แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันเสาร์ที่ ๑๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง เข้าพรรษาเข้าหาธรรม ตอนที่ ๑๑ ไม่มีคุณงามความดีใดใด จะยิ่งใหญ่เกินกว่าความกตัญญูกตเวที
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
วันนี้เป็นวันเเม่เเห่งชาติ เป็นวันวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ซึ่งในวันนี้พระองค์ทรงเจริญพระชนมายุครบ ๙๑ พรรษา โดยเริ่มใช้วันที่ ๑๒ สิงหาคม เป็นวันแม่แห่งชาติตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๑๙ เป็นต้นมา ประเทศไทยเรามีวันสำคัญ วันชาติ วันพ่อ วันเเม่ วันรัฐธรรมนูญ วันครู วันเด็ก วันทางพระศาสนา อย่างวันวิสาขบูชา วันมาฆบูชา วันอาสาฬหบูชา วันคริสต์มาสของคริสต์ เป็นต้น
ให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจพระศาสนา พระศาสนาก็จะช่วยดับทุกข์ ทางกายทั้งทางใจ ด้วยสัมมาทิฏฐิมีความเห็นถูกต้องความเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ทุกอย่างจริงๆ มีแต่คุณ ที่ประชากรของโลกมีเกือบ 8 พันล้านคน ถือว่าเป็นผู้ที่โชคดี ที่เป็นผู้ที่ประเสริฐได้เกิดมาเพื่อเข้าถึงความสุขความดับทุกข์ ที่เรียกว่าพระนิพพาน เราต้องมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง มีสติสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อมให้มันชัดเจน เรามีความสุขในการที่เอาความถูกต้องเป็นหลักเอาธรรม เอาความยุติธรรมเป็นหลัก ที่เราเอาตัวตนเป็นหลักนี้ยังไม่ใช่ความถูกต้อง ยังไม่เป็นธรรม ความถูกต้องนี้คือธรรมะหรือว่าพระศาสนาอย่างนี้ พระศาสนาทุกศาสนาก็พากันไปทางเดียวกัน คือที่สุดแห่งการดับทุกข์ดับทุกข์ทางกาย เพราะร่างกายของเราเกิดมาอย่างนี้ มันเป็นปลายเหตุ เมื่อมันเป็นไปเหตุอย่างนี้เราก็ต้องแก้เหตุแก้ปัญหา เพื่อความเห็นถูกต้องความเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง มีความสุขในการดำเนินชีวิต เอาธรรมเป็นหลัก ตั้งแต่เข้าโรงเรียน ก็เรียนเอาเพื่อการศึกษาเอาความรู้ เพื่อซื้อฐานะทางสังคมเอาไปทำธุรกิจหน้าที่การงาน และเราก็มีความสุขกับการทำงานเพราะการทำงานคือความสุข เรียนหนังสือก็ให้มีความสุข จะว่าความสุขก็ไม่ใช่ มันคือการมีสติสัมปชัญญะที่สมบูรณ์ มีความเห็นถูกต้อง ความเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง มันจะมีแก่หมู่มวลมนุษย์ที่มีสัมมาทิฏฐิทุกคนนั่นเอง
ให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจวัตถุ ที่เรามีบ้านมีรถ มีสิ่งที่อำนวยความสะดวก ตลอดจนถึงที่มีเครื่องบิน ไปถึงมีอะไรในทุกๆ อย่าง อันนี้มันต้องมีให้ถูกต้อง มีให้เป็น เพราะเราต้องเสียสละ เราจะได้ไม่ต้องหลงอยู่ ติดอยู่ มีตัวมีตนตัวตนนี่ก็เรียกว่า อัตตาธิปไตย อัตตาธิปไตยคือเอาตัวตนเป็นหลัก นี้มันยังเป็นสีดำสีเทา มันไม่ใช่สีขาวสีพรหมจรรย์ เราจะเอาทุกสิ่งทุกอย่างมาเป็นคุณมาเป็นประโยชน์นะ เพราะทุกคนทำได้ปฏิบัติได้ เหมือนกับเราเรียนหนังสือรู้หนังสือ อ่านออกเขียนได้ ก็ไปอ่านอยู่ทุกหนทุกแห่ง ที่พระพุทธเจ้าบอกว่าอริยมรรคมีองค์ 8 เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงจะมี ถ้าเราเอาแต่สมาธิอย่างเดียว อริยมรรคมีองค์ 8 ของเราก็จะไม่สมบูรณ์ ยังไม่ใช่ศาสนา ยังเป็นระดับที่ไม่ใช่สัมมาทิฏฐิที่สมบูรณ์
ให้ทุกคนรู้ว่า ประชากรเกือบ 8 พันล้านนี้ต้องมีความเห็นถูกต้องความเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ทุกคนต้องกลับมาหาธรรมะที่ประเสริฐ ทุกคนถึงจะได้เป็นพระ เป็นพระศาสนา เขาจะมีความสุขอยู่ทุกหนทุกแห่ง เหมือนที่กล่าวมา ความสุขความดับทุกข์ อยู่ที่เรามีสติสัมปชัญญะ อยู่ที่เรามีปัญญาสัมมาทิฏฐิ เมื่อเรามีสติสัมปชัญญะ มีความเห็นถูกต้อง ความเข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง มันก็จะดับทุกข์ไปในตัว อันนี้มันเป็นมรรค ที่เราทำถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง มันก็จะไปของมันเอง ไม่ได้เอามาเพิ่ม ไม่ได้ตัดออก เป็นสติสัมปชัญญะ เหมือนไก่มันฟักไข่นี่แหละ ไก่มันฟักไข่มันใช้เวลา 3 อาทิตย์ อย่างนี้มันถึงจะออกลูกมาเป็นตัว เรามีสติสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อม มีความเห็นถูกต้อง ความเข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง แบบนี้มันก็เป็นมรรคมีองค์ 8 ทุกอย่างมันก็เป็นไปอย่างนี้
เราจะได้เข้าใจเรื่องพระศาสนา เราจะเอาตัวตนเป็นพระศาสนาไม่ได้ เพราะเราเข้าใจอยู่อย่างนี้มันก็จะไขว้เขว มันยังไม่ใช่พระศาสนา มันอยู่ระหว่างขั้นที่การประพฤติปฏิบัติ ที่จะให้ทุกท่านทุกคนมีปฏิปทาที่สมบูรณ์เพราะเหตุนี้เราก็ไม่ต้องไปแยกกันหรอกว่า พระศาสนานู้นพระศาสนานี้ ศาสนาดีศาสนาไม่ดี อันนี้ยังเป็นความคิดความปรุงแต่งอยู่นะ ธรรมะที่ถูกต้อง มันต้องไม่ใช่ดีไม่ใช่ชั่ว มันไม่ได้ปรุงแต่งอะไรหรอก มันเป็นสัมมาทิฏฐิเป็นความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้องอย่างนี้ มีพระบวชใหม่ไปบิณฑบาตกับหลวงพ่อชา ก็ถามหลวงพ่อชา เพราะด้วยความอยากรู้ว่า นิพพานมันเป็นยังไง หลวงพ่อชาท่านก็เลยตอบว่า ไม่ต้องถามอย่าเพิ่งถามให้ไปฉันข้าวก่อน แล้วเดี๋ยวค่อยว่ากัน ที่จริงแล้วความสุขความดับทุกข์มันอยู่ที่ปัจจุบันนี้แหละ ไม่ได้อยู่ไกลหรอก อยู่ที่เราทำอะไร มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง มีความสุขในปัจจุบันนี้แหละ
พระพุทธเจ้าท่านถึงไม่ได้ตอบว่าตายแล้วเกิดหรือตายแล้วสูญ มันต้องทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ หมู่มวลมนุษย์ถึงจะได้พัฒนา ดับทุกข์ทั้งทางกายดับทุกข์ทั้งทางใจ ความดับทุกข์ทางกายมันก็ได้ระดับหนึ่งนะ พวกเราเห็นน่ะเพราะร่างกายของเรา มันเป็นสภาวะธรรมที่เป็นพลังงานแห่งการเวียนว่ายตายเกิด ถ้าเราไม่รู้จักทุกข์ เหตุเกิดทุกข์ ไม่รู้จักความดับทุกข์มันก็จะไปเรื่อย มันวิ่งตามสิ่งแวดล้อม ตามอวิชชาตามความหลง เราก็ทำอย่างนี้แหละ ทุกคนน่ะเหมือนที่ว่า วันหนึ่งคืนหนึ่งมันก็ต้องพักผ่อน 6 ชั่วโมงถึง 8 ชั่วโมง ระบบสมองของเรามันถึงจะเอาไปใช้งาน ในการทำงานภายนอกและก็ในเรื่องจิตเรื่องใจของเรา เราจะต้องปรับตัวเข้าหาเวลา ทุกท่านทุกคนก็ต้องพากันปฏิบัติ ไม่ต้องวิ่งไปหาความดับทุกข์ที่ไหนหรอก ที่ไหนมันก็ดับทุกข์ได้เหมือนกัน เหมือนอ่านออกเขียนได้ก็อ่านออกเขียนได้ทุกหนทุกแห่ง แล้วแต่อะไรมันจะเกิดขึ้นในปัจจุบัน ให้เอาการปฏิบัติถูกต้องในปัจจุบัน อย่าพากันเซ่อๆ อย่าพากันเบลอๆ ต้อง Control ตัวเองให้ได้ เพราะอาหารใจก็คือสัมมาทิฏฐิความเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้องในปัจจุบันนี้แหละ เราต้องเข้าใจทุกคนต้องเป็นพระ เป็นพระศาสนา เหมือนที่กล่าวมานี้ เราต้องรู้จักพระที่แท้จริง คือพระธรรมคือพระวินัย คือศีล คือสมาธิ คือปัญญา ที่แก้ปัญหาได้ดับทุกข์ได้ ตั้งแต่ปัจจุบันไปจนถึงหมดลมหายใจอย่างนี้
เราต้องพากันเข้าใจ ที่กล่าวไปเมื่อวานนี้ ถ้าไม่เข้าใจเรื่องพระศาสนาอย่างนี้แล้ว ก็เอาทิฏฐิมานะอัตราตัวตนไปเป็นหลัก ไม่ได้ เดี๋ยวมันจะเสียหายต่อหมู่มวลมนุษย์ หรือว่าพสกนิกรชาวโลก เดี๋ยวนี้สื่อสารมวลชนอยู่ไหนแล้วก็สื่อสารกันได้ ทุกท่านทุกคนต้องพากันเข้าใจพระศาสนา เพราะว่าเราจะเอาพระศาสนากับธุรกิจหน้าที่การงาน ที่ไม่ทำบาปทั้งปวง ทํากุศลให้ถึงพร้อม ด้วยไม่ให้หลงไม่ให้เพลิดเพลิน อย่างนี้แหละ ทุกคนเกิดมาต้องเอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นใหญ่
อย่างประเทศไทยนี่แหละ ทำไมต้องพนมมือไหว้พระพุทธเจ้า ทำไมถึงต้องนั่งพับเพียบ เพราะว่าไม่ให้ถือสักกายทิฏฐิ ไม่ถือตัวถือตน ให้ถือพระธรรมถือพระวินัย แล้วก็เทคแคร์ทุกคนโดยที่ไม่หวังอะไรตอบแทน จะเอาตัวตนเป็นที่ตั้งไม่ได้ ความอ่อนน้อมถ่อมตน มันเป็นสิ่งที่จะได้ละสักกายทิฏฐิ มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ความอ่อนน้อมถ่อมตน มันเป็นเหมือนน้ำที่บริสุทธิ์ไหลเข้าไปสู่ทุกหนทุกแห่งด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน ความอ่อนน้อมถ่อมตนถือเป็นสิ่งที่สำคัญ ทุกคนจะไปก๋าไปกร่างไม่ได้ เพราะมันเป็นทิฏฐิมานะอัตตาตัวตน
คารวะ คือความตระหนักในคุณความดีของผู้อื่น นิวาตะ คือถ่อมใจของเราเอง
การบำเพ็ญคารวะนั้น ปรารภผู้อื่น ส่วนนิวาตะนั้น ปรารภตนเอง บางคนมีคารวะแล้วแต่ไม่มีนิวาตะก็ได้ อย่างเช่นเรารู้ว่าเขาดีและตระหนักในความดีของเขาเหมือนกัน ซึ่งนับว่ามีคารวะแต่ในขณะเดียวกัน นิสัยความทะนงตนถือตนมีอยู่ในจิตใจ ก็มีความคิดว่า "แกเก่งจริง ดีจริง ข้ารู้ แต่ข้าเองก็หนึ่งเหมือนกัน" อย่างนี้เรียกว่าทะนงตน หรือในภาษาปัจจุบันนี้เราเรียกว่า "เบ่ง" คือคนประเภทที่ขาดนิวาตะนี้ พอเห็นความดีของคนอื่นแล้วเป็นต้อง "เบ่ง" หรือพองตัวเข้าหาทันที เหมือนกับอึ่งอ่างที่พองตัวเองเพื่อจะให้เทียมเท่าโค ดังนั้นท่านจึงสอนให้เราแก้ตรงนี้ คือแก้ที่ตัวของเราเอง
คำว่า นิวาตะ แปลตามตัวว่า ลมออก (นิ = ออก วาตะ=ลม) นิวาโต ก็หมายความว่า ผู้มีลมออกแล้ว คือให้คลายจากความเบ่ง ไม่พองลม เอาลมออกแล้ว คือเอามานะทิฏฐิออก มีความสงบเสงี่ยม เจียมตน ไม่เบ่ง ไม่ทะนงตน ไม่มีความมานะถือตัว ไม่อวดดื้อถือดี ไม่ยโสโอหัง ไม่ดูถูกเหยียดหยามใคร ไม่กระด้าง ไม่เย่อหยิ่งจองหอง โปรดระลึกอยู่เสมอว่า คนที่จะไปสู่ความเจริญได้นั้นจะต้องอาศัยความนอบน้อมถ่อมตน คนที่ไม่มีนิวาตะ จะไปสู่ที่สูงไม่ได้เลย เหมือนคนที่จะกระโดดสูงจะต้องย่อตัวเสียก่อนจึงจะกระโดดได้สูง ถ้าลองเราไม่ย่อตัวซิ เราทำตัวแข็งๆ จะกระโดดสูงได้หรือไม่ ความถ่อมตนก็ฉันนั้น ย่อมที่จะนำตนไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองได้ ด้วยเหตุนี้พระพุทธองค์จึงได้ตรัสว่า ความถ่อมตนนี้เป็นมงคลอย่างสูงสุด
ความอ่อนน้อมถ่อมตนถือเป็นสิ่งที่สำคัญ ต้องเอาความอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นหลัก อย่างนี้แหละถึงเทคแคร์คนอื่นด้วยมรรคผลพระนิพพาน เพราะคนเรานะถึงอ่อนน้อมถ่อมตนต่อพระพุทธเจ้า อ่อนน้อมเข้าหาข้อห้ามคือพระวินัย กับอ่อนน้อมเข้าสู่การประพฤติปฏิบัติ นี้มันเป็น 2 อย่าง คืออันนึงหยุด อันหนึ่งทำ เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไป มันถึงจะมี ความอ่อนน้อมถ่อมตนนี้สำคัญนะ ทุกท่านทุกคนน่ะอย่าไปมีทิฏฐิมานะอัตตาตัวตน ว่าดีกว่าเขาว่าตํ่ากว่าเขาว่าเสมอเขา อย่างนี้ไม่ได้ เพราะว่าเป็นความปรุงแต่ง เราต้องรู้จัก เป็นตัวเป็นตนเป็นอวิชชาเป็นความหลง เมื่อหลายปีก่อนวัดหนองป่าพง อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี หลวงพ่อชาท่านถึงได้ให้เขียนอยู่ที่ป้ายวัด ว่า หายพยศ ลดมานะ ละทิฐิ ก่อนเข้าวัด วัดก็หมายถึงข้อวัตรข้อปฏิบัติ อย่างนี้แหละ เราทุกคนต้องพากันมาเสียสละ ละตัวละตนคือไม่มีตัวมีตน เอาพระธรรม เอานิสัยของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่ใช่นิติบุคคลเป็นธรรมะ คือการเสียสละ
เราเป็นคนเสียสละ ถึงจะเป็นคนที่งามในเบื้องต้นงามในท่ามกลางงามในที่สุด การปฏิบัติหน้าที่ที่เรียกว่าศีลสมาธิปัญญาอย่างนี้แหละ เราทำอย่างนี้เราไม่ได้หวังเพื่อทำธุรกิจ หวังเพื่อหยุดวัฏสงสาร พระวินัยสิกขาบทนะใหญ่ที่มีอยู่ในพระวินัยปิฎกนับเป็นจำนวนมาก 21,000 น่ะ ที่เราเอามาสวดก็ 227 ใช้เวลา 1 ชั่วโมง เราทุกคนน่ะต้องมีสติสัมปชัญญะ ต้องเอาพระศาสนาเป็นคู่กับตัวเองอยู่ทุกคนทุกแห่ง อย่าเอาทิฏฐิมานะอัตตาตัวตน อย่าไปเอาเอาอวิชชา เอาความหลง อย่าพากันไปบูชาอวิชชาความหลง อัตตาตัวตน หรือบูชากามกาม พวกทิฏฐิมานะมากคือพวกที่ไม่ยกมือไหว้พระไม่กราบพระ คือพวกที่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต กินเหล้ากินเบียร์ ถือเอาเงินเป็นพระเจ้า ถืออวิชชาถือความหลงเป็นที่ตั้ง เขาเรียกว่าเป็นพวกที่เอาตัวตนเป็นหลัก ไม่อ่อนน้อมไม่ถ่อมตน ไม่น้อมตัวเข้าสู่ความดับทุกข์ ความเสียหายมันต้องเกิดแก่เรา เราทุกคนน่ะในฐานะเป็นผู้ที่เกิดมาก่อน ก็ต้องทำเป็นแบบอย่าง ของกุลบุตรลูกหลาน เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี ทุกท่านทุกคนน่ะต้องมีความสุขในการประพฤติปฏิบัติอย่างนี้
วันนี้เป็นวันแม่แห่งชาติทุกท่านทุกคนระลึกถึงแม่... 'แม่' คือผู้ประเสริฐ 'แม่' คือผู้ให้ ให้ทั้งทางกายให้ทั้งใจ 'แม่' จึงเหมือนพระอรหันต์ เหมือนพระพรหม เหมือนเทวดาของลูก นี้คือคุณธรรมของความเป็นแม่ "แม่พิมพ์ทั้งทางกาย แม่พิมพ์ทั้งทางใจ"
พระพุทธเจ้าท่านให้เราระลึกนึกถึงพระคุณของ 'แม่' เพราะแม่ทุกคนก็แก่ก็ชรา บางคนก็แก่มากแล้ว ไม่เหมือนครั้งก่อน ภาระหน้าที่ของทุกๆ คนก็ต้องดูแลเลี้ยงดูแม่ ทั้งทางร่างกาย อำนวยความสะดวกสบาย ดูแลจิตใจ
"ถ้าเราไม่มี 'แม่' ทุกอย่างเราก็ไม่มี ที่เรามีทรัพย์สมบัติ ข้าวของเงินทอง มีอะไรต่างๆ ตลอดถึงมีหน้ามีตาในสังคม... ต้นเหตุก็มาจาก 'แม่' ทั้งนั้น "
ทุกท่านทุกคนน่ะมีหน้าที่ มีการมีงาน มีครอบครัว สิ่งสำคัญเราทิ้งไม่ได้ลืมไม่ได้ ก็คือ 'แม่ของเรา' แม่ของเราบางคนก็อยู่ต่างจังหวัด อยู่ชนบท แต่จิตใจ ท่านนั้นรักเรา ห่วงเรา คิดถึงเราวันแม่แห่งชาติก็ได้มีกิจกรรมต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อกระตุ้นจิตใจให้ทุกท่านทุกคนได้มีความสำนึก เพื่อกระตุ้นให้เกิดมีคุณธรรม ที่ได้พากันมานอนวัดมาทำบุญนี้ ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ประเสริฐ เป็นสิ่งที่ถูกต้อง ให้ทุกคนระลึกเสมอว่าเราจะทำความดีทุกอย่างเพื่อแม่ มอบความดีมอบสิ่งดีๆ ให้กับแม่ บางคนยังเป็นเด็กยังไม่ได้เป็นแม่ บางคนก็เห็นภัยในวัฏฏสงสารว่าการแต่งงานนี้มีภาระ เป็นการสร้างปัญหาให้กับตนเองนี้มากขึ้น แต่ทุกท่านทุกคน ก็ถือว่าได้ทำความดี เป็นแบบเป็นตัวอย่างให้กับครอบครัว ให้กับสังคมประเทศชาติ เพราะสังคมมวลมนุษย์ทั้งหลายนี้ต้องการคนดี ต้องการแบบพิมพ์ที่ดี มนุษย์ คือผู้ประเสริฐ มนุษย์ คือผู้มีจิตใจสูง น้อมนำกระทำแต่สิ่งที่ดีๆ ให้กับตนเอง เป็นแบบ... เป็นฉบับ... เป็นตัวอย่างให้กับครอบครัวให้กับสังคมได้
“ท่านให้ปรับตัวเราเอง...เข้าหาธรรมะ อย่าให้ปรับธรรมะ...เข้ามาหาเรา” เราทุกๆ คนน่ะ ยังมีความคิดเห็นผิด ยังมีความเข้าใจผิด มีความคิดไม่ก้าวไกล มีความคิดไม่รอบคอบ เป็นคนใจอ่อน เป็นคนอ่อนแอ ถึงมีความจำเป็นต้องเอาพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งเป็นตัวอย่างเอาพระธรรมคำสั่งสอนเป็นข้อวัตรปฏิบัติ
ศีล ๕ คือข้อวัตรปฏิบัติของเราทุกๆ คน ศีล ๘ ก็สูงขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ คือศีลสำหรับบรรพชิต สำหรับนักบวชที่จะต้องมีรูปแบบปลงผมห่มจีวร 'ศีล' นี้จึงเป็นกฎเกณฑ์ที่จะนำเราทุกคนเข้าสู่ความสุข...ความดับทุกข์ คือ 'พระนิพพาน' ที่เราไม่รักศีล ไม่ชอบศีล ไม่อยากรักษาศีลก็เพราะเราทุกคนกำลังตามใจตัวเอง เอาความอยากเอาความต้องการของตัวเองเป็นใหญ่ "ความอยาก ความต้องการของเราทุกๆ คน เปรียบ เสมือนแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ..."
เราทุกๆ คนนี้สร้างปัญหาให้กับตัวเอง สร้างปัญหาให้กับคนอื่น เพราะความอยากความต้องการ แม้แต่ได้มาจากการเบียดเบียนชีวิตของผู้อื่น ได้มาจากความฉลาดของตัวเองที่ทำอาชีพบนความยากลำบากของบุคคลอื่น แต่ทุกท่านทุกคนก็ยังมองเห็นว่าตนเองเป็นคนดีทำไปด้วยความสุจริต
"พระพุทธเจ้าท่านถึงให้เราปรับใจเข้าหา 'ศีล" ทุกๆ คนก็พากันคิดว่าถ้ารักษาศีลมันจะมีความสุขได้อย่างไร มันจะรวยได้อย่างไร คนที่รักษาศีล ๕ คนที่ซื่อสัตย์สุจริตมันไม่รวย มีแต่จน เราจะปฏิบัติอย่างนั้นทำอย่างนั้นไม่ได้ "ความคิดของเราอย่างนี้ เป็นความคิดเห็นที่ยังไม่ถูกต้อง"
"ผู้ที่เข้าถึงความสุขความดับทุกข์ บุคคลผู้นั้นย่อมไม่วิ่งตามกิเลส ไม่ให้กิเลสมันเผาชีวิตจิตใจตั้งแต่ยังไม่ตาย เรายังไม่ตาย ก็ถูกกิเลสมันเผาแล้วทั้งเป็น" เรามาคิดดู...เรามาพิจารณาดู...ถ้าเรารวยเราเป็นมหาเศรษฐีแต่ถ้าใจของเราไม่สงบ เราจะเอาความสุขความดับทุกข์มาจากที่ไหน เพราะความสุขความดับทุกข์ที่แท้จริงมันอยู่ที่ใจสงบ ใจที่มีศีลมีธรรม
อย่างเรามีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ มีเงิน มีสตางค์ มีบ้าน มีรถ มีลาภ ยศ สรรเสริญ ครอบครัวเรามันก็ไม่สงบ เพราะอันนั้นมันเป็นวัตถุ 'ตัวที่สงบ' ก็คือตัว 'ใจ' ของเราไม่มีความอยาก ไม่มีความต้องการ พระพุทธเจ้าท่านถึงให้เราพากันปฏิบัติพัฒนาจิตใจ ทุกๆ คน จะไม่ได้ถูกกิเลสมันเผา "ให้พากันมาเป็นผู้ให้มาเป็นผู้เสียสละ อย่าพากันเอา แม่นี้ต้องเป็นผู้ให้...เป็นผู้ไม่เอา แม่ถึงจะมีความสุข ถ้าแม่เป็นผู้เอา แม่ยังอยากให้เป็นอย่างโน้น...อย่างนี้...แม่ก็ถูกเผาทั้งเป็น เพราะเรามีความอยาก"
พ่อเเม่ก็อยู่ที่เรา ร่างกายเลือดเนื้อก็เป็นของคุณพ่อคุณเเม่ เราเอาร่างกายไปใช้ในสิ่งที่ดี คิดดีๆ พูดดี ทำดีๆ เอามรรคผลนิพพาน เค้าเรียกว่าเรากตัญญูกตเวทีเเล้ว บางคนจะไปเลี้ยงเเม่ทางกายก็ยังไม่เพียงพอ ต้องเลี้ยงเเม่ทางจิตใจ เค้าถึงว่าการมาบวชทำให้พ่อเเม่ได้บุญเยอะ มันได้เปลี่ยนเเปลงตัวเอง จากคนไม่ดีเป็นคนดี จากคนดีเเล้ว ดียิ่งๆ ขึ้นไป เเล้วก็ช่วยเหลือเเม่ เพราะเราทำดีปฏิบัติดีประพฤติดี เรามีความมั่นคงทางธุรกิจที่ไม่ทำบาปทั้งปวง ทำบุญทำกุศล พ่อเเม่ก็มีความสุข พ่อเเม่ก็ไว้วางใจ พ่อเเม่ตั้งมั่นในพระรัตนตรัย ไม่คิด ไม่ต้องไปฟุ้งซ่าน ไม่ต้องเป็นโรคจิตโรคประสาทกับเรา
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสอุปมาว่า ถ้าบุตรจะพึงวางบิดามารดาไว้บนบ่าทั้งสองของตน ประคับประคองท่านอยู่บนบ่านั้น ป้อนข้าวป้อนน้ำและให้ท่านถ่ายอุจจาระปัสสาวะบนบ่านั้นเสร็จ แม้บุตรจะมีอายุถึง ๑๐๐ ปี และปรนนิบัติท่านไปจนตลอดชีวิต ก็ยังนับว่าตอบแทนพระคุณท่านไม่หมด เพราะถ้าไม่มีพวกท่านที่ได้ให้อัตภาพนี้แก่ผม ผมคงไม่มีโอกาสมานั่งบรรยายธรรมะอยู่ตรงนี้ ก็ไม่มีโอกาสที่จะได้มาประพฤติปฏิบัติธรรม ไม่มีโอกาสที่ได้มาเจอพ่อแม่ครูบาอาจารย์ผู้ที่นำพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาบอกมาสอน เพื่อให้ผมได้มีโอกาสมาเปลี่ยนภพภูมิ พวกท่านเป็นผู้ประเสริฐที่สุด ไม่มีถูก ไม่มีผิด เราจะประพฤติปฏิบัติธรรมแค่ไหนก็ทดแทนไม่มีทางหมด เคยได้ยินเพลงเขาบอกว่า “บวชเรียนพากเพียรจนสิ้น หยดหนึ่งน้ำนมกินทดแทนไม่สิ้นพระคุณแม่เอย” หยดน้ำนมก็คือเลือดในตัวของแม่ที่กลั่นออกมาด้วยความรัก ความห่วงใย ที่คอยเลี้ยงดูเราให้เติบโตมาได้จนถึงทุกวันนี้
สมญานามของพ่อแม่นั้น กล่าวกันว่าท่านเป็นทั้งพรหมของลูก เทวดาคนแรกของลูก ครูคนแรกของลูก และเป็นพระอรหันต์ของลูก ซึ่งอธิบายได้ดังนี้ - พ่อแม่เป็นพรหมของลูก เพราะเหตุที่มีพรหมวิหารธรรม ๔ ประการ ได้แก่ ๑. มีเมตตา คือมีความปรารถนาดีต่อลูกไม่มีที่สิ้นสุด
๒. มีกรุณา คือหวั่นใจในความทุกข์ของลูก และคอยช่วยเหลือเสมอไม่ทอดทิ้ง
๓. มีมุทิตา คือเมื่อลูกมีความสุขสบาย ก็มีความปลาบปลื้มยินดีด้วยความจริงใจ
๔. มีอุเบกขา คือเมื่อลูกมีครอบครัวสามารถเลี้ยงตนเองได้แล้ว ก็ไม่วุ่นวายกับชีวิตครอบครัวลูกจนเกินงาม และหากลูกผิดพลาดก็ไม่ซ้ำเติม แต่กลับคอยเป็นที่ปรึกษาให้เมื่อลูกต้องการ
- พ่อแม่เป็นเทวดาคนแรก (บุรพเทพ) ของลูก เพราะคอยปกป้องคุ้มกันภัยเลี้ยงดูลูกมาก่อนผู้มีความปรารถนาดีคนอื่นๆ
- พ่อแม่เป็นครูคนแรกของลูก เพราะสั่งสอนอบรม คำพูดและกิริยามารยาทให้ลูกก่อนคนอื่นๆ
- พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูกเพราะมีคุณธรรม ๔ ประการได้แก่
๑. เป็นผู้มีอุปการะมากแก่ลูก ท่านได้ทำภารกิจอันทำได้แสนยากได้แก่การอุปการะเลี้ยงดูลูก ซึ่งยากที่จะหาคนอื่นทำแก่เราได้อย่างท่าน
๒. เป็นพระเดชพระคุณมาก ปกป้องอันตราย ให้ความอบอุ่นแก่ลูกมาก่อน
๓. เป็นเนื้อนาบุญของลูกมีความบริสุทธิ์ใจต่อลูกอย่างแท้จริงเป็นผู้ที่ลูกควรทำบุญต่อตัวท่าน
๔. เป็นอาหุไนยบุคคล เป็นผู้ควรแก่การรับของคำนับ และการนมัสการของลูก
เมื่อพ่อแม่มีพระคุณมากมายปานนี้ ลูกจึงควรมีคุณธรรมต่อท่าน คุณธรรมของลูกเริ่มที่รู้จักคุณพ่อแม่ คือรู้ว่าท่านดีต่อเราอย่างไร สูงขึ้นไปอีก คือตอบแทนคุณท่าน ในทางพระพุทธศาสนา ได้บรรยายคุณธรรมของลูกไว้อย่างสั้นๆ แต่เก็บความไว้ได้อย่างครบถ้วน คือคำว่า กตัญญู กตเวที คุณค่าและศักดิ์ศรีของความเป็นลูกรวมอยู่ใน ๒ คำนี้ กตัญญู หมายถึง เห็นคุณค่าท่าน คือเห็นด้วยใจ ด้วยปัญญา ว่าท่านเป็นผู้มีพระคุณต่อเราอย่างแท้จริง ไม่ใช่สักแต่ว่าปากท่องพระคุณพ่อแม่ปาวๆ ไปเท่านั้น
กตเวที หมายถึง การทดแทนพระคุณของท่าน ซึ่งมีงานที่ต้องทำ ๒ ประการ คือ ๑. ประกาศคุณท่าน ๒. ตอบแทนคุณท่าน
คนเราทุกคนคือตัวแทนของพ่อแม่ตนทั้งนั้น เลือดก็แบ่งมาจากท่าน เนื้อก็แบ่งมาจากท่าน ตลอดจนนิสัยใจคอก็ได้รับการอบรมถ่ายทอดมาจากท่าน ความประพฤติของตัวเรานี่แหละ จะเป็นเครื่องประกาศคุณพ่อแม่อย่างชัดแจ้งที่สุด ไม่ใช่อยู่ที่หนังสือแจก ไม่ใช่อยู่ที่หีบศพบนเชิงตะกอน แต่อยู่ที่ตัวเรานี่เอง หากพิมพ์ข้อความไว้ในหนังสือแจกว่า คุณพ่อคุณแม่เป็นคนตั้งอยู่ในศีลในธรรม แต่ตัวเราเองประพฤติสำมะเลเทเมา คอร์รัปชั่นทุกครั้งที่มีโอกาส ศีลข้อเดียวก็ไม่สนใจรักษาก็ผิดที่ไป สดุดีคุณพ่อแม่ว่าเป็นคนดี สุภาพเรียบร้อย แต่ตัวเรา ผู้เป็นลูกกลับประพฤติตัวเป็นนักเลงอันธพาล อย่างนี้คุณค่าของการสรรเสริญพ่อแม่ก็ลดน้ำหนักลง กลายเป็นว่ามอบหน้าที่ในการกตเวทีประกาศคุณพ่อแม่ให้หนังสือทำแทน ให้กระดาษ ให้เครื่องพิมพ์ ให้ช่างเรียงพิมพ์ แสดงกตเวทีแทน แล้วตัวเรากลับประจานพ่อแม่ของตัวเอง อย่างน้อยที่สุดก็ประจานแก่ ชาวบ้านว่าพ่อแม่ของเราเลี้ยงลูกไม่เป็นประสา
ไม่ว่าเราจะตั้งใจประกาศคุณท่านหรือไม่ ความประพฤติของเราก็เป็นตัวประกาศคุณท่านหรือประจานท่านอยู่ตลอดเวลา คิดเอาเองก็แล้วกันว่า เราจะประกาศคุณพ่อแม่ของเราด้วยเกียรติยศชื่อเสียง หรือจะใจดำถึงกับประจาน ผู้บังเกิดเกล้าด้วยการทำตัวเป็นพาลเกเรและประพฤติต่ำทราม
การตอบแทนคุณท่าน แบ่งเป็น ๒ ช่วง คือ
๑. เมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่ ก็ช่วยเหลือกิจการงานของท่าน เลี้ยงดูท่านตอบเมื่อยามท่านชรา ดูแลปรนนิบัติการกินอยู่ของท่านให้สะดวกสบายและเอาใจใส่ช่วยเหลือเมื่อท่านเจ็บป่วย
๒. เมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว ก็จัดพิธีศพให้ท่าน และทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ท่านอย่างสม่ำเสมอ
แม้ว่าเราจะตอบแทนพระคุณท่านถึงเพียงนี้แล้ว ยังนับว่าเล็กน้อยมาก เมื่อเทียบกับพระคุณอันยิ่งใหญ่ที่ท่านมีต่อเรา ผู้ที่มีความกตัญญูกตเวทีต้องการจะสนองพระคุณท่านให้ได้ทั้งหมด พึงกระทำดังนี้
๑. ถ้าท่านยังไม่มีศรัทธาในพระพุทธศาสนา ก็พยายามชักนำให้ท่านตั้งอยู่ในศรัทธาให้ได้
๒. ถ้าท่านยังไม่ถึงพร้อมด้วยการให้ทาน ก็พยายามชักนำให้ท่านยินดีในการบริจาคทานให้ได้
๓. ถ้าท่านยังไม่มีศีล ก็พยายามชักนำให้ท่านรักษาศีลให้ได้
๔. ถ้าท่านยังไม่ทำสมาธิภาวนา ก็พยายามชักนำให้ท่านทำสมาธิภาวนาให้ได้
เพราะว่าการตั้งอยู่ในศรัทธา การให้ทาน การรักษาศีล การทำสมาธิภาวนาเป็นประโยชน์โดยตรงและเป็นประโยชน์อันยิ่งใหญ่แก่ตัวบิดามารดาผู้ปฏิบัติ เองทั้งในภพนี้ภพหน้า และเป็นประโยชน์อย่างยิ่งคือเป็นหนทางไปสู่นิพพาน
ต้นไม้ที่ได้รับการดูแลให้น้ำให้ปุ๋ย ไปบำรุงลำต้นจนสมบูรณ์ เมื่อถึงเวลาแล้ว ย่อมออกดอกออกผลให้แก่เจ้าของฉันใด คนที่ได้รับการเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เมื่อมีโอกาสย่อมตอบแทนคุณพ่อแม่และผู้มีอุปการคุณฉันนั้น ทองคำแท้หรือไม่ โดนไฟก็รู้ คนดีแท้หรือไม่ ให้ดูตรงที่เลี้ยงพ่อแม่ ถ้าดีจริงต้องเลี้ยงพ่อแม่ ถ้าไม่เลี้ยงแสดงว่าไม่ดีจริง เป็นพวกทองชุบ ทองเก๊
ไม่มีมิตรสหายใดใด จะยิ่งใหญ่เกินกว่า..."ความรู้"
ไม่มีศัตรูใดใด จะยิ่งใหญ่เกินกว่า..."ความเจ็บไข้ได้ป่วย"
ไม่มีความรักใดใด จะยิ่งใหญ่เกินกว่า..."ความรักของพ่อแม่"
ไม่มีอำนาจใดใด จะยิ่งใหญ่เกินกว่า..."กฏแห่งกรรม"
ไม่มีคุณงามความดีใดใด จะยิ่งใหญ่เกินกว่า..."ความกตัญญูกตเวที"
ไม่มีความสุขใดใด จะยิ่งไปกว่า..."ความสงบเป็นพระนิพพาน"
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee