แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันพุธที่ ๑๖ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง เข้าพรรษาเข้าหาธรรม ตอนที่ ๑๕ ชนผู้ไม่สำรวมในกาม ไม่มีธรรมะ มีปรกติถึงอคติ ๔ บุคคลนี้เป็นขยะของสังคม
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ญาติโยมประชาชน ที่เป็นคฤหัสถ์ ไม่ใช่นักบวช ก็พากันมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติให้ถูกต้อง ทั้งในประเทศหรือว่าต่างประเทศ ต้องปฏิบัติไปเหมือนๆ กัน เอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นใหญ่ เอาธรรมเป็นที่ตั้ง โลกนี้มันเป็นประชาธิปไตยก็จริง แต่ประชาธิปไตยนั้นมันยังไม่ถูกต้อง ยังไม่เป็นธรรม ยังไม่ยุติธรรม เช่น ประชาธิปไตยที่คนคนเกิดมาต้องฆ่าสัตว์ ฆ่าสัตว์ทุกคน ทุกครอบครัว ทำกันหมดทั้งโลกเลย ถือว่า 99.9% อันนี้ก็ถือว่ามันเป็นประชาธิปไตยก็จริง แต่ว่ามันเป็นสีดำ สีเทา เช่น คนเราทุกๆคนเกิดมาก็เพื่อมาเอา มาโกง มากิน มันทำกันทั้งโลกเลย มันเป็นประชาธิปไตยก็จริง แต่ว่าประชาธิปไตยนั้น ก็ถือว่ายังไม่ถูกต้อง เพราะเอากามเป็นหลัก เอาความสุขทางวัตถุเป็นหลัก ไม่ได้พัฒนาจิตใจกันเลย อันนี้ก็ถือว่าเป็นประชาธิปไตย เพราะว่าคนส่วนใหญ่ที่ทำกันคือประชาธิปไตย จะเป็นสังคมนิยมก็คือเอาตัวตนเป็นใหญ่ คนโกหก หลอกลวง อย่างนี้ที่ทั่วโลก อันนี้ก็เป็นประชาธิปไตย ให้รู้จักคำว่าประชาธิปไตย ประชาธิปไตยที่ถูกต้องนั้นต้องเอาธรรมะเป็นหลัก เอาธรรมะเป็นใหญ่ โครงสร้างของโลกนี้ก็คือ ชาติ ศาสนา ราชาผู้นำ จะได้เอามามีสติมีสัมปชัญญะ เอามาเสียสละกัน เพราะสิ่งนี้มี สิ่งต่อไปมันถือมี
เราทุกคนถึงจะเข้าถึงความสุข ความดับทุกข์ได้ ทุกครอบครัวต้องเข้าใจอย่างนี้ ปฏิบัติอย่างนี้ ทุกคนต้องรักกัน สมัครสมานสามัคคีกัน ถ้าเราเอาตัวตนเป็นหลักอย่างนี้ มันจะรักกันสมัครสมานสามัคคีกันได้อย่างไร ถ้าเป็นความรักเมตตา มันไม่ใช่ความเมตตาที่ถูกต้อง มันเป็นความหลง เป็นโมหะ มันเป็นลำเอียงเพราะชอบ ลำเอียงเพราะชัง ลำเอียงเพราะหลง ลำเอียงเพราะกลัว มันไม่เข้าถึงความยุติธรรม พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ชนเหล่าใดไม่สำรวมในกาม ไม่ประกอบด้วยธรรม ไม่เคารพในธรรม มีปรกติถึงฉันทาคติ โทสาคติ โมหาคติและภยาคติ บุคคลนี้เราเรียกว่า เป็นขยะหยากเยื่อในบริษัท อันสมณะผู้รู้กล่าวแล้วอย่างนี้
ชนเหล่าใดตั้งอยู่ในธรรม มีปรกติไม่ถึงฉันทาคติ โทสาคติ โมหาคติ ภยาคติ ย่อมไม่กระทำกรรมอันลามก เพราะฉะนั้น บุคคลนั้นชื่อว่าเป็นสัตบุรุษที่น่าสรรเสริญ ก็แลบุคคลนี้เราเรียกว่าเป็นผู้ผุดผ่องในบริษัท อันสมณะผู้รู้กล่าวแล้วอย่างนี้”
เราทุกคนให้พากันเข้าใจ อยู่ทุกหนทุกแห่งก็พากันประพฤติ พากันปฏิบัติ เพราะเราทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ในปัจจุบันนี้ เหมือนกับต้นไม้ที่อยู่ในวัด มันจะโตได้อย่างนี้ ก็ใช้เวลาจะร่วมๆ 20 ปี ที่ความประพฤติของเรา การปฏิบัติของเรามันไม่สายหรอก ถ้าเป็นธรรม เป็นปัจจุบันธรรม จะคนเกิดใหม่ก็ไม่สาย จะคนปานกลางก็ไม่สาย จะคนแก่เฒ่าก็ไม่สาย เพราะทุกอย่างมันเป็นธรรม เป็นปัจจุบันธรรมอย่างนี้ ทุกคนต้องรู้จักอริยสัจ ๔ รู้จักทุกข์ รู้จักเหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ สิ่งที่มันแล้วก็แล้วไปชั่งหัวมัน สิ่งที่มาไม่ถึงก็เอาปัจจุบันเป็นหลัก เค้าเรียกว่า มรรค เมื่อมีมรรคคือมีผล ถ้ามีเหตุก็ถึงมีผล มันเป็นสติเป็นสัมปชัญญะ มันเป็นความสงบ ความดับทุกข์ เป็นสติ เป็นปัญญา เราจะได้มองอะไรตามเป็นจริง เราจะไม่ได้หลง เราจะไม่ได้เซ่อ เราจะไม่ได้เบลอ ศาสนานี้คืออริยมรรคมีองค์ ๘ คือรู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ ศาสนาเป็นความเป็นสากล ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพราก เค้าเรียกว่าสากล ความสุข ความดับทุกข์ มันก็อยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง มันก็จะเป็นศาสนา มันจะไม่ได้เป็นตัว ไม่ได้เป็นบุคคล มีแต่ความสุข สงบ เย็น ความเป็นพระก็จะเป็นได้ทั้งนักบวช เป็นได้ทั้งฆราวาสผู้ครองเรือน
พวกเหล้าพวกเบียร์พวกบุหรี่ยาเสพติด พ่อแม่ต้องเป็นตัวอย่างแบบอย่างเพราะเด็กเขาเกิดมาเขายังไม่รู้อะไร พ่อแม่ต้องไม่ดื่มเหล้าดื่มเบียร์สูบบุหรี่ยาเสพติดทุกๆชนิด เพราะว่าสิ่งเหล่านี้ถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี มันเป็นความเสียหายของครอบครัวเป็นความเสียหายของสังคมของประเทศชาติของโลก ปัจจุบันนี้เป็นประชาธิปไตยนี้เพราะกฎหมายรองรับ เป็นระบบนำไปสู่อบายมุขอบายภูมิ เพราะว่าธุรกิจที่เกี่ยวกับพวกบุหรี่พวกเหล้าเบียร์พวกยาเสพติด มันเป็นธุรกิจที่ร่ำรวย เป็นธุรกิจที่นำไปสู่ความเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐี ถึงมันจะถูกใจคนส่วนใหญ่ แต่ว่ามันไม่ถูกต้องไม่ถูกธรรม ถึงจะมีกำไรมหาศาล แต่ว่ามันขาดทุนชีวิต ในวัฏสงสงสาร
พ่อแม่เป็นผู้ที่สำคัญ ที่โรงเรียนคุณครูเริ่มต้นจากผู้อำนวยการจนไปถึงคุณครูทุกคุณครู พระเจ้าพระสงฆ์ก็ต้องเป็นตัวอย่างแบบอย่าง เพราะเราทุกคนก็รู้แล้วว่าพวกบุหรี่ พวกยาสูบ มันเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นสำหรับบรรพชิตสำหรับนักบวช ใครติดก็ต้องพากันหยุด ญาติโยมประชาชนก็อย่าไปถวายหมากถวายพลูถวายบุหรี่ อย่าไปใจอ่อน เราอย่าไปสงสาร ทุกคนต้องใจเข้มแข็ง งานการแก้ปัญหานั้น ไม่ใช่แก้ด้วยการหยุดตัวเองหยุดความฟุ้งซ่านตัวเอง ด้วยการไปกินเหล้ากินเบียร์ เหมือนสังคมโลกปัจจุบัน
เพราะเราต้องพัฒนาความเป็นมนุษย์เพื่อให้มันสูงๆยิ่งๆขึ้นไป ไม่ให้ตกต่ำเป็นสัตว์เดรัจฉานเป็นเปรตเป็นยักษ์เป็นมารเป็นอสุรกายเหมือนที่เป็นอยู่กันทุกคนนี้ เพราะใจของเรามันตกไปในกาม พวกบุหรี่ พวกหมากพลู พวกเหล้าเบียร์ มันก็อยู่อันเดียวกับพวกกาม มันทำให้นิสัยของเราทุกคนมันหยาบ พวกนี้มันจะไปได้ตั้งแต่มนุษย์รวย เป็นอารมณ์ของเทวดาความสุขความสะดวกความสบาย ก็สนองความอยากสนองตัณหา พวกนี้ถือว่าเป็นกาม ฟังธรรมไม่รู้เรื่องหรอก เรื่องอริยสัจ ๔ นี่ไม่รู้เรื่องหรอก คนรวยหรือว่าเทวดานี้ที่เป็นมิจฉาทิฏฐิถึงฟังธรรมไม่รู้เรื่อง ไม่ต้องการรู้เรื่องอริยสัจ ๔ เราลองดูสิ ถ้าช้างในป่ามันตกมันอย่างนี้ มันฆ่าคนฆ่าอะไร พวกหนุ่มสาวมันไม่รู้เรื่องศีลเรื่องธรรมหรอก มันปฏิเสธความถูกต้อง, มันปฏิเสธความดี, มันปฏิเสธเรื่องพระนิพพาน พวกคนรวยพวกหลงในพวกกามเขาปฏิเสธเรื่องพระนิพพาน เขาไม่ต้องการพระนิพพาน เพราะใจมันหยาบใจมันสกปรก มันเป็นมาจากคุณพ่อคุณแม่ที่พากันเน้นตั้งแต่วัตถุ ไม่ได้พัฒนาใจพร้อมๆ กัน ก็เลยพากันรวยอย่างโง่ๆ รวยอย่างไม่ฉลาด เขาเรียกว่า “พัฒนาตั้งแต่เรื่องธุรกิจหน้าที่การงานที่ไม่ได้พัฒนาใจพร้อมกัน”
ถึงจะไปหาที่อากาศดีๆ หาที่กินดีๆ หาอะไรมันก็ไม่มีใครพ้นความแก่ความเจ็บความตายไปได้ พวกที่หลงในสิ่งเหล่านี้ พากันปฏิเสธมรรคผลพระนิพพานกัน เพระว่าจิตใจมันสกปรกจิตใจมันหยาบ มันยินดีในกามในเรื่องกินเรื่องเสพ เสพทุกอย่าง เสพตาหูจมูกทางใจเขาเรียกว่า “มีเพศสัมพันธ์ทางกายวาจาใจที่มันเป็นอวิชชาเป็นความหลง” เพราะเกิดจากเราไม่ได้พัฒนาตัวเอง การเรียนการศึกษามันถึงเป็นการทำลายตัวเองทำลายโลก เราดูตัวอย่างที่ประเทศไทยกำลังกินกับพวกที่มีรีสอร์ท หากินกับพวกโรงแรมทางท่องเที่ยว พวกผับพวกบาร์ นี่ก็ล้วนแต่เรื่องกินเรื่องกามเรื่องเหล้าเรื่องเบียร์ทั้งนั้น มันไม่ได้พากันพัฒนาใจ ทุกท่านทุกคนไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาได้ เพราะว่ามันไม่ได้พัฒนาใจ ร่างกายมันไม่รู้เรื่องหรอกพาไปไหนมันก็ไป มันก็น่าสงสารกายเนอะ กายไม่รู้เรื่อง แล้วก็พาไปกินนู้นกินนี้เที่ยวนู้นเที่ยวนี้ ไปกินเหล้ากันเบียร์เสพยาเสพติด ไปมีผัวไปมีเมีย มันต้องพัฒนาเราเอง
เราทุกๆ คนไม่ต้องไปคิดที่จะไปแก้ไขใครหรอก เริ่มต้นจากตัวเองนี่แหละ เพราะว่าเป็นหน้าที่ของเราทุกๆ คน ใครรวยใครมีสตางค์จะซิกแซกเก่ง ก็ไปไม่รอดหรอก ให้เข้าใจว่ามันไปไม่ได้ พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ด้วยการบำเพ็ญบารมีตั้งหลายล้านชาติมาบอกมาสอนสิ่งที่ดีที่สุด มันเป็นการพัฒนามนุษย์ทางกระบวนการทั้งวาจาใจที่ตั้งอยู่ในความเห็นถูกต้อง ความเข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท พระพุทธเจ้าถึงตรัสว่า ไอ้ความประมาทความเพลิดเพลินนี้มันทำให้เราทุกคนเสียหาย คิดว่าไม่เป็นอะไร ไม่มีอะไร… มันเป็น! แต่เพราะเรามีปัญญาน้อย มันเลยไม่รู้คุณไม่รู้โทษ พวกเหล้า เบียร์ ฝิ่น เฮโรอีน กัญชา ทำให้ร่างกายของเราเสียหายทุกคน เราจะเจตนา หรือ ไม่เจตนาก็ต้องผิดศีล ในฐานที่ไม่สำรวม ไม่ระวัง ตั้งอยู่ในความประมาท ทำให้เมาทางจิตใจ เพราะคนเราทุกคนก็ยังมีความหลงเป็นพื้นฐาน
อบายมุข หมายถึง ช่องทางแห่งความเสื่อม หรือเหตุแห่งความพินาศหรือเสียหายแห่งโภคทรัพย์หรือเศรษฐกิจ ถ้าหมกมุ่นลุ่มหลงกับสิ่งเหล่านี้แล้ว นอกจากจะหาความสุขไม่พบแล้ว ยังจะต้อง พบกับความเสื่อมเสีย เพราะอบายมุขนั้นเป็นสิ่งที่ถมไม่เคยเต็มสักครั้งสำหรับผู้เสพหรืออยากเลิกก็เลิกไม่ได้ และยังเป็นช่องทางแห่งการเลี้ยงชีวิตในทางที่ผิด พระพุทธเจ้าตรัสถึงอบายมุขว่า มี 6 ประการ คือ 1. ดื่มน้ำเมา 2. เที่ยวกลางคืน 3. เล่นการพนัน 4. เที่ยวดูการละเล่น 5. เกียจคร้านการงาน และ 6. คบคนชั่วเป็นมิตร
อบาย แปลว่า ความเสื่อม ความฉิบหาย มุข แปลว่า ปาก, หน้า อบายมุข จึงแปลว่า ปากทางแห่งความเสื่อม เนื่องจากมันเป็น ปากทาง ส่วนตัวความเสื่อมจริงๆ นั้นอยู่ ปลายทาง เมื่อมองเพียงผิวเผิน เราจึงมักยังมองไม่เห็นความเสื่อม แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและท่านผู้รู้ทั้งหลายมองเห็น
ถ้าจะดูกันแต่ปากทางแล้ว ก็อาจเห็นเป็นความเจริญด้วยซ้ำ เหมือน...ปากทางที่จะไปเข้าคุก ก็เป็นถนนราบเรียบ แต่ปลายทางเป็นคุกที่ทรมาน
ปากทางที่จะตกลงบ่อ ก็เป็นพื้นดินสะอาด แต่ก้นบ่อมีน้ำที่จะทำให้ผู้ตกลงไปจมหรือสำลักน้ำตาย
ปากทางที่จะตกลงเหว ก็เป็นป่าหญ้างามดี แต่ก้นเหวลึกมากจนทำให้คนที่ตกลงไปตายได้ เช่นกัน อบายมุขซึ่งเป็นปากทางแห่งความฉิบหายนี้ ดูเผินๆ ก็ไม่มีพิษสงอะไร เที่ยวกลางคืนก็สนุกดี เล่นการพนันก็เพลิดเพลินดี แต่ก็ทำให้ผู้ประพฤติทำการงานไม่สำเร็จ เสื่อมไปจากความเจริญก้าวหน้าและกุศลธรรม ทั้งหลาย ที่ถึงกับฉิบหายขายตัวไปแล้วก็มากต่อมาก อบายมุขจึงเป็นเสมือนหน้าตา สัญลักษณ์ของความเสื่อม บุคคลใดยุ่งเกี่ยวกับอบายมุขก็รู้ได้ทันทีว่า ผู้นั้นมีความเสื่อมเกิดขึ้นแล้ว
1. ความเป็นนักเลงสุรา หรือ การติดสุราและของมึนเมา คำว่า น้ำเมา ได้แก่ น้ำที่ดื่มเข้าไปแล้วมีอาการมึนเมาบังเกิดแก่ผู้ดื่ม มี ๒ อย่างคือ ที่กลั่นแล้ว มีรสแรง เรียกตามภาษาบาลีว่า สุรา และที่ยังมิได้กลั่นให้มีรสแรงขึ้นนั้นเรียกว่า เมรัย เช่น อุกระแช่ น้ำขาวน้ำตาลเมา เป็นต้น
การเสพน้ำเมา คือ สุราเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท เป็น ทางเสื่อมแห่งโภคะทั้งหลาย และ เสื่อมจากคุณธรรมและปัญญา โทษของการดื่มสุรา อันนำมาซึ่งความเสื่อม มีประการต่างๆ ดังนี้
1.1 ความเสื่อมทรัพย์ อันผู้ดื่มพึงเห็นเอง การดื่มสุรา นำมาซึ่งความเสื่อมทรัพย์ เพราะไม่รู้จักพอ ย่อมใช้จ่ายทรัพย์ในการดื่มสุรา เมื่อมีการเมาสุรา ก็อาจทำทรัพย์สินของผู้อื่นให้เสียหาย และต้องจะชดใช้ทรัพย์หรือเป็นหนี้ทำให้เสื่อมจากทรัพย์ ดังนั้น จากคำถามคือ อะไรเจริญ อะไร เสื่อม.? จากอบายมุข ได้แก่ การดื่มสุรา คือ หนี้เจริญ แต่เสื่อมทรัพย์
1.2 ก่อการทะเลาะวิวาท เมื่อดื่มสุรา ย่อมขาดความยั้งคิด ก็ย่อมทำให้เกิดการทะเลาะวิวาท จากคำถาม ว่าอะไรที่เจริญขึ้น อะไรเสื่อม การทะเลาะวิวาท ทำให้อกุศลเจริญขึ้น เพราะการทะเลาะวิวาท เจริญการแตกความสามัคคีกุศลธรรมเสื่อม เพราะการดื่มสุรา และการทะเลาะวิวาท
1.3 เป็นบ่อเกิดแห่งโรค การดื่มสุรา ทำให้เกิดโรคต่างๆ ดังนั้น จากคำถาม อะไรเจริญ อะไร เสื่อมจากอบายมุข คือ การดื่มสุรา โรคเจริญขึ้น เพิ่มขึ้น ความไม่มีโรคเสื่อม สุขภาพเสื่อม
1.4 เป็นเหตุให้เสื่อมเสียชื่อเสียง การดื่มสุรา ย่อมทำให้ประพฤติไม่ดี และเป็นการกระทำที่ไม่สมควร ก็มีแต่คนว่า เสียชื่อเสียง ดังนั้นจากคำถาม สิ่งที่เจริญเมื่อมีการดื่มสุรามากขึ้น คือ เจริญด้วยชื่อเสียงที่ไม่ดีเสื่อมเสียจากชื่อเสียงที่ดี
1.5 เป็นเหตุไม่รู้จักละอาย การดื่มสุรา เป็นเหตุให้หลงลืมสติ กล้าในสิ่งที่ไม่ควรกล้า เพราะฉะนั้น สิ่งที่เจริญ คือ อกุศลธรรม คือ ไม่มีหิริ โอตตัปปะ สิ่งที่เสื่อม คือ คุณธรรมความดี คือ เสื่อมจาก หิริโอตตัปปะ
1.6 ทอนกำลังปัญญา ผู้ที่ดื่มสุรา ย่อมทำให้หลงลืมสติได้ง่าย ปัญญาที่จะเกิด ก็ไม่เกิด และก็ทำให้เสื่อม จากปัญญาด้วยครับ เพราะฉะนั้น จากคำถามที่ว่า สิ่งใดเจริญขึ้นเมื่อประพฤติอบายมุข คือ ดื่มสุรา ได้แก่การเจริญความไม่มีสติเจริญอกุศลธรรม คือ ความหลงลืมสติส่วนคำถามที่สองที่ว่า อะไรเสื่อมไปจากการประพฤติอบายมุข คือ ดื่มสุรา สิ่งที่เสื่อม คือ ปัญญาที่จะเกิด ก็ไม่เกิดใน ขณะนั้น
3. ชอบเที่ยวกลางคืน การเที่ยวกลางคืน คือการออกไปเที่ยวหาความสำราญในยามค่ำคืน เช่น เที่ยวหญิงโสเภณี เป็นต้น การเที่ยวกลางคืนนี้มีโทษ 6 อย่าง ดังนี้คือ ได้ชื่อว่าไม่รักษาตัว ได้ชื่อว่าไม่รักษาลูกเมีย ได้ชื่อว่าไม่รักษาทรัพย์ เป็นที่ระแวงของคนทั้งหลาย มักถูกใส่ความ และได้ความลำบาก
2. ความเป็นนักเลงการพนัน หรือติดการพนัน คำว่า การพนัน ได้แก่ การเล่นเอาเงินหรือทุนทรัพย์กัน ด้วยการเสี่ยงโชคหรือฝีมือเป็นการ เล่นที่มีได้มีเสีย มีแพ้มีชนะและมีข้อตกลงกันว่าผู้แพ้ต้องจ่ายทรัพย์ให้แก่ผู้ชนะ การพนันนั้นถือว่าเป็นการเล่นที่ต้องห้ามทั้งทางโลกและทางธรรมทางโลกห้ามเพราะถือว่า การพนันเป็นการเสี่ยงโชคที่นำมาซึ่งความหายนะ กฎหมายไม่รับรองทั้งแพ่งและอาญา เฉพาะอาญาถือว่าเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนโดยส่วนรวมถึงกับต้องบัญญัติ ว่าการเล่นการพนันเป็นความผิดและระวางโทษไว้ด้วยส่วนในทางธรรมนั้นถือว่าการพนันเป็นทางแห่งอบายภูมิ เกือบทุกศาสนาห้ามแตะต้องเป็นอันขาด การเล่นการพนัน มีโทษ 6 อย่าง ดังนี้ คือ เมื่อชนะย่อมก่อเวร (คือมีผู้ผูกใจเจ็บที่จะแก้ลำ) เมื่อแพ้ย่อมเสียดายทรัพย์สินที่เสียไป ทรัพย์ย่อมฉิบหาย ไม่มีใครเชื่อถือถ้อยคำ เป็นที่หมิ่นประมาทของเพื่อน ไม่มีใครประสงค์จะแต่งงานด้วย
4. ชอบเที่ยวดูการละเล่น การเล่นรื่นเริง ในทางพุทธศาสนาโทษของการชอบเที่ยวดูการละเล่น คือทำให้การงานเสื่อมเสียเพราะใจกังวลคอยจดจ้อง กับเสียเวลาเมื่อไปดูสิ่งนั้นๆ ทั้ง 6 กรณีคือ รำที่ไหนไปที่นั่น ขับร้องดนตรีเสภา เพลง เถิดเทิงที่ไหน ไปที่นั่น โทษของการชอบเที่ยวดูการละเล่น คือ 1. ทำให้ใจแตก เพราะเกิดติดใจดูครั้งหนึ่งแล้วอยากดูซ้ำเป็นครั้งที่ 2-3 ต่อไป ถ้ายิ่งติดใจมากขึ้นก็ยิ่งไปบ่อยมากขึ้นเพียงนั้น 2. เสียทรัพย์ทรัพย์ที่เราหามาได้นั้นต้องเก็บไว้ใช้ในเรื่องที่จำเป็นไม่ใช่หมดเปลืองกับการเที่ยวดูการละเล่น 3. เสียเวลา การเที่ยวดูการเล่นพร่ำเพรื่อนั้น เป็นการทำให้เวลาในชีวิตของเราหมดเปลืองไป โดยไร้ประโยชน์ 4. เสียการงาน เมื่อใช้เวลาอันควรทำการงานหาทรัพย์มาเลี้ยงครอบครัวหรือเวลาอันควร ดูแลรักษาสมบัติไปดูการเล่นเสีย การหาทรัพย์หรือการดูแลรักษาครอบครัวก็เสียไป เกี่ยวโยงไปถึง การเสียทรัพย์ด้วย เพราะการงานที่ทำนั้นก็คือเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์นั่นเอง
5. เกียจคร้านการงาน ความขยันเป็นทางที่นำไปสู่ความสำเร็จในเรื่องของการงานที่เราทำและความสำเร็จนี้คือ ทางนำไปสู่ความสุขความเจริญแก่ตัวเราและครอบครัวนั้นเอง ความขยันนี้เป็นศัตรูของความเกียจคร้าน
การเกียจคร้านการงาน คือ ยกเหตุต่างๆ เป็นข้ออ้างผัดไม่ทำการงาน โภคะใหม่ก็ไม่เกิด โภคะที่มีอยู่ก็หมดสิ้นไป คือ ให้อ้างไปทั้ง 6 กรณีว่า หนาวนัก ร้อนนัก เย็นไปแล้ว ยังเช้านัก หิวนัก อิ่มนัก แล้วไม่ทำการงาน
ความเกียจคร้านนี้เป็นอันตรายร้ายแรงยิ่งกว่าเหล้าและการพนันเสียอีก คนเกียจคร้านไม่มีหวังพบความสำเร็จในชีวิตไม่มีหวังจะเอาตัวรอดได้ความเกียจคร้านนี้เป็นต้นเหตุของความชั่วทุกชนิด
6. คบคนชั่วเป็นมิตร คนเราเกิดมาแล้วย่อมมีความเกี่ยวข้องกับผู้อื่นอยู่รอบข้าง ผู้ที่อยู่รอบข้างของเรานั้น พระพุทธเจ้าเปรียบเทียบไว้เหมือนกับทิศต่างๆ มี 6 ทิศ คือ ทิศเบื้องหน้าบิดามารดาทิศเบื้องขวาครู อาจารย์ทิศเบื้องซ้ายมิตรสหาย ทิศเบื้องหลังบุตรภรรยา ทิศเบื้องต่ำบ่าวหรือคนใช้ทิศเบื้องบนสมณพราหมณ์
เมื่อแรกเกิดมาเป็นเด็กเราต้องมีผู้ปกครองเลี้ยงดูอุปการะมาตั้งแต่ แรกเกิด ถ้าเราได้ผู้ปกครองที่ดี เราก็ดีตามถ้าเราได้ผู้ปกครองที่ไม่ดี เราก็ติดไม่ดีของท่านได้เมื่อเราโต ขึ้นเรารู้จักคนมากขึ้น ถ้าเราได้เพื่อนไม่ดีเราก็ติดไม่ดีของเพื่อนโดยไม่รู้ตัว แต่ถ้าเราได้รับการสอนจากผู้ปกครองมาก่อน ว่าการพูดคำหยาบไม่ดีเราก็จะไม่เอาอย่างเขา ถ้าได้เพื่อนที่ดีเราก็ไม่เลวลง และเราอาจติดดีของเพื่อนที่เรายังไม่มีก็ได้เช่น ความสุภาพเรียบร้อย มีสัมมาคารวะต่อผู้ใหญ่ เป็นต้นแม้การคบกับคนอื่นเมื่อเราเป็นผู้ใหญ่แล้ว เราก็อาจติดดีติดไม่ดีของผู้ที่เราคบโดยไม่รู้ตัวก็ได้ด้วยเหตุนี้การคบ กับคนอื่นจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ดังที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้มงคลสูตรที่ว่าการไม่คบคนชั่วกับการ คบบัณฑิต
ผีที่หนึ่ง ชอบสุรา เป็นอาจิณ ไม่ชอบกิน ข้าวปลา เป็นอาหาร
ผีที่สอง ชอบเที่ยว ยามวิกาล ไม่รักบ้าน รักพ่อ รักแม่ตน
ผีที่สาม ชอบดู การละเล่น ไม่ละเว้น บาร์คลับ ละครโขน
ผีที่สี่ คบคนชั่ว มั่วกับโจร หนีไม่พ้น อาญา ตราแผ่นดิน
ผีที่ห้า ชอบเล่นม้า กีฬาบัตร สารพัด ไพ่หวย ไฮโลสิ้น
ผีที่หก เกียจคร้าน การทำกิน มีทั้งสิ้น หกผี อัปรีย์เอย...
ความเมาทั้งหลายเราละได้ด้วยศีล ด้วยการสำรวมระวัง ทางจิตใจต้องละด้วยการเจริญวิปัสสนา การปฏิบัติต้องเน้นที่ปัจจุบัน เราต้องเน้นผู้ที่เป็นพ่อ เป็นแม่ ก็ต้องเป็นหลักในครอบครัว ไม่กินเหล้า กินเบียร์ ไม่เล่นการพนัน ไม่งั้นจะไปบอกไปสอนลูกไม่ได้ พวกลูกหลานเค้าจะได้เห็นความสำคัญ เพราะว่าสังคมเราเป็นสังคมด่างพร้อย เป็นสังคมสีดำ เป็นสังคมสีกา รวมทั้งร้านค้าที่ไปขายเหล้า ขายเบียร์ที่ผิดศีล เพราะว่าสังคมเรามันยังเป็นสังคมคนพาลอยู่ ยังมีโรงเหล้า โรงเบียร์ โรงอะไรอยู่ เพราะว่ามันลืมแก่ ลืมเจ็บ ลืมตาย มันไปมัวเมา เมารูป เมารส เมากลิ่น เมาเสียง เวลาติดคุกไม่มีใครติดให้นะ
สุนทรภู่กล่าวไว้ว่า “อันเมาเหล้าเช้าสายก็หายไป แต่เมาใจนี่ประจำทุกค่ำคืน”
การเมาดังกล่าวข้างต้นนั้น เป็นการเมาทางใจ เมื่อถูกย้อมเข้าไปหลายครั้ง หลายหน ก็เป็นการยากที่จะสำรอกให้ออกได้ ถ้าผู้ได้มาไม่สำเหนียกตระหนักให้ดี ก็จะติดแน่นอยู่กับมัน เมาไม่สร่างอยู่กับสิ่งเหล่านั้นนั่นเอง และยังจะมีความปรารถนายิ่งๆ ขึ้นไป และย้อมใจให้เมายิ่งขึ้น มิได้ตระหนักถึง พระพุทธดำรัสตรัสเตือนว่า “มันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา”
ผู้ตื่นแล้ว ย่อมไม่เห็นสิ่งที่ฝัน ในขณะฝันก็เห็นเป็นเรื่องจริงจัง มีดีใจ หรือโศกเศร้า เสียใจ ตื่นเต้น ตกใจ เรื่องราวในชีวิตก็ทำนองนั้น สำหรับผู้หลับอยู่ด้วยกิเลสนิทรา ย่อมเห็นเป็นจริงจัง ผู้ตื่นแล้วย่อมรู้ว่า เป็นเพียงสิ่งสมมติเหมือนของเด็กเล่น ต่างเพียงว่าผู้ใหญ่เอามาเล่นเท่านั้นเอง
ดอกไม้ สดสวยเพียงใดก็จบลงด้วยการร่วงโรย สิ้นไป เสื่อมไป รูปร่างผิวพรรณของมนุษย์ บุรุษสตรีก็เป็นอย่างนั้น ย่อมพ่ายแพ้แก่ชราและความตาย ในระหว่างมีชีวิตอยู่ก็ต้องผจญภัยนานาประการ เหน็ดเหนื่อย น่าเบื่อหน่ายเพียงไร ทุกอย่างซ้ำซากจนไม่มีรสเหมือนชานอ้อย
ชีวิตแวบเดียวก็ตายแล้วเหมือนสายฟ้า สว่างแวบเดียวแล้วหายไป เมื่อเทียบกับอายุของขุนเขา ทะเล ท้องฟ้า และจักรวาล ชีวิตมนุษย์ช่างน้อยนักเหมือนหยาดน้ำค้างบนใบหญ้า พลันอันตรธานเมื่อดวงอาทิตย์ส่องแสงแรงกล้า จึงไม่ควรประมาทเลย “อายุของมนุษย์น้อยนัก คนดีควรดูหมิ่นอายุนั้น (คืออย่าคิดว่ามีมาก) ทำตนประดุจคนที่ไฟไหม้ศีรษะ (ขวนขวายรีบดับเสียโดยพลัน) ความตายจะไม่มาถึงนั้นไม่มี” (พระพุทธพจน์ สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑๕ หน้า ๑๕๘)
ด้วยประการดังกล่าวมาตั้งแต่ต้นจนถึงตรงนี้ บุคคลผู้มีญาณจักษุจึงไม่ควรมัวเมาในสิ่งใดๆ กัน จะนำทุกข์มาให้ตนและผู้อื่น
ทำไมมนุษย์จึงยอมตัวอยู่ภายใต้การจองจำของสังคม ซึ่งมีแต่ความหลอกหลอนสับปรับและแปรผัน ทำไมมนุษย์จึงยอมตัวเป็นทาสของสังคมจนแทบจะกระดิกกระเดี้ยตัวมิได้ จะทำอะไรจะคิดอะไรก็ต้องคำนึงความรู้สึกของสังคมไปเสียหมด สังคมจึงกลายเป็นเครื่องจองจำชนิดหนึ่ง ที่มนุษย์ซึ่งสำคัญตัวว่าเจริญแล้วช่วยกันสร้างขึ้น เพื่อผูกมัดตัวเองให้อึดอัดรำคาญ มนุษย์ยิ่งเจริญขึ้น ก็ดูเหมือนจะมีเสรีภาพน้อยลงทั้งทางกายและทางใจ ดูๆ แล้วความสะดวกสบาย และเสรีภาพของมนุษย์จะสู้สัตว์ดิรัจฉานบางประเภทมิได้ มันมีเสรีภาพที่จะทำอะไรตามใจชอบอยู่เสมอ ตัวอย่างเช่นฝูงวิหคนกกา
มนุษย์เราเจริญกว่าสัตว์ ตามที่มนุษย์เราเองชอบพูดกัน แต่ดูเหมือนพวกเราจะมีความสุขน้อยกว่าสัตว์ ภาระใหญ่ที่ต้องแบกไว้ คือ เรื่องกาม เรื่องกิน และเรื่องเกียรติ นั้นเป็นภาระหนักอึ้งของมนุษย์ชาติ สัตว์ดิรัจฉานตัดไปได้อย่างหนึ่ง คือเรื่องเกียรติคงเหลือแต่เรื่องกาม และเรื่องกิน นักพรตอย่างท่านนี้ตัดไปได้อีกอย่างคือเรื่องกาม คงเหลือแต่เรื่องกินอย่างเดียว ปลดภาระไปได้อีกมาก และการกินอย่างนักพรตกับการกินอย่างผู้บริโภคกาม ก็ดูเหมือนจะมีข้อที่แตกต่างกันอยู่ ผู้บริโภคกามและยังหนาแน่นอยู่ด้วยความรู้สึกทางโลกียวิสัย เมื่อกินบางทีก็กินเพื่อยั่วยุกามให้กำเริบ และต้องกินอย่างมีเกียรติ กินให้สมเกียรติ มิใช่กินเพียงเพื่อให้ร่างกายนี้ดำรงอยู่ได้อย่างสมณะ ความจริงร่างกายคนเรามิได้ต้องการอาหารอะไรมากนัก เมื่อหิวร่างกายก็ต้องการอาหารเพียงเพื่อบำบัดความหิวเท่านั้น แต่เมื่อมีเกียรติเข้ามาบวกด้วยจึงกลายเป็นเรื่องกินอย่างเกียรติยศ และแล้วก็มีภาระตามมาอย่างหนักหน่วง คนจำนวนมากเบื่อเรื่องนี้ แต่จำต้องทำเหมือนโคหรือควายซึ่งเหนื่อยหน่ายต่อแอกและไถ แต่จำใจต้องลากมันไป ลากมันไป อนิจจา!
ธรรมะเป็นสิ่งที่ทวนกระแส ไม่ทำตามอัธยาศัยไหลไปตามน้ำเหมือนน้ำไหลลงสู่ที่ต่ำ เราว่ายน้ำทวนกระแส เรามาทวนกระแสโลก มันเป็นของยาก ธรรมะภาคปฏิบัติมันเป็นอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ การประพฤติปฏิบัติของเราทุกคนจึงเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ การให้ทานการเสียสละภายนอก ยังไม่ยิ่งใหญ่ใหญ่ยิ่ง แต่การเสียสละทางใจ ไม่ทำตามอัธยาศัยไม่ตามใจตามอารมณ์ เป็นการประพฤติปฏิบัติที่เหนือกว่า ประเสริฐกว่า เป็นการอบรมบ่มอินทรีย์ เป็นศีลสมาธิปัญญาอย่างแท้จริงเราทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ จึงจะเป็นผู้รู้จักทุกข์ รู้เหตุให้เกิดทุกข์ รู้จักความดับทุกข์ รู้วิธีการประพฤติปฏิบัติเพื่อให้ถึงความดับทุกข์ อันเป็นทางสายกลางคืออริยมรรคมีองค์ 8 เราจึงต้องทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ ใจของเราจึงจะลงรายละเอียด อย่างลึกซึ้ง
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee