แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันอาทิตย์ที่ ๑๓ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง เข้าพรรษาเข้าหาธรรม ตอนที่ ๑๒ โลกนี้มืดด้วยความหลง สัตว์โลกส่วนใหญ่เป็นผู้มืดบอด มีน้อยคนที่มีปัญญาเห็นแจ้ง
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ประชากรผู้ที่เกิดมาปัจจุบันนี้มี 7000 เกือบ 8000 ล้านคน ให้ทุกคนมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ไม่เว้นสักคนนึง เพราะความจริงก็คือความจริง เพราะความจริง ก็คือเราต้องรู้อริยสัจ 4 คือ รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ หมู่มวลมนุษย์นี้มีความจำเป็นต้องพัฒนาวิทยาศาสตร์ พร้อมกับพัฒนาใจไป พร้อมๆ กัน ทุกอย่างมันจะได้มีแต่คุณ เราจะได้เอาทุกอย่างมาทำที่สุดแห่งความดับทุกข์ หรือความไม่มีทุกข์ ทุกท่านทุกคนจะไปทำตามใจ ทำตามอารมณ์ ทำตามความรู้สึกนึกคิดไม่ได้ ที่เราเกิดมานี้เรียกว่าสถาบันทั้ง ๓ ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ หรือจะเป็นประธานาธิบดีก็ดี ถือว่าอยู่ในสถาบันทั้ง ๓ ที่มีหารปกครองระบบประชาธิปไตย หรือว่าระบบสังคมนิยม
ทุกท่านทุกคนก็ต้องให้พากันเข้าใจว่า มันต้องพากันปรับเข้าหาธรรมะ เข้าหาความเป็นธรรม ความยุติธรรม ทุกคนเราจะตามอัธยาศัยไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นประเทศชาติของเรา ครอบครัวของเรา ลูกของเรา เข้าสู่ความสงบ ความดับทุกข์ไม่ได้ เพราะคำว่าประชาธิปไตย คือพวกที่มีความเห็นเหมือนๆ กัน ออกกฏหมายบ้านเมือง สังคมนิยมแต่ 2 อย่างนี้ ก็ยังถือว่ามันเป็นตัวเป็นตน มันดับทุกข์ไม่ได้ แก้ปัญหาไม่ได้ มันต้องเข้ามาหาจุดศูนย์กลาง สิ่งที่เรียกว่าธรรมะ สิ่งที่เรียกว่าศาสนา ศาสนานี้ก็เอาให้มันเป็นกลางๆ ไป เพราะศาสนาแต่ละศาสนามันก็เป็นชื่อ เค้าเรียกว่ามันเป็นสมมุติ เพราะคนเราจะชื่อเดียวกันหมดทั้ง 8000 ล้านคน ชื่อเดียวกันคงไม่ได้ เราต้องพากันเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจแล้วก็จะเอาแต่พรรค แต่พวก เอาแต่ตัว เอาแต่ตน มันไม่ได้ มันไม่ใช่ความถูกต้อง มันไม่ใช่ความเป็นธรรมความยุติธรรม ทุกคนต้องไม่เอาผลประโยชน์อะไร เพราะเราดำเนินชีวิตเพื่อผลประโยชน์ แต่การดำเนินชีวิตเราเพื่อทำที่สุดแห่งความดับทุกข์ ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ เพราะเราเกิดมาเพื่อเสียสละ ซึ่งตัวซึ่งตน ด้วยความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง เป็นการพัฒนาสติสัมปชัญญะในปัจจุบันของทุกคน ต้องเข้าใจอย่างนี้ เรียกว่าเข้าใจอริยสัจ 4 คือเข้าใจเรื่องทุกข์ เรื่องเหตุเกิดทุกข์เรื่องข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์
คนเราทำถูกต้องมันเป็นการที่เราไม่ได้ไปเพิ่ม เราไม่ได้ไปลด เพราะอันนี้เป็นความจริง เป็นสัจธรรมในชีวิตประจำวัน ผู้ที่ยังไม่เป็นนักบวชก็อยู่ในศีล ในธรรมของประชาชนที่ยังไม่เป็นนักบวช ผู้ที่เป็นนักบวชก็ต้องถือศีลอย่างนักบวช ที่ทุกคนก็ยอมรับกัน ว่าโครงสร้างของโลกนี้ก็คือ ชาติ ศาสน์ กษัตย์ หรือประธานาธิบดี มันก็ต้องเอาธรรมะเป็นหลัก เอาธรรมะเป็นใหญ่ เอาธรรมะเป็นที่ตั้ง ถ้าเราทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ มันก็ง่ายขึ้น เพราะทุกตนต้องพากันเข้าใจ เพราะอายุขัยของเราทุกคน มันก็ไม่เกิน 100 กว่าปี เราก็ต้องส่งสิ่งที่ดีให้กับลูกกับหลาน ให้กุลบุตร ทุกหนทุกแห่งมันจะดีขึ้น เอาการดำเนินวิถีชีวิต เอาให้มันเป็นศีลเป็นธรรม เป็นคุณธรรม พวกตำรวจ ทหาร พวกที่ควบคุมความไม่สงบทางบ้านเมือง ที่แย่งขยะกันนี่ มันก็จะได้น้อยลง เพราะอันนั้น มันไปแก้ปัญหาปลายเหตุ ปัญหาต้นเหตุก็คือ เราไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์
เราไม่มีความสุขในการทำให้ถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง เราไม่มีความสุขในการเรียนหนังสือ เราไม่มีความสุขในการทำงาน มันก็ต้อง ขาดแคลนทรัพยากรเพื่อที่จะแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ที่ทุกคนได้เกิดมามันต้องมีอาหาร มีที่พัก มีสิ่งอำนวยความสะดวก ความสบาย ทุกคนที่กล่าวมาแล้วเมื่อวานก่อน ทุกคนต้องน้อมตัวเองเข้าสู่ธรรมะ ไม่มีสิทธิที่จะเอาตามอัธยาศัย ต้องปรับเข้าหาเวลา เราจะได้พัฒนาทุกคน เพราะความสุข ความดับทุกข์นั้น มันอยู่ทุกหนทุกแห่ง ถ้าเราเข้าใจอ่านออก เขียนได้ แล้วก็ไปอ่านไปเขียนทุกหนทุกแห่ง ที่เราเป็นอยู่ที่พระพุทธเจ้าบอกว่าอริยมรรคมีองค์ 8 มันจะอยู่ในชีวิตประจำวันของเรา ไม่ใช่แต่นักบวชอย่างเดียว มันต้องประชาชนผู้ที่ดูแลครอบครัว ผู้ที่ดูแลประเทศชาติ ดูแลพระศาสนา มันก็ต้องไปพร้อมๆ กัน
เราจะไปแยกการปกครองออกจากธรรมะ ธรรมะออกจากการปกครองไม่ได้ มันไม่ถูก มันเสียหาย เพราะชีวิตของเราต้องเป็นธรรมะ เป็นอริยมรรคมีองค์ 8 เพราะสิ่งนี้มี สิ่งต่อไปมันถึงมี ถ้าเราจะว่ายากมันก็ยากอยู่ เพราะเราทุกคนต้องพากันเข้าใจ เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ มันก็ง่าย ทุกวันนี้สื่อสารมวลชน หรืออะไรมันก็ไม่เหมือนสมัยโบราณแล้ว สมัยโบราณระยะทาง 30-40 กิโลเมตร กว่าจะเดินไปถึงกันก็เป็นวัน สองวัน แต่เดี๋ยวนี้สื่อสารมวลชน สามารถให้ทุกคนรับรู้ภายในไม่กี่นาทีแล้ว ถ้าเราคิดอย่างนี้มันก็ง่าย เราทุกคนให้พากันเข้าใจในตัวเรา ในครอบครัวเรา ในชาติ ศาสนา ให้ถูกต้อง มันจะไม่ได้เป็นเหมือนเก่า ที่เรามีการเรียน การศึกษาตั้งแต่ประถม จนจบปริญญาเอก จะได้เอามาใช้งาน ที่เราเรียนหนังสือพระธรรมคำสั่งสอน จากนักธรรมตรี จนถึง ป.ธ.9 จะได้เอามาใช้งาน เพื่อมันจะได้เป็นกิจกรรม เป็นชีวิตประจำวันของเรา เพราะความสุขความดับทุกข์ มันไม่ได้อยู่ไกลหรอก อยู่ที่เราอยู่ทุกหนทุกแห่ง เหมือนที่กล่าวไปวันก่อน มันอยู่ที่ปัจจุบัน เพราะสิ่งนี้มี สิ่งต่อไปมันถึงมี เราจะได้หยุดฟุ้งซ่านของตัวเอง ชีวิตของเราก็จะได้สงบเย็น เราจะได้รู้จักความดับทุกข์ที่แท้จริง ไม่ใช่อยู่กับความฟุ้งซ่าน ความปรุงแต่ง ทุกคนอย่าไปถือทิฏฐิมานะ อย่าไปถืออัตตาตัวตน ถ้าถือทิฏฐิมานะอัตตาตัวตน มันแก้ไม่ได้ เพราะอันนั้น มันไม่ถูกทาง มันไม่ใช่ดับทุกข์ได้อัตตาตัวตน เราต้องเอาธรรมะเป็นหลัก เอาธรรมะเป็นใหญ่
พระผู้มีพระภาคตรัสต่ว่า "โลกนี้มืดยิ่งนัก สัตว์โลกส่วนใหญ่เป็นผู้มืดบอด มีน้อยคนที่มีปัญญาเห็นแจ้ง และมีคนจำนวนน้อยที่ไปสวรรค์ เหมือนนกที่ติดข่ายแล้ว ที่รอดพ้นจากข่ายของนายพรานได้นั้นมีน้อยนัก”
โลกนี้มืดยิ่งนัก มืดอยู่ด้วยอวิชชาและความหลงผิด หาใช่ความมืดของอากาศโลกไม่ แต่หมายถึงสัตว์โลก สัตว์ทั้งหลายที่อาศัยอยู่ในโลก เขาอยู่ในความมืดจนเคยชินกับความมืดนั้น
แต่เมื่อใดเขาค่อยๆ เดินออกมาสู่แสงสว่างทีละน้อยๆ กระทั่งได้รับแสงสว่างเต็มที่ เขาจะได้การเปรียบเทียบ จึงรู้ว่าการอยู่ในความมืดนั้นเป็นความทรมาน เป็นการเสี่ยงต่ออันตรายอันน่าหวาดกลัว และการอยู่ในที่ใหม่ซึ่งเต็มไปด้วยแสงสว่างนั้นเป็นความผาสุก มีอันตรายน้อย มีโอกาสเห็นสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริงได้มากกว่า เป็นที่น่าเสียดายว่ามีคนเป็นจำนวนน้อยที่มีปัญญาเห็นแจ้งว่าอะไรเป็นอะไร ความจริงก็พอจะรู้บ้างว่าอะไรควรเว้นอะไรควรทำ แต่อะไรเล่าที่ทำให้เขาต้องตกอยู่ในห้วงแห่งความมืด อะไรเล่าที่ทำให้เขาต้องทนทรมานอยู่ในข่ายคือโมหะ อาจเป็นเพราะเขาประมาทมัวเมาเกินไป อาจเป็นเพราะเขาเห็นคุณค่าของธรรมะน้อยเกินไป หรือเพราะไม่อาจทนต่อสิ่งเร้าอันยั่วยวนต่างๆ ได้"
ทุกท่านทุกคนเราก็ต้องพากันพัฒนาตัวเอง เราจะได้พัฒนาบ้านพัฒนาเมืองเข้าสู่ศีลสู่ธรรม เขาเรียกว่าหมู่มวลมนุษย์ต้องพัฒนาให้เป็นมนุษย์ อย่าให้เป็นได้แต่เพียงคน ทุกคนมันมีความสุขความดับทุกข์อยู่แล้ว เราอย่าไปหลงให้ครอบครัวเรายากจน มันต้องมาจากเรา อย่าไปหลงตามเพื่อนตามฝูงเป็นโรคใจอ่อน เราพากันเป็นโรคใจอ่อน เราต้องเข้าใจ
การปฏิบัติมันไม่ใช่ของยาก มันเป็นของดีของประเสริฐ พวกที่อยากจะสงบทั้งหลาย มันจะไปสงบได้ยังไง มันสร้างเหตุแต่ความทุกข์ความวุ่นวาย มาถามหลวงพ่อว่าทำยังไงใจจะสงบ มันจะยากอะไร เพียงแต่หยุดตัวเอง มันจะสงบได้ไง ถ้าเรายังไปคิดไปอยาก แล้วมันจะสงบได้ยังไง เราเกิดมาเราจะมาเอาอะไร เพราะว่าทุกอย่างมันไม่ได้อยู่แล้ว ที่เราเกิดมาเพราะความโง่ เราถึงได้เกิดมา เราต้องมาหยุด มาเสียสละรู้จักอนิจจังว่ามันไม่แน่ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน มาหยุดให้มันเย็น เราจะได้รู้จักความสงบ
ทุกข์เป็นสิ่งที่เรารู้จัก ยิ่งกระโดดโลดเต้นมันยิ่งไปกันใหญ่ ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจนะ เราจะได้ถึงพระพุทธเจ้า ถึงพระธรรม ถึงพระอริยสงฆ์ในตัวเอง ทุกท่านทุกคนอย่างไปโง่หาพระภายนอก พระมันต้องเกิดที่เรา ที่ตัวเรา ที่ใจของเราอย่างนี้ ทุกคนหน่ะอย่าไปหาพระภายนอก ต้องหาพระภายในตัวเรา เราพยายามคิดให้เกิดปัญญา คือมองเห็นว่าเรามีความแก่เป็นธรรมดา มีความเจ็บเป็นธรรมดา มีความตายเป็นธรรมดา มีความพลัดพรากเป็นธรรมดา มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ เรื่องที่เรายินดีในรูป เสียง กลิ่น รส ลาภ ยศ สรรเสริญนี้หน่ะเป็นที่สิ่งที่เรารู้จัก เราต้องหยุดตัวเอง เพราะความเคยชิน คนเขาจะเลิกเหล้า เลิกฝิ่น เฮโรอีน เลิกจากผู้หญิง ผู้ชาย เขาก็ต้องหยุดตัวเอง หยุดทางกายก่อน แล้วหยุดทางความคิด พยายามหยุดมีเซ็กส์ทางความคิด มีเซ็กส์ทางอารมณ์ เราต้องหยุด เพราะการหยุดเขาเรียกว่าเป็นคำสั่ง เป็นคำสั่งของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็คือตัวเราสั่งเรา เดี๋ยวสัมมาสมาธิของเราตั้งมั่น เข้มแข็ง ใจของเราจะได้สงบ ใจของเราจะได้เย็น ต้องทำติดต่อ ต่อเนื่อง หลายปี หลายเดือน
เราจะโทษใคร เราแก่ เราเจ็บ เราตาย จะไปแก้ปลายเหตุจะไปหาแต่หมอ หมอไม่ทันใจก็ไปว่าให้หมออีก เราทุกคนต้องเข้าใจ เราเกิดมาเป็นมนุษย์ก็สัปปายะอยู่แล้ว พระธรรมของพระพุทธเจ้าตรัสไว้ให้ทุกคนเข้าใจว่าเราต้องตามธรรมะ เพราะว่าเราเป็นมนุษย์เป็นผู้ประเสริฐ ถือว่าเป็นสัปปายะระดับหนึ่ง เราทำตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าพระพุทธเจ้าบำเพ็ญพุทธบารมีมาหลายล้านชาติมาบอกเรามันสัปปายะอยู่แล้ว อาหารก็มาจากการที่เรามีความสุขในการทำงาน มีความสุขในการขยัน มีความสุขในการรับผิดชอบ มีความสุขในการอดทน มีความสุขหมายถึงไม่ก่อให้เกิดทุกข์อะไร สร้างเหตุสร้างปัจจัยตามหลักวิทยาศาสตร์ อาหารก็สบายๆ อยู่แล้ว
เป็นพระเจ้าพระสงฆ์เราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เราไม่ต้องขายเครื่องรางของขลัง เป็นหมอดูหมอเดา พากันไปดูหมอดูดวงต่อชะตาหาเงินหาสตางค์ให้มันเพิ่มความมืดให้กับประชาชนได้ยังไง ประชาชนเขาก็มืดบอดอยู่แล้ว เราอย่าไปเพิ่มความมืดบอดให้เขาอีก
พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกไม่ได้สอน อย่าไปตามใจตัวเอง อย่าไปตามอารมณ์ตัวเอง ไปขับรถขับเรือ ไปมีเงินมีสตางค์ ยังเหลือแต่มีภรรยาเป็นทางการเท่านั้นเอง เราอย่าเป็นคนเพิ่มความมืดให้กับตัวเอง การเรียนการศึกษาเราต้องพากันเข้าใจ แล้วเอาไปปฏิบัติทำวัตรสวดมนต์ถือศีลอะไรให้มันเคร่งขึ้น หยุดมีเซ็กส์ทางอารมณ์ หยุดมีเซ็กส์ทางความคิด เราจะได้หยุดทิฐิมานะ อัตตาตัวตน หยุดความมืดความดำความบอดของตัวเอง เราจะได้พากันเป็นพระธรรมเป็นพระวินัยอย่างนี้ มันจะเก่งได้ยังไง ไปปกครองคนอื่น ตนเองก็ยังเอาตัวเองไม่รอด เราจะเป็นผู้มีบุญที่ไหน เอาบุญที่ไหนไปให้เขา มีแต่บาปไปให้เขา เพราะว่ามันเป็นไสยศาสตร์เป็นความมืด ความบอดความดำให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจ ต้องพากันกลับมาทำความดี ไม่ทำบาปทั้งปวง ทำแต่บุญกุศลตั้งอยู่ในความฉลาด อย่าไปเพิ่มความโง่ให้ตัวเอง ของแซ่บๆ รำๆ ของหรอยๆมันเจ็บปวดนะ ต้องรู้จักว่าสิ่งที่เราควรจะประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อให้ตัวเองเข้าถึงความสงบความร่มเย็น เพื่อให้โลกเข้าสู่ความสงบความร่มเย็น จะได้ไม่เป็นพระกินบ้านกินเมือง ข้าราชการกินบ้านกินเมือง ตำรวจทหารกินบ้านกินเมือง เราจะได้หยุดความมืดบอด หยุดความสีดำสีเทา พยายามกลับมาหาพระธรรมพระวินัย เอากฎหมายมาใช้มาปฏิบัติ เราอย่าไปเรียนศึกษาเพื่อมาซิกแซก ซิกแซกยังไงมันก็ไปไม่พ้น เพราะเราไม่ต้องมาก๋ามากร่าง ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ต้องมาถึงเราทุกคน
พระพุทธเจ้าบอกว่า สังขารทั้งหลายทั้งปวงมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด ให้ทุกคนจัดการกับตัวเอง เราทุกคนไม่สงสารตัวเองหรอ ที่ท่องเที่ยวในสังสารวัฏ เป็นไงท่องเที่ยวในสงสารเพลิดเพลินดีไหม มันไม่น่าเพลิดเพลินนะ มันเป็นความโง่ ความหลงนะ เราต้องเข้าใจ เราต้องเดินไปพร้อมๆ กัน คือ ศีล สมาธิ ปัญญา อย่าให้มีใครมาเอาสีดำเป็นที่ตั้ง เอาสีเทาเป็นที่ตั้ง ไม่ว่าท่านจะเป็นพระภิกษุ สามเณร เป็นแม่ชี เป็นตำรวจ ทหาร ข้าราชการ ต้องเอาธรรมะเป็นหลัก เอาธรรมะเป็นใหญ่ ไม่มีใครยกเว้น เรียกว่าเดินไปพร้อมๆกัน เพื่อจะหยุดไวรัสแห่งการเวียนว่ายตายเกิด เรามันโชคดีขนาดไหน เราไม่ต้องไปหาหมอที่ไหน เพราะมันอยู่ในตัวของเราเอง เราไม่ต้องไปแก้ที่คนอื่น เราก็จะเข้าถึงความสุข ความดับทุกข์อย่างแน่นอน
ให้เรามารู้จักวิธีทำใจให้สงบ โดยอยู่กับการหายใจ อยู่กับการท่องพุทโธ มีสติกับการทำงาน กับกิจวัตร โดยเฉพาะการฝึกให้จิตใจอยู่กับลมหายใจเข้าออก อยู่กับการท่องพุทโธ เป็นสิ่งที่ต้องฝึก เช่น เมื่อเราเจ็บไข้ไม่สบาย เราเข้าสมาธิ เราต้องอาศัยอุปกรณ์ผูกจิต ผูกใจของเราให้พากันมารู้จักอารมณ์ สิ่งที่กระทบทางตา หู จมูก กาย พวกนี้เราเรียกว่าอารมณ์ เราต้องรู้จักมันให้ดี เมื่อเรารู้จักแล้ว เราพยายามที่ไม่หวั่นไหว ง่อนแง่นคลอนแคลน ไม่ว่าจะมาแบบรุนแรงหรือสวยสดงดงาม ให้เรารู้จักว่านี้เป็นเพียงอารมณ์ ถ้าเรารู้จัก เราฉลาด อารมณ์ก็จะสลายไป อารมณ์นี้มีปัญหามาก ทำให้เราเป็นประสาท หงุดหงิดที่สุดก็ทำให้เราทำตามความอยาก ชอบ ไม่ชอบ เบื่อ ไม่เบื่อ อย่างนี้ รักษากาย วาจา ใจ
มาพิจารณากาย กำหนดให้เห็นโครงกระดูกนั่งชัดเจน เดินก็ให้นิมิต เห็นโครงกระดูกทางจิตใจที่ชัดเจน นิมิตทางธรรมมันจะได้โผล่ขึ้นมาบ้าง เนปกตินี้เค้าเรียกว่าเห็นทางสัญญา มันเลยไม่ได้มองเห็นตน ว่าจะแยกแยะอะไรให้มันเด่นชัด ถ้าเราเอาสมาธิอย่างเดียว ไม่ฝึกให้มันเกิดนิมิตทางธรรม มันก็ไม่เกิดปัญญา มันก็สงบเฉยๆ มันจับนิมิตยังไม่ได้ นิมิตเราไม่เด่น กรรมฐานเรายังไม่เด่น มันก็ไม่เกิดปัญญา มันไม่น้อมไปหาวิปัสสนา ให้ใจมันรวมเฉยๆ กำหนดเห็นโครงกระดูก หรือคนกำลังเปื่อยเน่า หรือว่าน้ำเหลืองกำลังไหลหนอนยุบยับ ยุบยับ ยุบยับ น่าสะอิดสะเอียนที่สุดเลย ภาวนาให้มันเห็นอย่างนี้ เดินอยู่ก็เห็น นั่งอยู่ก็เห็น นอนอยู่ก็เห็นให้มัน เห็นด้วยปัญญาที่กำหนดขึ้นมาเป็นนิมิตที่เด่น เด่นเหมือนกับที่เรานึกเห็นภาพที่เราชอบเราหลง ให้มันเด่นอย่างนั้น ในภาพที่มันเพ่งพินิจพิจารณาให้เกิดปัญญา เรากำหนดบ่อยๆ มันก็เข้มแข็งขึ้น
เราต้องแก้อารมณ์แก้ความคิด เราต้องเห็นทุกข์เห็นโทษ เดินไปก้าวหนึ่งกลับไป ๓ ก้าวมันไม่ได้ เดินไป ๓ ก้าวกลับไปก้าวหนึ่งค่อยยังชั่วหน่อย มันยังไม่ขาดทุน ไม่มีใครช่วยเหลือเราได้เราต้องช่วยตัวเอง เราต้องแก้ ต้องรีบแก้ ต้องแก้เดี๋ยวนี้ ไม่ต้องรอ เรามีความเห็นผิด มีความคิดผิดว่าไม่เป็นไรหรอกมั้ง เราปล่อยไปอย่างนี้ วันหนึ่งเราคงสู้มันได้อะไรอย่างนี้ มันหลอกเราไปเรื่อย มันอาลัยอาวรณ์นะ เราจำเป็นที่ต้องตัดมัน ต้องทิ้งมัน อย่าไปกลัวมันหมดรสหมดชาติ หมดกิเลสนั้นมันไม่หมดรสหรอก ยิ่งรสหอม รสหวาน รสมัน สมบูรณ์ทุกอย่าง ถ้าเราออกจากสิ่งเหล่านี้มันต้องทรมานมันต้องเหี่ยวแห้ง เพราะกิเลสมันจะตาย เหมือนคนป่วยนี้ก็ทรมาน ธาตุขันธ์มันจะแยกออกจากกันอะไรแบบนี้ แต่ว่าคุณประโยชน์ของเราที่จะได้รับมันมาก
รู้อย่างนี้เราต้องยิ่งสู้กัน สู้กันอย่างสนุกนะ ถ้าไม่สู้อย่างนี้มันก็ไม่มีโอกาสสู้นะ ถ้าเราไม่สู้อย่างนี้มันก็เป็นการปฏิบัติผิดทาง มันก็ไม่ได้ทวนกระแสสิ จะขึ้นภูเขามันต้องเหนื่อย จะข้ามทะเลมันต้องลำบาก การข้ามนิวรณ์ทั้งหลายทั้งปวงนี้มันต้องเผชิญกันน่าดูล่ะ เผชิญกันอย่างสนุกสนาน เมามันล่ะ เราไม่ได้สู้เลยไม่ยอมสู้เลย แล้วก็ไม่เห็นโทษของความที่ตกอยู่ในอำนาจของมนต์ดำของกิเลส เลยคิดว่าเป็นของดีของวิเศษไป ท่านว่า เห็นกงจักรเป็นดอกบัวนะ
บางทีเราฟังดูอย่างนี้มันอาจจะยังไม่รู้จัก แต่ว่าถ้าเราผ่านไปแล้วเราถึงจะรู้จัก เราฟังคนอื่นพูดก็คิดว่าเขาเป็นบ้าอีก พูดอะไรก็ไม่รู้ ไม่รู้เรื่อง มันจะสบายได้อย่างไร มีทุกข์เกือบตายแล้ว นี้ว่าอย่างนั้น ถ้าสู้มากกว่านี้จะไม่ทุกข์มากกว่านี้หรือ คิดไปน่ะ นี้เราไม่ได้รับความสุข เราต้องกลับมาหาความสุขทางธรรมเยอะๆ กลับมามีสติสัมปชัญญะ รู้ตัวสบาย ปล่อยวางทุกอย่าง ปล่อยวางความชอบ ความไม่ชอบ ลาภ ยศ สรรเสริญ
กลับมาหาสติสัมปชัญญะ ให้มันสมบูรณ์ที่สบายเลย เดินก็สบาย นั่งก็สบาย นอนก็สบาย ทำอะไรอยู่สบาย เพื่อที่จะให้มันมีความสุขในทางธรรม เห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของปลอม เป็นของหลอกลวง เป็นพยับแดด เป็นลมที่ผ่านไปมาเฉยๆ เราไปวิ่งตามพยับแดด ไปวิ่งตามลม ไปวิ่งตามสิ่งแวดล้อม มันก็ทุกข์เราเปล่าๆ นะ ให้เรากลับมาหาเนื้อหาตัวเยอะๆ เราจะได้เป็นอิสระ เป็นตัวของเราเองให้มันมากๆ นะ ต้องภาวนาเข้า ถ้าเรารับความสุขอย่างนี้เยอะๆ มันก็มีพลัง ได้เห็นสิ่งต่างๆ มาเสียบแทงมาทำให้เรามัวหมอง มาทำให้เราสกปรกเฉยๆ แสดงว่าพลังภายนอกมันดึงดูดเราได้ พลังสมาธิ พลังปัญญาเรามันยังไม่พอต้องภาวนาขึ้นอีก ทั้งความสงบทั้งปัญญาต้องเพิ่มขึ้นอีก
ข้าวเปลือกนี้ไม่สำคัญสำหรับหมา ลาภ ยศ สรรเสริญสุข ทุกข์ ไม่สำคัญสำหรับเรา ชาตินี้เราจะเอาให้เหมือนกับวันหนึ่งกับคืน เราจะปล่อยวางอะไรทุกอย่าง ให้เราตั้งอกตั้งใจอยู่อย่างนี้
เราไม่ต้องมองไกล ปล่อยวางในปัจจุบันนี้ให้มันมาก ให้มันลึกซึ้ง ถ้ารู้ที่พัก รู้ที่ปลอดภัยแล้วเดี๋ยวมันก็จะเข้ามาหามันเอง แต่ถ้าเราเจริญแต่สมาธิ เราไม่ได้เจริญปัญญา เราลืมตาเมื่อไหร่ก็ได้เจอกันเมื่อนั้น ขาอ่อนเมื่อนั้น เพราะว่ามันเจริญสติสมาธิเฉยๆ ปัญญามันตัวสัมปชัญญะเราไม่ได้เอามาใช้งาน ทีนี้ต้องเพิ่มเข้าอีก แสดงว่าบทเรียนที่เราผ่านมานี้ ก็ทำให้เราฉลาดก็ทำให้เราหายโง่ ต้องสู้ใหม่ ต้องดัดตัวเอง ต้องแก้ไขตัวเอง มรรค ผล นิพพานมันต้องผ่านขึ้นมาแบบนี้อย่างนี้ๆ นักปฏิบัติที่ปฏิบัติไม่ได้ไม่ผ่าน ก็เพราะว่าขาดขั้นตอนระดับอย่างนี้ๆ คิดว่าไม่สำคัญนะ เอาไปเอามาก็หลายปีหลายพรรษาก็ไม่ก้าวหน้าได้หรอก เพราะว่าไม่รู้จักแก้ไขตัวเอง ไม่ได้ปรับปรุง
อินทรีย์คนเรามันก็ไม่เหมือนกัน เราสู้กันเดี๋ยวนี้แหละ เอามันหมดไปเดี๋ยวนี้แหละ ถ้ามันหมดแล้วมันก็ไม่มีปัญหาหรอก อย่าไปสนใจมันเรื่องอื่น ให้คิดว่าเรามีชีวิตอยู่เดี๋ยวนี้ เราสู้ให้มันหมดกิเลสไปเลย เรื่องมันไม่หมดก็เอาไว้กันก่อน
เส้นทางนี้เป็นบารมีเป็นเส้นทางที่เราเดินไป เหมือนกับเราเดินไปนี้เดินไปถางป่า พอจะไปถึงตรงนั้นมันก็หยุดแค่นั้น ถ้าไปถางต่อมันก็ไปเรื่อย บางทีเราอาจจะคิดว่ามันลำบาก เหมือนกับเราไม่เคยงานเราไม่เป็นงาน แต่ถ้าเราเข้าใจแล้ว มันก็เป็นของที่ง่ายมาก ก็บารมีคนไม่เหมือนกันน่ะ จะให้เขาเหมือนแบบเราได้อย่างไร โรคของแต่ละคนมันก็ไม่เหมือนกัน บางคนก็โรคปวดท้อง บางคนก็โรคปวดหัว ปวดขาปวดแข้งอะไรไม่เหมือนกัน จริตไม่เหมือนกัน การสั่งสมมาไม่เหมือนกันนะ แล้วแต่กรรมตัวไหนของเขามันจะโผล่ออกมา บางคนเขาก็เคยไปเกิดในชั้นพรหมนานแล้ว พอลงมาแล้วเขาก็เฉยๆ อยู่นะ บางคนก็ไปเกิดที่สวรรค์มาเกิดที่นี่ก็มากหน่อยอย่างนี้ การเกิดมันไม่เหมือนกันและกรรมคนมันก็ไม่เหมือนกัน
กำลังใจนี้สำคัญอย่าไปกลัว ทำะไรอย่าไปกลัว อย่างเขาเป็นนักกีฬาระดับโลกเขาไม่กลัวคู่ต่อสู้หรอก พอเห็นช้างตัวใหญ่ๆ เท่ากับแมลงหวี่ เขาไม่กลัวหรอก นักปฏิบัติก็เหมือนกัน ไม่กลัว สู้มัน อย่าไปท้อไปถอยเนสัชชิกทั้งคืนหรือว่าอดข้าวกี่วัน เจออุปสรรคอะไรต่างๆ นานา ไม่ต้องกลัว ขึ้นเขาลงห้วย ลงทะเลไม่ต้องกลัว พร้อมที่จะสู้ทุกเมื่อ
ถ้ากลัวแล้วมันทุกข์ตั้งแต่ยังไม้ได้สู้ คิดสารพัดอย่าง อย่าไปกลัวมัน พระพุทธเจ้าท่านจึงว่าพลังจิตนี้สำคัญมาก พลังจิตเข้มแข็ง พลังจิตไม่กลัว พลังจิตที่จะสู้ พลังจิตที่มีสัมมาทิฏฐิ มีกำลังเมื่อไหร่ก็รีบสู้ รีบปฏิบัติ อย่าไปท้อแท้ท้อถอย ก็สงสารอยู่ สงสารถึงได้มีข้อวัตรแบบนี้ เข้มแข็งแบบนี้ ถ้าไม่สงสารก็ปล่อยให้ไปตามยถากรรม ก็เพราะความสงสารถึงได้มีข้อวัตรปฏิบัติที่หนักแน่น ที่เข้มแข็ง ที่จะต่อสู้ เห็นเขาบอกว่าเป็นพระโหลๆ เป็นไม่ลำบาก ไปหาเอาที่ไหนก็ได้ ไม่ต้องมาหาที่วัดนี้ ปรับปรุงตัวเองให้เต็มที่นะ อย่าให้เสียชื่อเสียประวัติ ตอนเช้าก็ต้องภาวนาไม่ใช่นอน พิจารณาให้มันเกิดสติเกิดปัญญา เพื่อที่จะต่อสู้กับกิเลส เพื่อจะเห็นสภาพตามเป็นจริง ถ้าไปฟังเขียดมันร้องฟังไปฟังมาก็หลับ ไปพิจารณาทบทวน ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความไม่มีตัว ไม่มีตน เราต้องต่อสู้เอาอิสระภาพของเราคืนมา จากความไม่มีตัวไม่มีตน
ดีแล้วมันจะได้ปรับปรุงให้เห็นโทษเห็นภัยของตัวเอง ถ้าเราไม่เห็นโทษ เห็นภัยของตัวเองนี่ มันละไม่ได้นะ มันก็ว่าแต่ตัวเองถูกอยู่อย่างนั้นแหละ มันไปว่าคนอื่นโน่นผิด มันเป็นโทษใหญ่น่ากลัวที่สุด ก็นึกว่ามันถูกอยู่นั่นแหละ อันนี้ต้องเห็นถึงโทษ เห็นความผิดของตัวเอง เห็นความประพฤติ เห็นการกระทำของตัวเองอย่างชัดเจน ถ้าไม่อย่างนั้นมันก็เป็นอย่างเก่านั่นแหละ มันก็นั่งคิด นอนคิด อย่างเก่านั่นแหละ มันก็สงวนหวงแหนอยู่อย่างนั้นแหละ
ขอให้ปรับตัวเองเข้าหาธรรมวินัยอย่าไปถือสักกายทิฏฐิถือตัวถือตน ทำอะไรตามสบายว่าเป็นทางสายกลาง มันต้องฝืน ต้องอดทน ต้องเคารพนอบน้อมในศีล ในระเบียบ ในวินัย ถึงจะตายก็ยอม เพราะ "ศาสนาพุทธเป็นของประเสริฐของสูง ถ้าเราไม่ประพฤติปฏิบัติ มันก็เป็นเพียงปรัชญา" เป็นธรรมดาเหมือนทั่วๆ ไป ไม่มีประโยชน์อะไร เรามีของมีค่าจึงไม่ทำให้มีค่าอะไร พยายามสำรวจตนเอง ว่าเรามีข้อบกพร่องในธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าอะไรบ้าง แล้วพยายามตั้งตัวแก้ตัวใหม่ พยายามมีความเชื่อมั่นในการทำความดีว่าต้องได้ดี เชื่อมั่นว่าธรรมทั้งหลายเกิดแต่เหตุ ถ้าจะดับก็ต้องดับเหตุก่อน
เราอยู่ในสังคมเราก็ปฏิบัติได้ เราอยู่ในหมู่คณะเยอะๆ เราก็ปฏิบัติได้ที่ว่าเราปฏิบัติไม่ได้ คือเราไม่ได้ปฏิบัติ พิจารณาว่ารูปไม่ใช่ตัวตน เวทนา สัญญา สังขารวิญญาณไม่ใช่ตัวตน พยายามทำไป เมื่อตัวตนไม่มีแล้ว ใครจะมาสุขมาทุกข์อยู่เล่ามีแต่อวิชชาความหลงที่มันเกิดดับอยู่นี้ เมื่อรู้จักสมาธิ ปัญญาเราก็เจริญ อินทรีย์ก็แก่กล้า ให้เราปฏิบัติให้มีความกล้าปฏิบัติ การละการปล่อยวางทำไปเรื่อยๆ จนกว่าอินทรีย์มันสมบูรณ์ ถ้าเราบังคับตนเองไม่ได้ นานไปยิ่งจะบังคับตัวเองไม่ได้นะ เพราะมันติดสุขติดสบาย เราต้องฝึกจริงๆ ความสุขที่ว่าสุข เราก็คิดปรุงแต่งเอาหรอก ความทุกข์ที่ว่าทุกข์เราก็ปรุงแต่งเอาหรอก แท้จริงแล้วไม่มีอะไร มีแต่ใจไปคิดปรุงแต่งเอาเองทั้งนั้น
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee