แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันพฤหัสบดีที่ ๓ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง เข้าพรรษาเข้าหาธรรม ตอนที่ ๒ ถือนิสัยจากพระพุทธเจ้าจากพระอริยเจ้า เข้าสู่ภาคปฏิบัติด้วยสติสัมปชัญญะ
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
วันนี้เป็นวันที่ 2 ของการเข้าพรรษา พุทธบริษัททั้ง 4 ให้พากัน มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง แล้วปฏิบัติให้ถูกต้อง ทุกคนต้องมาถือนิสัยของพระพุทธเจ้า เพราะว่าพระพุทธเจ้ามีธรรมะ ธรรมะคือพระพุทธเจ้า ไม่ใช่นิติบุคคล ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ถึงได้ชื่อว่าพระพุทธศาสนา เราทุกคนต้องพากันมายกเลิก มาหยุดในการถือนิสัยของตัวเอง ปรับตัวเองใหม่ ล้มหรือว่ายกเลิกโปรแกรมของอวิชชา ของความหลง ที่มันเขียนโปรแกรมให้เราเวียนว่ายตายเกิด พระพุทธเจ้าบอกเราทั้งหลายว่า เธอจงประพฤติพรหมจรรย์เถิด พรหมจรรย์นี้หมายถึงพระธรรมพระวินัย สิกขาบทน้อยใหญ่ เรียกว่าพรหมจรรย์ พรหมจรรย์อย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด อย่างหยาบที่สุดได้แก่ศีล 5 อย่างกลางก็ได้แก่ศีล 8 ศีลอุโบสถ อย่างสูงสุดก็คือศีลที่ผู้ออกบวช ทุกๆ คนต้องพากันมาถือนิสัยของพระพุทธเจ้าอย่างนี้แหละ
ให้ทุกท่านทุกคนนั้นมีสติ มีสัมปชัญญะ เอาพระธรรมเอาพระวินัย มาประพฤติมาปฏิบัติ 100% หยุดทำตามอัธยาศัย สติสัมปชัญญะนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ สติสัมปชัญญะนี้เป็นพื้นเป็นฐานให้กับเราทุกอิริยาบถ เรียกว่าธรรมะโอสถ ให้ทุกท่านทุกคนพากันรู้ว่า การที่มีสติสัมปชัญญะ คือเรากำลังบริโภคธรรมะโอสถ ถ้าเราทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ติดต่อต่อเนื่อง เราทุกคนก็จะได้เป็นพระอริยเจ้า ตามหลักเหตุหลักผล มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้องในปัจจุบัน อย่างเร็วก็จะใช้เวลา 7 วัน อย่างกลางก็ใช้เวลา 7 เดือน อย่างช้าก็ไม่เกิน 7 ปี สัมปชัญญะจึงเป็นธรรมะที่มีอุปการะมาก ให้เราพากันรู้จักเรื่องสติเรื่องสัมปชัญญะ ที่เราต้องอยู่กับเนื้อกับตัวทุกๆ อิริยาบถ ที่ย่อยออกมาได้เรียกว่ามรรค 8 เราพัฒนาทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งกิริยามารยาท พัฒนาทั้งใจของเรา ให้มีสติสัมปชัญญะ การทำงานก็ให้มีสติสัมปชัญญะ เราจะได้รู้ผิดรู้ถูก เพราะการทำงานก็เอาให้มันเป็นการปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมก็เป็นการทำงานมันจะได้ทั้ง 2 อย่าง การพูดการจาก็ให้มันเป็นการปฏิบัติธรรม เป็นสิ่งที่สื่อสารกับผู้อื่น
แต่ก่อนเราไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ ไม่รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เราถือนิสัยของตนเอง และก็ถือนิสัยของคนอื่น ที่ไม่ใช่พระพุทธเจ้า ไม่ใช่พระอรหันต์ ในปัจจุบันนี้ก็ 7,000 กว่าล้านเกือบ 8,000 ล้านคน ที่มันเป็นประชาธิปไตยทำกันเยอะๆ มันก็เป็นประชาธิปไตย ทุกทุกชาติทุกศาสนามันก็คืออันเดียวกันนั่นแหละ ต้องเอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นใหญ่ เอาธรรมเป็นการดำเนินชีวิต โลกของเรามันจะได้สงบเย็นอบอุ่น พระพุทธเจ้าเกิดจากศาสนาพราหมณ์ ศาสนาฮินดู ทำตามพ่อแม่บรรพบุรุษ การดำเนินชีวิตก็ไปได้อย่างดี ไปถึงพรหมโลก พรหมโลก เมื่อยังไม่ได้เป็นพระยะเจ้ามันก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ เมื่อหมดกำลังสมาธิ ถึงได้มาปฏิบัติค้นคว้าสร้างบารมีต่อ ใช้เวลาสร้างบารมีตั้งหลายล้านชาติ จึงได้รู้อดีตที่ผ่านมาหลายล้านชาตินับไม่ถ้วน และก็มองอนาคตได้เป็นหลายล้านๆ ชาติ ธรรมทั้งหลายทั้งปวงมันก็จะมารวมที่ปัจจุบันนี้แหละ ที่มีสติมีสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อม ไม่เอาตัวไม่เอาตน ไม่ถือนิสัยของตัวเอง ถือธรรมะวินัย ไม่ได้ตัดออก ไม่ได้เพิ่ม เพราะทุกอย่างมันพอดีอยู่แล้ว การดำเนินชีวิตของเราถึงเป็นการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน นักบวชก็ปฏิบัติได้ ผู้ที่อยู่ทางบ้านก็ปฏิบัติได้ ที่เราได้รับแต่งตั้งเป็นข้าราชการ นักการเมือง เป็นใครทุกๆ คนก็ปฏิบัติได้ ทุกท่านทุกคนให้หยุดถือนิสัยของตัวเองนะ ให้ถือนิสัยของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าคือธรรมะ ธรรมะคือพระพุทธเจ้า พากันมีสติสัมปชัญญะติดต่อต่อเนื่องในชีวิตประจำวัน ทุกท่านทุกคนได้เป็นมนุษย์เป็นผู้ประเสริฐ ได้มาบวชได้มาปฏิบัติ เราพากันยกเลิกถือนิสัยของตัวเอง ที่ท่านให้พวกเราถึงนิสัยของครูบาอาจารย์ สมัยครั้งพระพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ส่วนใหญ่ท่านเป็นพระอรหันต์กัน ถือนิสัยของครูอาจารย์อย่างนั้นได้ แต่สมัยทุกวันนี้ครูบาอาจารย์ยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์เลย ครูบาอาจารย์ก็ต้องถือนิสัยของพระพุทธเจ้า เพื่อไม่ถือนิสัยของตัวเอง บางทีเรามองเห็นพระในประเทศไทย ทุกวันนี้พากันถือนิสัยตัวเอง รับเงินรับสตางค์ ละเมิดสิกขาบทน้อยใหญ่ ไม่ทำตามพระพุทธเจ้า เราจะพากันไปถือนิสัยครูบาอาจารย์อย่างนี้ มันก็ไม่ได้นะ
เราทุกคนพากันรู้จักว่าศาสนาพุธนี้เป็นสิ่งที่ประเสริฐมาก มีแต่บริสุทธิ์ที่คุณ มีแต่กรุณาธิคุณ มีแต่พระปัญญาบริสุทธิคุณ ศาสนาถึงเป็นของประเสริฐมาก ของสูงมาก ผู้ที่มาบวชมาปฏิบัติ พ่อแม่ปู่ย่าตายาย ข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน มหากษัตริย์ ก็เคารพกราบไหว้ เราถึงต้องถือนิสัยของพระพุทธเจ้า ไม่เป็นไรพระใหม่เราบวช 3 เดือนก็ไม่เป็นไร บวช 3 เดือนก็ถือนิสัยของพระพุทธเจ้า 100 เปอร์เซ็นต์ไปเลย ไม่ต้องถือนิสัยของตัวเอง ไม่ต้องเอาประชาธิปไตยที่พระในเมืองไทยหรือทุกประเทศทำความผิดเป็นหลัก ต้องเอาความถูกต้อง ความเป็นธรรมยุติธรรม เพราะเค้าทำอย่างนั้น มันไม่ถูกต้องมันไม่เป็นธรรมมันไม่ยุติธรรม มันเห็นแก่ตัว มันเอาตัวตนเป็นหลัก ทิ้งนิสัยทิ้งพระธรรมพระวินัยไปหมด
ครั้งพุทธกาลนี้ก็พระทุกรูป ถือพระวินัย 100 เปอร์เซ็นต์เลย มีจิตใต้สำนึก ไม่ละเมิดพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ ถ้ารู้แล้วไม่ไปฝืน ไม่ไปคิด ไม่ไปทำ ผู้ที่ไม่รู้ถึงพากันถือนิสัยของครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ท่านเป็นพระอรหันต์ ถือมันก็ไม่มีปัญหา เราดูตัวอย่างแบบอย่างที่พระมหายาน ไปเน้นแต่เรื่องจิตเรื่องใจ ไม่เอาพระวินัย เดี๋ยวนี้มีดำรงชีพอยู่ในระดับศีล 5 ฉันอาหารทั้งกลางวันกลางคืนเลย แล้วก็ไปใส่เสื้อใส่กางเกงคิดว่ามันคล่องแคล่วดี ทำอาหารฉันเอง โอ๋...ไม่มีการประเคน ไม่มีการอะไรเลย มันก็เป็นได้แต่ผู้มีปัญญาแบบนักปรัชญา มันไม่ได้เป็นพระศาสนา นี่นับว่าเสียหายมาก ทำกันจนเป็นประชาธิปไตย เมื่อทุกคนทำเหมือนกันยอมรับกัน อันนั้นแหละเรียกว่าประชาธิปไตย แล้วก็มองเห็นพวกที่ทำตามธรรมวินัย เห็นว่าพวกนี้เพี้ยน มันค่อยเปลี่ยนไป เราถึงเอาพระพุทธเจ้าเป็นหลัก ถึงจะบวชมาเป็นกี่ 10 ปี เป็นร้อยๆ ปี ถ้าไม่ใช่ธรรมไม่ใช่วินัยแล้วก็ เราไม่ต้องเอาตาม ไม่ต้องทำตาม ไม่ใช่เรากระด้างกระเดื่อง ไม่ใช่เราแข็งกร้าว เราก็เทคแคร์อ่อนน้อมกับทุกๆ คน ใครเขาจะดีเขาจะชั่วก็ช่างหัวเขา เพราะนั้นเรื่องคนอื่น แต่เรื่องราวนี้ต้องถือนิสัยของพระพุทธเจ้า เอาพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ เราอย่าไปคิดว่ามันไม่เสียหาย อันนี้เป็นสิ่งที่เสียหาย ประชาชนที่มีบ้านถิ่นฐานในชนบทในเมืองในกรุงในเมืองหลวง ที่เป็นพุทธบริษัททั้ง 4 ก็ต้องพากันรู้จักนะ ต้องยกเลิกถือนิสัยของตัวเอง ถือประชาธิปัตย์ที่เอาตัวตนเป็นหลักเป็นใหญ่ ที่ออกกฎหมายขึ้นมา ต้องพากันประพฤติปฏิบัติ ความสุขของเราอยู่ที่เรามีสติสัมปชัญญะ ทำถูกต้องปฏิบัติถูกต้องในชีวิตประจำวันที่ มันมีสติมีสัมปชัญญะ ใจของเราจะได้สงบใจของเราจะได้เย็น
พวกพ่อพวกแม่ต้องพากันปฏิบัติให้มันได้ 100 เปอร์เซ็นต์ และคอยสอนลูกสอนหลานสัก 5% ซึมซับไปในชีวิตประจำวันให้พากันเข้าใจ ให้พากันถอดเขี้ยวถอดเล็บอสรพิษออกจากตัวเรา เราอย่าไปกลัวตายกลัวอดตาย ทำความดีกว่าจะรู้ผลก็ใช้เวลาหลายปีนะ ทำความชั่วกว่าจะรู้ผลก็ใช้เวลาหลายปีเหมือนกัน เราต้องรู้จักกรรม รู้จักเวร รู้จักภัยที่มันเกิดจากใจของเราในปัจจุบันนี้ เราจะได้หยุดมีเซ็กส์ทางความคิด หยุดมีเซ็กส์ทางอารมณ์ จะได้มีสติมีสัมปชัญญะหยุดยั้งตัวเอง เราทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้แหละ พวกเป็นนักบวชหลายวันหลายปี ความดีก็จะมั่นคงถาวร เราจะไม่ได้เป็นเหมือนทุกวันนี้ หมู่บ้านนึงก็ตักบาตรไม่กี่หลังคาเรือน เพราะว่าเราไม่ฉลาดเราคิดไม่ถึง คิดว่าพระต้องมีเงินมีตังค์ต้องสะสมอะไร คิดไม่ถึง มันคิดไม่ถึงมันยังมีตัวตนเยอะมันโง่ มันไม่ฉลาด การเสียสละตัวตนเท่านั้นมันถึงจะมีสติมีสัมปชัญญะ มันถึงจะฉลาด ประเทศไทยเราหรือทุกๆ ประเทศ มันถึงมีการเรี่ยไร ขอของจากคนไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่ปวารณา ทำให้ประเทศชาติบ้านเมืองเราโกงกินคอรัปชั่นทุกหน่วยงาน ไม่ว่าพระเจ้าพระสงฆ์ ไม่ว่าตำรวจทหารข้าราชการทุกกระทรวงทบวงกรม เพราะเราไม่รู้อริยสัจ 4 ไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ ไม่รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ ไม่มีสติไม่มีสัมปชัญญะกัน มีแต่ความฟุ้งซ่านกัน
ความจริงที่กล่าวมาแล้วพูดมาแล้ว ในโลกนี้ 7,000 กว่าล้านเกือบ 8,000 กว่าล้าน ควรที่จะรู้กัน เพราะเราทุกคนในโลกนี้ ล้วนแต่เป็นญาติเป็นพี่เป็นน้องกัน ได้ร่วมสุขร่วมทุกข์เวียนว่ายตายเกิดด้วยกัน เราต้องเอาธรรมะเป็นหลัก เอาธรรมะเป็นใหญ่ เอาธรรมะเป็นการดำเนินชีวิต เรียกว่าถือธรรมเป็นหลัก เรียกว่าถือนิสัยของธรรมะ บ้านเราเมืองเราถึงจะไม่มีโกงกินคอรัปชั่น ถึงจะไม่มีการสร้างปืน สร้างระเบิด สร้างอาวุธ สร้างสารเคมีที่เป็นพิษร้าย พวกนักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายพากันเข้าใจนะ การที่พวกท่านค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ดีแล้ว ถูกต้องแล้ว มันเป็นการค้นคว้าเพื่อส่วนรวมเพื่อโลก แต่ท่านต้องเอาวิทยาศาสตร์ทางจิตใจไปพร้อมๆ กัน เมื่อท่านเก่งท่านฉลาดท่านจะได้เป็นคนไม่เห็นแก่ตัว จะไม่ได้เอาความเก่งความฉลาดนั้นทำร้ายเพื่อนที่เกิดแก่เจ็บตายทั้งหลาย ที่ยังไม่เก่ง ยังไม่ฉลาดเหมือนท่าน นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายต้องเอาพระศาสนาคู่กับทางวิทยาศาสตร์
แต่ทางศาสนานี่เสียหายมาก เพราะเอาพวกไสยศาสตร์ มาเป็นพระศาสนา เพราะว่าผู้ประพฤติผู้ปฏิบัติศาสนานั้น ไม่ทำตามพระศาสนา จึงได้คิดค้นคว้าวิธีหากินที่สกปรก หลอกลวงทางอิทธิปาฏิหารย์ เหมือนปรากฏการณ์ที่เราเห็นเรารู้ มันดีจริง ศาสนวัตถุที่เป็นพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ แต่เพื่อให้คนอื่นระลึกถึง ไม่ใช่ท่านจะเอามาทำมาหากิน มาซื้อมาขายมาแลกเปลี่ยน อย่างนี้แหละถือว่ามันเสียหาย ถ้ามีวัดมีศาสนวัตถุแล้วก็ดี ก็ถูกต้อง แต่ท่านเป็นผู้ปกครอง แทบเรียกได้ว่าไม่ได้ปฏิบัติเลย มีแต่จะเป็นนักปกครอง เป็นผู้นำ ในโลกนี้จะมีคนปัญญาอ่อนที่ไหน เค้าจะไปทำตามท่าน มีแต่คนปัญญาอ่อนที่ไปในทางเดียวกันนั่นแหละ นี่ไม่ได้ว่าแรงนะ นี่กำลังว่าพอดี แล้วก็ไปบ่นไปว่าสมัยปัจจุบันนี้ ไม่มีใครอยากบวชกัน บวชก็บวชชั่วคราว ใครเค้าอยากจะบวช เพราะว่าบวชแล้ว มันก็ไม่ได้ปฏิบัติในพระพุทธศาสนาแท้ๆ มันเป็นแต่เพียงประเพณีเนื้องอกที่ท่านจัดสรรมาเพื่อหาผลประโยชน์ ที่พากันทำมากจนเป็นประชาธิปไตย ถึงจะทำกันป็นส่วนมากก็จริง แต่ว่าประชาธิปไตย ยังไม่ใช่พระพุทธศาสนา
ปัญหาของศาสนาพุทธในไทย คือ พระ จำนวนไม่น้อย ที่ไม่ทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้า มันจึงบิดเบี้ยวกันไปหมด ตั้งแต่เริ่มเลย
วัดต่างๆ…กลายเป็นสถานที่ขอโชค…ขอลาภ วัดพุทธในไทย มีเทพของศาสนาอื่น เต็มไปหมด แถมพระ ส่งเสริมการอ้อนวอน ขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทั้งที่ในทางพุทธจัดเป็นมิจฉาทิฏฐิ(ความเห็นผิด) วัดกลายเป็นสถานที่ขอโชคขอลาภ แทนที่จะเป็นสถานที่ศึกษาธรรม แล้วคำสอนของพระพุทธเจ้าไปอยู่ตรงไหน? ทุกวันนี้พุทธในไทยแทบจะเป็นเทวนิยมไปแล้วด้วยซ้ำ
พระทำเดรัจฉานวิชา ปลุกเสกเครื่องรางของขลังขาย เน้นพุทธพานิช คนไทยพุทธ มองเป็นเรื่องปกติ ทั้งที่เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าสั่งห้ามไว้ในพระวินัย ว่า เดรัจฉานวิชา (การปลุกเสกเลขยันต์ทุกชนิด) คือ สิ่งที่ภิกษุต้องเว้นขาด แค่เรื่องพระวินัย พระยังรักษาไม่ได้เลย จะไปเอาเรื่องอื่น ได้อย่างไร
สุดท้ายคนก็เข้าใจผิด ว่าทั้งการไหว้ ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทั้งการทำของปลุกเสก กลายเป็นส่วนหนึ่งของ ศาสนาพุทธไปแล้ว ทั้งที่สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าปฏิเสธ
พระเทศน์เรื่องอะไร พระนักเทศน์ที่มีชื่อเสียง ถามว่าเทศน์เรื่องอะไร? ใช่คำสอนพระพุทธเจ้ารึเปล่า? ก็ไม่ใช่ อย่างพระรูปที่เป็นประเด็นล่าสุด สิ่งที่เทศน์คือการพูดคำคม แถมคำคมก็ยังไม่ได้มีสาระให้แง่คิดอะไรเลย เป็นเรื่องอะไรไม่รู้เรื่อยเปื่อย แถมเป็นคำคมที่หาได้ทั่วไปในอินเทอร์เน็ตทั้งนั้น คำสอนพระพุทธเจ้าไปอยู่ที่ไหน? พระนักเทศน์บางคน เทศน์แต่ คำคม ที่ไม่ได้มีสาระให้แง่คิดอะไรมากนักอันเป็นคำคม ที่หาได้ทั่วไป ในอินเทอร์เน็ตทั้งนั้น คำสอนพระพุทธเจ้า มีหลายระดับ ระดับฆราวาสครองเรือน พระพุทธองค์ ก็มีสอนไว้ แต่ไม่เทศน์ ไปเทศน์แบบเอามันฮา เป็นหลัก
วิชาพระพุทธศาสนาที่บิดเบี้ยว สอนแบบผิดๆถูกๆ ข้อมูลหลายอย่างไม่ถูกต้อง สอนสวนกับแนวทางของพระพุทธศาสนา สอนเน้นแต่เรื่องอภินิหาร จนภาพลักษณ์ของพระพุทธเจ้ากลายเป็นเทวดาในนิทาน แทนที่จะเป็นนักปราชญ์แห่งการดับทุกข์ พระธรรมก็สอนกันแบบตื้นเขินและท่องจำไปสอบ ไม่ได้เน้นเข้าใจและเอาไปใช้จริง
การบวชเป็นประเพณีนิยม คนไทยถือความเชื่อกันว่า ชายไทยพุทธอายุ 20 ต้องบวชทุกคน ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ผิด พระพุทธเจ้าไม่เคยบัญญัติ ไม่เคยบังคับใครให้บวช คนที่บวชคือคนที่มาด้วยใจ คือคนที่จะมาฝึกตนเพื่อความพ้นทุกข์ ไม่ใช่ประเพณี ในสมัยพุทธกาลถ้าไม่นับพวกปาราชิก พระภิกษุสาวกก็บวชตลอดชีวิตเกือบจะทุกรูป และการบวชก็เป็นเพียงเส้นทางหนึ่งในการพ้นทุกข์เท่านั้น ฆราวาสก็บรรลุธรรมเป็นอริยบุคคลได้
คณะสงฆ์ไทยมีปัญหา คณะสงฆ์ไทยมียศ มีอำนาจ มีเงินเดือนตามยศ พระจึงบ้ายศ ถือตัวถือยศถือศักดิ์ แทนที่จะบวชมาเพื่อทำลายอัตตา แต่กลับมาบวชเพื่อเพิ่มสั่งสมอัตตา ทั้งที่โดยแท้นั้น ศาสนาพุทธต่อต้านระบบชนชั้นวรรณะ พระพุทธเจ้าไม่เห็นด้วยกับระบบชนชั้นวรรณะที่กดขี่ผู้อ่อนแอ ทุกคนเกิดมาเท่าเทียมกัน สูงต่ำอยู่ที่ทำตัว
มันบิดเบี้ยวไปหมด ตั้งแต่ต้น พระส่วนใหญ่ จึงทำผิดกันจนกลายเป็นเรื่องปกติ ประพฤติตน ห่างจากคำสอนของพระพุทธเจ้า กันไปเรื่อยๆ กลายเป็นว่า คนที่บวช ไม่ได้มีใจใฝ่ในธรรมแต่อย่างใด เพียงบวชตามประเพณี หรือ บวชเข้ามาเพื่อประกอบอาชีพนักบวช เพื่อ หาเงิน หายศ หาอำนาจ การห่มผ้าเหลืองโกนหัว ไม่ได้ทำให้เกิดพุทธานุสติ-ธรรมานุสติ-สังฆานุสติ จึงพบพระทำผิดวินัย มากมายในสังคมไทย พระทำเดรัจฉานวิชา ตั้งวงเหล้า เสพยา มีสัมพันธ์กับสีกา เป็นต้น
เมื่อพระเป็นแบบนี้ ญาติโยมจะไปเหลืออะไร ญาติโยมที่ไม่เคยได้ศึกษาก็เข้าใจผิด ว่าสิ่งที่พระที่ตัวเองนับถือคือสิ่งที่ถูก มองอาจารย์ตัวเองเป็นผู้วิเศษ สนใจแต่อิทธิปาฏิหาริย์ เครื่องรางของขลัง ละเลยพระธรรมของพระพุทธเจ้า แม้บางคนจะรู้ว่ามันขัดกับคำสอนพระพุทธเจ้า แต่ก็ไม่สนใจ ยังหาเหตุผลมาเถียงเอาจนได้
สรุป ก็คือคนไทย ที่อ้างตัวว่าเป็นไทยพุทธ โดยส่วนใหญ่ ไม่ได้สนธรรมะ ไม่ได้สนคำสอนของพระพุทธองค์ สนแค่ว่าอะไรศักดิ์สิทธิ์ก็จะไปกราบไหว้-บูชา-ขอพร เพื่อหวังว่า ตัวเองจะได้สิ่งที่ปรารถนาตามกิเลสตัณหาของตน ไม่ได้ลดละกิเลสตัณหาตามแนวทางของพระพุทธศาสนาแต่อย่างใด
และเพราะไม่รู้อะไรเลยว่าพระพุทธเจ้าสอนอะไร สังคมไทยก็สนใจกันแต่เรื่องบาปบุญนรกสวรรค์ เอามาขู่ลูกหลานด้วยความกลัว มีทัศนคติลบๆ มีตรรกะที่บิดเบี้ยว ทำบุญกันก็เพื่อหวังสวรรค์หวังชาติหน้า ไม่ได้สนใจเรื่องดับทุกข์กันเลยแต่อย่างใด
สุดท้ายคนรุ่นใหม่ที่ไม่ได้ศึกษาว่าศาสนาพุทธที่แท้จริงมันเป็นยังไง เขาก็เอาศาสนาพุทธในวิชาพระพุทธศาสนาที่บิดเบี้ยว+กับการกระทำของพระและผู้ใหญ่มาตัดสิน สุดท้ายเขาก็มองว่าศาสนาพุทธเป็นเรื่องงมงายไร้สาระ เห็นศาสนาพุทธกลายเป็นเพียงเครื่องมือของชนชั้นปกครอง ผิดหวังกับการกระทำของพระ ผิดหวังกับทัศนคติแย่ๆของผู้ใหญ่ เข้าไม่ถึงข้อมูลที่แท้จริงว่าศาสนาพุทธโดยแท้นั่นเป็นยังไง สุดท้ายก็เลือกที่จะละทิ้งและไม่นับถือศาสนา
นี่คือ วิกฤติของพระพุทธศาสนา ในประเทศไทยอย่างแท้จริง ถ้าไม่รีบแก้ไข สักวัน คนรุ่นใหม่ก็จะละทิ้ง และ พระพุทธศาสนา ก็จะต้องเลือนหายไปก่อนเวลาอันสมควร (ขอขอบพระคุณเจ้าของข้อความดีๆ นี้ด้วย)
ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจนะ อย่าไปว่าไม่มีใครอยากจะบวชเพราะว่าไม่มีลาภ ไม่มีคนถวาย ไม่มีอามิส ไปว่าเขาไม่ได้หรอก เพราะสาเหตุมันอยู่ที่องค์กร อยู่ที่ผู้นำยังไม่เป็นศาสนา ยังไม่ถูกต้อง สาเหตุที่คนบวชน้อย เพราะอย่างนี้เอง ผู้มีปัญญาผู้แก่เรียนทั้งหลาย พากันไปพิจารณาดูนะ ไปประชุมครั้งนึงๆ ไปพูดแต่เรื่องศาสนาเสื่อม เพราะศาสนาอื่น เพราะนารีพิฆาต ที่พูดกันมานี้ก็เป็นเวลาเกือบ 100 ปี มันไม่เป็นเหมือนพูดหรอก ว่าศาสนาเสื่อมเพราะอยู่ที่พระคุณเจ้า อยู่ที่ผู้นำ ไม่พากันเถอะนิสัยของพระพุทธเจ้าไม่เอาธรรม ไม่เอาพระวินัย ทิ้งพระธรรมทิ้งพระวินัย พระวินัยเรื่องบิณฑบาต เรื่องฉันในบาตร พระวินัยเรื่องบิณฑบาตก็เหลือแต่พระผู้น้อยที่ลาภสักการะยังไม่เพียงพอออกบิณฑบาต แต่พระผู้ใหญ่ไปเรื่องธุรกิจเรื่องกิจนิมนต์หมด พากันไม่ฉันในบาตร ฉันในภาชนะ เห็นผู้ที่เอาตามพระพุทธเจ้าเป็นคนเพี้ยนไป เป็นการเสียหายเยอะ ในงานใหญ่ๆ ก็เห็นประกาศกันหน้าชื่นตาบาน เอาพระสมณศักดิ์นั่งสวด ก็เลยทำให้ใครก็อยากได้แต่สมณศักดิ์ เพราะเป็นพระครูก็ได้ค่าตัวระดับหนึ่ง เป็นเจ้าคุณก็ได้ค่าตัวระดับหนึ่ง เป็นสมเด็จก็ได้ค่าตัวระดับหนึ่ง ถ้าเราจะคิดดูดีๆ ด้วยความเป็นธรรมความยุติธรรม มันก็ไม่ต่างอะไรกับพวกดารา พวกจัดคอนเสิร์ตกัน มันต่างกันแต่ลีลาเฉยๆ ต่างกันแต่รูปแบบเฉยๆ ความหมายก็คืออันเดียวกันนั่นแหละ คือไปหลงในลาภสักการะเสียงเยินยอ ที่ไม่ใช่เนื้อแท้ หลักแท้ในพระพุทธศาสนา
ทุกท่านทุกคนต้องตัดสินใจนะปรับปรุงแก้ไขตนเอง เพราะความใจอ่อน ความใจอ่อนทำให้เราเสียอุดมการณ์ ทำให้เราเดินเป๋ หรือว่าหยุดเดิน ทุกท่านทุกคนต้องมาทดแทนคุณแผ่นดิน ทดแทนคุณพระศาสนา ทดแทนคุณพระมหากษัตริย์ที่ท่านเอาพระพุทธศาสนาเป็นการปกครองประเทศชาติบ้านเมือง ที่ท่านเอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นใหญ่ คำว่า ประเทศไทยหรือว่าคนไทยน่ะ คือไม่ตกในอำนาจอวิชชา ไม่ตกในอำนาจความหลง สิ่งที่ถูกต้องอย่างนี้ได้ยินได้ฟังก็อย่าตกอกตกใจ ว่าเอาความชั่วมาตีแผ่เผยแผ่ เราอย่าไปคิดอย่างนั้น คิดอย่างนี้แหละมหายานเลยไม่ให้ประชาชนอ่านพระวินัยของพระ ถ้าอ่านพระวินัยของพระนี้โยมจะบาป แต่ดูแล้วการสื่อสารโทรคมนาคมมันหยุดยั้งเขาไม่ได้ เพราะวิทยาศาสตร์มันจะนำไสยศาสตร์ เพราะทุกวันนี้น่ะสื่อสารมวลชนมันออกทั่วถึงแล้ว พวกคฤหัสถ์พวกโยมนี้ก็ให้พากันรู้ว่ามรรคผลนิพพานนั้นมันไม่หมดสมัย มันได้ทั้งนักบวชได้ทั้งฆารวาส เราต้องมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง เราทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้แหละ ทุกคนจึงจะมีสติสัมปชัญญะ จะมีความสุขความสงบร่มเย็นกัน
ในพรรษานี้ให้พากันตั้งใจให้เต็มที่ ทุกคนต้องพากันรู้จัก ถ้าเรามีสติสัมปชัญยะเราจะเป็นคนว่าง ว่างจากตัวจากตน เราจะได้หยุดความหมุนความปรุงแต่ง เราจะได้ควบคุมตัวเองได้ทุกๆ อิริยาบถ เราดูสิ พระกรรมฐานที่วัดป่า เสียท่าอวิชชา เสียท่าความหลงน่ะ ไม่มีสติไม่มีสัมปชัญญะกัน ไม่เอาจิตใต้สำนึกว่า เราต้องมีสติต้องมีสัมปชัญญะ เห็นปรากฏการณ์ในปัจจุบัน คือกระบวนการอนิจจังว่าไม่แน่ไม่เที่ยง เห็นสิ่งที่ทุกขัง ที่ใจของเรามันพุ่งไปอนาคต ปัจจุบันมันไม่มีสติไม่มีสัมปชัญญะเลย เขาเรียกว่ามันนำตัวเองเข้าสู่ความหายนะ มันเผาตัวเองทั้งวันทั้งคืน มันไม่มีอนิจจังไม่มีทุกขัง ไม่มีอนัตตาเลย จิตใจของเขาน่ะเอาแค่สมาธิ มันเลยพากันเสียหายนะ มันเลยไปหาความสงบ พากันล้อมรั้ววัด บางทีมันก็หลาย 100 ไร่ ก็ล้อมหมดเลย เพราะกลัวรูปกลัวเสียง มันเข้าไปในวัด ล้อมภายนอกมันล้อมได้แหละ แต่ถ้าใจท่านไม่มีสติไม่มีสัมปชัญญะ ไม่รู้เรื่องปฏิจจสมุปบาท เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปถึงจะมี ไม่รู้เรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา พวกท่านทั้งหลายพากันต้องอาบัติทุกกฏเป็นพื้นฐานนะ ไม่ได้พิจารณาเข้าสู่พระไตรลักษณ์ พวกท่านต้องอาบัติทุกกฎเป็นพื้นฐาน เมื่อท่านต้องอาบัติทั้งวันทั้งคืนอย่างนี้ โดยที่ไม่รู้อริยะสัจ 4 มันห้ามมรรคผลพระนิพพานในตัวอยู่แล้ว
พระกรรมฐานทั้งหลายนี้ต้องพากันกระชับอีกนะ เหมือนหลวงปู่มั่น บอกหลวงตามหาบัวก่อนดับขันธ์ว่า “เห้ย... นั่นมันแค่สมาธิ ไม่ใช่เป็นพระอริยเจ้า ไม่ใช่มรรคผลนิพพาน” หลวงตามหาบัวก็เถียงหลวงปู่มั่นในใจ ทำไมถึงไม่ใช่พระนิพพาน เมื่อใจมันเสื่อมก็พึ่งรู้ว่า โอ้... ถึงมาภาวนาพิจารณา หลวงปู่มั่นนิพพานหลวงตามหาบัวถึงได้บรรลุธรรมน่ะ ถึงได้ไปบอกหลวงปู่คำดีว่า “เห้ย... เราไปหลงสมาธิไปเป็นสิบๆ ปีเลย เราต้องเอาใหม่นะ” หลวงปู่คำดีก็ปฏิบัติตามที่หลวงตามหาบัวบอก เพราะคนส่วนใหญ่เอาสมาธิเป็นนิพพาน สมาธิมันมีทุกๆศาสนาอยู่แล้ว ต้องพากันเข้าใจ ทั้งพระใหม่พระเก่าให้พากันรู้นะ พวกโทรศัพท์มือถือ พวกอินเตอร์เน็ตมันมีทั้งคุณมีทั้งโทษนะ พวกโทรศัพท์มือถือ พวกคอมพิวเตอร์เขาเอาไว้ใช้งาน แต่อยู่ในโทรศัพท์มือถือ ในคอมพิวเตอร์น่ะ มันมีกามศูนย์รวมของกามอยู่ในนั้น วัดเราถึงไม่ให้มีมือถือไม่มีคอมพิวเตอร์ เราจะได้เข้าสู่กายวิเวก เข้าสู่สติสัมปชัญญะติดต่อต่อเนื่องกัน ต้องมาหยุดตัวเอง ถ้าไม่หยุด ไม่ได้ คำว่า หยุด ก็คือ มีสติสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อม
ตอนเช้า 8 โมงนี้ เราก็จะบรรยายธรรมะอย่างนี้แหละ ตอนกลางคืนจะได้บรรยายพระวินัยแทรกธรรมะให้เป็นข้อวัตรข้อปฏิบัติ ทุกคนน่ะต้องเอาใจใส่ ต้องอยู่เหนือความเบื่อ ความไม่เบื่อ อย่ามาคิดว่า มาบวชแล้วก็ไม่ได้รับอิสระเลย คำว่า “อิสระ” เราต้องรู้จัก อิสระจากตัวจากตนจากเราจากเขา มีแต่ธรรมมีแต่วินัย มีแต่สติสัมปชัญญะ พระใหม่ก็ได้จัดแยกย้ายกันไปอยู่คนละที่ๆ คนละกุฏิเป็นอิสระ แต่ทุกคนต้องช่วยเหลือกัน ปลุกกัน ชวนกัน แล้วอย่าไปคลุกคลีกัน ต้องให้กำลังใจกัน ความสมัครความสมานสามัคคีนี้ทำให้จิตใจคุณธรรมเราก้าวหน้า ฝึกไปปฏิบัติไป 3-4 เดือนนี้ก็ พวกที่สิกขาลาเพศไปมันถึงจะได้รับประโยชน์ พวกที่ไม่ได้สิกขาลาเพศก็ต้องเป็นพระอริยเจ้ากันอย่างเดียวน่ะ ไม่ต้องเป็นพระที่อาศัยพระศาสนาหาอยู่ หาฉัน หานอน อย่างนี้ไม่ได้ มันเสียหาย อย่าไปฟังเฉยๆ ให้มันด้านมันมึน มันหยาบมันหน้าเกลียดเกิน ให้เราเข้าใจอย่างนี้นะ อย่าไปคิดที่จะไปเผยแผ่ไปช่วยคนอื่น ตัวเองก็ยังช่วยตัวเองไม่ได้เลย แล้วจะไปช่วยคนอื่นได้อย่างไร พระเก่าให้พากันคิดอย่างนี้นะ หลวงพ่อดูแล้วมันเสียหายมาหลายปีแล้ว พวกท่านทั้งหลายที่หลงตัวเองเป็นคนพิเศษ เป็นผู้วิเศษที่ไปหาช่วยคนอื่น ท่านจะไปช่วยอย่างไง ตัวเองยังช่วยไม่ได้ รักษาเชื้อโรคตัวเองยังไม่ได้อยู่ มันคึกคะนองอยู่ใช่ไหม แสดงว่าสติสัมปชัญญะมันยังไม่ได้ มันยังไม่สมบูรณ์ มันฟุ้งซ่าน หาแผนการจะไปโปรดคนนู้นคนนี้
ความไม่รู้ความไม่เข้าใจนี้หรือรู้เข้าแต่เราเป็นคนใจอ่อน เราก็ทำให้ตัวเองลำบาก ทำให้พ่อแม่ญาติพี่น้อง พสกนิกรชาวไทยยากลำบาก บางทีก็ไปทำอะไรตามความหลงมาก บางทีก็เดือดร้อนมาถึงครูบาอาจารย์ เป็นปัญหา มิจฉาทิฏฐิที่มันมีอยู่ในใจน่ะ ถ้าไม่มีสติไม่มีสัมปชัญญะมันก็ช่วยไม่ได้นะ เรื่องสติเรื่องสัมปชัญญะเป็นเรื่องใหญ่เรื่องสำคัญ ไปตามความฟุ้งซ่านมันหลับไม่ลงนะ ความสงบมันจะไม่มีสำหรับผู้ที่ไม่รู้อริยะสัจ 4 ผู้ที่ไม่รู่คุณค่าของสติสัมปชัญญะนะ มีการแตกความสมัครสมานสามัคคีกัน วัดหนึ่งมันก็แบ่งหลายก๊กหลายเหล่า เพราะว่ามันไม่รู้จักพระพุทธศาสนา มันไม่มีสติไม่มีสัมปชัญญะ มันฟุ้งซ่านมากเกินไป เหมือนพวกภิกษุชาวโกสัมพีที่แตกสามัคคีกันตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็บอกว่า เอ้ย...ให้สามัคคีกัน ไปแตกแยกไม่ได้ ก็ยังไม่ฟัง พวกที่ไม่มีสติไม่มีสัมปชัญญะก็เป็นอย่างนี้แหละ อยู่กับพระพุทธเจ้าก็ยังไม่รู้จักพระพุทธเจ้า เกิดการแตกแยกหลายฝักหลายฝ่าย เพราะไม่มีสติสัมปชัญญะ ไม่มีสติไม่มีปัญญา เราทั้งบ้าน ทั้งวัด ทั้งโรงเรียน ข้าราชการ ทหาร อะไรต่างๆ ถือว่าเป็นสิ่งที่เจ็บปวดนะที่แตกแยกกัน ธรรมที่มีอุปการะมากของชาวโลกก็คือ สติ สัมปชัญญะ จะเป็นแอร์คอนดิชั่นที่จะดับเย็นเป็นพระนิพพาน มีความสงบอบอุ่นชั่วกาลนิรันด์
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee