แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันจันทร์ที่ ๑๔ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง เข้าพรรษาเข้าหาธรรม ตอนที่ ๑๓ ผู้มีปัญญาเห็นประจักษ์ จึงควรสั่งสมความดี ไม่เบื่อหน่ายในการสั่งสมกรรมดี
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ให้ทุกท่านทุกคนมีสติสัมปชัญญะ ว่าเรากำลังเดินกำลังนั่งกำลังนอนกำลังกิน สติสัมปชัญญะเป็นสิ่งสำคัญ มันจะได้เป็นธรรม เป็นปัจจุบันธรรม ทุกๆ ท่านทุกๆ คนต้องทำแบบนี้พัฒนาใจไปสู่ธรรมาธิปไตย เราจะได้ทำได้ถูกต้อง ทุกท่านจะได้มีความดับทุกข์ได้ ธรรมทั้งหลายเกิดจากเหตุเกิดจากปัจจัย ธรรมะเป็นสิ่งที่ดีอยู่แล้ว พระศาสนาไม่ต้องเอามาเพิ่มไม่ต้องตัดออก เป็นธรรม เป็นความยุติธรรมอยู่แล้ว ทุกท่านทุกคนไม่ต้องไปแก้ที่คนอื่น ต้องมาแก้ที่ตัวเรา ทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ เราทุกคนเกิดมาอายุไม่เกิน 100 ปี ต้องให้มีความเข้าใจ ลมหายใจเข้าลมหายใจออกก็เปลี่ยนอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว อิริยาบถทั้ง 4 ก็เปลี่ยนอยู่ตลอดเวลาทุกคนต้องรู้จักอยู่แล้ว ว่ามันเป็นสภาวะธรรมมันเป็นอริยมรรคมีองค์ 8 มันอยู่ในตัวเราอยู่แล้ว เราทำถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง มันก็เป็นธรรมอยู่แล้ว
เราต้องเอาการเรียนหนังสือมาปฏิบัติ เพื่อให้เป็นกิจกรรมที่มีความเห็นถูกต้องมีความเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง เราต้องมีธรรมะเป็นเครื่องอยู่ เราทำธุรกิจ เราเอาธุรกิจเป็นตัวตนอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าให้เรามีสติสัมปชัญญะอยู่กับตัวเรา เหมือนกัปตันขับเครื่องบิน แต่ก่อนเรายังไม่เข้าใจ ให้เอากัปตันเป็นตัวเราขับเคลื่อนตัวเรา เครื่องบินเป็นวินัยเป็นศีล พระพุทธศาสนาก็มีอยู่ 2 อย่าง พระธรรมกับพระวินัยให้ทุกคนจับหลักให้ดี เพราะความเป็นพระ มันเป็นได้พอๆ กันนั่นแหละ คือได้แก่การหยุดทำสิ่งไม่ถูกต้อง และทำในสิ่งที่ถูกต้อง ที่มันยากเป็นเพราะเราเอาตัวตนเป็นหลัก เราทุกคนจะสร้างปัญหาให้คนอื่น นี่พูดช่วยให้ประชาชนเข้าใจ ให้มีความเห็นถูกต้อง ที่ทำร้ายทั้งตัวเองทำร้ายทั้งคนอื่น ที่ตัวเราสร้างระเบิดอะไรนี้ มันก็ทำร้ายคนอื่น ทุกท่านทุกคนจะมาเอาอะไร มันไม่ได้อะไรนะ แล้วก็ไม่ได้เสียอะไร
เราดูที่ประเทศไทยนะนักการเมืองมันแย่งขยะกัน อย่างน่าเกลียดเลยถ้าทุกคนต้องการบริหารบ้านเมือง มันไม่ยาก ไม่เอาตัวตนเป็นหลัก ถ้าเราเอาความถูกต้อง เอาพระธรรมเป็นหลัก มันก็จะบริหารบ้านเมืองไม่ยาก มันเป็นสิ่งง่ายๆ เพราะทุกคนก็แก้ที่ตัวเอง ธรรมะกับการดำรงชีวิต กับการบ้านการเมืองทุกอย่าง ที่เราเป็นกระทรวงแต่ละกระทรวงมันก็เป็นของง่าย มันลำบากที่จะโกงกินคอรัปชั่นนี่แหละ ถึงให้ทุกคนพากันเข้าใจ ไปแก้ไขตัวเอง ไปแก้ไขครอบครัวของตัวเอง
ให้ทุกท่านทุกคนมีความเห็นถูกต้องให้มีสติสัมปชัญญะ ทุกคนที่เกิดมาในโลกที่มีประชากรเกือบ 8,000 ล้าน มันต้องพากันปฏิบัติให้เป็นทางเดียวกัน เราถึงจะไม่พากันสร้างปืนสร้างระเบิดการมีอยู่มีกิน เราต้องรู้จัก เราเรียนหนังสือก็เพื่อให้รู้วิธีทำมาหากินทุกๆ ศาสนา ก็ต้องใช้อริยมรรคมีองค์ 8 นี้แหละ มันคือความเห็นถูกต้องความเข้าใจถูกต้อง ศาสนาทุกศาสนานั้นมันคือความถูกต้อง ความเจ็บปวดมีทุกๆ ศาสนา ที่ถือศาสนาไม่ถูกต้อง ทุกท่านทุกคนจะได้พากันปฏิบัติให้มันถูก เพราะความดับทุกข์ไม่ได้อยู่ว่าเราเป็นเศรษฐี แต่มันอยู่ที่เราคิดถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง มีสติสัมปชัญญะ มนุษย์เราต้องทำกันให้ถูกต้อง
พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า สมณะที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ไม่ได้มีเฉพาะศาสนาพุทธ มีอยู่ที่ผู้ที่มีความเห็นถูกต้อง มีความเข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง อยู่ในชีวิตประจำวันที่เป็นอริยมรรคมีองค์ 8 ในทุกๆ ศาสนา ให้พากันเข้าใจ ด้วยเหตุนี้น่ะ ด้วยทุกคนที่อยู่กันในโลกนี้ เกือบ 8,000 ล้านก็มีความเห็นถูกต้อง ความเข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง เราจะได้ทำสิ่งที่ถูก มันจะได้ง่าย ทุกคนที่ทั้งคนทั้งสัตว์ คือผู้ที่เป็นญาติเวียนว่ายตายเกิดกัน ถ้าเราเอาตัวตนเป็นใหญ่ เราก็จะทำร้ายเพื่อนที่ร่วมเกิดแก่เจ็บตาย เราจะเอาความหลงเป็นที่ตั้งไม่ได้ เราก็ต้องกลับมาหาสติหาสัมปชัญญะ เมื่อทุกคนมีสติสัมปชัญญะ และมีความเห็นถูกต้องความเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ความดับทุกข์มันก็จะมีอยู่กับเราทุกคนทุกแห่ง อยู่ในชีวิตประจำวันอยู่ในอิริยาบถทั้ง 4 เราจะได้หยุดอบายมุขหยุดอบายภูมิ พัฒนาวิทยาศาสตร์แล้วก็ต้องพัฒนาใจไปพร้อมๆ กัน เป็นความดับทุกข์ได้ แก้ปัญหาได้ มันเป็นธรรมเป็นยุติธรรม ที่ว่าศาสนาพุทธของเรา ที่ประชากรของพุทธ เอาตัวตนเป็นหลัก ทิ้งความถูกต้องทิ้งความเป็นธรรมทิ้งความยุติธรรม
พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๔ ของเมืองไทย จึงได้ตั้งคณะธรรมยุต คือประกอบด้วยธรรมะ ถ้าเราเข้าใจแล้ว ก็ให้พากันรู้จักว่า ศาสนานี้ไม่ใช่ธรรมยุตไม่ให้มหานิกาย หรือว่าทุกศาสนาคือธรรมะคือการดับทุกข์ คือความเป็นธรรม คือความยุติธรรม เราท่านทั้งหลายต้องเข้าใจพระศาสนา อย่าเข้าใจว่าพระศาสนาเป็นตัวเป็นตน มันไม่ใช่มัน มันเสียหาย เพราะคนรุ่นใหม่คิดว่าพระศาสนาเป็นสิ่งที่หลงงมงาย เป็นไสยศาสตร์ ความจริงมันคือสิ่งที่เราเอาตัวตน เอาตัวตนนั้นมันคือไสยศาสตร์ พระศาสนาน่ะมันคือความเห็นถูกต้อง ความเข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง มีสติสัมปชัญญะมีความสุขในการประพฤติปฏิบัติ มีการเรียนหนังสือ เรียนหนังสือจบ มันก็มีการทำงาน ทำงานมันก็มีความสุข ทุกท่านทุกคนมีความสุขอยู่ในตัว เพราะมีสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง เดี๋ยวนี้โลกพัฒนาไปไกลแล้ว ไม่กี่วินาทีก็รู้กันทั่วถึงแล้ว เราต้องรู้คุณค่า ของหมู่มวลมนุษย์ คือชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ พระมหากษัตริย์ คือผู้นำของทุกท่านทุกคนที่เอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นใหญ่ จะเป็นพระมหากษัตริย์หรือจะเป็นประธานาธิบดีก็ต้องปรับตัวเข้าหาธรรม อย่างนี้ๆ ไม่ต้องไปเป็นอย่างอื่น มันต้องเป็นสติ สตินี้เขาเรียกว่าสมถะ สัปปะชัญญะคือรู้ตัวรู้ตน เรียกว่าวิปัสสนา คือต้องรู้ว่าทุกอย่างจะเอาตัวตนเป็นหลักไม่ได้ เพราะแบบนี้แหละทุกๆ คนต้องเข้าใจ ความดับทุกข์มันเป็นอยู่อย่างนี้แหละ มันไม่ได้อยู่ไกล มันอยู่ในชีวิตประจำวันของเรา แต่ก่อนเราไม่รู้น่ะ มันวิ่งตามอวิชชา วิ่งตามความถือตัวถือตน วิ่งตามความหลง ถือพรรคถือพวก มันเลยไม่มีความสมัครสมานสามัคคี เอาตัวตนเป็นหลัก เอาตัวตนเป็นใหญ่ มันจะไปมีความสามัคคีได้ยังไง ที่มันรวมกันมันก็รวมกันเป็นแก๊ง มันไม่ใช่ธรรมะของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ใช่นิติบุคคล พระพุทธเจ้าก็คือข้อปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์ หาใช่ตัวใช่ตนไม่
ก่อนที่ท่านจะดับขันธ์สู่ปรินิพพาน ท่านพระอานนท์ก็ถามพระพุทธเจ้าว่า จะเอาอะไรมาแทนพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสว่า พระพุทธเจ้าที่แท้จริงคือพระธรรมพระวินัย
ในมหาปรินิพพานสูตร พระพุทธองค์ตรัสแก่พระอานนท์ในวันที่จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน ความตอนหนึ่งว่า – สิยา โข ปนานนฺท ตุมฺหากํ เอวมสฺส อตีตสตฺถุกํ ปาวจนํ นตฺถิ โน สตฺถาติ, น โข ปเนตํ อานนฺท เอวํ ทฏฺฐพฺพํ. ดูก่อนอานนท์ บางที่พวกเธอจะพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า ปาพจน์มีพระศาสดาล่วงแล้ว พระศาสดาของพวกเราไม่มี ข้อนี้พวกเธอไม่พึงเห็นอย่างนั้น
โย โว อานนฺท มยา ธมฺโม จ วินโย จ เทสิโต ปญฺญตฺโต, โส โว มมจฺจเยน สตฺถา. ธรรมก็ดี วินัยก็ดีอันใด อันเราแสดงแล้วบัญญัติไว้แล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้นจักเป็นศาสดาแห่งพวกเธอโดยกาลล่วงไปแห่งเรา
คำว่า “ปาพจน์” หมายถึง พระธรรมวินัยคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า อันเป็นตัวพระศาสนา คำว่า “ปาพจน์มีพระศาสดาล่วงแล้ว” หมายความว่า พระศาสดาผู้เป็นเจ้าของคำสอน (คือพระธรรมวินัย) บัดนี้ล่วงลับดับขันธ์ไปแล้ว เหลือแต่คำสอน
คำว่า “พระศาสดาของพวกเราไม่มี” ขยายความว่า แม้จะยังเหลือคำสอนอยู่ แต่เมื่อตัวผู้สอนไม่มีแล้ว คำสอนนั้นก็ไม่มีความหมายอะไร เหมือนกับว่าไม่มีพระศาสนาเหลืออยู่อีกแล้ว หมายความว่า ต่อไปนี้ใครจะทำผิดทำถูกอย่างไร ก็ไม่มีใครที่จะมาคอยกวดขันชี้ผิดชี้ถูกอีกแล้ว สิ่งที่ห้ามทำ ไปทำเข้า ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครมาว่าอะไร สิ่งที่บอกให้ทำ แม้ไม่ทำ ใครจะมาว่าอะไรกันได้ แปลว่าใครจะทำอะไรหรือไม่ทำอะไรก็ได้ ตามสบาย
พระศาสดาได้ตรัสเตือนไว้ว่า - อย่าได้คิดอย่างนั้น
ทรงยืนยันว่า พระธรรมวินัยที่ทรงแสดงไว้บัญญัติไว้ยังอยู่เป็น “สตฺถา” คือเป็นพระศาสดาแทนพระองค์ นั่นคือพระศาสดาจะยังคงอยู่กับพระศาสนาตลอดไป ตราบเท่าที่พระธรรมวินัยยังอยู่
พวกเราทุกคนต้องอย่าเอาตัวตนเป็นหลัก อย่าเอาตัวตนเป็นใหญ่ จะพากันไปแตกแยกสามัคคีกัน มันแย่งขยะกัน มันทำลายหมู่มวลมนุษย์ แบบนี้มันไม่ได้ มันหลงไปเรื่อย หลงน้ำเมาหลงสตรีหลงบุรุษหลงอะไรต่างๆหลงบันเทิงอะไรต่างๆ ทุกคนต้องพากันมารู้จัก ความเป็นพระน่ะมันอยู่ทุกหนทุกแห่งในแต่ละที่ต้องมีแต่ความสุขอยู่ทุกคนทุกแห่ง ชีวิตของเราก็จะสงบเย็นเป็นพระนิพพาน หรือว่าเป็นสันติ มันเป็นการหยุดวัฏสงสาร
โลกเรานี้ไม่รู้ว่ามีสงครามโลกไม่รู้กี่รอบ นี่ก็เพราะมันไม่รู้เหตุเกิดทุกข์เลย ทุกท่านทุกคนต้องรู้ทุกข์ มันอยู่ที่ตัวของท่านนั่นแหละ อยู่ที่ท่านมีความเห็นถูกต้อง มีความเข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ถ้าทำกิจกรรมทุกอย่างวันหนึ่งคืนหนึ่ง 24 ชั่วโมง ก็ต้องนอน 6 ชั่วโมง ไม่เกิน 8 ชั่วโมง จะไปคอร์รัปชั่นเวลานอนไม่ได้ เพราะการงานคือความสุข เขาเรียกว่า มันเป็นอริยมรรคมีองค์ 8 เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี ประชาชนความสุขความดับทุกข์มันไม่ได้อยู่ที่การเป็นเศรษฐีเป็นอะไรนะ เป็นมหาเศรษฐีถ้าไม่มีความสงบมันก็ดับทุกข์ไม่ได้ มันก็จะวิ่งตามมาร้องโอ๊ยๆๆๆๆๆ ร้องตามไปหาความสุขความดับทุกข์ ความสุขความดับทุกข์มันไม่ต้องไปวิ่ง หา ถ้าเข้าใจถูกต้องมันไม่ต้องไปหาเพิ่ม มันไม่ต้องไปละ สติสัมปชัญญะมันจะอบรมในกิจกรรมของเรา ในชีวิตประจำวันอย่างนี้ เราจะได้ส่งบอลถ้าเป็นนักกีฬา ถ้าเป็นหมู่มวลมนุษย์จะได้ส่งธรรมให้กับลูกหลาน เราจะได้ฉลาด เราพากันมาเป็นตัวกูของกู นี้ไม่ได้ เพราะว่าจะมาเอาผลประโยชน์ เราต้องเอาธรรมเป็นหลักเป็นใหญ่ นี่จึงจะเป็นความสุขที่แท้จริง ที่เป็นการทำที่สุดแห่งกองทุกข์
เหตุที่คนต้องก่อกรรมทำเข็ญ ก็เพราะแย่งลาภ แย่งยศ แย่งเปลือกที่ห่อหุ้มร่างกายของคน มนุษย์ทุกวันนี้วัดคุณค่าของคนกันที่เปลือก ยิ่งมีเปลือกหนามากเท่าใด ก็แสดงถึงความเป็นคนมาขึ้นเพียงนั้น แต่ความเป็นจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ บางทีคนบางคนยิ่งเปลือกหนามาก ยิ่งมีความเป็นคนน้อยลงทุกที ความเป็นมนุษย์อันสมบูรณ์ทั้งร่างกาย และจิตใจนั้น อาจจะอยู่ในเรือนร่างของบุคคล ที่สังคมกันรังเกียจก็ได้ สังคมยิ่งปลอมมากขึ้นเท่าใด ก็ย่อมรังเกียจของแท้มากขึ้นเพียงนั้น มนุษย์เรายิ่งแสวงหาความสุข ชอบใจในความสุขปลอมๆ มากขึ้นเพียงใด ความสุขที่แท้จริงก็ลดลงมากเพียงนั้น ยศศักดิ์ ตำแหน่ง ฐานะ เหล่านี้เป็นเปลือกของคน เป็นสิ่งที่หุ้มห่อมิให้เห็นตัวคนจริง บางคนหลงใหลในเปลือกของตน จนความเป็นมนุษย์ไม่เหลืออยู่ในเรือนร่างเลย
ถ้าคนมีจิตสำนึก ย่อมรู้จักคุณค่าของคนบ้าง ว่าอยู่ที่ความดีงาม ความมีเมตตากรุณา รู้จักหวั่นใจในความทุกข์ของผู้อื่น และไม่แสวงหาความสุขเพื่อตน โดยเบียดเบียนผู้อื่นให้เดือดร้อน
คำสอนของพระพุทธเจ้าที่ว่า “ถ้าต้องการความสุข ก็จงลดความอยากให้น้อยลง” จากหนังสือพระอานนท์พุทธอนุชา ถ้าเราถือตามพระดำรัสของพระศาสดาความเดือดร้อนวุ่นวายก็จะหมดไป ความสงบร่มเย็นก็จะเกิดแก่ตัวเอง และสังคมประเทศชาติ ทุกวันนี้คนไม่รู้จักคำว่าพอ จึงเดือดร้อน ต้องแย่งชิงกัน ด้วยเล่ห์เหลี่ยมอันไม่ชอบธรรม
“ความพอจะไม่มี ถ้ามนุษย์ไม่จำกัดขอบเขตแห่งความพอของตนไว้ มนุษย์ส่วนมากมิได้จำกัดของเขตแห่งความพอไว้ สิ่งที่ได้มาจึงเป็นเหมือนเชื้อไฟ มาเพิ่มความต้องการอย่างใหม่เจริญขึ้นรุนแรงมากขึ้น กระเถิบไปข้างหน้าอยู่เรื่องๆ ไม่มีที่สิ้นสุด มนุษย์ได้พากันแสวงหาสิ่งภายนอกมาบำรุง ปรนเปรอตนก้าวขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ไม่เคยพบจุดอิ่ม เหมือนไฟไม่อิ่มด้วยเชื้อ เขาจะไม่พบความสงบสุข หรือสมปรารถนา ที่ถาวรแท้จริงได้ แต่เมื่อใดบุคคลใดมากำหนดรู้ความอยากอันไม่มีที่สิ้นสุด แล้วละความอยากในส่วนที่ไม่จำเป็นเสีย ดำรงชีวิตอยู่อย่างง่ายๆ แต่ขยัน และเสียสละ พัฒนาสร้างสรรค์ ทำให้ผู้อื่นมากกว่าสะสมไว้เพื่อตัวเอง เมื่อนั้นแหละเขาจึงจะได้พบกับความสุขที่แท้จริง คนส่วนมากประพฤติตนตามความอยาก ตกอยู่ใต้อำนาจของความอยาก มีใจพร่องอยู่เป็นนิตย์ ต่อเมื่อความตายมาถึง มัจจุราชมาเยือน และดึงตัวเขาไป เขาก็ต้องละสมบัติทั้งปวงไป ญาติพี่น้องบริวารก็ต้านทานไม่ได้ เขามาคนเดียวและไปคนเดียวตามกรรมของตนๆ ผู้สั่งสมบาปไว้ย่อมต้องประสบทุกข์ในโลกหน้า ส่วนผู้สั่งสมบุญไว้ย่อมประสบสุข บุญบาปนี้ต่างหากที่จะติดตามเขาไป เป็นสมบัติของเขา หาใช่สมบัติภายนอกไม่ ด้วยเหตุนี้ ผู้มีปัญญาเห็นประจักษ์ จึงควรสั่งสมความดี ไม่เบื่อหน่ายในการสั่งสมกรรมดี”
ความเมาในอำนาจ เป็นแรงผลักดันที่มีพลังมากพอให้คนทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้มีอำนาจยิ่งขึ้น พร้อมๆ กันนั้นมันทำให้เขาลืมทุกสิ่งทุกอย่าง หัวใจที่เร่าร้อนอยู่แล้วของเขา ถูกเร่งให้เร่าร้อนมากขึ้น ด้วยความทะยานอยากอันไม่มีขอบเขต ไม่ทราบว่าจะไปสิ้นสุดที่ตรงไหน วัตถุอันวิจิตรตระการตานั้น ช่วยเป็นเชื้อให้ความทะยานอยากโหมแรง กลายเป็นว่ายิ่งมียิ่งอยากใหญ่ แม้จะมีเสียงเตือน และเรียกร้องอยู่ตลอดเวลาว่า ศีลธรรมเป็นเครื่องค้ำจุนสังคม และคุ้มครองโลก แต่บุคคลผู้รับรู้ และพยายามประคับประคองศีลธรรมมีน้อยเกินไป สังคมมนุษย์จึงวุ่นวาย และกรอบเกรียมอย่างน่าวิตก
ความทุกข์ยากลำบาก และความดิ้นรนต่างๆ ของเพื่อนมนุษย์ ซึ่งกระเสือกกระสนไปด้วยดวงใจที่ว้าเหว่ ไร้ความหวังรวมทั้งตัวอย่างชีวิตแห่งผู้ทุจริต คดโกง แล้วประสบภัยพิบัติในบั้นปลาย น่าจะเป็นบทเรียนที่ดียิ่ง แต่ บุคคลผู้มุ่งแต่ความสุขสำราญของตน ย่อมไม่อาจมองเห็นสิ่งเหล่านี้ได้ จนกว่าภัยพิบัตินั้นได้มาถึงตัวเอง จึงจะคิดได้ แต่ทุกอย่างก็สายเสียแล้ว เมื่อเขาต้องรับชะตากรรมด้วยตัวของเขาเอง
คนชั่วเมื่อขณะทำชั่วอยู่ และกรรมชั่วยังไม่ให้ผล เขากระหยิ่มยินดีว่าเขาเก่งกล้าสามารถ ทำอย่างนั้นได้ทำอย่างนี้ได้ ไม่มีใครว่าอะไร ไม่มีใครกล้าทักท้วง เขายิ่งเหิมเกริมทำชั่วต่อไปอย่างเมามัน แม้ผู้หวังดีจะตักเตือนท้วงติง ก็ดูหมิ่นผู้ตักเตือนนั้นว่า เป็นผู้เยาว์บ้าง มีศักดิ์น้อยกว่าตนบ้าง เขาหลงตนหลงอำนาจวาสนาอันเป็นของเขาชั่วคราว แต่เมื่อใดกรรมชั่วอันเขาสั่งสมวันละน้อยเพิ่มพูนมากขึ้น และวิบากแห่งกรรมดีเก่าก่อน ก็ร่อยหรอลงวันละน้อยจนหมดสิ้น ไม่มีแรงต้านทานอีกแล้ว เมื่อนั้นเขาต้องเสวยผลกรรมอันทารุณแสบเผ็ด โดยไม่มีสิ่งใดทัดทานได้ ในเวลานั้นแม้จะรู้สึกตัว แต่ก็แก้ไขอะไรไม่ได้เสียแล้ว
เมาบุญ เมาโลกธรรม การเมาบุญยังมีระดับการเมาที่หลงไปในระดับที่ลึกยิ่งกว่า นั่นคือเมาบุญในระดับหลงโลกธรรม คือหลงยึดติด ลาภยศ สรรเสริญ สุข
เมาบุญหลงลาภ เช่น การทำทานที่เข้าใจไปว่าจะนำมาซึ่งความเจริญ เช่นคิดว่าทำทาน 1 พัน แล้วจะได้กลับมา 1 ล้าน หรือคิดว่าทำบุญ 1 ล้านแล้วจะสามารถซื้อนิพพาน ซื้อสวรรค์วิมานอยู่ได้ ตายไปจะได้ขึ้นสวรรค์ เป็นการหลงเมาบุญในเชิงของลาภหรือในลักษณะของการเอาลาภไปแลกลาภ
เมาบุญหลงยศ เช่น การที่เขาเหล่านั้นได้มีโอกาสดูแลใกล้ชิดพระเกจิอาจารย์ หรือพระดังต่างๆ บางครั้งถึงขนาดใช้เวลาไปเสาะหา ติดตามพระดังทั้งหลาย พระรูปไหนที่เขาว่าดีก็ตามไปหมด เพื่อที่จะเสริมคุณค่าและบารมีให้กับตัวเอง หลงมัวเมาไปว่าพระดัง หรือวัดดังเหล่านั้นจะเป็นบุญบารมีคุ้มกันภัยให้ตนเองได้ หรือถึงขั้นเอาครูบาอาจารย์ไปอวดอ้างเพื่ออวดเบ่งบารมีของตนเอง ว่าฉันนี่แหละที่เป็นศิษย์ท่านนั้นท่านนี้ ฉันดูแลพระรูปนั้นรูปนี้ เพราะมัวเมาหลงบุญหลงยศไปพร้อมๆ กัน
เมาบุญหลงสรรเสริญ เช่น การมีความอยากในการเป็นประธานของงานบุญใหญ่ งานกุศลสำคัญต่างๆ หลงคิดว่าการที่ตนได้เป็นประธานนั้นจะนำมาซึ่งบุญที่มากกว่า ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เกิดจากความเมาสรรเสริญร่วมด้วย คืออยากให้คนเคารพนับหน้าถือตา ให้คนเขามาชม ให้มีเรื่องไปอวดชาวบ้าน ว่าเป็นตนนี้เป็นผู้ใหญ่ที่ใจบุญน่าเคารพยกย่อง จึงชอบไปทำบุญทำทานเพื่อการได้หน้า เพราะเขาเหล่านั้นหลงมัวเมาไปในบุญพร้อมกับเมาสรรเสริญ
เมาบุญหลงสุข เช่น ผู้ที่ทำบุญทำทานทั่วไป เมาไปในการทำบุญ หลงสุขติดสุข ในระดับเสพติดการทำบุญทำทานในลักษณะของทางโลก หวังแต่สวรรค์ เขาเหล่านี้จะหลงมัวเมาในบุญโลกียะเหล่านี้ ทำให้ติดหลงสุข ไม่ปฏิบัติในธรรมที่สูงกว่า ดีกว่า วิเศษกว่า นั่นคือศีล สมาธิ ปัญญา เพราะมัวแต่พอใจกับกุศลทางโลก จึงเป็นความมัวเมาที่มาบดบังกุศลที่แท้จริง
เราจะเห็นผู้ที่เมาบุญในระดับของโลกธรรมเหล่านี้ได้ไม่ยากนัก โดยเฉพาะผู้ที่เริ่มจะมีความสมบูรณ์ในชีวิต มีการงานดี มีครอบครัวดี มีลูกน้องบริวารดี เขาเหล่านั้นก็จะเริ่มหากิเลสในระดับที่มากขึ้นมาปรนเปรอตัวเอง โดยการเลือกมัวเมาไปกับ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ซึ่งเขาหลงเข้าใจไปว่าสิ่งเหล่านั้น จะทำให้ตัวเขามีความสุข
เมาบุญในระดับอบายมุข และถ้าหากมัวเมาในบุญมากๆ ก็มักจะหลงไปในการเมาถึงระดับของเดรัจฉานวิชา ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำและหยาบ เพราะขาดปัญญาสัมมาทิฏฐิ นอกจากจะไม่เกิดบุญอย่างที่เข้าใจแล้ว ยังสร้างความหลงมัวเมาบาปอกุศลในระดับที่มากอีกด้วย
คนที่เมาบุญจนขาดสติ มักจะไปหลงมัวเมาในผู้บวชเป็นภิกษุ หรืออาจารย์ที่ทำเดรัจฉานวิชา แล้วหลงเข้าใจว่าสิ่งนั้นคือบุญคือกุศล สิ่งนั้นคือศาสนา สิ่งนั้นคือสิ่งดี เช่น ทายนิมิต ทำนายฝัน ทำพิธีเป่าเสก ทำนายทายทักวัตถุ คน สัตว์ สิ่งของ หมอผี หมอลงยันต์ ดูฤกษ์ ดูดวง ดูดาว ทำนายฟ้าฝน ทรงเจ้า ทำพิธีเชิญขวัญ พิธีบนบาน การแก้บนต่างๆ ฯลฯ
เหล่านี้คือเดรัจฉานวิชา คือวิชาที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา เป็นวิชาที่พาโง่ โดยคนโง่ เพื่อคนโง่ พาให้หลงมัวเมาในกิจกรรมอันไม่เป็นกุศล ไม่เป็นบุญ ไม่พาลดกิเลส ไม่พาพ้นทุกข์ พระพุทธเจ้าท่านไม่สรรเสริญ ท่านให้เว้นเสียจากกิจกรรมพิธีรีตองพวกนี้ คนที่หลงมัวเมาไปก็มีแต่จะเพิ่มทุกข์ คนที่ใช้วิชาเหล่านี้ก็มีแต่จะเพิ่มวิบากบาปให้ตนเอง เพราะไปทำให้คนอื่นหลงมัวเมา เพื่อแลกกับการเสพ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข และเป็นการเพิ่มกิเลสของตัวเองด้วย
เรื่องการกินการดื่มการเสพนี้ส่วนใหญ่ก็มาจากพ่อจากแม่มาจากการคบเพื่อนเกรดต่ำ มาจากการคบคนพาล มาจากการคบคนไม่ได้มาตรฐาน พ่อแม่ต้องบอกสอนลูก คุณครูก็ต้องบอกสอนลูกศิษย์ อันไหนดีไม่ดีต้องสอนให้รู้ให้ชัดเจน มงคลชีวิตจะเกิดขึ้นมาก็เริ่มต้นที่การคบคนดี เห็นไหมพ่อแม่หัวดีสายพันธุ์ก็ดี ก็มาจากพ่อจากแม่ การเรียนการศึกษาก็เช่นเดียวกัน อันไหนไม่ดีเราอย่าไปทำตามเพื่อนตามฝูง เพราะทุกอย่างนั่นแหละ การเสพของเราที่เสพทางตาหูจมูกลิ้นกายใจคือการมีเพศสัมพันธ์ มันจะไปตามสิ่งแวดล้อม ตัวนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ เราก็ดูตัวอย่างแบบอย่างประวัติศาสตร์ มันไม่เพี้ยนหรอก การเสพหรือว่าถูกต้องสัมผัสอะไรก็ต้องให้มีปัญญา มันจะได้พัฒนาตนเองในปัจจุบัน ที่มันเป็นภาพรวมของโลกหรือของประเทศที่หลงเสพกันอยู่ รู้ว่ามันผิดแต่ทำกันมากจนเป็นประชาธิปไตย ถึงจะเป็นประชาธิปไตยก็จริงแต่มันก็ผิด พระพุทธเจ้าถึงสอนให้ครอบครัวพ่อแม่ก็ต้องมีความเห็นไปในทางเดียวกันเป็นสัมมาทิฏฐิ เรียกว่ามีความประพฤติเหมือนกัน มีศีลเสมอกัน มีสมาธิความตั้งมั่นเหมือนกัน มีปัญญาเหมือนกัน
อย่างเราไปอยู่วัดไหน จะเป็นพระอรหันต์เป็นพระอริยะเจ้าได้ ก็ต้องมีครูบาอาจารย์มีตัวอย่างแบบอย่างในการประพฤติปฏิบัติ เพราะฉะนั้น ท่านถึงว่าการได้เห็นพระพุทธเจ้าเป็นบุญเป็นกุศลเยอะ เพราะว่าเป็นบัณฑิตที่แท้จริง การได้เห็นพระอรหันต์พระอริยเจ้า ก็ได้บุญเยอะ ได้ฟังธรรมคำสั่งสอนได้ถวายทานก็มีบุญใหญ่มีอานิสงส์ใหญ่ การจะเปลี่ยนแปลงตัวเองมันก็ต้องทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ เราอย่าไปกลัวมันอดกลัวมันยากลำบาก เราต้องเข้มแข็งอดทนปฏิบัติอย่างนี้ เราจะไปใจอ่อนไม่ได้
ถ้าเราเข้าใจธรรมะแล้ว ธรรมะกับการงานต้องไปด้วยกัน ไม่ใช่หยุดการงานมาปฏิบัติธรรม การงานคือการปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมคือการทำงาน เรียกว่าอริยมรรคมีองค์แปด การพัฒนาจิตใจของเรา มันต้องพัฒนาให้ติดต่อต่อเนื่อง มันได้จะได้ดับเย็นเป็นพระนิพพาน
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee