แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันศุกร์ที่ ๔ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง เข้าพรรษาเข้าหาธรรม ตอนที่ ๓ ความสงบนั้น มันไม่อยู่ที่ใกล้ที่ไกล แต่อยู่ที่ใจของเราที่มีสติสัมปชัญญะนี้เอง
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
วันนี้เป็นวันเข้าพรรษาวันที่ 3 ประจำปีพุทธศักราช 2566 ภิกษุภิกษุณี สามเณร สามเณรรี คุณแม่ และโยมที่มาอยู่วัดปฏิบัติธรรม เมื่อวานได้พูดเรื่องให้ทุกคนถือนิสัยของพระพุทธเจ้า ถือพระธรรมถือพระวินัย 100% ไม่ถือนิสัยของตัวเอง ไม่ถือนิสัยประชาชนคนทั้งโลก ที่เป็นประชาธิปไตยก็ดี สังคมนิยมก็ดี ต้องถือนิสัยของพระพุทธเจ้า มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ให้ทุกท่านทุกคนมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม กลับมาหาเนื้อ หาตัว รู้ตัวเองมากกว่ารู้สิ่งภายนอก รู้กายของตัวเอง รู้ใจของตัวเอง ต้องมีสติมีสัมปชัญญะอยู่กับเนื้อกับตัว ให้ใจของเราทุกคนตั้งอยู่ในขณิกสมาธิ ตั้งอยู่ในศีล สมาธิ ตั้งอยู่ในปัญญา ศีลสมาธิปัญญานี่แหละ ต้องเอามาใช้ เอามาปฏิบัติพร้อมๆ กันในปัจจุบัน ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า สมณะที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 นั้น มีอยู่ในปัจจุบัน ในชีวิตประจำวันของเราทุกคน ที่เอาธรรมะวินัยเป็นหลัก ละเสียซึ่งตัวซึ่งตน ไม่มีทิฏฐิ ไม่มีมานะ ไม่มีอัตตา ไม่มีตัวตน
เราทุกคนต้องละอดีตที่ผ่านมาทั้งหมด ให้ใจของเรามันเป็นศูนย์จากอดีต เราจะได้ตัดกรรม ตัดเวร ตัดภัย ไม่ว่าดี ไม่ว่าชั่ว เราต้องลบอดีตให้เป็นศูนย์ ถ้าเราไม่ลบอดีตให้เป็นเลขศูนย์ ใจของเรามันก็มีหนี้มีสิน ใจจะเข้าถึงนิพพานได้ มันต้องใจไม่มีหนี้ไม่มีสิน ดีเราก็ต้องปล่อยวาง เพราะว่าเป็นอดีตแล้ว ชั่วเราก็ต้องปล่อยวาง เพราะว่าเป็นอดีตแล้ว ปัจจุบันเราต้องฉลาดขึ้น สิ่งที่มันผิดพลาด เราก็ต้องควบคุมคอนโทรลตัวเอง อย่าไปใจอ่อน เราลองดูย้อนหลังดูว่าสิ่งไหนที่มันไม่ดี เราไม่ต้องไปคิด ไม่พูด ไม่ทำ กิริยามันต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองในปัจจุบันนี้ เราจะเอาศีลสมาธิปัญญาดีๆในปัจจุบัน อนาคตเราก็ต้องวางแผนไว้ก่อน เช่นว่า เราจะจัดงานอีกหลายวันหลายเดือนข้างหน้า เราก็ต้องวางแผนไว้ก่อน อย่างเราจะไปปฏิบัติไปสู่มรรคผลนิพพาน มันก็คือการวางแผนไว้ก่อนนะ วางแผนไว้ก่อน สิ่งที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า หรือหลายเดือนหลายปีข้างหน้า เราก็จะบกพร่อง เราต้องรู้อดีตที่ผ่านมาเพื่อเป็นบทเรียน ต้องรู้อนาคตแล้วก็จัดการตัวเองในปัจจุบัน ต้องทำให้มันถูกต้อง ปฏิบัติให้มันถูกต้อง เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี ผู้ปฏิบัติธรรมถึงรู้เรื่องอดีต และก็รู้เรื่องอนาคต ฝึกเป็นคนเก่งฝึกเป็นคนฉลาด พร้อมทั้งเป็นคนดีไปพร้อมๆ ถึงจะเป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรง ปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์ เราถึงเป็นผู้ที่จะสมควรกราบไหว้ตัวเอง หรือบุคคลอื่นกราบไหว้เรา ให้พระเณรควบคุมคอนโทรลตัวเอง เราจะเป็นพระได้ เราต้องเป็นพระทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งกิริยามารยาท เป็นพระทั้งทางใจ ต้องให้สมบูรณ์พร้อมทั้งกาย วาจา กิริยามารยาท พร้อมทั้งใจไปพร้อมๆ กัน ให้ทุกท่านทุกคนปล่อยวางเสียซึ่งตัวซึ่งตน ไม่มีตัวไม่มีตนที่หลงเหลืออยู่ มีแต่สติ มีแต่สัมปชัญญะ เรียกว่าเป็นธรรมะ เป็นธรรมชาติ ปราศจากเสียซึ่งตัวตน เราทำอย่างนี้พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ว่าให้เรา ครูบาอาจารย์ก็ไม่ได้ว่าให้เรา ทุกๆ คนก็ไม่ได้ว่าให้เรา เราทำอย่างนี้แหละ มันจะไม่เครียด เรามีความสุขในการเสียสละและก็ปล่อยวาง หยุดตัวเอง ไม่ไปเพิ่มไม่ไปต่อเติม ไม่ไปปรุงแต่งอะไร มีแต่สติ มีแต่สัมปชัญญะ ไม่ได้เพิ่มอะไร เพราะการปฏิบัติธรรม ไม่ใช่เราจะมาเอาอะไร เพราะทุกอย่างไม่มีอะไรได้ ไม่มีอะไรเสียอยู่แล้ว สิ่งที่ได้สิ่งที่เสียนั้นเป็นความคิด เป็นความหลงของเราต่างหาก
ต้องปรับตัวเข้าหาธรรมะ เข้าหาเวลา เราจะมีข้อวัตรข้อปฏิบัติกัน ทำไมปรับตัวเข้าหาธรรมะ เข้าหาเวลา มันจะไปสอดคล้องเกี่ยวกับวิถีชีวิตของเราในชีวิตประจำวัน ที่วัดของเรานี้สัญญาณระฆัง ต้องให้ตื่นเวลาตี 3 ตื่นขึ้นมาเก็บที่อยู่ที่นอน ไปร่วมรวมกันที่ศาลา ทำวัตรเช้าเริ่มต้นที่ตี 3.30 น. มาหลวมๆ ไว้ 30 นาที ทุกคนต้องมาก่อนตี 3.30 น. จะได้พร้อมเพรียงกัน เพื่อผู้มีอินทรีย์แก่กล้า เพื่อผู้มีอินทรีย์ปานกลาง อินทรีย์อ่อน พระที่อยู่ใกล้กันต้องดูแลกันปลุกกัน อย่าไปเอาตัวใครตัวมัน ทุกคนต้องมีพรหมวิหาร ความเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ต้องดูแลกันช่วยกัน เราจะทำวัตรสวดมนต์นั่งสมาธิต่อเนื่องกันจนไปถึงเวลาตี 5 กราบพระเลิก ทำความสะอาดศาลา ตั้งอาสนะ ไปทำความสะอาดห้องน้ำห้องสุขา อันนี้เป็นส่วนรวม ส่วนตัวที่อยู่กุฏิของเรา แล้วก็พากันเตรียมออกรับบิณฑบาต
ทุกท่านทุกคนต้องพากันฝึกสร้างบารมีรับบาตรครูบาอาจารย์ ทั้งไปและทั้งกลับ เราจะไปเอาแต่ความสงบอย่างเดียวไม่ได้ เราต้องเอาเสียสละ ทุกคนต้องเทคแคร์ธรรมะวินัย เทคแคร์ข้อวัตรข้อปฏิบัติ พร้อมทั้งเทคแคร์บุคคลอื่น การปฏิบัติอย่างนี้เราไม่ได้ทำเพื่อจะเอาอะไร เราทำเพื่อจะเสียสละ เพราะเราทุกคนมันเกิดมา มันมีทิฏฐิมานะอัตตาตัวตน ไม่ได้เอาธรรมเป็นหลัก ไม่ได้เอาความถูกต้องเป็นหลัก เอาแต่ตัว เอาแต่ตน เราเกิดขึ้นมาพ่อแม่อุปัฏฐากเราตั้งแต่อยู่ในท้อง เป็นเด็ก เป็นนักเรียน เป็นนักศึกษา จนถึงเป็นหนุ่มเป็นสาว หรือบางคนก็แก่แล้ว พ่อแม่ก็ยังอุปัฏฐาก พ่อแม่ก็เทคแคร์เรา เมื่อเรามาบวชเรามาปฏิบัติ เราต้องพากันรู้ เพื่อที่จะไม่ได้ตามใจตัวเอง ไม่ตามอารมณ์ตัวเอง ปรับตัวเข้าหาเวลาเข้าหาธรรมะ อุปถัมภ์อุปัฏฐากครูบาอาจารย์ เราเกิดมาเราไม่เคยทำก็ต้องทำ สิ่งที่มันดีๆ สิ่งที่มันถูกต้อง เราไม่เคยทำ หรือไม่เห็นคนอื่นเขาทำ มันเก้อเขินนะ มันก็ไม่เป็น เราดูตัวอย่างแบบอย่างคนในโลกนี้ก็อุปัฏฐากพ่อแม่ อุปัฏฐากครูบาอาจารย์นี้ไม่ค่อยจะเป็นหรอก จะมีอยู่ในกลุ่มคนจีนที่ถือเรื่องกตัญญูกตเวทีเป็นเรื่องหลักเรื่องใหญ่ เราอย่าพากันคิดว่าอยู่ที่บ้านก็ไม่ได้อุปัฏฐากพ่อ ไม่ได้อุปัฏฐากแม่ มาบวชต้องมาฝืนใจอุปัฏฐากครูบาอาจารย์ ต้องมาฝึกทีวัดนี่แหละ สึกหาลาเพศไป ถึงไปอุปัฏฐากพ่อแม่ ความกตัญญูกตเวทีเป็นเครื่องหมายของคนดี เป็นเครื่องหมายของผู้มีศีล มีสมาธิ มีปัญญา
พวกท่านพากันมาบวช พวกท่านต้องพากันเก่ง พากันฉลาด พร้อมทั้งเป็นคนดี ต้องเริ่มต้นจากระบบความคิด อันไหนไม่ดีไม่คิด ร่างกายเรานะถ้านอนไม่อิ่มการทำงานก็ไม่ดี จะเอาระบบสมองสติปัญญา ไปใช้อะไรมันก็ใช้ไม่ได้ คนเราปล่อยให้ใจของเราคิดในเรื่องกาม ในเรื่องพยาบาท จิตใจมันสกปรก จิตใจมันเศร้าหมอง ให้ทุกคนมีจิตใต้สำนึกว่าเราคิดเรื่องกามไม่ได้นะ คิดเรื่องพยาบาทไม่ได้นะ ต้องพากันเข้าใจอย่างนี้ ถ้าท่านไปคิดเรื่องกามเรื่องพยาบาท ท่านจะไม่สงบ แล้วเรื่องจิตเรื่องใจนี่ มันเป็นสิ่งที่สำคัญนะ มันไม่มีตัวไม่มีตน แต่เป็นธรรมะ มันต้องพูดหลายครั้ง จิตใจมันจะสั่งสม มันทำให้เราร้อนเราไม่สงบ ไม่มีสติไม่มีปัญญา จิตใจของท่านจะไม่สง่างาม จิตใจของท่านจะไม่ได้ทำที่สุดแห่งกองทุกข์ ที่มาบวชก็บวชแต่ร่างกาย แต่ใจของท่านไม่ได้บวช เพราะท่านยังปล่อยให้ท่านคิดเรื่องผู้หญิง คิดเรื่องกิน เรื่องเที่ยว คิดวาดวิมานไปเรื่อยๆ เพราะใจของเราทุกคนก็รู้กันอยู่แล้ว รู้ใจของตัวเองอยู่แล้ว เมื่อเราคิดไม่ดี เราจะปล่อยให้ตัวเองคิด เราจะเคารพนับถือเราได้อย่างไง
เบรคของเราคือ สติ คือสัมปชัญญะ รู้ตัวทั่วพร้อมนี้แหละ พวกท่านทั้งหลายไม่ต้องเอาเวลา ในการพูดการคุยกัน มันเสียเวลาที่เราเจริญสติสัมปชัญญะ เราให้อิทธิพลสิ่งต่างๆ ดึงเราไป พวกท่านอย่าพากันอ่อนแอ ความเจ็บไข้ได้ป่วยนี้ทำให้เราอ่อนแอ ความง่วงเหงาหาวนอนนี้ทำให้เราอ่อนแอ ความปวดเมื่อยต่างๆ นานา นี้ทำให้เราอ่อนแอ ท่านทั้งหลายต้องมีสติ สัมปชัญญะ จิตใจเข้มแข็ง อย่าให้สิ่งเหล่านี้กระทืบเรา เราต้องรู้จักว่าอันนี้เป็นอาการของธาตุของขันธ์ ที่จะให้ทุกคนได้ฝึกใจ ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้เราจะไปฝึกอะไรที่ไหน ศาสนาต่างๆ ก็ไปได้แค่สวรรค์ ศาสนาต่างๆ ก็ไปได้แค่พรหมโลก สิ่งเหล่านี้เองที่ทำให้เราได้พัฒนาใจ ไปสู่วิปัสสนา ในจิตใต้สำนึกของท่านต้องระลึกเสมอว่าเป็นอนิจจัง สุข ทุกข์ หรือไม่สุข ไม่ทุกข์น่ะ มันล้วนเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทุกอย่างมันคงสภาพไม่ได้ มันทำให้เราทุกคนน่ะ มีความทุกข์ เราจะไปวิ่งตามสิ่งที่มันปรากฏการณ์ในปัจจุบันนี้แหละ อุเบกขา สัมมาสมาธิ นี้ก็ที่รู้ตัวทั่วพร้อมให้ชัดเจนน่ะ รู้กาย รู้ใจ ให้มันชัดเข้าไว้ แล้วก็เผาด้วย อนิจจัง ว่ามันไม่แน่ไม่เที่ยง ทุกขัง มันไม่อยู่ในสภาพเดิม อนัตตา ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เราต้องพากันภาวนาวิปัสสนาอย่างนี้ เราจะมาเอาความสุขจากสิ่งที่ไม่แน่ไม่เที่ยงไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนนี้มันไม่ได้หรอก ต้องขอบใจสิ่งเหล่านี้ถึงจะถูกต้อง ที่เปิดโอกาสให้เราได้ประพฤติได้ปฏิบัติได้พัฒนาจิตใจ ที่มันเป็นไฟต์เป็นโอกาสที่เราได้ประพฤติ ให้เราได้ปฏิบัติ
สิ่งต่างๆ ที่มันปรากฎการณ์น่ะมันล้วนเป็นพระเทวฑูต มาบอกมากล่าวมาเตือน รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันเป็นเทวฑูตมาบอกมาสอนเรา ให้เรามีสัมมาทิฏฐิ จนรวมกันเป็นหนึ่งคือสัมมาสมาธิ เพราะเราไม่ต้องไปละหรอก เราเพียงรู้ เราไม่ต้องไปเพิ่ม เราเพียงรู้ ศีล สมาธิ ปัญญา มันจะอบรมเป็นมรรค มันต้องอาศัยการเวลา ที่อบรมบ่มอินทรีย์น่ะ เหมือนไก่มันฟักไข่มันก็ใช้เวลา 3 อาทิตย์ มันถึงออกลูกมาเป็นลูกไก่น่ะ การประพฤติการปฏิบัติของเราน่ะ ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะ รู้ด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิ มันก็จะอบรมบ่มอินทรีย์ไปของมันเอง ทุกท่านทุกคนต้องว่างจากทิฎฐิมานะอัตตาตัวตน อย่างนี้แหละ
ทุกท่านทุกคนต้องเทคแคร์ตัวเองด้วยธรรมะ เทคแคร์ตัวเองด้วยภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ที่พึ่งของเราก็คือการประพฤติการปฏิบัติ ที่มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้องในปัจจุบันหน่ะ การประพฤติการปฏิบัติ เปรียบเสมือนกัปตันที่ขับเครื่องบินนี้แหละ กัปตันคือผู้ที่ขับเครื่องบินไม่ใช่ผู้โดยสาร ธรรมทั้งหลายทั้งปวงมันเกิดจากเหตุ ถ้ามันจะดับก็ต้องดับที่เหตุ ต้องขับเคลื่อนด้วยตัวเอง ด้วยภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ทุกคนน่ะมันพากันติดมันพากันหลง เรามองดูภายนอก เห็นคนอื่นเขาติดเหล้า ติดบุหรี่ ติดเบียร์ ติดเล่น ติดเที่่ยว ติดตามใจน่ะ พวกท่านทั้งหลายต้องเห็นภัยในวัฏฏะสงสารนะ ต้องเสียสละ เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ด้วยการมีสติสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อม มรรคมีองค์ 8 ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า สมณะที่ 1-4 เราต้องเอามาใช้มาปฏิบัติอย่างเต็มที่ เอาธรรมเอาพระวินัยเป็นหลัก ต้องดำริออกจากกาม ดำริออกจากพยาบาท มีจิตสำนึก มีอุดมการณ์ มีอุดมธรรม
ถ้าท่านมีสติมีสัมปชัญญะแล้ว ท่านจะรู้เรื่อง อริยะมรรคมีองค์ 8 ถ้าท่านไม่มีสติไม่มีสัมปชัญญะแล้ว พูดเรื่องอริยะมรรคมีองค์ 8 ให้ฟัง ท่านก็ไม่เข้าใจ สติสัมปชัญญะถึงเป็นตัว control เป็นฐานของพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ ถ้าเรามีสติมีสัมปชัญญะแล้ว เราก็จะรู้วิธีเดินจงกรม เดินจงกรมคือใจอยู่กับเนื้อกับตัว ใจอยู่กับขาซ้ายขาขวา หรือว่าใจอยู่กับลมเข้า ลมออก ที่เราเดินไปบิณฑบาตก็ดี เดินไปไหนก็ดี ลักษณะเดินจงกรมอย่างนี้แหละ ถ้าเราทำอย่างนี้ใจของเราก็สงบเย็น การทำงานก็เหมือนกัน การทำงานก็เหมือนกับเดินจงกรมอย่างนี้แหละ ใจของเราก็อยู่กับการทำงาน เอาการทำงานนั้นมาเป็นสติสัมปชัญญะ ถึงแม้ท่านจะทำงานก็เท่ากับท่านเดินจงกรม เพราะใจท่านมีสติมีสัมปชัญญะ อย่าไปเข้าใจว่า ไม่ได้ทำความเพียรเลย มีแต่ทำงาน การที่เรามีสติมีสัมปชัญญะ มีความสุขในการรู้ตัวทั่วพร้อม หรือมีความสุขในการเสียสละ เรามีสติมีสัมปชัญญะรู้เนื้อรู้ตัว รู้ว่าอันไหนไม่ดีไม่คิด อันไหนไม่ดีไม่พูด อันไหนไม่ดีไม่ทำ ลักษณะอย่างนี้แหละมันเป็นความสงบเย็น มันไม่ตื่นเต้น ไม่เล้าโลมเหมือนเราหลงในโลกในวัฏฏะสงสารนะ อยู่ในโลกในวัฏฏะสงสาร ทุกๆ คนมันร้องครวญครางอยู่ในใจตลอดเลย ตาเห็นรูปมันก็ครางโอ้ยๆ หูฟังเสียงมันก็ร้องโอ้ยๆ จมูกดมกลิ่นหรือว่าได้รับเวทนาต่างๆ เราก็พากันร้องในใจว่าโอ้ยๆ มันตื่นเต้นนะ ความตื่นเต้นมันไม่ใช่ความดีนะ มันเป็นความหลง มันมีความหลงที่ทำให้สัตว์โลกทั้งหลายนี้ร้องครวญครางอยู่ในใจไปเรื่อยอย่างนี้นะ ไม่เชื่อก็ลองคิดดูตัวเองสิ ถ้าไม่อายหมู่เพื่อน มันอยากจะร้องมาทุกคนแหละ พระพุทธเจ้าถึงให้เรามีสติสัมปชัญญะ ให้เห็นทุกอย่างมันผ่านมาแล้วผ่านไป จะไปร้องโอ้ยๆ ทำไม เราจะได้พากันมีสติมีสัมปชัญญะกัน เวทนานี้ยิ่งหนักเลย รูปยังไม่เท่าไหร่ แต่เวทนานี่ยิ่งหนักเลย เห็นไหมพวกติดยาเสพติดน่ะ ยาอี ยาไอซ์ ยาม้า ทุกคนก็รู้ว่าไม่ดี แต่มันติดในเวทนาน่ะ มันเลยชักดิ้นชักงอ ที่มันร้องโอ้ยๆๆ นี้แหละ สัญญาน่ะความจำได้หมายรู้ มันจำความหลงจำความอร่อย มันจำได้ว่ามันร้องโอ้ยๆ สังขาร ความคิด ความปรุงแต่งนี้ มันทำให้เราไม่มีสติไม่มีสัมปชัญญะเลย มันคิดแต่ว่าข้างหน้ามันคือความสุข มันร้องไปเรื่อย คิดดูแล้วก็น่าสมเพศเวทนาตัวเราทุกคนนะ
เราต้องรู้ทุกข์ รู้ข้อเหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์น่ะ กลับมาหาสติสัมปชัญญะ กลับมารู้จักความไม่แน่ไม่เที่ยง รู้จักอนิจจัง รู้จักทุกขัง รู้จักอนัตตา เราก็พากันมาเสียสละ เพื่อเราจะได้มีสติมีสัมปชัญญะกัน เรามาห่มผ้าจีวรโกนหัวนี่ก็ มันก็พอๆ กับที่เขาเล่นหนังเล่นละครกัน เราทุกคนต้องเจริญสติสัมปชัญญะ เพื่อหาศีลหาธรรม เราทุกคนก็จะเอาสมมุติเพื่อพัฒนาตัวเองเข้าสู่วิมุตติความหลุดพ้น ให้พากันมีความสุข
เรานั่งสมาธิก็เหมือนกัน นั่งสมาธิก็นั่งให้สบาย เราไม่ต้องมาเอาอะไรหรอก นั่งให้ตัวตรง กายก็อย่างหนึ่ง เวทนาก็อย่างหนึ่ง ใจก็อย่างหนึ่ง ทุกอย่างมันก็ขันธ์ทั้ง 5 นี้แหละ เรามามีสติรู้ตัวทั่วพร้อมในกาย ในเวทนา ในใจนี้แหละ หายใจเข้าก็ให้รู้ชัดเจน หายใจออกก็ให้รู้ชัดเจน เรานั่งอยู่นี้คนไม่ตายก็คิดไปเรื่อย เราก็ต้องรู้ว่าเรากำลังนั่งสมาธิ เราก็ฝึกสมาธิ ฝึกสติสัมปชัญญะ เราก็หายใจเข้าก็รู้ หายใจออกก็รู้ หรือหายใจเข้าท่องพุท หายใจออกท่องโธ หรือจะหายใจเข้า พุทโธๆๆ(เร็วๆ) ถี่ๆ จนความคิดมันแทรกไม่ได้อย่างนี้ก็ได้ เราอาจจะเอาสติมาไว้ที่ท้องไว้ที่ทรวงอกก็ได้ ถ้าเราเป็นคนคิดมาก เอาสติมาไว้ที่ท้องยุบท้องพองก็ได้ หรือเอาไว้ที่หน้าอกภายในก็ได้ โดยเป็นการรู้ที่ส่วนที่เป็นท้อง ส่วนที่เป็นหน้าอกภายใน หรือจะเอาสติเป็นความว่างเลยก็ได้ ไม่มีกายเลย มีแต่ตัวผู้รู้อย่างเดียว ให้ใจมันเป็นหนึ่ง โปร่งว่างเบาสบาย อย่างนี้
เราทุกคนต้องพากันฝึกสมาธิ เพราะเราอยู่ที่บ้าน อยู่ที่ทำงานอยู่ที่สังคมน่ะ เราไม่มีโอกาสได้ฝึก เรามาบวชมาประพฤติมาปฏิบัติ เราต้องพากันฝึก พากันปฏิบัติ เราทุกคนมีภาระมาก เมื่อได้มีโอกาสมีเวลา เราต้องพากันมาประพฤติมาปฏิบัติ มาฝึกน่ะ ตัวใครตัวมัน ต้องพากันฝึกให้เต็มที่ มีความสุขในการฝึกในการปฏิบัติ มีสติมีสัมปชัญญะ ถ้าทำอย่างนั้นแล้วยังฟุ้งซ่าน ก็กลั้นลมหายใจเลย ไม่ให้มันหายใจ ใจมันจะขาดก็ให้มันหายใจครั้งนึง แล้วก็กลั้นลมหายใจต่อไปหลายๆรอบ เดี๋ยวมันก็จะหยุดไปเอง ให้เข้าใจอย่างนี้นะ
หลวงพ่อใหญ่บอกว่า จะแสดงธรรมตอนเช้า และตอนค่ำจะแสดงพระวินัย แต่หลวงพ่อใหญ่มาคิดดูก็จะแสดงทั้งพระธรรมพระวินัยผสมกันไปอย่างนี้แหละ เฉพาะตอนเช้า 8 โมง สำหรับตอนค่ำทำวัตรเย็นเสร็จแล้ว ก็พากันฝึกสมาธิเลย ทุกคนก็ตั้งใจฝึก เวลากลับกุฎิแล้วจะได้เข้านอนพักผ่อนจำวัดเลย จะได้มีเวลานอนเพียงพอ ต้องนอนให้ได้ 6 ชั่วโมงเต็มๆ เมื่อกลับถึงกุฏิ มันอยากนอนหรือไม่อยากนอน ท่านก็ต้องนอน มีปัญหาว่ากาแฟเนี่ย มันอร่อยนะ มันติดนะ เมื่อท่านไปดื่มกาแฟตอนเย็นน่ะ เดี๋ยวสองทุ่มสามทุ่มมันจะไม่อยากนอน เพราะกาแฟมันก็เป็นยาสำหรับไม่ให้นอน ทำให้กระปรี้กระเปร่าเป็นยาชูกำลัง เมื่อไปดื่มกาแฟก็ย่อมนอนไม่หลับ สำหรับบางคนยิ่งกินกาแฟยิ่งนอนหลับ เพราะว่ามันติดกาแฟ ถ้าไม่ได้กินมันนอนไม่หลับ พอได้กิน มันลงใจแล้ว มันเลยนอนหลับ ต้องควบคุมตัวเอง control ตัวเองนะ เราต้องนอนแต่หัวค่ำ จะได้ตื่นตีสาม เวลาไปถึงกุฏิ ถึงจะไม่มีพระพุทธรูปก็ต้องกราบลงตรงที่กุฏินั่นแหละ เพื่อให้มีพระพุทธเจ้าอยู่ในใจ จะขึ้นกุฏิลงกุฏิก็ต้องกราบทุกครั้ง ตามประเพณีของพระนักปฏิบัติ ไปอยู่ที่ไหนก็กราบพระ เรียกว่าพระนั้นอยู่ในความประพฤติของเรา อยู่ในการปฏิบัติของเรา อยู่ในใจของเรา ไม่ใช่พระพุทธรูปเป็นองค์ในห้องพระหรอก พระนั้นคือพระธรรมพระวินัย เป็นพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าคือพระ พระนั้นคือผู้ไม่มีทิฏฐิมานะอัตตาตัวตน มีแต่พระธรรมพระวินัย เขาเรียกว่าพระ ทุกคนต้องตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตอนตีสาม ถึงเวลาก็อย่าไปขอต่อรองนอนต่อ ความถูกต้องก็คือความถูกต้อง ไม่ได้เป็นพี่เป็นน้องกับใคร เราจะไปขอต่อรองอยู่นั้นไม่ได้ ถึงเวลาตื่นก็ต้องตื่น ต้องทำให้ได้ ปฏิบัติให้ได้นะ ถ้าทำไม่ได้ปฏิบัติไม่ได้ มันเสียศักดิ์ศรีนะ เสียศักดิ์ศรีญาติวงศ์ตระกูล เสียศักดิ์ศรีของความเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้านะ ทุกคนต้องมีศักดิ์มีศรี ศักดิ์ศรีก็คือมีศีลนี่แหละ ศีลสมาธิปัญญาเรียกว่าศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ อย่าเป็นคนหมดสภาพหมดศักดิ์ศรีที่เอาตัวตนเป็นพระเจ้า
เวลากราบพระไหว้พระก็ตั้งไจกราบดีๆ มีสติมีสัมปชัญญะ อย่าทำส่งเดชไปด้วยสติสัมปชัญญะที่ไม่สมบูรณ์ กราบพระไหว้พระต้องให้เกิดบุญเกิดกุศล อิริยาบถทั้งสี่ให้เรามีความรู้ตัวทั่วพร้อม เกิดบุญเกิดกุศล กราบพระนี้ก็ให้เกิดบุญเกิดกุศล มองดูแล้วมันไม่น่าได้บุญ ทำไปแบบครึ่งหลับครึ่งตื่นไม่มีสติสัมปชัญญะ นอกจากเราไปเข้าพิธีรวมกับเพื่อนๆ หมู่เพื่อนกราบเร็วก็กราบเร็วกับเขา กราบช้าก็กราบช้ากับเขา แล้วแต่เพื่อนแล้วแต่ครูบาอาจารย์
ถ้าเราอยู่เฉพาะตนจะยืนเดินเหินนั่งนอนต้องมีสติสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อม ให้เข้าใจอย่างนี้ กุฏิของท่านที่พักของท่านน่ะ ให้มีจิตใต้สำนึกในใจให้รักษาความสะอาด ให้ตั้งไว้ในใจว่า แม้แต่ฝุ่นเม็ดเดียวก็อย่าให้มี ความสกปรกหรือความมักง่าย จิตใจที่มันหยาบมันมักง่าย เราไม่เอา ต้องมีสติสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อมให้มันสมบูรณ์ กุฏิของท่านที่อยู่ที่อาศัยห้องน้ำห้องสุขาของท่านต้องสะอาด จะไปว่าห้องนอนของเรามันเป็นส่วนตัว อย่างนั้นมันไม่ได้ฝึกใจ พระนิพพานเป็นเรื่องฝึกจิตฝึกใจ ไม่ใช่ไว้อวดใครโชว์ใคร เป็นการฝึกใจเพื่อให้จิตใจไม่มีทิฐิมานะไม่มีอัตตาตัวตน เพื่อจิตใจจะได้ไม่มักง่ายไม่ขี้เกียจขี้คร้าน ท่านต้องจัดการตัวเองดีๆ ในปัจจุบัน ท่านต้องทำอย่างนี้นะ พระพุทธเจ้าไม่มาตามทำให้เรา ครูบาอาจารย์ท่านไม่มาตามทำให้เรา ทุกท่านทุกคนนะ ต้องพากันประพฤติปฏิบัติเอง เหมือนกัปตันขับเครื่องบินนี่แหละ ผู้โดยสารในวัฏสงสารส่วนใหญ่ก็มีแต่คนหลง คนหลงเครื่องบินก็ต้องหมดน้ำมันแน่ เพราะไม่มีรันเวย์จอด เราต้องมีความเชื่อมั่นในพระพุทธเจ้า เชื่อมั่นในพระธรรม เชื่อมั่นในตัวปฏิบัติตามพระธรรมวินัยที่เป็นพระอริยสงฆ์ เชื่อมั่นว่าคิดดีๆ พูดดีๆ ทำดีๆ กิริยามารยาทดีๆ ต้องมีความสุขในการเสียสละมีสติมีสัมปชัญญะมีความสุขมีความสงบมีความเย็น เราต้องทำอย่างนี้
ทุกคนหน่ะ มีทิฏฐิมานะอัตตาตัวตน ทุกท่านทุกคนน่ะจะเป็นพระงาม เณรงาม ประชาชนงาม ท่านต้องไม่มีทิฏฐิมานะ สักกายทิฏฐิ ตัวตนน่ะ ศีลถึงเป็นที่งามในเบื้องต้น สมาธิคือความตั้งมั่นเป็นความงามในท่ามกลาง ปัญญานะไม่มีตัวไม่มีตนเลย มีแต่ความดับทุกข์ความดับเย็นเป็นพระนิพพานอย่างนี้นะ เราต้องพากันประพฤติพากันปฏิบัติอย่างนี้ เราก็พากันปฏิบัติอย่างนี้แหละ การปฏิบัติต้องติดต่อต่อเนื่องนะ ไม่ใช่เอาแค่วันสองวัน 6-7 วันนะ เราต้องเอาติดต่อต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ ต้องมีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ ให้เข้าใจอย่างนี้ ความเข้าใจเรื่องสัมมาทิฏฐินี้ มันจำเป็นที่เป็นสิ่งที่ต้องเข้าใจ ถ้าไม่มีความเห็นถูกต้อง ไม่มีความเข้าใจถูกต้อง ไม่มีการปฏิบัติถูกต้อง มันก็ผิด
ทุกท่านทุกคนต้องพากันเปลี่ยนแปลงตัวเองนะ เพราะอินทรีย์บารมีของตัวเองมันอ่อนน่ะ พระพุทธเจ้าท่านก็ช่วยเราอยู่แล้ว เพื่อนฝูงเขาก็ช่วยเราอยู่แล้ว ต้องช่วยเหลือตัวเอง การช่วยเหลือตัวเองก็ต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เน้นเข้าเรื่องจิตเรื่องใจ ใจมันก็จะสั่งให้กายทำเอง เพราะว่ากายนั้นมันไม่รู้เรื่องอะไร องค์พระจอมไตรพุทธเจ้าจึงตรัสพระภาษิตว่า "มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฺฐา มโนมยา มนสา เจ ปสนฺเสน ภาสตี วา กโรติ วา ตโต สุขมนฺเวติ ฉายา ว อนุปายินี - สิ่งทั้งหลายทั้งปวงสำคัญที่ใจ ใจประเสริฐสุด สำเร็จมาจากใจ ถ้าใจดี ใจผ่องใส การทำ การพูดก็พลอยดีไปด้วย เพราะความดีนั้น ความสุขก็ติดตามมาเหมือนเงาตามตน"
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำ พูด คิด ล้วนแล้วแต่มาจากใจทั้งนั้น คือใจเป็นผู้สั่งให้ทำ ใจเป็นผู้นำ ใจเป็นผู้ก่อให้เกิดการกระทำทุกอย่าง ดังคำที่ว่า “ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว” ใจเป็นผู้สั่ง กายเป็นผู้กระทำ เพราะใจทำเองไม่ได้ ได้แต่คิดสั่งการ ส่วนกายก็คิดเองไม่ได้ ได้แต่ทำตามที่ใจสั่ง
คนทำความดีมีการให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา เป็นต้น ก็เพราะใจสั่ง ใจที่เป็นกุศล สั่งให้ทำความดีทั้งหลายทั้งปวงดังที่กล่าวมา กายก็ทำตามที่ใจสั่ง ผลที่ดีก็เกิดขึ้นตามมา ผู้ที่ได้รับความสุขความเจริญอันเป็นผลจากความดีนั้น ก็คือตัวเรานี่เอง
คนทั้งหลายทำความชั่ว มีฆ่ากัน เบียดเบียนกัน ลักขโมย ผิดลูกผิดเมียคนอื่น เป็นต้น ก็ใจนี่แหละเป็นตัวสั่ง ใจที่เป็นอกุศลทำให้คนทำความชั่วเช่นนั้น แล้วผลชั่วก็เกิดขึ้นตามมา ผู้ที่ได้รับความฉิบหายเดือดร้อนจากความชั่วนั้น ก็คือตัวเรานี่เอง
ถ้าเราไม่มีเรื่องสัมมาสมาธิ มันทำได้ไม่กี่วันหรอก เหมือนพระไปเดินจงกรมนั่งสมาธิ ไปแข่งกับหลวงปู่คำภาน่ะ แต่ไม่ได้บอกหลวงปู่คำภานะ สมัย 20-30 ปีก่อน ไปแข่งกับท่านไปแอบแข่งกับท่าน หืม 6-7 วันก็ไปไม่รอดแล้ว เพราะการปฏิบัติไม่ติดต่อต่อเนื่อง มันก็กลับมาที่เก่าน่ะ การปฏิบัติมันต้องติดต่อต่อเนื่อง ผู้ที่ไม่รู้เรื่องพระศาสนานี้น่ะ ก็จะไปหาแต่ความสงบนะ ต้องการวิเวก ต้องการที่จะเก็บเนื้อเก็บตัว ความสงบความวิเวกนั้นนะ อยู่ที่เรามีสติมีสัมปชัญญะ อยู่ที่ใจของเราที่มันอยู่กับเนื้อกับตัว ใจของเราปรับเข้าหาเวลา ปรับเข้าหาธรรมะ มีแต่สติมีสัมปชัญญะ อันไหนไม่ดีก็ไม่คิด อันไหนไม่ดีก็ไม่ตรึก ใจของเรามีพระนิพพานขึ้นก็จะค่อยวิเวกอย่างนี้ ต้องรู้จักความวิเวกนะ ไม่ใช่จะเอาแต่มองป่านู่นป่านี่ ภูเขาลูกนู้นภูเขาลูกนี้ มันจะไม่รู้จักว่าพระพุทธเจ้าสอนให้เราเข้าสู่ความวิเวกในปัจจุบันนี้แหละ ที่มีสติมีสัมปชัญญะ เราลองทดลองทำดูก็ได้ นั่งอยู่ 100 คน 1000 คน เรามีสติสัมปชัญญะ เราปล่อยวางข้างนอกหมด มีสติสัมปชัญญะนะ ความวุ่นวายจะมาจากไหน เพราะความสงบวิเวกนี้ มันอยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง มันก็มีแต่ธรรม มีแต่พระวินัย ไม่มีตัวไม่มีตน ความวิเวกก็เกิดแก่เรา ให้รู้จักความวิเวกนะ พวกที่ปฏิบัติเบื่อคนมากเบื่อสิ่งแวดล้อม คือผู้ที่ไม่รู้จักพระศาสนานะ ไม่รู้จักความวิเวก ความวิเวกนั้นมันอยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง มีสติสัมปชัญญะ ปล่อยวางทุกอย่างที่เป็นสิ่งภายนอก กลับมาหาสติสัมปชัญญะ เอาอนิจจังมาภาวนามากๆ เอาทุกขังเป็นทุกข์ที่มันทำให้เราเวียนว่ายตายเกิด เอาอนัตตาไม่มีตัวไม่มีตนเราจะมาหลงมันทำไม เราต้องเอามาประพฤติเอามาปฏิบัติ มันถึงเกิดความวิเวก ถ้างั้นน่ะมันจะแย่งขยะกัน มันจะมีโลกส่วนตัว มันจะแย่งขยะกันอย่างนี้ เราต้องพากันรู้จักความวิเวก ไม่งั้นเราก็พากันล้อมกำแพงวัดกัน เสียงบประมานกันเยอะเลย เราจะเอาความวิเวก ไม่อยากจะเห็นหน้าเห็นตาผู้คนทั้งหลาย มีแต่อยากอย่างเดียว อยากฉัน อย่างนี้มันไม่ได้
เราต้องเสียสละซึ่งตัวซึ่งตน เราต้องมีสติสัมปชัญญะ มีภาวนาวิปัสสนา แล้วก็พิจารณาร่างเข้าสู่พระไตรลักษณ์ ร่างกายของเราส่วนไหนมันสวยมันงาม ไม่อาบน้ำแปรงฟัง มันก็สกปรก หมู่มวลมนุษย์ตัดผมอย่างดี แต่งผมอย่างดีอย่างนี้แหละ หาเสื้อผ้าดีๆ แฟ๊บสบู่ โอ้.. มันสกปรกแสนสกปรกเลย ตรงไหนมันสวยมันงาม เราดูสิ กว่าเขาจะสวย กว่าเขาจะหล่อ มันไม่ใช่ธรรมดาหรอก หมู่คนทั้งหลายกว่าจะเป็นผู้หญิงได้ เขาก็ต้องไว้ผม แต่งหน้า แต่งตา อะไรเนี่ยหืม... ทุกอย่างมันเต็มไปหมด ของสกปรกหมุนเวียนเปลี่ยนแปลง อย่างนี้ไม่ใช่ความสวยหรอก ความสวยอยู่ที่เราไม่มีตัวไม่มีตน เราละตัวละตน ที่งามในเบื้องต้น คือศีล งามในท่ามกลางคือสมาธิ งามในที่สุดคือปัญญา การที่เสียสละไม่มีตัวตนอย่างนี้เขาเรียกว่าความสวยความงาม เราจะหลงครางไปเรื่อยโอ้ยๆ ไปเรื่อยไม่ได้ ต้องรู้จักความสวยความงาม ความหล่อหน่ะ ต้องรู้จักความสงบน่ะ มันไม่อยู่ที่ใกล้ที่ไกล มันอยู่ที่ใจของเราทุกๆ คนนี้แหละ ต้องรู้จักความสงบที่แท้จริง
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee