้ผู้มีปัญญาโดยแท้"
พระราชาพูดกระตุ้นดาบสว่า "ความกำหนัดเกิดในกายทำลายผิวพรรณของท่าน ท่านจงพยายามทำลายความกำหนัดของท่านนั้นเสียเถิด"
ดาบสได้สติกลับคืนมาแล้วกล่าวเป็นคาถาว่า "กาลเหล่านั้นทำแต่ความมืดให้ มีทุกข์มาก มีพิษใหญ่หลวง อาตมาจักค้นหามูลรากแห่งกามเหล่านั้นจักตัดความกำหนัดพร้อมเครื่องผูกเสีย"
ว่าแล้วก็ขอโอกาสปฏิบัติธรรมในบรรณศาลาพิจารณาดวงกสิณ ยังฌานที่เสื่อมให้เกิดขึ้นได้แล้ว เหาะขึ้นสู่อากาศแสดงธรรมแก่พระราชาแล้วขออำลากลับเข้าป่าตามเดิม
เพราะถึงมีอภิญญาต่างๆ อย่างอภิญญา ๕ ก็ยังมีความแก่ มีความเจ็บ มีความตาย มีพลัดพราก นั่นถือว่าเป็นสายมู เป็นความมีอวิชชามีความหลง ให้ประชาชนคนทั้งโลกเข้าใจว่า พระพุทธเจ้าท่านขลังอย่างนี้ ท่านศักดิ์สิทธิ์อย่างนี้ ท่านมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ตามอริยะมรรคมีองค์ ๘ สมณะที่ ๑-๔ นั้นจะพาเราขลัง พาเราศักดิ์ พาเราสิทธิ์ เพื่อหยุดเวียนว่ายตายเกิด เพื่อหยุดพลังงาน เพื่อดำเนินชีวิตประจำวัน พัฒนาวิทยาศาสตร์ สร้างเหตุสร้างปัจจัยจากเหลือกินเหลือใช้ ไม่ทำบาปสร้างแต่บุญสร้างแต่กุศล เทคแคร์ตัวเอง เข้าหาธรรมะ เทคแคร์คนอื่น ไม่ว่าหมู่มวลมนุษย์เทวดา เป็นผู้มีเมตตาเป็นผู้มีความกรุณา เป็นผู้สงบเย็น เป็นแอร์คอนดิชั่น ทำอย่างนี้ ปฏิบัติอย่างนี้ เราถึงจะมีความสุข ครอบครัวเราถึงจะมีความสุข
การปฏิบัติไม่ได้จะเอาแต่สมาธิอย่างเดียว เอากิจกรรมคือศีล เอาสมาธิคือความตั้งมั่น ติดต่อต่อเนื่องในปัจจุบัน เพราะรู้วิธีความดับทุกข์ไม่ได้อยู่ที่ไกล ที่ใกล้ อยู่ที่ใจของเราเอง นี้คือความสุขของหมู่มวลมนุษย์ทั้งหลาย ไม่เกี่ยวกับคนจน คนรวย ไม่เกี่ยวกับ ชาติ ศาสนา เพราะเราทำอย่างนี้ปฏิบัติติอย่างนี้ ทุกคนทำได้ปฏิบัติได้ ทุกคนต้องดำเนินอย่างนี้ ช่วยเหลือตัวเอง ถึงจะส่งไม้ผลัดให้ลูกให้หลาน เราเป็นพระก็จะได้เป็นพระที่แท้จริงไม่ได้เป็นแต่แบรนด์เนม เป็นแต่เครื่องหมาย มีศาสนาก็มีศาสนาจริงๆ พุทธ คริสต์ อิสลาม พราหมณ์ ฮินดู ก็ไปในทางเดียวกันนี้แหละ ไม่ได้ไปทางอื่นหรอก นรก สวรรค์ นิพพาน ก็อันเดียวกันนี้แหละ ทุกคนต้องมีความสมัครสมานสามัคคีกัน หยุดแย่งขยะกัน หยุดแย่งอวิชชาความหลงกัน
ทุกท่านทุกคนก็ย่อมอาลัยอาวรณ์ในสิ่งที่เป็นอดีต เราต้องพยายามรู้จักใจตัวเอง รู้ว่าอะไรมาปรุงแต่งสิ่งที่มันเป็นกรรมเป็นธรรมชาติมันทำหน้าที่ของเขา เราหยุดด้วยอุเบกขาความหวังเฉย ไม่เอาอารมณ์ในอดีตที่เป็นอาหารของใจมาปรุงแต่งจิตใจต่อไป เราพยายามหยุดโรงงานแห่งวัฏสงสารที่มาก่อภพก่อชาติ เรื่องจิตนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบรรยายได้อย่างละเอียดลึกซึ้ง ธรรมชาติของจิตนั้นเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน เข้าใจได้ยาก ด้วยจิตไม่มีรูปร่าง แต่ชอบท่องเที่ยวไปไกลใน ความคิด ดังพระพุทธพจน์ที่กล่าวถึงจิตไว้ว่า “ทูรงฺคมํ เอกจรํ อสรีรํ คุหาสยํ เย จิตฺตํ สญฺญ เมสฺสนฺติ โมกฺขนฺติ มารพนฺธนา” “จิตท่องเที่ยวไปไกล เที่ยวไปดวงเดียว ไม่มีรูปร่าง อาศัยอยู่ในคูหาหรือร่างกายนี้ ใครควบคุมจิตนี้ได้ ย่อมพ้นจากบ่วงมาร”
จิต เป็นธรรมชาติรู้อารมณ์(อารมฺมณวิชานนลกฺขณํ) คือ ได้รับอารมณ์อยู่เสมอนั่นเอง จึงเรียกว่ารู้อารมณ์ หรือ เป็นธรรมชาติที่เป็นเหตุแห่งการรู้อารมณ์ของเจตสิกทั้งหลาย หรือ ธรรมชาติทำความเป็นอยู่ของสัตว์ทั้งหลายให้วิจิตร
จิตมีสภาพความเป็นไปโดยสามัญญลักษณะ คือ ความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แต่จิตนี้มีคุณสมบัติพิเศษอันเป็นลักษณะเฉพาะตน เรียกว่า วิเสสลักษณะของจิต มี ๔ ประการจึง เรียกว่า ลักขณาทิจตุกะ ๔
๑. อารมฺมณวิชานนลกฺขณํ มีการรู้อารมณ์ เป็นลักษณะ
๒. ปุพฺพงฺคมนรสํ เป็นประธานในธรรมทั้งปวง เป็นกิจ
๓. สนฺธานปจฺจุปฏฺฐานํ มีการเกิดขึ้นต่อเนื่องกันไม่ขาดสายเป็นผล เป็นอาการปรากฏ
๔. นามรูปปทฏฺฐานํ มีนามรูป เป็นเหตุใกล้
๑) อารมฺมณวิชานนลกฺขณํ มีการรู้อารมณ์เป็นลักษณะ หมายความว่า จิตมีการรับรู้ อารมณ์อยู่ตลอดเวลาทางทวารทั้ง ๖ ได้แก่การเห็นรูปทางตา เป็นต้น จึงเรียกว่า ธรรมชาติที่รับรู้อารมณ์ (ทางทวาร ๖)
๒) ปุพฺพงฺคมนรสํ เป็นประธานในธรรมทั้งปวงเป็นกิจ หมายความว่า ธรรมทั้งหลาย ล้วนมีจิตเป็นใหญ่ มีใจเป็นประธาน มีใจเป็นผู้ริเริ่มก่อน และสำเร็จด้วยใจทั้งสิ้น ถ้าบุคคลใดมีใจดี แล้ว จะพูด จะทำ จะคิด ย่อมดีตามไปด้วย ถ้าบุคคลใดมีใจชั่วแล้ว จะพูด จะทำ จะคิด ย่อมชั่ว ตามไปด้วย เช่นกัน และสภาพธรรมทั้งหลายที่เกิดพร้อมกับจิต ย่อมเป็นไปตามอำนาจของจิตด้วย นั่นเอง
๓) สนฺธานปจฺจุปปฏฺฐานํ มีการเกิดขึ้นต่อเนื่องกันไม่ขาดสาย เป็นอาการปรากฏ หมายความว่า สภาพของจิตนั้น ไม่มีการหยุดพัก แม้ในเวลาที่สัตว์ทั้งหลายหลับอยู่ จิตย่อมเกิดดับ ติดต่อกันไปโดยไม่ขาดสาย และเมื่อจุติคือ ตายจากภพชาติเก่าแล้ว ปฏิสนธิย่อมเกิดขึ้นในภพชาติ ใหม่ทันทีและเกิดขึ้นในภพใหม่แล้ว ย่อมมีการเกิดดับรับอารมณ์ต่างๆ ต่อไปเช่นเดียวกัน
๔) นามรูปปทฏฺฐานํ มีรูปนามเป็นเหตุใกล้ให้เกิด หมายความว่า การที่จิตจะเกิดสืบ ต่อกันไปในภพใหม่ได้นั้น ต้องมีปฏิสนธินามรูป คือ ปฏิสนธิจิตเจตสิกที่ประกอบและกัมมชรูปที่เกิด พร้อมด้วยปฏิสนธิจิตนั้น เกิดขึ้นมาก่อน แล้วจิตดวงอื่นๆ จึงจะเกิดสืบต่อกันในภพภูมินั้นต่อไปได้อีก
ทุกคนต้องหยุดอดีตให้ได้ หยุดตัวเองให้ได้ ด้วยการรู้จักความคิดรู้จักอารมณ์ ให้รู้จักความคิดรู้จักอารมณ์เหมือนพ่อแม่ที่สุขทุกข์มาด้วยกัน อารมณ์ต่างๆก็ต้องรู้จักอุเบกขาวางเฉย เราไม่ใช้ไฟดุ้นเก่า และไม่เอาไฟใหม่มาเติม มันก็หยุดไป พยายามให้มีสติสัมปชัญญะในปัจจุบัน มันจะได้หยุดอดีตอนาคตที่มันไม่ใช่ธรรมวินัย ที่มันเป็นตัวเป็นตน
ทุกท่านทุกคนให้พากันประพฤติปฏิบัติ เราเป็นผู้ที่โชคดีประเทศไทยก็ถือว่าเป็นปฏิรูปเทศ ทรัพยากรสมบูรณ์ดินฟ้าอากาศก็ไม่หนาวเกินไม่ร้อนเกิน ไม่มีภัยธรรมชาติที่รุนแรง ไม่มีศึกสงคราม การเกษตร การทำมาหากินก็สมบูรณ์ เราก็มีพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ารุ่งเรืองมาให้เราได้ประพฤติปฏิบัติ มรรคผลนิพพานไม่ล้าสมัย เป็นธรรมเป็นปัจจุบันทำ จึงต้องเดินไปอย่างนี้ต้องก้าวไปอย่างนี้ ทุกอย่างก็จะมีแต่คุณมีแต่ประโยชน์ ทุกท่านทุกคนพากันประพฤติปฏิบัติให้เต็มที่เต็มร้อย บอกสอนผู้อื่นเพียงเล็กน้อยที่เขายังไม่เข้าใจ เพราะส่วนใหญ่ก็ยังทำตามกันจนเป็นประชาธิปไตยของโลก แต่โลกนี้มีแต่เวียนว่ายตายเกิด เราต้องมีสติมีปัญญาเพื่อที่จะได้หยุดโลกหยุดวัฏสงสารให้กับตัวเอง เราจะไปแก้ไขแต่ภายนอกไม่ได้ ท่านให้เรามาแก้ไขทั้งภายนอกและภายในใจของเรา คำว่าแก้ไขก็คือเข้าสู่ภาคประพฤติปฏิบัติ ไม่ได้ตัดออกไม่ได้เพิ่มเป็นสติสัมปชัญญะตามอริยมรรคมีองค์ 8
ทุกท่านทุกคนต้องพากันประพฤติปฏิบัติจะได้ไม่ถูกกับอวิชชาความหลงมันควบคุมครอบงำ เหมือนกับต้นไม้ที่เกิดใต้ต้นไม้ใหญ่ ถูกควบคุมวัชพืชไม่ให้เจริญงอกงาม การประพฤติการปฏิบัติธรรมมันไม่ใช่ของง่ายและไม่ใช่ของยาก เป็นการประพฤติที่ถูกต้องมีสติสัมปชัญญะไปเรื่อยๆอย่างนี้ เราจะได้ปฏิบัติตัวเอง หลายๆ คนพากันเซ่อเบลอฟุ้งซ่านซึมเศร้า แต่มันไม่สำคัญหรอก ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะแล้วมันจะค่อยๆ ดีขึ้น พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าช่วยได้แก้ปัญหาได้ ให้ทุกท่านทุกคนรู้ว่าสิ่งที่ประเสริฐคือพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า และเข้าสู่ภาคประพฤติปฏิบัติ พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้นดีจริง แต่ถ้าไม่เข้าสู่ภาคประพฤติปฏิบัติ ก็เข้าถึงไม่ได้ เหมือนอาหารที่ดีที่สุดในโลก แต่ถ้าเราไม่ได้บริโภค มันก็วางไว้เก้ออยู่อย่างนั้น
ด้วยเหตุนี้ทุกท่านทุกคนต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ มีฉันทะมีความพอใจ ปรับตัวเข้าหาเวลานอนหลับให้เพียงพอวันละ 6 ชั่วโมงไม่เกิน 8 ชั่วโมง ความสุขส่วนอื่นมันก็ไปเรื่อยๆ ในชีวิตประจำวัน พากันจับหลักจับประเด็นให้ได้ ถ้าเราถือตัวถือตนมากๆ มันก็มืดไปหมดแหละ ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะก็เหมือนพระอาทิตย์ส่องแสงลงมา ทำให้เรามองเห็นอะไรต่างๆ ได้ ถ้าเราเอาตัวตนเป็นหลัก มันเหมือนกลางคืนมันมองอะไรไม่เห็น ธรรมชาติของกลางคืนก็ยังมีข้างขึ้นข้างแรม ดังนั้นทุกท่านทุกคนอย่าไปตามใจตามอารมณ์ตัวเอง มันเสียเวลาในการประพฤติปฏิบัติ เราไม่ต้องไปหลงในอะไรหรอก เราเป็นพระแล้วยังมาหลงในรูปเสียงกลิ่นรถลากยศสรรเสริญ มันเป็นคนเดือนมืด มืดด้วยทิฐิมานะอัตตาตัวตน ตัวตนเยอะมันเลยมืด เราต้องเพิ่มสติสัมปชัญญะ สว่างลางๆ เหมือนคืนเดือนหงายในข้างขึ้นก็ยังดีกว่าเป็นคนมืดมิดในคืนข้างแรม เมื่อเรามีบุญกุศล ก็ต้องมาเพิ่มบารมีให้มีสติสัมปชัญญะ ทำไปปฏิบัติไปให้มีความสุขอย่างนี้ เราทุกคนจะได้อุทานในใจว่า โอ้...ทำไมมีความสุขมีความดับทุกข์อย่างนี้ ไม่ใช่มีแต่ว่าร้องครวญครางโอ๊ยๆๆ ไปเรื่อย
เราต้องพากันเข้าสู่ระบบธรรมวินัย ถือว่าเราเกิดมาเพื่อมรรค เพื่อผล เพื่อพระนิพพาน กุลบุตรลูกหลานที่พากันมาบวชน่ะ ครูบาอาจารย์พระพุทธเจ้าให้เราพากันตั้งใจประพฤติปฏิบัติให้เต็มที่ อย่างเรามองดูหลวงปู่มั่น มองดูหลวงพ่อชา หลวงตามหาบัวอย่างนี้เป็นต้น แต่เราพากันมองดูเฉย ๆ เราไม่พากันประพฤติพากันปฏิบัติ เวลาท่านนิพพานไปแล้วนี้เหมือนกับวัดนั้นเป็นวัดร้างไปเลย เพราะเราพากันมองดูเฉยๆ เราไม่ได้พากันประพฤติปฏิบัติตาม
ธรรมชาติพริกมันก็ต้องเผ็ดเหมือนกันหมดทุกเม็ดนะ น้ำตาลมันต้องหวานทุกก้อนทุกเม็ด ไฟมันก็ต้องร้อนเหมือนกันหมด ทุกคนต้องมีจิตสำนึก เราต้องพัฒนาศักยภาพของเราทุกคนให้มันได้เป็นสแตนดาร์ด ให้เป็นมาตรฐาน ทุกคนมีบุญมีวาสนาเหมือนกันหมด ที่มันไม่มีบุญไม่มีวาสนาเพราะเราพากันเข้าใจผิด ไม่พากันประพฤติปฏิบัติ
เพราะธรรมคือสิ่งเดียวกันน่ะ ถ้าใครปฏิบัติก็เหมือนกันหมด อย่างเราเป็นพระอย่างนี้ เราก็ต้องหายใจเหมือนกับประชาชน พักผ่อนเหมือนประชาชน พัฒนาทั้งไอคิว อีคิวเหมือนกันหมด ผู้ที่ปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์แปด คือผู้ที่นำตัวเองและนำผู้อื่น ถ้าใครไม่ปฏิบัติก็เรียกว่า "ทาส" ทาสรับใช้ความโลภ ความโกรธ ความหลง
เราสร้างวัดสร้างวา สร้างไปทำไม? เราสร้างวัดสร้างวาก็เพื่อที่อยู่อาศัย เพื่อเราจะได้สร้างอริยมรรคมีองค์แปดให้เกิดขึ้นที่กายวาจาใจของเรา เราสร้างบ้านสร้างเรือนก็เพื่อจะได้สร้างอริยมรรค เราจะเอาแต่เปลือก เราไม่เอาแก่น ไม่เอาสาระนั้นไม่ได้ ไม่ถูกต้อง เราเป็นพระ ก็พากันปฏิบัติให้เต็มที่ เราเป็นประชาชนก็ปฏิบัติให้เต็มที่ อย่าไปแยกธรรมะออกจากหน้าที่การงาน เอาธรรมะกับการงานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ที่พึ่งอันประเสริฐของเราคือพึ่งธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า ได้แก่อริยมรรคมีองค์แปด ที่อื่นนั้นเราพึ่งไม่ได้หรอกนะ ที่พึ่งของเราที่แท้จริงน่ะคือธรรมวินัย ให้พากันเข้าใจให้ชัดเจน
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee