แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันพุธที่ ๙ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง เข้าพรรษาเข้าหาธรรม ตอนที่ ๘ พุทธบริษัททั้ง ๔ อย่าปล่อยให้ไสยาศาสตร์เหนือกว่าคำสอนของพระพุทธเจ้า
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
พระใหม่พระเก่า ผู้ที่มาถือศีลปฏิบัติธรรม ให้เราพากันตั้งใจให้เต็มที่ เพราะเป็นโอกาสที่พิเศษ พระใหม่ที่เรามาบวชมาปฏิบัติ เมื่อเราลาสิกขาลาเพศไปแล้วจะได้มีหลักชัดเจน ความเซ่อๆเบลอๆให้หายหมด เมื่อวานก็ได้พูดแล้วเรื่องคุณเรื่องโทษ ทุกอย่างมันมีคุณทุกอย่างมันมีโทษเราต้องรู้จัก ปัจจุบันเราต้องมีความเห็นถูกต้อง ความเข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ทุกคนต้องควบคุม Control ตัวเอง มีสติมีสัมปชัญญะ ควบคุมตัวเองในปัจจุบันให้ได้ ให้มันขับเคลื่อนไปให้ได้ เพราะสิ่งนี้มี สิ่งต่อไปถึงจะมีได้ สิ่งที่มันมีแล้ว มันไม่ดีไม่ถูกต้องเราก็ต้องหยุดกัน มันต้องประพฤติต้องปฏิบัติกันในปัจจุบัน
สีดำ สีเทา สีสกปรก มันไม่ดีนะ 3 ทุ่มนี้ก็ให้พากันนอนพักผ่อน 3 ทุ่มน่ะ เพราะหลายคนยังเลทไปนอน 4 ทุ่ม แล้วก็คุมสมองตัวเองไม่ได้มันก็เซ่อมันก็เบลอ มันมีคุณภาพมันมีสักยภาพมันต้องนอนให้พอ สัญญาณระฆังมันดังตี 3 ตี 3.30 ก็ให้วัตรสวดมนต์ ปัจจุบันนี้เราต้องมีสติมีสัมปชัญญะสมบูรณ์ ทุกคนน่ะคิดเก่งวางแผนเก่ง รู้จักดี รู้จักชั่ว รู้จักผิด รู้จักถูก ต้องฝึกตัวเองเพื่อขับเคลื่อนตัวเอง เหมือนกัปตันที่พาตัวเองเข้าสู่จุดหมายปลายทาง เราจะได้เป็นผู้รู้จะได้เป็นบัณฑิตทั้งภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ไม่ใช่มีแค่ความรู้ความเข้าใจ ความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาปก็ทุกคนต้องมี เหมือนพูดไปหลายวันก่อน พวกพระเก่าที่มาบวชที่มาอาศัยวัดเพื่อหาอยู่หาฉัน อย่าให้มีในศาสนาพุทธของเรา เพราะอันนี้เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ท่านต้องเห็นภัยในวัฏฏะสงสาร ต้องไม่มาเอาศาสนามาหาอยู่หาฉันหาเลี้ยงชีพ เราก็มีทั้งพระเก่าทั้งพระใหม่เอาโทรศัพท์มาไว้กับหลวงพ่อใหญ่อันนี้ก็ดีก็ถูกต้องแล้ว อย่าไปอนุโลมปฏิโลมกัน เราจะเอาพวกแก๊งพวกโจรมามีพลังมีอิทธิพลไม่ได้
พระพุทธเจ้าท่านรักเราพระพุทธเจ้าเลยให้เรารักษาพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ เพราะว่าเป็นกฎของใจถ้าใครไม่ปฏิบัติก็ต้องอาบัติทุกกฎ เราจะควบคุมคอนโทรลตัวเอง ถ้าเรายังมีความผิดอยู่ ธรรมะมันเกิดไม่ได้หรอก เพราะว่ามันทำไม่ถูก มันปฏิบัติไม่ถูก ถ้าปฏิบัติถูกมันง่าย ควบคุมตัวเอง คอนโทรตัวเองมีสติสัมปชัญญะ รู้ตัวทั่วพร้อม ถึงมันจะอร่อย ถึงจะหรอย จะลำ จะนัวร์ ก็ไม่ต้องไปสนใจมัน เรื่องเสียสละตัวตน เรื่องสติเรื่องสัมปชัญญะมันสำคัญ
การเรียนการศึกษามันดีมันถูกต้อง แต่เราเอาการเรียนการศึกษามาประพฤติมาปฏิบัติ พวกพระวัดบ้านวัดอะไรเนี่ย ที่ได้ฟังธรรมะที่หลวงพ่อได้เทศน์ออกไปนี้ ก็พากันมีจิตใต้สำนึกว่า เราทุกคนเป็นพุทธบริษัท ไม่ว่าวัดบ้านวัดป่า มันก็ต้องไปแนวเดียวกัน เมื่อเช้าหลวงพ่อผ่านไปทางบ้านทรัพย์ทวีได้คุยกับผู้ใหญ่บ้านว่า อาจารย์รูปหนึ่งน่ะที่ท่านจะขอมติของหมู่บ้าน ว่าจะมาขอพื้นที่ตั้งสำนักสงฆ์อยู่ที่นี่แหละ ทางเข้าหน้าวัดนี่แหละ ผู้ใหญ่บ้านก็ผลัดวันประกันพรุ่ง หลวงพ่อก็บอกผู้ใหญ่ว่า เอ้ย อย่างนี้มันพากันมาตั้งแก๊งทำมาหากินน่ะ พวกหมอดูหมอเดา ขายตระกรุด คาถา มันไม่ใช่พระศาสนา มันเป็นความเสียหาย ความล้มเหลว มันเป็นสิ่งที่บั่นทอนศาสนาพุทธ หลวงพ่อก็บอก พวกที่อยู่ในไสยศาสตร์ทั้งหลายบวชกันไม่ได้เอามรรคผลนิพพาน มันก็ชอบทำอย่างนี้แหละ หาอยู่ หากิน หาฉัน แล้วแต่สารพัดที่จะหา เราประชาชนคนหมู่บ้านทรัพย์ทวีก็พากันรู้จักศาสนาพุทธ พระศาสนาที่แท้จริงน่ะ คือเรื่องรู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ มันเป็นระบบความคิดในระบบการกระทำในชีวิตประจำวันของเรา ที่มีความเห็นถูกต้อง ความเข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ถ้างั้นน่ะไม่ได้ละ เพราะภิกษุสามเณรเรามันตกต่ำไปเรื่อย พากันขบรถขับลาอะไรเป็นแถว ขับรถมาลงอุโบสถบ้าง หรือขับรถมารับกิจนิมนต์ มันชักจะไปกันใหญ่ ถ้าเราทำอย่างนี้มันก็ชินหูชินตา มันถือว่าเป็นเรื่องธรรดา ต่อไปก็จะเป็นประชาธิปไตยที่สีดำสีเทาไป ทุกคนต้องหวานอมขมกลืนไปโดยปริยาย ความเข้มแข็งไม่ถือพรรคถือพวก ไม่ถือเงินถือสตางค์ ถือความถูกต้องความเป็นธรรมความยุติธรรม พวกท่านเจ้าคุณพวกสมเด็จทั้งหลาย อย่าปล่อยพวกลักษณะอย่างนี้มาเพ่นพ่านมากเกิน ในศาสนาพุทธนี้ก็ไม่มีพวกเครื่องรางของขลัง หมอดูหมอเดา ตะกรุด ผ้ายันต์อย่างนี้ มันไม่ใช่ ทำอย่างนี้ก็ตั้งนะโม...ขึ้นก่อน อย่างนี้มันเอาแบรนด์เนมของพระพุทธเจ้าทำมาหาเลี้ยงชีพ หากิน หาฉัน สมัยปัจจุบันนี้วิทยาศาสตร์ก็ก้าวไปไกล แล้วพวกต้มตุ๋นนี้ก้าวไปไกลอย่างนี้ก็ไม่ถูก เพราะว่ามันอยู่ในคราบของพระพุทธศาสนา ปลงผมห่มผ้าเหลืองอย่างนี้นะ ประชาชนน่ะต้องพากันเข้าใจศาสนาของตัวเอง พุทธบริษัททั้ง 4 ต้องระลึกถึงพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เอาพระพุทธเจ้าเป็นหลัก
การที่เราจะบำรุงพระพุทธศาสนานี่ก็ต้องไปตามหลักคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ด้วยการประพฤติการปฏิบัติ ที่เราชอบไปทำพระจำหน่าย ทำอะไรเพื่อบำรุงวัด บำรุงพระศาสนา พระจำหน่ายขายผ้ายันต์ ขายเหรียญ มันเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง อันนี้ไม่ใช่จุดประสงค์ของพระพุทธเจ้า เรามักง่ายเกิน มันไม่ใช่วัดแต่ละวัด ทั้งวัดหลวง วัดราษฎร์ มันทำกันไม่ถูกเนอะ พากันเป็นหมอดู หมอไสยศาสตร์ อย่างนี้ไม่ใช่ แถมยังพากันอวดอุตริมนุษธรรมสิ่งที่ทั้งมีในตน ไม่มีในตน อย่างนี้ ถึงแม้เราจะมีเงินเป็นหมื่นล้าน หรือหลายหมื่นล้าน เรามีช่อฟ้า มีอะไรอยู่นี่มันก็ไม่ใช่ศาสนาเจริญ
พระที่ตกอยู่ในจำพวกพระมนต์ดำ ได้แก่พวกที่เรียนวิชาไสยศาสตร์เรียนเวทมนตร์คาถา ยินดีในเครื่องรางของขลัง บางท่านถึงกับลงทุนไปสักลาย ฝังตะกรุด ไปเรียนวิธีปลุกเสกว่าทำอย่างไรถึงขลังถึงศักดิ์สิทธิ์ ร่ำเรียนวิธีเขียนตะกรุดเขียนผ้ายันต์ว่าทำอย่างไรถึงขลัง สนใจอ่านตำราหมอดู ดูฮวงจุ้ย เรียนดูลายมือ ดูฤกษ์ ดูดวง บอกเลขใบ้หวย นี้เป็นมนต์ดำไม่ใช่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ตามความเป็นจริงแล้วพระพุทธเจ้าไม่ให้เรียน ถือว่าเป็นดิรัจฉานวิชา เป็นวิชาที่ขวางกั้นทางสวรรค์มรรคผลนิพพาน
มหาศีล เป็นพระวินัยที่มุ่ง ห้ามพระภิกษุไม่ให้เลี้ยงชีพด้วยติรัจฉานวิชาต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
๑. เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพผิดด้วยติรัจฉานวิชา นับตั้งแต่การทางอวัยวะ เช่น ทายลายมือลายเท้าการทายนิมิต เช่นทายลางบอกเหตุ ทายฟ้าผ่า ทำนายฝัน ทำนายหนูกัดผ้า การทำพิธีบูชาไฟ พิธีเบิกแว่นเวียนเทียน พิธีชัดแกลบบูชาไฟ พิธีชัดข้าวสารบูชาไฟ พิธีเติมเนยบูชาไฟ พิธีเติมน้ำมันบูชาไฟ พิธีเสกเป่าบูชาไฟ การทำพลีกรรม (บวงสรวงด้วยโลหิต) เป็นหมอดูลักษณะที่ทั้งบ้าน ดูลักษณะที่นา เป็นหมอปลุกเสก หมอผี หมอลงเลขยันต์คุ้มกันบ้านเรือน หมองู หมอยาพิษ หมอแมงป่อง หมอรักษาแผลหนูกัด หมอทายเสียงนก หมอทายเสียงกาหมอทายอายุ หมอเสกกันลูกศร หมอทายเสียงสัตว์ ดังนี้เป็นต้น
๒. เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพผิดด้วยติรัจฉานวิชา นับตั้งแต่การทายลักษณะแก้วมณี ลักษณะไม้พลองลักษณะศาสตรา ลักษณะดาบ ลักษณะศร ลักษณะธนู ลักษณะอาวุธ ลักษณะสตรี ลักษณะบุรุษ ลักษณะกุมาร ลักษณะกุมารี ลักษณะทาส ลักษณะทาส ลักษณะช้าง ลักษณะม้า ลักษณะกระบือ ลักษณะโคอุสภะ (วัวผู้) ลักษณะโค ลักษณะแพะ ลักษณะแกะ ลักษณะไก่ลักษณะนกกระทา ลักษณะเหี้ย ลักษณะตุ่นลักษณะเต่า และลักษณะมฤค (กวางและสัตว์ป่าทั้งหลาย)
๓. เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพผิดด้วยติรัจฉานวิชา ด้วยการดูฤกษ์ยาตราทัพ ให้พระราชาว่า ควรจะยกทัพเข้าประชิดศัตรูเมื่อใด ควรจะถอยทัพเมื่อใด ถ้ายกทัพไปเวลาใดจะมีชัยชนะ ยกไปเวลาใดจะปราชัย เพราะเหตุใด เป็นต้น
๔. เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพผิดด้วยติรัจฉานวิชา โดยการพยากรณ์ว่า จะมีจันทรคราส สุริยคราสอุกกาบาต ดาวหางแผ่นดินไหว ฟ้าร้อง หรือพยากรณ์ว่า ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ และดาวนักษัตรจะขึ้นหรือตกเมื่อใด จะเดินถูกทางหรือผิดทางจะมัวหมองหรือกระจ่าง หรือพยากรณ์ว่า จันทรคราส สุริยคราสดาวนักษัตรจะมีผลอย่างไร เป็นต้น
๕. เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพผิดด้วยติรัจฉานกถา โดยการพยากรณ์ว่า ฝนจะดีหรือแล้ง พืชพันธุ์ธัญญาหารจะสมบูรณ์หรือขาดแคลน จะเกิดภัยพิบัติ โรคระบาดต่าง ๆ หรือไพร่ฟ้าประชาชนจะมีความสมบูรณ์พูนสุขกันทั่วหน้า เป็นต้น
๖. เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพผิดด้วยติรัจฉานวิชา โดยการให้ฤกษ์อ์าวาหมงคล ให้ฤกษ์วิวาห์มงคลดูฤกษ์เรียงหมอน (ฤกษ์เนื่องในพิธีปูที่นอนบ่าวสาว) ฤกษ์หย่าร้าง ฤกษ์เก็บทรัพย์ฤกษ์จ่ายทรัพย์ ดูโชคดีดูเคราะห์ร้าย ร่ายมนต์ให้ลิ้นกระด้างร่ายมนต์ให้คางแข็ง ร่ายมนต์ให้มือสั่น ร่ายมนต์ไม่ให้หูได้ยินเสียงร่ายมนต์พ่นไฟ ร่ายมนต์ขับผี เป็นหมอเสน่ห์ เป็นผู้บวงสรวงพระอาทิตย์ ผู้บวงสรวงท้าวมหาพรหมทำพิธีเชิญขวัญ เป็นต้น
๗. เว้นขาดจากการเลี้ยงชีพผิดด้วยติรัจฉานวิชา โดยการทำพิธีบนบาน พิธีแก้บน พิธีขับผี สอนมนต์ป้องกันบ้านเรือนทำกะเทยให้กลับเป็นชาย ทำชายให้กลายเป็นกะเทย ทำพิธีปลูกเรือน พิธีบวงสรวงพื้นที่พ่นน้ำมนต์ รดน้ำมนต์ ทำพิธีบูชาไฟ ปรุงยาสำรอก ยาถ่าย ยาแก้ปวดศีรษะ หุงน้ำมันหยอดหู ปรุงยาตายานัตถุ์ ยาทากัด ยาทาสมาน ป้ายยาตา ทำการผ่าตัด รักษาเด็ก ใส่ยา ชะแผล เป็นต้น
คำว่า ติรัจฉานวิชา คำว่า “ติรัจฉาน” แปลว่า “ไปขวาง” ดังนั้น “ติรัจฉานวิชา” จึงมีความหมายว่าวิชาเหล่านี้ “ขวาง” หรือ “ไม่เข้ากับความเป็นสมณะ” มิได้หมายความว่าเป็นวิชาของสัตว์ติรัจฉาน ๓ ดังนั้นถ้อยคำที่พระไม่ควรพูด จึงจัดเป็นติรัจฉานกถา คือ ถ้อยคำที่ขวางหรือขัดกับความเป็นพระวิชาที่พระไม่ควรเกี่ยวข้อง จึงจัดเป็นติรัจฉานวิชา คือ วิชาที่ขวางหรือขัดกับความเป็นพระ
พระพุทธเจ้าตรัสว่า "พระจันทร์และพระอาทิตย์ไม่ได้ร้อนแรงและรุ่งเรืองด้วยรัศมีเพราะโทษมลทิน ๔ ประการ คือ หมอก ควัน ธุลี และอสุรินทราหู กำบังฉันใด ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ จะไม่มีตบะรุ่งเรืองด้วยศีล เพราะโทษมลทิน ๔ ประการปิดบังไว้ คือ ดื่มสุราเมรัย เสพเมถุนธรรม ยินดีรับเงินและทองอันเป็นเหมือนภิกษุนั้นยินดีบริโภคซึ่งกามคุณ และภิกษุเลี้ยงชีพในทางมิชอบด้วย เวชชกรรม กุลทูสกะ (ประจบเอาใจคฤหัสถ์ด้วยอาการอันผิดวินัย) อเนสนา (การหาลี้ยงชีพในทางที่ไม่สมควรภิกษุ) และวิญญัติ (ขอสิ่งของต่อคฤหัสถ์ผู้ที่ไม่ญาติ ผู้ไม่ใช่คนปวารณา) พร้อมด้วยกล่าวอวดอุตตริมนุษย์ธรรม อันไม่มีจริง"
เราต้องรับฟังความจริงจากพระพุทธเจ้า ที่พระพุทธเจ้าสอนน่ะ เพราะเราจะได้ถือนิสัยถือพระวินัยของพระพุทธเจ้า ประชาชนต้องพากันรู้ไว้ อย่าให้พระหลอกลวงพูดแต่เรื่องสวรรค์ อานิสงส์ของสวรรค์ เพื่อให้โยมถวายเงินถวายของ สร้างโบสถ์ สร้างวิหาร สร้างเจดีย์ สร้างพระใหญ่อะไรอย่างนี้ อย่าไปหลงในพระพวกหมอดูหมอทำนาย พวกไสยศาสตร์ต่างๆ พวกของขลังพวกศักดิ์สิทธิ์ มันขลังจริงอยู่ศักดิ์สิทธิ์จริงอยู่ แต่ไม่ใช้เรื่องดับทุกข์ ไม่ใช่ทางนิพพาน พระพุทธเจ้าไม่สรรเสริญให้ภิกษุที่มีอภิญญาทำปาฏิหาริย์ เพราะจะทำให้พุทธบริษัทงมงาย พระภิกษุก็ให้ปฏิบัติเพื่อมุ่งมรรคผลพระนิพพาน ให้เกิดประโยชน์ต่อตัวเองให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนคนที่เกี่ยวข้อง แล้วก็เป็นการต่อยอดสืบทอดพระพุทธศาสนา ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว สิ่งที่ไม่ดีไม่งามมันจะเกิดขึ้น เช่น การขอของจากคนที่ไม่ใช่ญาติไม่ใช่ปวารณา ที่ทำกันทุกวันนี้มีการจัดกฐินเพื่อหาเงินทอดผ้าป่าเพื่อหาเงิน มันยังไม่ถูกต้อง เหมือนการแห่นาคแห่อะไรจะมาบวชนะ แต่เวลาเขาแห่นะเขาให้แห่มาด้วยความสงบ ไม่ได้แห่มาด้วยกินเหล้ากินเบียร์ ฟ้อนเด้งไปเด้งมาอย่างนี้ มันเกินคำสอนมันหย่อนตามอวิชชาตามความหลง อย่างความคิดที่จะลงทุน มันคิดจะเอาตังค์เขานะ มันก็จะจัดมโหรสพจัดคอนเสิร์ต มันทำให้ยิ่งเสียหายใหญ่ สิ่งเหล่านี้พอเราไม่เบรค มันก็จะลามปามไปเรื่อย เรียนมากรู้มากแต่แต่ขาดปัญญาสัมมาทิฏฐิ เลยทำธุรกิจในศาสนา การดูหมอดูดวงมีไปทั่วเลย ทั้งในโรงแรมในรีสอร์ทในวัด การที่มีวัตถุมงคลเช่นนี้มีพระพุทธรูปองค์เล็กๆ ไว้สำหรับห้อยคอ หรือมีเหรียญครูบาอาจารย์ไว้ห้อยคอ มันก็พอแล้ว ไม่ใช่มันเอาไปขายทำเป็นธุรกิจไป เราไปเปลี่ยนใช้คำว่าบูชา มันก็คืออันเดียวกับการขายนั่นแหละ มันก็เหมือนกับอันนึงฉันอันนึงกินอันนึงรับประทาน
พระพุทธเจ้าได้ตรัสปาฏิหาริย์ไว้ ๓ ประเภท ซึ่งทั้งหมดนั้นเป็นปาฏิหาริย์ที่มีอยู่จริงอยู่แล้ว และสามารถทำให้เกิดมีได้จริงในโลก
อย่างแรก “อิทธิปาฏิหาริย์” การแสดงฤทธิ์ต่างๆ ได้ อาทิ เหาะได้ หายตัวได้ อยู่ในที่หนึ่งแต่สามารถไปปรากฏตัวในอีกที่หนึ่งซึ่งอยู่ห่างไกลในพริบตา เดินทะลุกำแพง ย่นระยะทางได้ ฯลฯ
อย่างที่ ๒ “อาเทสนาปาฏิหาริย์” การทายใจหรือดักใจคนอื่นได้ แบบว่ารู้วาระจิตของคนอื่นได้ ไม่ว่าผู้นั้นจะคิดอะไรก็สามารถดักใจทายใจได้แม่นยำเหมือนตาเห็น
อย่างที่ ๓ “อนุสาสนีปาฏิหาริย์” หมายถึง คำสอนในพระพุทธศาสนาที่เมื่อบุคคลรับนำไปปฏิบัติแล้วสามารถเห็นผล และบังเกิดผลได้จริง (คือสิ่งมหัศจรรย์แท้จริง)
ทั้งสามปาฏิหาริย์ทรงยกย่อง “อนุสาสนีปาฏิหาริย์” เท่านั้น ไม่ทรงยกย่อง อิทธิปาฏิหาริย์ และ อาเทสนาปาฏิหาริย์ เพราะไม่ใช่แก่นแท้ของพระพุทธศาสนา ไม่ใช่ทางที่จะให้บรรลุถึงความดับทุกข์แท้จริง
ดังนั้นถ้าจะกล่าวว่า สุดยอดปาฏิหาริย์ของพระพุทธเจ้าคืออะไร? ก็ต้องกล่าวว่า อนุสาสนีปาฏิหาริย์ คือ สุดยอดปาฏิหาริย์ของพระพุทธเจ้า เหตุผลเพราะว่า อิทธิปาฏิหาริย์ อาเทสนาปาฏิหาริย์ ไม่สามารถสละขัดเกลา และละกิเลสได้ จึงไม่ใช่ปาฏิหาริย์จริงๆ เช่นพระเทวทัต เหาะ เหิน เดินอากาศ แปรงร่างได้ แต่ก็ไม่หมดกิเลส
แต่อนุสาสนีปาฏิหาริย์ คือ คำสอนของพระพุทธเจ้าที่สอนสาวกให้รู้ว่าสิ่งใดมีโทษ สิ่งใดไม่มีโทษ สิ่งใดควรเจริญ ไม่ควรเจริญ สิ่งนี้เป็นกุศล สิ่งนี้เป็นอกุศล หนทางนี้คือทางดับกิเลส คือ อริยมรรค การสอนด้วยพระธรรมทีเป็นสัจจะนี้เองที่สามารถให้สาวก หรือ ผู้ที่ได้ฟัง ละ สละ ขัดเกลากิเลส และมีปัญญาถึงการดับกิเลสได้ นี่คือ ปาฏิหาริย์สูงสุด เพราะว่ากิเลสเป็นสิ่งที่ละยาก การละกิเลสได้จนหมดสิ้นด้วยพระธรรม จึงเป็นสิ่งที่เป็นปาฏิหาริย์สูงสุด
เมื่อเป็นพระเจ้าพระสงฆ์เราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เราไม่ต้องขายเครื่องรางของขลัง เป็นหมอดูหมอเดา พากันไปดูหมอดูดวงต่อชะตาหาเงินหาสตางค์ให้มันเพิ่มความมืดให้กับประชาชนได้ยังไง ประชาชนเขาก็มืดบอดอยู่แล้ว เราอย่าไปเพิ่มความมืดบอดให้เขาอีก
ขณะที่พระสารีบุตรพักอาศัยอยู่ ณ เวฬุวัน เมืองราชคฤห์นั้น วันหนึ่งท่านออกบิณฑบาตในเมืองราชคฤห์ เมื่อได้อาหารพอสมควรแล้วจึงแวะฉันใกล้ฝาเรือนแห่งหนึ่ง พอดีปริพพาชิกานางหนึ่งชื่อสูจิมุขี แปลว่ามีหน้าแหลม หรือมีปากแหลมเหมือนเข็ม ผ่านมาเห็นเข้า ที่ว่ามีปากแหลมเหมือนเข็มนั้นอาจเป็นนามที่ได้โดยคุณลักษณะของนาง คือมีปกติชอบพูดจาทิ่มแทงคนอื่นให้เจ็บแสบ แม้เรื่องที่มาพบพระสารีบุตรนั่งฉันอยู่ใกล้ฝาเรือนนี้ก็เหมือนกัน นางอดไม่ได้ที่จะพูดทิ่มแทง บังเอิญไปแทงเอาหินเข้า เข็มคือปากของนางจึงหักไปเอง นางเห็นพระสารีบุตรนั่งฉันอยู่อย่างนั้นจึงว่า "สมณะผู้นี้ก้มหน้าฉัน" พระสารีบุตรตอบว่า "เรามิได้ก้มหน้าฉัน" "ถ้าอย่างนั้น ท่านแหงนหน้าฉัน" นางพูดต่อ "เราไม่ได้แหงนหน้าฉัน" พระสารีบุตรตอบ "ถ้าอย่างนั้น ท่านหันหน้าไปทางทิศใหญ่ฉัน" นางหาเรื่อง "เราไม่ได้หันหน้าไปทางทิศใหญ่ฉัน" "ถ้าอย่างนั้น ท่านหันหน้าไปทางทิศน้อยฉัน" "เราไม่ได้หันหน้าไปทางทิศน้อยฉัน"
นางสูจิมุขีจึงว่า "ข้าพเจ้าพูดอย่างใดๆ ท่านก็ปฏิเสธเสียสิ้น ถ้าอย่างนั้นท่านฉันอย่างไร?"
พระสารีบุตรตอบว่า "น้องหญิง! สมณพราหมณ์เหล่าใดเลี้ยงชีพด้วยดิรัจฉานวิชา คือวิชาดูที่ต่างๆ ว่าที่ตรงนี้ดี ตรงนี้ไม่ดี เป็นต้น สมณพราหมณ์เหล่านั้นเรียกว่า ก้มหน้าฉัน, สมณพราหมณ์เหล่าใดเลี้ยงชีพด้วยดิรัจฉานวิชาคือวิชาดูดาวนักษัตร ทำนายทายทักโดยอาศัยดวงดาว สมณพราหมณ์เหล่านั้นเรียกว่า แหงนหน้าฉัน, สมณพราหมณ์เหล่าใดเลี้ยงชีพด้วยดิรัจฉานวิชา คือรับใช้เป็นทูตเขา รับใช้ไปโน่นมานี่ให้เขา เพื่อได้ค่าจ้างหรือลาภสักการะเป็นเครื่องตอบแทนสมณพราหมณ์เหล่านั้นเรียกว่า หันหน้าไปทางทิศใหญ่ฉัน, สมณพราหมณ์เหล่าใดเลี้ยงชีพด้วยดิรัจฉานวิชา คือวิชาดูลักษณะอวัยวะร่างกาย สมณพราหมณ์เหล่านั้นเรียกว่า หันหน้าไปทางทิศน้อยฉัน, น้องหญิง! เรามิได้อาศัยดิรัจฉานวิซาเหล่านั้นเลี้ยงชีพ จึงชื่อว่ามิได้ก้มหน้าฉัน เงยหน้าฉัน หันหน้าไปทางทิศใหญ่ฉัน หรือหันหน้าไปทางทิศน้อยฉัน เราเลี้ยงชีพโดยสุจริตตามอริยประเพณี อาชีวะของเราบริสุทธิ์เต็มที่ เราแสวงหาอาหารโดยธรรม มิได้เบียดเบียนหลอกลวงผู้ใด ได้มาโดยธรรม และฉันโดยธรรม"
ถ้อยคำของพระสารีบุตรที่ตอบโต้นางสูจิมุขีนั้นน่าคิดน่าตรึกตรองสำหรับสมณพราหมณ์หรือนักบวชผู้มุ่งการเป็นอยู่โดยธรรมเป็นอย่างยิ่ง กล่าวโดยเฉพาะนักบวชในพระพุทธศาสนานั้น ถ้ามุ่งลาภสักการะและชื่อเสียง หรือยศศักดิ์เป็นจุดมุ่งหมายแล้ว ก็เรียกว่า พลาดเป้าหมายอย่างมาก ขอยกเอาข้อความในจูฬสาโรปมสูตรมาเทียบดังนี้"
เมื่อพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ เชตวนาราม เมืองสาวัตถีนั้น พราหมณ์ผู้หนึ่งชื่อ ปิงคลโกจฉะ เข้าไปเฝ้า เมื่อได้ทักทายปราศรัยกันพอสมควรแล้ว พราหมณ์ได้ทูลถามขึ้นว่า "พระโคดมผู้เจริญ! สมณพราหมณ์ผู้เป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะ มีชื่อเสียงปรากฏ มีคนรู้จักเคารพนับถือมาก เช่นปูรณกัสสปะ เป็นต้น ท่านเหล่านั้นได้รู้แจ้งเห็นจริงตามปฏิญญาของตน หรือไม่รู้แจ้งเห็นจริงเลย หรือบางพวกรู้บางพวกไม่รู้?"
"อย่าเลยพราหมณ์!" พระศาสดาตรัส "อย่าพูดถึงท่านเหล่านั้นเลย เขาจะรู้จริงหรือไม่รู้จริงก็ช่างเถิด อย่าไปมัวสนใจเขาเลย ถ้าท่านต้องการฟังธรรม เราจะแสดงธรรมให้ฟัง" เมื่อพราหมณ์ปิงคลโกจฉะทูลรับว่าต้องการฟังแล้ว
พระพุทธองค์จึงตรัสว่า "บุรุษผู้ต้องการแก่นไม้ เที่ยวเสาะหาแก่นไม้อยู่ เมื่อพบต้นไม้ใหญ่มีแก่นยืนต้นอยู่ เขาตัดเอากิ่งและใบไปด้วยสำคัญผิดว่าเป็นแก่น คนที่รู้เรื่องดีย่อมเข้าใจได้ทันทีว่า บุรุษผู้นั้นไม่อาจยังประโยชน์ของตนให้สำเร็จเป็นแน่แท้ อีกคนต้องการแก่นไม้ แต่ได้ถากเอาสะเก็ดไป อีกคนหนึ่งถากเอาเปลือกไป อีกคนหนึ่งถากเอากระพี้ไป บุรุษเหล่านั้นสำคัญผิดว่าสะเก็ด เปลือก กระพี้เป็นแก่น เพราะความเขลาไม่รู้จักแก่นไม้ พวกเขาย่อมไม่อาจจะยังประโยชน์ที่จะพึงทำด้วยแก่นไม้ให้สำเร็จได้ ส่วนบุรุษอีกผู้หนึ่ง ต้องการแก่นไม้ ฉลาดรู้จักแก่นไม้ จึงตัดเอาแก่นไป คนที่รู้เรื่องดีเห็นเข้าก็รู้ได้ทันที ว่าบุรุษนั้นย่อมได้รับประโยชน์จากแก่นไม้
ดูก่อนพราหมณ์ ! เรื่องที่กล่าวเป็นอุปมานี้ฉันใด ข้ออุปไมยต่อไปนี้ก็ฉันนั้น คือกุลบุตรบางคนในศาสนานี้มีศรัทธาออกบวช ประพฤติตนเป็นอนาคาริกมุนี ไม่ครองเรือน ด้วยเห็นทุกข์ต่างๆ เบียดเบียนตนอยู่ และทั้งดักอยู่ข้างหน้า ต้องการให้พ้นทุกข์ จึงออกบวช ครั้นบวชแล้ว ลาภสักการะและชื่อเสียงเกิดขึ้นมาก ก็อิ่มใจ เต็มความปรารถนาด้วยลาภสักการะและชื่อเสียงนั้น ยกตนข่มผู้อื่นว่า เราเป็นผู้มีลาภสักการะและชื่อเสียง ส่วนภิกษุอื่นๆ ไม่มีใครรู้จัก เป็นผู้มีศักดิ์น้อย เมื่อเป็นดังนี้ ภิกษุนั้นไม่ได้ปลูกความพอใจในคุณธรรมอื่นๆ อันประณีตกว่าดีกว่าลาภสักการะและชื่อเสียงเป็นผู้มีความประพฤติย่อหย่อนหละหลวม เธอย่อมเปรียบกันได้กับบุรุษผู้ต้องการแก่นไม้แต่กลับตัดเอากิ่งและใบไป
บางคนไม่ติดในลาภสักการะ ไม่ยกตนข่มผู้อื่น เพราะเหตุแห่งลาภสักการะนั้น แต่ไปติดอยู่เพียงแค่ศีล พอใจเต็มปรารถนาในศีลสัมปทา ความถึงพร้อมด้วยศีล แล้วยกตนข่มผู้อื่น เพราะเหตุแห่งศีลสัมปทานั้น ไม่ขวนขวายเพื่อคุณธรรมอันสูงขึ้นไป เธอ เปรียบได้กับบุรุษผู้ต้องการแก่นไม้ แต่กลับถากเอาสะเก็ดไป
บางคนไม่ติดในลาภสักการะและในศีล แต่ไปติดในสมาธิ พอใจเต็มปรารถนาในคุณธรรมคือสมาธินั้น ไม่ขวนขวายเพื่อคุณธรรมอันยิ่งขึ้นไป เธอย่อมเปรียบได้กับบุรุษผู้ต้องการแก่นไม้แต่กลับถากเอากระพี้ไป
บางคนไม่ติดในลาภสักการะชื่อเสียง ไม่ติดอยู่เพียงแค่ศีล สมาธิ ปัญญา พยายามขวนขวายโดยลำดับเพื่อความสิ้นอาสวะและได้สิ้นอาสวะด้วยปัญญาอันชอบ ได้เสวยรสแห่งวิมุตติคือความหลุดพ้นจากอาสวะทั้งปวง บุคคลเช่นนี้แหละ เปรียบได้กับบุรุษผู้ต้องการแก่นไม้ และได้ตัดเอาแก่นไปสมประสงค์"
พระตถาคตเจ้าตรัสย้ำตอนท้ายว่า "ดูก่อนพราหมณ์! ด้วยประการฉะนี้แหละ พรหมจรรย์คือ การประพฤติความดีในศาสนานี้ มิใช่ลาภสักการะหรือชื่อเสียง เป็นจุดมุ่งหมาย มิใช่มีศีลสมาธิและปัญญาหรือญาณทัศนะ เป็นจุดมุ่งหมาย แต่การประพฤติความดีในศาสนานี้ มุ่งเอาความหลุดพ้นแห่งใจจากอาสวะทั้งปวงเป็นจุดมุ่งหมาย และความหลุดพ้นไม่กลับกำเริบอีก คือไม่กลับมาติดพันตกต่ำลงอีก ความหลุดพ้นอย่างนี้แหละ เป็นที่ต้องการ เป็นแก่นสาร เป็นที่สุดโดยรอบแห่งการประพฤติความดีในศาสนานี้"
'หัวใจ' เราทุกคนน่ะต้องมี 'พระนิพพาน' เป็นที่ตั้ง... จุดมุ่งหมาย คือ พระนิพพาน คือ การไม่เวียนว่ายตายเกิด อย่าให้เงินทอง ลาภ ยศ สรรเสริญ มันซื้อหัวใจเราได้ ทำไมถึงให้ซื้อไม่ได้ล่ะ...?
เพราะว่าสิ่งเหล่านี้ คือการเวียนว่ายตายเกิด ต้องเป็นตัวของตัวเอง ต้องมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ บุคคลที่หาได้ยาก ก็คือบุคคลที่เงินซื้อหัวใจไม่ได้ ลาภ ยศ สรรเสริญซื้อหัวใจไม่ได้ ความร่ำความรวยซื้อหัวใจไม่ได้พระพุทธเจ้าท่านเป็นตัวอย่างนะ ที่ท่านมีความสุข มีความดับทุกข์ที่สุดในโลก ไม่มีอะไรที่จะซื้อหัวใจของท่านได้ "ซื้อ ก็หมายถึงว่าให้รางวัลนะ"
ลาภ ยศ สรรเสริญ ข้าวของเงินทองน่ะ เค้าเรียกว่ามันให้รางวัลเรา มันให้ค่าจ้างเรา เพื่อให้เราเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฎสงสารนะ มันเป็นความเพลิน มันเป็นความหลง มันเป็นการผูกใจสัตว์โลกให้หลงอยู่ในวัฏฏสงสาร จะมีประโยชน์อะไรล่ะ... เราหาอยู่หากินตั้งแต่เด็กๆ สุดท้ายเราก็แก่...เราก็เจ็บ...เราก็ตาย ไม่ได้อะไรเลย... ทุกอย่างลำบากเพราะเราหลงเหยื่อ เราคิดดูแล้วก็สมเพชเวทนาตัวเองนะ 'การเวียนว่ายตาย' เกิดนี้... มันเป็นเรื่องสลดใจ ต้องพลัดพรากจากพี่จากน้อง จากพ่อจากแม่ไปหาเหยื่อในสถานที่ต่างๆ แล้วก็แก่ ก็เจ็บ ก็ตาย แล้วก็ไม่ได้อะไร เราพากันคิดดีๆ พากันทบทวนตัวเองดีๆ น่ะ
พระพุทธเจ้าก่อนที่ท่านจะตรัสรู้น่ะ ท่านเข้าฌาน "บุพเพนิวาสานุสติญาณ" ระลึกชาติในการเวียนว่ายตายเกิดของตัวเองและสัตว์โลก เป็นที่สลดสังเวชมาก เราทั้งหลายที่หลงเหยื่อ พากันเพลิดเพลินอยู่น่ะ ต้องมาหยุดต้องมาตัดนะ มาปรับตัวเองเข้าหา 'ธรรมะ' ไม่ทำตามความอยาก... ความต้องการ... ถึงเรียกได้ว่าเป็นผู้มี 'สัมมาทิฏฐิ' มีความเห็นถูกต้อง แล้วก็พยายามปฏิบัติอบรมบ่มอินทรีย์น่ะ
คนเราส่วนมากมักเอาเวลาไปรู้ไปดูสิ่งอื่น เรื่องของผู้อื่น ซึ่งเป็นเรื่องนอกตัว นอกกายใจทั้งนั้น น้อยนักที่จะดูตนเอง สนใจเอาใจใส่ขัดเกลาตัวเราเอง หากสนใจแต่ในการแสวงหาเรื่องลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ซึ่งพระพุทธองค์อุปมาเป็นเหมือนกิ่งใบของต้นไม้เท่านั้น ยังนับว่าห่างไกลที่จะเข้าถึงแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาได้ ฉะนั้นแล้ว อยู่ที่เราแล้วละว่าจะเอาอะไรเป็นแก่น ให้สมกับที่ได้เกิดมาพบพระสัทธรรม หากหลงไปไขว่คว้าในสิ่งอื่น ไปหลงกราบไหว้บูชาสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์เอามาเป็นสรณะที่พึ่ง ก็ยังนับว่าห่างไกลพระพุทธองค์ เสียโอกาสดีๆ ไปอีกชาติหนึ่งแล้ว...
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee