แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันพุธที่ ๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง เข้าพรรษาเข้าหาธรรม ตอนที่ ๑ ควบคุมคอนโทรลตนเองให้ได้ด้วยสติสัมปชัญญะ จิตใจจึงจะตั้งมั่นไม่หวั่นไหว
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
วันนี้เป็นวันเข้าพรรษาของภิกษุ ภิกษุณี สามเณร สามเณรี ในพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาที่ประกอบด้วยพุทธบริษัททั้ง 4 พระครั้งพุทธกาลนั้นออกบวชในพระพุทธศาสนา ถือเพศพรหมจรรย์ ถือเพศนักบวช เสียสละหมดทุกสิ่งทุกอย่าง ฉันอาหารวันหนึ่งเพียงหนเดียว ผู้ที่จะฉัน 2 มื้อ ก็มีแต่พระภิกษุป่วย ภิกษุผู้เฒ่าผู้ชรา ที่ฉันอาหารเช้า และก็ฉันอาหารเพล ถ้าหลังจากเที่ยงเเล้วก็ไม่ฉัน บวชมาแล้วก็ไม่มีบ้าน ไม่มีเรือน ถืออยู่ตามป่า ตามเขา ตามถ้ำ หรืออยู่ตามป่าช้า พิจารณาอาหารบิณฑบาตจากประชาชน ที่ทุกคนเห็นแล้วก็เคารพเลื่อมใส เพราะว่าพระนั้น คือผู้เสียสละหมดทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีอะไรเหลือ ตัวตนก็ไม่มี ไม่มีทิฏฐิมานะอัตตาตัวตน มีแต่พระธรรม พระวินัย พระภิกษุ หรือว่าสามเณรเหล่านั้นจึงเป็นเนื้อนาบุญของโลก ใครพบได้เห็นก็เป็นมงคล เป็นสิริมงคล
เมื่อพุทธศาสนาได้เผยแพร่กว้างขวาง ในหน้าฝน 3 เดือน พระพุทธเจ้าถึงให้พระภิกษุ สามเณร งดจาริกไปในที่ต่างๆ ให้หาที่อยู่อาศัยที่มุง ที่บัง ไม่สัญจรไปเหยียบข้าวกล้า ของประชาชน ถึงให้พระภิกษุ สามเณรอยู่จำพรรษา วันนี้ก็ตรงกับวันเข้าพรรษา ที่เป็นธรรม เป็นวินัย ที่เป็นกติกาให้ภิกษุสามเณรไม่จาริกไปในที่ต่างๆ ให้อยู่เป็นที่เป็นทาง มีเหตุจะไปได้ก็น้ำท่วมอย่างนี้ หรือไปโปรดไปแสดงธรรมไประงับอธิกรณ์ หรือว่าภัยร้ายภัยพิบัติเกิดขึ้น ถึงจะจาริกไปที่อื่นได้ ถ้าไปแสดงธรรมหรือไประงับอธิกรณ์จะไปได้ก็ไม่เกิน 7 วัน คือ 6 คืน วันที่ 7 ต้องกลับมา
คำว่าพระนี้ให้ทุกคนพากันรู้จัก พระนั้นไม่ใช่นิติบุคคลไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน คือพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ ผู้ที่มาเป็นพุทธบริษัททั้ง 4 นี้ก็ต้องสมาทานธรรมะวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ สำหรับพระภิกษุ ภิกษุณีที่มาในพระปาฏิโมก 21000 พระธรรมขันธ์ ที่เอามาสวดทุกๆ กึ่งเดือนของพระภิกษุนี้ก็เพียง 227 ถ้ามาสวดทั้ง 21000 ธรรมขันธ์ ก็ไม่ได้ เอา 227 เป็นหลักเกณฑ์ไว้ก่อน เวลาสวดก็ไม่เกิน 1 ชั่วโมง พระที่แท้จริงนั้น พระพุทธเจ้าท่านนับเอาตั้งแต่พระโสดาบัน ไปถึงพระอรหันต์ ผู้ที่มาบวชยังไม่ได้เป็นพระ เป็นเพียงภิกษุ ภิกษุภิกษุณีถ้าเอาพระธรรม เอาพระวินัย ละเสียซึ่งตัวตนไม่มีตัว ไม่มีตน ด้วยความตั้งใจด้วยเจตนา ถึงจะได้เป็นพระ การมาบวชโกนหัวห่มผ้าเหลืองนี้ก็เป็นแบรนด์เนมของความเป็นพระ แต่ความเป็นพระที่แท้จริง ทุกท่านทุกคนก็ต้องสมาทานตั้งใจโดยเจตนา และก็ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ จะได้เป็นพระทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งกิริยามารยาท เป็นพระทางใจ ให้ผู้ที่มาบวช ให้พากันเข้าใจ ที่เรามาบรรพชาอุปสมบทนี้ เรายังไม่ได้เป็นพระนะ ถ้าเราตั้งอกตั้งใจปฏิบัติ เราก็จะเป็นพระ ตั้งแต่พระโสดาบัน จนถึงพระอรหันต์ เพราะว่าเราปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีอะไร ไม่เอาอะไร มีสติสัมปชัญญะ มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง มีแต่ความสงบ มีแต่ความดับทุกข์ อยู่ในอิริยาบถทั้ง 4 ผู้ที่มาบวชถึงเป็นผู้ที่ประเสริฐ ใครได้พบได้เห็นก็เป็นบุญเป็นกุศล สำหรับประชาชนที่เป็นพุทธบริษัท ผู้ที่ไม่ได้บวช มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ก็พากันเป็นพระได้เหมือนกัน จะเป็นพระได้ตั้งแต่พระโสดาบัน ถึงพระอนาคามี ถามว่าทำไมเป็นพระอรหันต์ไม่ได้ เป็นพระอรหันต์ไม่ได้ เพราะว่ามันยังห่วงพ่อห่วงแม่ห่วงพี่ห่วงน้อง ห่วงญาติวงศ์ตระกูล ธุรกิจต่างๆ ยังห่วงประเทศ ยังห่วงพระศาสนาที่จะดูแลอุปถัมภ์อุปัฎฐาก เพื่อไว้ให้กับลูกกับหลาน
ชีวิตของคนเราที่เกิดมาที่เป็นมนุษย์ คือชีวิตที่ประเสริฐนะ ให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจ ต้องเอาความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ที่เป็นธรรม เป็นความจริง เป็นศาสนา เป็นการดำเนินชีวิต เราจะเอาตัวเอาตนเป็นที่ตั้งไม่ได้ ทุกท่านทุกคนต้องเสียสละซึ่งตัวซึ่งตน คนเราต้องเริ่มต้นมาจากเล็กๆ ตั้งแต่อายุ 1 ขวบ โดยอาศัยคุณพ่อคุณแม่ พ่อแม่ต้องมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง เพื่อเป็นพระธรรมพระวินัยประจำบ้าน บัณฑิตนักปราชญ์ทั้งหลายถึงบอกว่าพ่อแม่ปู่ย่าตายายนั้นเป็นพระอรหันต์ของครอบครัว ทุกท่านทุกคนต้องพากันรู้หน้าที่ของตัวเอง หน้าที่ของตัวเองนั้นคือเป็นพระประจำบ้านของครอบครัว ทุกคนนะต้องปฏิบัติตัวเองให้ได้ตามธรรม 100 เปอร์เซ็นต์ คืออยู่ระดับฆราวาสผู้ครองเรือนมีศีล 5 ร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่ต้องกลัวอดตาย ต้องพากันรู้จักนะ ถือศีล 5 เราพากันกลัวจะอดตาย คนเราน่ะไม่อดตายหรอก ถ้าเรามีความสุขในการเสียสละ ในการทำงาน พระพุทธเจ้าถึงให้เรามีสัมมาทิฏฐิมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้องเราจะได้มีความสุขทั้งวันทั้งคืน วันหนึ่งคืนหนึ่ง พระพุทธเจ้าท่านทำเป็นตัวอย่างแบบอย่าง ท่านทรงบรรทมนอน วันนึงก็ 4 ชั่วโมง และก็ทำงานเสียสละเพื่อบุคคลอื่นตั้ง 20 ชั่วโมง
เพราะการทำงานนั้นคือความสุข ความสุขคือการทำงาน ถ้าเราทำอย่างนี้เราไม่จนหรอก เราต้องบังคับรายรับรายจ่าย เราจะเอาแต่ความสุขในเรื่องอยู่ เรื่องกิน เรื่องนอน เรื่องพักผ่อนอำนวยความสะดวกสบายอย่างเดียวนั้นไม่ได้ เราต้องเอาความสุขจากพระนิพพาน ที่อยู่กับการงาน และความสุขกับการทำงานการเสียสละกับการมีศีล ความสุขนั้นได้มีอยู่กับเราทุกคนในปัจจุบันอยู่แล้ว แต่ว่ายังไม่รู้จัก มันวิ่งตามความฟุ้งซ่าน มันไม่มีความสุขในการทำงาน ถ้าเราทำอย่างนี้ตั้งแต่ตื่นขึ้นจนถึงนอนหลับ มันไม่มียากไม่มีจนหรอก ทุกคนต้องพากันมีศีล 5 กัน ถ้าไม่มีศีล 5 สามีภรรยา หรือญาติวงศ์ตระกูลมันก็ไม่มีความไว้วางใจกัน ทุกคนต้องพากันพัฒนาให้ตัวเอง จิตใจมันเป็นพระ เป็นผู้เสียสละซึ่งตัวซึ่งตน มีความสุขในปัจจุบัน เราทำได้ เราก็จะได้บอกสอนปฏิบัติตัวเอง 95% อีก 5% เราเอาไว้สอนลูก สอนหลาน สอนลูกน้องพ้องบริวาร
ประเทศไทยเรานี่แหละเป็นเมืองพุทธ แต่ไม่ค่อยรู้จักพระพุทธศาสนา พากันขี้เกียจขี้คร้าน ไม่พากันเสียสละ พากันตามใจ ตามอวิชชา ตามความรู้สึก ตามความหลง เขาเรียกว่ามันเป็นอบายมุข มันจะพากันตกต่ำลงสู่อบายภูมิ ยังไม่ตายก็พากันตกนรกทั้งเป็น พากันกินเหล้า กินเบียร์ เสพสิ่งเสพติด เล่นการพนันอย่างนี้ มันไม่รู้จักว่าพระศาสนาเป็นของดีของประเสริฐนะ เพราะเราส่วนใหญ่ที่เกิดมานี้ ได้พากันเอาหมู่มวลมนุษย์ที่เกิดมาในโลกนี้ปัจจุบันนี้ก็มี 7,000 จะเข้า 8,000 ล้านคนเป็นที่ตั้ง คนพวกนี้ก็ล้วนแต่เอาอวิชชาความหลงเป็นหลัก ถึงได้พากันตกสู่อบายมุข อบายภูมิกันทั้งนั้นเลย ถือความไม่รู้ ความไม่เข้าใจ แล้วพากันทำตามอัธยาศัย สิ่งที่ไม่ดีถ้าเราไปเสพไปสมมันก็ติด ไม่ว่าบุหรี่ หรือว่าเบียร์ หรือว่าการพนัน หรือว่าไปเล่นไปเที่ยวมันติด
เราทุกคนต้องพากันรู้จัก เราจะได้เอาพระศาสนาเป็นที่ตั้ง ในครอบครัวเราต้องเอาพระศาสนาเป็นที่ตั้ง หมู่บ้านนึงก็ถึงต้องมีวัด 1 วัดประจำหมู่บ้าน ถ้าหมู่บ้านใหญ่ก็อาจจะ 2 วัด เพื่อความสมัครสมานสามัคคี เอาความถูกต้องเอาความเป็นธรรมยุติธรรมเป็นหลัก เพราะการดำรงชีพของคนประเทศไทย ที่ได้รับโอกาสพิเศษจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ท่านทรงพระราชทานให้กุลบุตรลูกหลาน ข้าราชการพ่อค้าประชาชนพากันลาบวชได้ 120 วัน เป็นเวลา 4 เดือน บวชก่อนเข้าพรรษา 15 วัน ออกพรรษาแล้วรับกฐินก่อนถึงค่อยลาสิกขา ก็เป็น 120 วัน เพราะในพรรษาก็ 3 เดือน หน้า-หลังก็ 15 วันรวมเป็น 30 วัน แต่เราจะได้ยินคำว่าบวชเข้าพรรษา 3 เดือน ถือว่าพัฒนาบุคลากรของประเทศไทยของเรา ผู้ที่มาบวชให้พากันเข้าใจว่าพระศาสนา เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติเราจะได้พากันพัฒนาบุคลากร ผู้ที่บวชไม่สึกก็ให้เป็นพระอริยเจ้าได้ทุกๆ คน ผู้ที่ลาสิกขาไปแล้วก็ให้เป็นพระอริยเจ้าได้ที่เป็นฆราวาส
เมื่อถึงกาลเข้าพรรษากุลบุตรลูกหลานก็ได้พากันมาบวช ทุกท่านทุกคนพากันตั้งอกตั้งใจให้เต็มที่ เรียกว่าต่อยให้เต็มหมัด ต่อยให้แรงให้รวดเร็ว เราอยู่เป็นฆราวาส พื้นฐานของเราในสังคมที่เป็นอยู่ปัจจุบันนี้ เพราะได้พาทิ้งธรรมทิ้งความยุติธรรมเอาความหลงเป็นที่ตั้ง เมื่อเราบวชเราก็ต้องมาเอาใหม่ตั้งใจใหม่ เพราะร่างกายของเรามันอยู่ได้ด้วยอาหารและการพักผ่อน ใจของเราก็อยู่ด้วยอาหารเหมือนกัน อาหารของใจตั้งแต่ก่อนที่เราดำเนินชีวิตมันเป็นอวิชชาความหลง เรามาบวช มาปฏิบัตินี้ เราจะมาหยุดอาหาร มาหยุดอวิชชา มาหยุดความหลง เราไม่ทาน ไม่บริโภค มีศัพท์ที่พอพูดเข้าใจได้ คือเรามาหยุดมีเซ็กส์ทางความคิด หยุดมีเซ็กส์ทางอารมณ์ อย่างเราทานข้าวทานอาหารมันเป็นเรื่องเสพ ของทางร่างกาย ทางวัตถุ แต่ระบบความคิดนี้มันก็เป็นการเสพเหมือนกัน ให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจ ภาษาสมมุติ เรามาบวชแล้ว เราต้องหยุดตัวเองแล้วหยุดให้อาหารอวิชชา ให้ความหลง พระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติ 21,000 พระธรรมขันธ์ ที่จะมาให้เราหยุด ต้นไม้ที่เราปลูกไว้ถ้าเราไม่ให้น้ำให้ปุ๋ยให้อากาศ ไม่ให้แสงแดด หลายวันหลายเดือนหลายปีมันก็ตาย การประพฤติปฏิบัติธรรมมันก็ฉันใดก็ฉันนั้น เราถึงมาสมาทานไม่คิด ไม่พูด ไม่ทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพื่อมันจะได้เป็นกิจกรรม เรียกว่าศีล ข้อวัตรปฏิบัติ เพราะเรื่องจิตเรื่องใจนั้นมันเป็นเรื่องละเอียด และเป็นเรื่องที่มันไม่ได้มองเห็นด้วยตา มันไม่ได้ฟังด้วยหู มันไม่ใช่เรื่องที่สัมผัสได้ทางภายนอก มันเป็นเรื่องจิตเรื่องใจ ที่มีสติมีปัญญา
พระพุทธเจ้าเป็นผู้มีปัญญาได้บำเพ็ญพุทธบารมีตั้งหลายร้อย หลายพัน หลายหมื่น หลายแสน หลายล้านชาติ ถึงรู้จักเรื่องจิตเรื่องใจ พระพุทธเจ้าระลึกชาติได้ตั้งหลายล้านชาติ และก็รู้อนาคต ว่าเราทำอย่างนี้อย่างนี้ผลปรากฏ ทุกคนเอามาบวชมาปฏิบัติ ต้องเอาใจใส่พิเศษ ทำงานหรือว่าปฏิบัติให้ติดต่อต่อเนื่อง พระพุทธเจ้าถึงให้เราเจริญสติสัมปชัญญะ ไม่คลุกคลีกัน เรามีข้อวัตรกิจวัตรเพื่อสำหรับคนส่วนใหญ่อินทรีย์ยังอ่อนอยู่ ถึงได้อาศัยความสมัครสมานสามัคคี ทำอะไรพร้อมเพียงกันเป็นข้อวัตรกิจวัตร ทุกท่านทุกคนอย่าไปถือว่ามันยาก เป็นเรื่องยุ่งยาก เราอย่าไปคิดเหมือนคนที่เค้าไม่รู้จักทุกข์ เขาคิดว่าได้ทำอะไรตามใจ ตามกิเลส นั้นคือความสุข จึงได้มีลัทธิพังค์ (Punk) ขึ้นมาในโลกนี้ ทำอะไรตามใจ ไปผมปล่อยผมรกรุงรัง เสื้อผ้า น้ำไม่อาบ ทำแล้วก็ยังดับทุกข์ไม่ได้เลย เสื้อผ้าก็ยังไม่ใส่ เป็นหมู่มากเป็นนิคมเป็นสังคมของพวกคนหลงบางประเทศจะมีอยู่ ก็คือเอาความหลงเป็นนิพพานไป ไม่เอาอะไร อย่างนี้ก็ไม่ถูก
เราทุกคนต้องพากัน Control ตัวเอง ปรับเวลาเข้าหาเป๊ะๆ เลย ปรับเข้าหาธรรมะเป๊ะๆ เลย ใหม่ๆ มันก็เครียดเลย เราถือว่าเราทำถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ไม่ต้องไปเครียด เดี๋ยวหลายวัน หลายเดือน มันก็จะดี พวกพระเก่าๆ น่ะ หลวงพ่อดูแล้วมันก็ไม่กี่องค์หรอกนะ ที่บวชมาแล้วอาศัยศาสนา หาอยู่หาฉันหานอนนี้ มันไม่ได้ อย่างนี้มันต้องเข้าสู่ความสมัครสมานสามัคคี ไม่ต้องมาเอาพระพุทธศาสนาหาฉัน ต้องมาเสียสละ เพื่อประเทศเพื่อชาติเพื่อส่วนรวม พระธรรมวินัยต้องติดต่อต่อเนื่อง ประเทศไทยของเรามักเอาว่างจากธรรมวินัย ว่างจากมรรคผลนิพพาน เป็นหลักกัน เกือบหมดทั้งประเทศนะ มันเป็นมิจฉาทิฏฐิอย่างเต็มตัว แม้แต่พระวัดป่ายังหลงประเด็น คิดว่ามาบวชแล้วไปอยู่สงบเงียบ มันสงบแหละ มันไม่ได้พัฒนาเรื่องจิตเรื่องใจ ไม่ได้พิจารณากรรมฐาน เดินจงกรม นั่งสมาธิเจริญวิปัสสนาให้ติดต่อต่อเนื่อง พากันไปอยู่เฉยๆ น่ะ อยู่อย่างนั้นมันได้แค่ตาไม่เห็นรูป หูไม่ฟังเสียง มันสงบ เวลาเจอรูปเสียงขึ้นมาก็ยิ่งกว่าถูกฟ้าผ่าเสียอีก เพราะมันแค่ตาไม่เห็นรูป หูไม่ได้ฟังเสียง ถ้าจะได้มากก็ได้แค่สมาธิ มันไม่ได้เข้าถึงปัญญาวิปัสสนา
สมัยทุกวันนี้แหละ เทคโนโลยีแห่งความสุข เทคโนโลยีความสะดวกความสบาย ขึ้นมานี้ก็ถือว่าดี ถือว่าถูกต้อง ให้พวกนักบวชทั้งหลายให้รู้จักว่าสิ่งเหล่านี้เป็นทั้งคุณเป็นทั้งโทษ ผู้ที่เป็นพระวัดบ้าน เป็นพระฝ่ายปกครองต้องระมัดระวังน่ะ โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ เอามาใช้แต่สิ่งที่จำเป็น เพราะถ้าเป็นผู้บริหารเป็นผู้ปกครอง ท่านต้องปฏิบัติเองอย่างน้อยก็ 95% ถึงบริการถึงปกครองคนอื่นสัก 5% พระศาสนาในเมืองไทยถึงเป็นไปได้ เมื่อท่านไม่ได้สอนตัวเองเลย สอนคนอื่น ถึงธรรมะจะถูกต้อง ทุกคนก็ไม่สามารถรับธรรมะการปกครองของท่านได้ ต้องเข้าใจนะนักปกครองทั้งหลาย เราก็ดูกันมาหลาย 10 ปีแล้ว ความเสียหายได้เกิดแก่ประเทศไทย เพราะนักปกครอง ไม่ได้พากันประพฤติพากันปฏิบัติ พากันแต่สอนคนอื่น ตัวเองไม่ได้ประพฤติปฏิบัติ มันทิ้งไปหมดแหละ อย่างพระนักปกครองพากันทิ้งบาตรกันหมด ฉันในบาตรไม่เป็น มีแต่ฉันในถ้วยในจาน เหมือนพวกฆราวาสเขา เวลาจัดประชุมที่ไหนก็จัดโต๊ะฉันเหมือนฆารวาส พระวัดป่าก็คอยเดือดร้อนไปด้วย ที่ต้อนรับพระปกครองที่ถือว่าไม่ใช่ศาสนาพุทธนะ ศาสนาพุทธต้องฉันในบาตร มีอะไรก็ฉันในบาตรหมดน่ะ พระวินัยทุกข้อนี้ไม่มีฉันรวมในกะละมัง ฉันรวมในถ้วยในจาน มีแต่ฉันรวมในบาตร พวกนักปกครองนี้พากันเพี้ยนไปใหญ่นะ ประชาชนคนทั้งหลายก็พากันรู้ ว่าศาสนาเรามันเพี้ยนน่ะ ทิ้งพระธรรมคำสั่งสอนที่พระพุทธเจ้าให้ฉันในบาตร ไม่ทำบาตรเสียงดัง เวลาฉันอย่ามองไปที่อื่น อย่างนี้เป็นต้น นักปกครองทั้งหลายน่าจะพากันคิด ถ้าคิดไม่เป็นมันก็เสียหาย
ในพรรษาอย่างนี้ก็ วัดบ้านนี้ก็ให้พากันฝึกฉันในบาตรบ้าง แต่ก่อนบาตรขึ้นสนิม เดี๋ยวนี้เขามีบาตรสแตนเลส จัดหากันได้แล้วบาตรไม่ขึ้นสนิมแล้ว ชั้นปกครองก็พากันทำนะ อย่าไปฉันในบาตรแล้วอาย เพราะเขาฉันแต่ในถ้วยในจาน พอมาฉันในบาตรเขาจะว่าพระเพี้ยน มันจะเห็นความถูกต้องเป็นเรื่องเพี้ยนไป อย่างนี้มันเสียหาย ท่านพุทธทาสภิกขุแต่ก่อนน่ะประเคนอาหารให้พระฉัน มันไม่สดวก ท่านเลยให้ประเคนไว้บนโต๊ะให้พระตักเองเพื่อไม่ให้ฉันเหลือ เพื่อจะให้พระฉันในบาตร เพื่อไม่ให้เอาถ้วยเอาจานเอาภาชนะ ให้มีหม้อแกง 2 หม้อ 3 หม้อ ของหวานกับผักอย่างนี้ จะได้ไม่ล้างเยอะ จะได้ไม่ลำบากให้แม่ครัวล้างจาน ท่านก็รักษาฉันในบาตร หลวงตามหาบัวน่ะ เมื่อสมัย 40-50 ปี ท่านพาพระพาเณรฉันน้อย ฉันในบาตร ท่านฉัน 15 นาที ท่านก็ไล่พระลุกแล้ว ไม่ต้องไปฉันมาก อ้วนลงพุง ฉันพอไม่ตาย ให้พากันนั่งสมาธิเดินจงกรงให้มาก เป็นพระเป็นเณรไม่ต้องอ้วนหรอก ให้มันร่างกายมันเกือบผอมน่ะ แต่ไม่ถึงกับผอม ผู้ที่ทำความเพียรในพุทธศาสนานี้ค่อนข้างผอม ถ้ามันอ้วนลงพุงหัวล้านนี้มันไม่ใช่แล้ว สำหรับผู้ที่ไม่ได้เป็นพระอรหันต์น่ะ เป็นเครื่องหมายของสีลัพพตปรามาส คือไม่เสียสละตัวตน ทำตามอัธยาศัย ผู้ที่มาบวชก็ไม่ต้องกลัวผอม กลัวเหนื่อยยากลำบาก ต้องพากันฝึกตัวเอง เราทำเรารักษาศีล ไม่ใช้เพื่ออย่างอื่น เพื่อเสียสละซึ่งตัวซึ่งตน เราทำอย่างนี้ เราก็มีความสุข วันหนึ่งคืนหนึ่งอย่างนี้ เราต้องปรับตัวเข้าหาธรรมะ เวลานอนของเรามันต้อง ๖ ชม. ไม่เกิน ๘ ชม. เวลามันจำกัดอย่างนี้ๆ เราก็ต้องปรับตัวเข้าหาเวลา ไม่คลุกคลีกัน เราก็อ่านหนังสือ เดินจงกรม นั่งสมาธิ ทำกิจวัตร เราต้องปรับตัวเองเข้าหาเวลา เราต้องควบคุมใจของเราให้ได้ ถ้าเราควบคุมใจของเราไม่ได้ ใจของเราก็ไม่เข้าสู่รันเวย์ เหมือนเครื่องบินที่ไม่ลงรันเวย์ มันก็เป็นเครื่องบินอุบัติเหตุ ถ้าเราควบคุมตัวเองไม่ได้ หลายเดือนเราก็เป็นโรคจิตโรคประสาท เพราะความใจอ่อนของเรา เพราะความไม่ตั้งใจของเรา กว่ากรรมมันจะปรากฎ มันใช้เวลา หลายเดือน หลายปีนะ ปัจจุบันเราต้อง Control ให้ได้ ปฏิบัติตัวเองให้ได้ มาบวชเป็นพระนี้ก็ หืม... ต้องอ่อนน้อมถ่อมตน ต้องละตัวละตน ไม่มีตัวไม่มีตน คนเราจะเข้าถึงความสุขความดับทุกข์ได้ ต้องไม่มีตัวไม่มีตน ประเพณีของประเทศไทยของเราถึงให้นั่งพับเพียบ จะเดินผ่านผู้หลักผู้ใหญ่ก็ต้องก้มหัวลง แม้แต่จะสวดอะไร ทำพิธีอะไร ต้องตั้งนะโมทุกครั้ง นะโม แปลว่า อะไร นะโม แปลว่า ความอ่อนน้อม ไม่มีตัวไม่มีตน ทุกครั้งเลยต้องตั้งนะโมใช่ไหม
คนเรามันต้องฝึกฉลาดเสียสละซึ่งตัวซึ่งตน มันถึงจะมีความสุขมีความดับทุกข์ งามในเบื้องต้นคือ ข้อวัตรกิจวัตร หรือกิจกรรม ศีลทุกข้อคือกิจกรรม เป็นการอ่อนน้อมทุกข้อเลย ถ้าเราไม่อ่อนน้อม มรรคผลนิพพานจะเกิดขึ้นแก่เราได้อย่างไร พวกพระฝรั่งน่ะมาบวชในประเทศไทย สายวัดป่าสายกรรมฐาน นั่งแต่เก้าอี้ อยู่ที่บ้านเขาประเทศเขา เมื่อเขามาบวชใหม่ๆ ขาเขาแข็งน่าดูเลย นั่งขัดสมาธิไม่เป็น นั่งพับเพียบใช้เวลาตั้งหลายปีถึงจะนั่งพับเพียบได้ พวกฝรั่งอยู่ประเทศเขาฝึกกันไม่ได้ เพราะไม่มีตัวอย่างแบบอย่าง
การอ่อนน้อมปรับตัวเข้าหาธรรมะเข้าหาเวลา เป็นสิ่งที่สำคัญ พระพุทธเจ้าถึงสอนให้เราอ่อนน้อมเข้าหาธรรมะ เข้าหาเวลา ต้องดูแลพ่อแม่ เทคแคร์พ่อแม่ ต้องดูแลครูบาอาจารย์ มันเป็นธรรมะปฏิสันถารนำเราออกจากความเห็นแก่ตัว เพราะส่วนใหญ่นั้นเห็นแก่ตัว ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต โลกหลงในความสุขความสดวกความสบาย หลงไหลในกาม ถือรูปเสียงกลิ่นรส เงินทอง ชื่อเสียงนี้ เป็นที่ตั้ง อย่างนี้มันไม่ได้ไม่ถูก มันหลง เมื่อหลงแล้วก็พากันแย่งขยะกันโกงกินคอรัปชั่น สีดำสีเทาถึงได้เกิดขึ้นในคณะสงฆ์ ในตำรวจทหาร ข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน
เราก็พากันมาบวชพากันมาตั้งใจ ควบคุม control เรื่องการนอนให้มันได้ครบ 6 ชั่วโมง เรากลับกุฎิเราก็หลังจากนั่งสมาธิ พระเราก็นอน control เวลาตื่นขึ้นมาทำข้อวัตรกิจวัตร เพื่อนฝูงที่เรามองเห็นหน้า อินทรีย์มันยังอ่อนอยู่นะ ทุกๆ คนต้องพากันช่วยกัน ต้องเอาข้อวัตรกิจวัตรเป็นหลักเป็นแนวทาง เราต้องควบคุมตัวเองอย่าคุยกันเรื่องบ้านเรื่องเมือง เรื่องทางโลกทางครอบครัว เรื่องกินเรื่องเที่ยวนะ สิ่งเหล่านี้ก็เหมือนหินอยู่บนภูเขา เราไปกลิ้งนิดหน่อยลงเขาเราคุมไม่อยู่นะ เราต้องควบคุมตัวเองทุกๆ คนน่ะ อย่าพากันพูดนะ เรื่องทางโลกนี้ทุกคนมันมีเต็มกระเป๋ามีเต็มสมองอยู่แล้ว เราต้องเบรคตัวเองให้ได้นะ เห็นคนอื่นพูดมันก็ยากพูดอยู่แล้ว มันมีเต็มทุกคน ถ้าเราเห็นคนอื่นพูดเราก็นิ่งเฉยๆ เผื่อเพื่อนเรามันจะได้สติกัน พวกวัดป่าพระกรรมฐานที่มีระเบียบมีวินัยมีมรรคผลพระนิพพาน จะไม่ค่อยมีใครพูด นอกจากครูบาอาจารย์ที่เป็นพระอริยเจ้าที่เป็นพระอรหันต์พูดอยู่องค์เดียว พรรษาหนึ่งที่หลวงพ่อกำลังฝึกพระที่เข้มข้นอยู่ หลวงพ่อชาถึงพูดว่า เอ้อ… พรรษานี้พวกท่านอย่าพากันพูดกันคุยนะ ให้ผมพูดคุยองค์เดียว ให้ผ่านการทำวัตรสวดมนต์ออกเสียง แต่ว่าหมู่ท่านอย่าพากันไปพูดคุยกัน เพื่อจะได้ฝึกสติสัมปชัญญะกัน ถ้าสงสัยในธรรมวินัยก็มาถามผมคนเดียวนี่แหละ ผู้ที่มีความเชื่อในหลวงปู่ชา เค้าก็สมาทานกัน ผู้ที่เชื่ออยู่ว่ามันดีแต่เขาว่าเขามีปัญญามาก คงพูดน้อยหรือเขียนหนังสือบอกเอาก็ได้ กรรมที่คิดอย่างนี้รายเดือนก็ทำให้จิตใจเค้าไม่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี เพราะยังตั้งอยู่ในความเพลิดเพลินยังตั้งอยู่ในความประมาท ใจของเราทุกคนก็เหมือนกัน สิ่งไหนที่ไม่ดีก็อย่าไปคิด ก็เผื่อจะได้หยุดเรื่องกาม เรื่องเสพกาม เสพบาปเสพกรรมนี่แหละ บางคนก็คิดว่า คนเราต้องมีปัญญา ครูบาอาจารย์พูดอย่างนี้เพื่อจะให้วัดสงบ มันไม่ใช่จะให้วัดสงบ วัดสงบมันอยู่ที่ทุกคนน่ะถ้าใครเอาธรรมะเป็นหลักเอาธรรมะเป็นใหญ่ดูแลตนเองได้ เพราะความสงบมันออกจากใจของเรา ที่ว่างจากทิฏฐิมานะอัตราตัวตน เพราะความสงบนั้นมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ที่จิตใจของเราได้เป็นพระอริยเจ้า มีความสงบอยู่ตลอด เราต้องรู้จักความสงบที่แท้จริง มันอยู่ที่ใจที่มีสัมมาทิฏฐิมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องและปฏิบัติถูกต้อง มันก็สงบอยู่ทุกหนทุกแห่ง เมื่อเป็นอย่างนี้ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี ก็มีอยู่ในบ้านในเมืองในกรุงนะ เราต้องรู้จักความสงบที่แท้จริงอยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง อยู่ที่เราเอาศีลสมาธิปัญญามาปฏิบัติ ให้เราทุกคนได้เป็นพระ พระใหม่ให้รู้จักนะ พระบางองค์ก็เดินบิณฑบาตแค่บ้านสองบ้านก็กลับมาทำกิจสงฆ์ หรือพระที่ท่านป่วยก็ไปแค่นั้น ทุกท่านทุกรูปต้องเดินบิณฑบาตสุดสาย เวลาบิณฑบาตก็สำรวมทองพุธโทๆ อยู่ในใจ ให้เจริญสติสัมปชัญญะ อย่าให้ใจฟุ้งซ่าน ต้องบิณฑบาตสุดสาย เพราะเราจะได้โปรดสัตว์ สัตว์ไม่ได้อยู่ที่ไหน อยู่ในตัวเรานี่แหละ ตัวเราที่ไม่สำรวมไม่ระวัง ใจที่ฟุ้งซ่านนั่นแหละมันเป็นสัตว์ ใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวน่ะมันเป็นสัตว์ เราโปรดสัตว์ข้างนอก ก็เพื่อให้ประชาชนข้างนอกได้ทำบุญตักบาตร คนเราถ้าไม่เสียสละมันไม่มีความสุขหรอก พวกสัตว์เดรัจฉานทั้งหลายมันไม่เสียสละ มันก็ไม่มีความสุข คนเรามันต้องเสียสละ ให้บิณฑบาตสุดสายนะ
เรามาบวชก็ฝึกสร้างบารมี รับบาตรครูบาอาจารย์ไปกลับ ล้างเท้า เวลาฉัน เวลาล้างบาตร ก็ให้สำรวมระวัง ฉันสั่ง 20 ถึง 25 นาทีก็อิ่ม เพื่อจะได้เลิกพร้อมกัน พระเณรทุกรูปก็ต้องพากันเชื่อมั่นในศีลในธรรม ในการเสียสละ ละซึ่งตัวซึ่งตน ทุกคนมันเก่งมันฉลาดได้ถ้าเราเสียสละซึ่งตัวซึ่งตน เรามาบวชก็ต้องเก่งต้องฉลาด ทำอะไรก็คล่องแคล่วว่องไว สิ่งของไม่ตกแตกเสียหาย เวลา 3 เดือนก็จะได้ใช้ฝึกตัวเองเต็มที่ก่อนเวลาสึกหาลาเพศไป ความเซ่อๆเบื่อเบลอๆ ไม่รับผิดชอบ มันจะได้หายไป อย่าไปทำตัวเหมือนพระ ที่ทำอะไรก็ไม่เป็น คอยแต่จะรับประเคนอย่างเดียว พากันฉันแล้วก็เล่นโทรศัพท์ แล้วก็คุยเรื่องการบ้านการเมือง คนไม่ค่อยตายก็บ่นอีก ว่าโชคไม่ดีไม่มีใครตายเลย ไม่มีใครมานิมนต์เลย เราอย่าไปทำแบบนั้น มาบวชต้องให้มันเก่งต้องให้มันฉลาด คำว่าพุทธก็คือเก่งฉลาด ฉลาดยังไม่พอ ต้องเป็นคนดีเป็นคนเสียสละ ที่เรียนหนังสือกันก็เพื่อเป็นคนเก่งคนฉลาด เป็นคนรอบรู้ เพื่อจะโกงกินเพื่อจะเอาเปรียบคนอื่น แต่ในพระศาสนาเนี่ย ต้องเป็นคนเก่งคนฉลาดและเป็นคนดี เป็นคนเสียสละ เป็นคนไม่กินบ้านกินเมือง เราต้องพากันเก่งพากันฉลาดนะ พระที่ซื่อบื้อซื่อบ้า เซ่อๆเบลอๆ อย่าให้มีในวัดเรา เราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เอาความถูกต้องความเป็นธรรมความยุติธรรม ไม่ต้องกลัวใครจะว่าให้เรา ไม่เหมือนพระที่ไม่เอามรรคผลนิพพานน่ะ ถ้าเห็นใครดีกว่าดังกว่าแล้ว มันเครียด ทุกท่านทุกคนต้องงดงามต้องสง่างาม ในโลกนี้เราไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว จะไปกลัวอะไร เพราะเราไม่ได้มาเอาอะไร เรามาเสียสละ เรามาเอาพระธรรมพระวินัย เอาพระศาสนา เราจะไปกลัวอะไร เพราะความกลัวนั้นเค้าเรียกว่าเป็นพวกผีพวกอสุรกาย พวกที่มีความผิดน่ะ ทำอะไรก็ระแวง ปกปิดสิ่งที่ไม่ดีไว้มันเลยกลัว
มรรค คือข้อวัตรปฏิบัติ เป็นบรรทัดฐาน เป็นความดี... เราทุกท่านทุกคนเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า ต้องทวนกระแส ทวนความขี้เกียจขี้คร้าน ปรับปรุงใจของเรา ปรับปรุงการกระทำของเรา คำพูดของเรา ตั้งไว้อย่างแน่วแน่ มีความเป็นหนึ่ง ไม่ใช่เราจะทำอย่างนี้เพียงวันเดียว ต้องทำทุกวันจนกว่าเราจะบรรลุเป้าหมาย มีความตั้งใจมั่นชอบ มรรคมีองค์ ๘ ตัวสำคัญ คือ 'ความตั้งใจมั่นชอบ'
ส่วนใหญ่เราทำอะไรไม่มั่นคง ขาดความตั้งใจ ฐานะไม่มั่นคง จิตใจไม่มั่นคง ใครจะมาเคารพเชื่อถือเรา เพราะเราไม่มีความตั้งใจมั่นชอบ
ความคิดของเราต้องเปลี่ยนแปลงใหม่ เพราะความคิดเก่าๆ มันเป็นความคิดที่เห็นแก่ตัว พาเราเวียนว่ายตายเกิด เป็นความคิด ที่ขาดสติ ขาดปัญญา มันมีความคิดที่ตั้งอยู่ในความประมาท ตั้งอยู่ในความเพลิน
ให้ทุกท่านทุกคนตั้งใจอธิษฐานจิตว่า ต่อไปนี้ข้าพเจ้าจะตั้งใจใหม่ ตั้งใจให้ดีอย่างนี้ตลอดไป ตลอดกาลยิ่งๆ ขึ้นไป จะไม่เป็นคนขี้เกียจขี้คร้าน จะไม่เป็นคนเอาเวลาเรียน เวลาทำงาน ไปเพลิดเพลินเหมือนที่แล้วๆ มา ที่ผิดไปแล้วถือว่าเป็นครู ที่รู้ถือเป็นอาจารย์ต้องตั้งใจมั่นนะ เคยติดอะไรต่างๆ จะพยายามละ จะพยายามเลิก ถ้ามัวอาลัยอาวรณ์อย่างนี้ ไม่ได้แน่ ไม่ดีแน่ อันไหนไม่ดีให้หยุดตั้งแต่วันนี้ เดี๋ยวนี้จะเป็นบุคคลใหม่ คนเก่าทิ้งไปกับกาลเวลาที่เสียไป จะไม่อาลัยอาวรณ์คิดถึงมัน มันทำให้ข้าพเจ้าเวียนว่ายตายเกิดมาถือว่าพอแล้ว ทำความดีมันไม่ตาย ที่ตายส่วนใหญ่เพราะมันคิดมาก เพราะวิตกกังวล เพราะกลัวความดี
จะมาสร้างประโยชน์ตน... และสร้างประโยชน์ผู้อื่น... ช่วยเหลือผู้อื่นด้วยความไม่ประมาท เหนื่อยก็ช่างมัน ผอมก็ช่างมัน ให้ข้าพเจ้าได้ทำดี พูดดี คิดดี ลาก่อนนะอันไหนไม่ดีก็จะทิ้งมันวันนี้แหละ เมื่ออินทรีย์บารมียังไม่แก่กล้า ก็ต้องพยายามประพฤติปฏิบัติยิ่งๆ ขึ้นไป จะถือเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จะน้อมนำพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาชำระล้างสิ่งปฏิกูลทั้งกาย วาจา ใจ ให้สะอาด สร้างฐานชีวิตตามรอยบาทขององค์สมเด็จพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ตราบจนหมดลมหายใจ
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee