แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันอังคารที่ ๑ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง อาสาฬหบูชา ถวายปฏิบัติบูชาด้วยเอากายวาจาใจมาประพฤติปฏิบัติ
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
วันนี้เป็นวันอาสาฬหบูชาประจำปี พ.ศ 2566 พุทธบริษัททุกๆประเทศของชาวพุทธได้พร้อมเพียงกันมาในวันนี้ หลังแสดงธรรมจบเราจะได้ทำพิธีอาสาฬหบูชา เพื่อประชาชนบางคนจะได้กลับบ้าน ตอนนี้ไม่ปลอดภัยจากโควิด ยังไม่ต้องเวียนเทียนรอบศาลา ศาสนาพุทธได้ต่อยอดมาจากศาสนาพรามณ์ บรรพบุรุษของพระพุทธเจ้าถือศาสนาพรามณ์พระพุทธเจ้าก็ได้ทําตามศาสานาพรามณ์ในการเดินทางภาคประพฤติปฏิบัติตามมันก็เป็นได้แต่พรหมโลก จึงได้ออกค้นคว้าปฏิบัติด้วยตัวเองและก็ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า การบำเพ็ญบารมีของพระพุทธเจ้าเป็นเวลายาวนาน มีการเวียนว่ายตายเกิดเป็นหลายล้านชาติ เราทุกคนได้เกิดมาเป็นมนุษย์คือผู้ที่โชคดี ที่เกิดมามาพบพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่ได้ตรัสรู้ เพราะพระพุทธเจ้าที่แท้จริงนั้นคือธรรมะ ธรรมะนั้นคือพระพุทธเจ้า หาได้เป็นนิติบุคคลเป็นตัวเป็นตน เป็นธรรมะแบบนี้นะ
ศาสนาทุกศาสนาในโลกนี้ก็ ก็คือธรรมะ ไม่ได้เป็นตัวเป็นตน มันเหมือนการดับทุกข์ทางกายดับทุกข์ทางใจ มันเหมือนกัน ธรรมะที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้นั้นมากมายเหมือนต้นไม้เหมือนใบไม้ในป่า เพราะพระพุทธเจ้าระลึกชาติได้หลายล้านชาติ แล้วก็ระลึกเหตุการณ์ข้างหน้าตามเหตุตามปัจจัยได้หลายล้านชาติ พระพุทธเจ้าก็ได้แต่เอาความดับทุกข์ คือจะหยุดความทุกข์ หยุดวัฏสงสารของเราทุกๆ คนเท่านั้น คือทุกคนต้องมารู้อริยะสัจ 4 รู้ทุก ข์รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ขอปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
ให้พากันประพฤติปฏิบัติที่มันกรรมเป็นการกระทำเป็นกิจกรรมที่มันเป็นศิลปะที่มันดับทุกข์ได้ที่แก้ปัญหาได้ในการดำรงชีพ ในการดำรงชีวิตทุกๆ อย่างนั้นเอาไปใช้เอาไปปฏิบัติ อยู่ทุกหนทุกแห่ง ไม่มีที่ไหนปฏิบัติไม่ได้เพราะธรรมะของพระพทุธเจ้านั้น เป็นของสําเร็จรูปแล้ว เราไม่ต้องเอาไปเพิ่ม เราไม่ต้องไปตัดออก สำหรับคนอินทรีย์อ่อน คนอินทรีย์แก่ ก็ทำได้ปฏิบัติได้ ทุกท่านทุกคนให้พากันประพฤติปฏิบัติในปัจจุบัน เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงจะมีได้ สิ่งที่มันมีแล้ว มันไม่ใช่ความดับทุกข์ เราต้องมาหยุดเหตุ มันคือพระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ มันเป็นเรื่องจิตเรื่องใจ เรื่องหยุดกรรมหยุดเวร หยุดภัย เป็นสุปฏิปันโน เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ถ้าเราทุกคนปฏิบัติได้ทุกหนทุกแห่ง ธรรมะจะแทรกอยู่ในชีวิตประจำวันของเรา พระพุทธเจ้าท่านถึงบอกว่าสมณะ ที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 นั้นอยู่ในอริยมรรค อริยะมรรคนั้นคือ มีความเห็นถูกต้อง ความเข้าใจถูกต้อง แล้วปฏิบัติถูกต้อง ให้ทุกคนคิดแบบนี้ ให้ทุกคนพูดอย่างนี้ ให้มีกิริยามารยาทอย่างนี้ ต้องสร้างเหตุสร้างปัจจัยอย่างนี้ มันเป็นความดับทุกข์ที่แท้จริง มันไม่ใช่ความดับทุกข์ชั่วครั้งชั่วคราว เรามีชีวิตเนี้ย เมื่อเรามีชีวิต ก็มาแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ คือมาเข้าใจเรื่องชีวิตในการดำเนินชีวิต โดยอาศัยพ่ออาศัยแม่เป็นผู้บอกผู้สอนเป็นผู้นำประพฤติปฏิบัติ เข้าโรงเรียน เรียนหนังสือเพื่อเกี่ยวข้องกับสังคม เรียนหนังสือเพื่อรู้ภาคประพฤติปฏิบัติในการทำมาหากิน เพื่อเราจะได้ใช้งานที่อายุ ร่างกายของเราไม่ถึง 120 ปีก็ต้องจากโลกนี้ไป ทุกท่านทุกคนอย่าไปตามใจตามอารมณ์ตัวเอง พ่อแม่ทุกคนปู่ย่าตายายอย่าพากันใจอ่อน ปฏิบัติตัวเองสอนตัวเอง 95% สอนลูกสอนหลาน 5% เพราะลูกหลานมันถึงจะเชื่อฟัง มันจะเคารพนับถือ พ่อแม่ปู่ย่าตายายต้องปฏิบัติตนเองให้ได้100%
ฝึกแยกใจแยกออกจากร่างกาย เพราะเวทนานี้มันหนักกว่ารูปสวยๆ เสียงเพราะๆ ท่านต้องไม่สนใจเรื่องความเหน็ดความเหนื่อย ต้องพากันตั้งใจฝึก มีความสุขในการฝึก เราจะเป็นหมอเป็นแพทย์ เป็นทหารตำรวจ เราก็ต้องพากันฝึก มาปฏิบัติกันทั้งนั้น พวกเรามาปฏิบัติ เหมือนเรามาอ่านหนังสือ ท่องหนังสือ เรียนหนังสือ เราก็เอามาปฏิบัติทุกหนทุกแห่งในปัจจุบัน การมาบวชนี่แหละ ไม่ใช่เรามาเอาอะไร มาให้มีความเห็นถูกต้อง มาให้ปฏิบัติถูกต้อง เข้าสู่กิจกรรมคือภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ไม่เอาอะไรจะมาบวชทำไม มาบวชก็เพื่อเรามาเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ให้เราไม่เอาไม่มีไม่เป็น ถ้าถามพระพุทธเจ้าถามพระอรหันต์ว่า ท่านมาบวชท่านได้อะไร ท่านก็จะตอบว่า ไม่ได้อะไรหรอก เพราะทุกอย่างก็ผ่านมาผ่านไป ก็ได้ปฏิบัติได้เสียสละ ได้หยุดตามใจตัวเอง หยุดทำตามความรู้สึก ใจเราก็จะได้สงบขึ้น เป็นแอร์คอนดิชั่น เรียกว่าความสงบอบอุ่น
ให้ทุกท่านทุกคนพากันรู้จักหลักประพฤติหลักปฏิบัติ ทุกวันนี้แหละมองดูทางโลกเขาก็อยู่ด้วยอวิชชาความหลง เดินไปนั่งอยู่ก็จะพากันเล่นแต่โทรศัพท์ ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ทั้งอากงอาม่า ทั้งพระทั้งชี ไม่พากันมีสติสัมปชัญญะเลย ต้องพากันกลับมาหาสติสัมปชัญญะ พวกอยู่ในบ้านอยู่ในครอบครัว หรืออยู่ในวัดก็ดี ทุกคนต้องสมัครสมานสามัคคีกัน รักกันสงสารกัน เพราะทุกคคนน่ะ กำลังเวียนว่ายตายเกิดเหมือนติดอยู่ในคุกนี้แหละ เราอย่าไปทะเลาะกัน ทุกคนก็พากันแก้ไขตัวเองให้เต็มที่ เราจะได้เป็นพ่อเป็นแม่เป็นอะไรที่มันถูกต้อง
พวกพระเทศน์สอนในเมืองไทยให้พากันรู้จัก เพราะการเทศน์การสอนในปัจจุบันนี้ก็ไม่ได้เอาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า 100% เขาเทศน์เขาสอนนั้นเขาไม่ได้ให้โยมบรรลุธรรมอะไรหรอก เป็นการวางแผนให้โยมหากินหาปัจจัยเป็นส่วนใหญ่ เป็นการพูดจูงใจให้ทานให้พากันเสียสละ ให้พากันรู้จักว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่พูดอานิสงค์การให้ทาน พูดอานิสงค์รักษาศีล มีแต่พวกที่ต้องการวัตถุที่พยายามพูดจูงใจ เพื่อให้เขามาถวายทาน เราต้องพากันรู้จัก ถ้าไม่อย่างนั้นเราจะพากันหลง มันก็ดีระดับหนึ่ง ที่เราให้ทานรักษาศีล แต่เราต้องรู้จักพระพุทธศาสนาที่แท้จริง ครั้งพุทธกาล แม้แต่ปฏิบัติธรรม ไม่ปฏิบัติเพื่อให้ชาติหน้าจะรวย เกิดชาติหน้าจะเป็นเทวดา หรือว่าเมื่อตายไปแล้วเกิดชาติใหม่จะได้มีบารมี เขาเน้นการเสียสละในปัจจุบัน เอาศีลเอาสมาธิ เอาปัญญามาใช้ในปัจจุบัน ให้พากันมีความสุขในการดับทุกข์เป็นสิ่งเร่งด่วนในปัจจุบัน
พวกเรานี้พากันหลง เราฟังไว้อย่างนี้ รู้ของจริง ของจริงก็คือพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ สังเกตดูคนที่สอนน่ะ รักษาศีลดีไหม เสียสละดีไหม หรือหาวิธีฟันเรา เอาเงินเอาสตางค์เอาของเรา ญาติโยมประชาชนน่ะบริโภคของดีๆ ก็อดเอา เพราะถูกพระคุณเจ้าทั้งหลายว่า ต้องถวายพระ ประเทศไทยเราตั้งแต่เกิดมาก็เห็นพวกนี้ทำมาหากินอย่างนี้แหละ เป็นยุคๆไป เราต้องรู้จัก ทุกวันยิ่งหากินง่าย สถานีวิทยุต่างๆ เกิดขึ้นมา ยิ่งหากินเก่ง เรียกว่าตีลังกาหากินหาฉันเลย ให้เรารู้จัก
ถ้าจะให้ดีก็ไม่ต้องไปหาพระที่ไหนหรอก ให้พาพระในตัวเรานี้ จากปฏิบัติบูชา ถึงวันพระก็หรือวันหยุดนี้ก็ถึงมาวัดมาวา เพื่อดูแลพระศาสนา บำรุงพระศาสนา ให้เข้าใจอย่างนี้นะ เพราะทุกคนยังไม่รู้จักพระที่แท้จริง พระที่แท้จริงคือพระรรมพระวินัย การทำงานของเราจะได้มีความสุข ทุกท่านทุกคนน่ะ ถ้าเข้าใจธรรมะ คนภาคอีสานก็ดี คนภาคเหนือก็ดี คนทุกภาค ประเทศไทยที่ก็ยังกว้างขวางจะอยู่ก็หากินในบ้าน ในครอบครัวของแต่ละคนก็ได้ ถ้ามีน้ำมีแหล่งน้ำด้วยการพัฒนาขึ้น เราไม่ต้องไปเป็นหนุ่มโรงงานสาวโรงงานต่างๆ มันทำได้ปฏิบัติได้ เราพยายามเน้นเข้ามาหาตัวเองนี้แหละ เน้นไปหาคนอื่นมันก็ได้เดินขบวนใช่ไหม คนอื่นผิดหมด มีคนดีแต่ตัวเอง เป็นคนดีไม่เห็นเหาะเหินเดินบนอากาศอะไร ทุกคนก็นั่งรถนั่งเครื่องบินกันทั้งนั้น ให้พากันเข้าใจ
ดูมาแล้วทุกคนยังไม่รู้เรื่องกรรมเรื่องกฎแห่งกรรม ปล่อยให้ตัวเองคิด ตัวเองนึก ตัวเองตรึกไปในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แล้วก็มีความประพฤติที่ยังไม่ใช่ความดับทุกข์ ต้นไม้กว่าจะรู้ผลก็ตั้งหลายปีนะ บาปกรรมที่เราไม่รู้จักกว่าเราจะรู้ก็ 20-30 ปี เราก็กลายเป็นคนจนไปแล้ว ไม่วางแผนการใช้เงินใช้สตางค์ ไม่รู้จักตัวเอง ปล่อยตัวเองไปตามสิ่งแวดล้อม ให้รู้เรื่องของกรรมนะ เราจะได้คอนโทรลตัวเองอยู่ในทางที่ถูกต้อง มันไม่รู้ตัวเองหรอก รู้ตัวเองก็เป็นโรคตับ โรคใต โรคเบาหวานไปเสียแล้ว มันอร่อย แซบ ลำ หรอย นัวร์ อยู่นั้นแหละ เราต้องพากันรู้ตัวเอง เพราะสติสัมปชัญญะสำคัญนะ ถ้ารู้แล้วก็ต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ถ้าไม่เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติหรือว่าภาคบำบัดแล้ว ถือว่าแก้ปัญหาไม่ได้
คนเราต้องรู้ตัวเอง ถ้าไม่รู้ตัวเองมันคอนโทรลตัวเองไม่ได้ รู้ก็ยังไม่พอ ต้องเข้าสู่ภาคประพฤตอภาคปฏิบัติ ไก่มันฟักไข่ก็ต้องใช้เวลา 3 อาทิตย์ถึงออกลูกเป็นตัวลูกไก่ เราจะได้แก้ไขภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เราดูตัวเอง เราดูธรรมชาติสิ ถ้าเราหยุด เราไม่เดิน เราก็ไปไม่ได้ เหมือนประเทศไทยเรานี้แหละ บางทีพวกข้าราชการ นักการเมือง ให้ประเทศไทยหยุดติดต่อกันหลายวัน ทำให้เศรษฐกิจหยุด แต่ข้าราชการไม่กระทบอยู่แล้วเพราะได้เงินเดือน มันยากจน การทำงานก็คือการปฏิบัติธรรม คนเรามันไม่รู้จักอริยะสัจ 4 มันก็ยังตามใจตัวเองมีความสุขในความหลง หรือดูแล้วบางทีรัฐบาลเอาแต่ใจตัวเอง เอาใจแต่พวกพ้อง เอาใจแต่พวกนี้แหละ ไม่คำนึงถึงความเสียหายของประชาชน จะเป็นผู้นำก็ต้องฉลาดหน่อย ต้องฉลาดกว่านี้ ฉลาดแล้วก็พากันไปเดินขบวนอีก เพราะอยู่สี่ปีมันทำให้เศรษฐกิจเสียหาย
เราก็เป็นพระ เป็นข้าราชการ นักการเมือง ต้องเป็นมาเพื่อเสียสละ ไม่ใช่เป็นมาเพื่อมาเอา มามี มาเป็น มันไม่ถูกต้อง พูดอย่านี้ก็ไม่ได้ว่าให้ใคร ให้ทุกคนรู้สัจธรรมรู้ความจริง รู้ความเป็นธรรมเป็นสัจธรรม ว่าตัวเองต้องทำหน้าที่ตัวเองให้สมบูรณ์ดั่งที่พระพุทธเจ้าตรัส ธรรมจักรกัปปวัตนสูตร เพราะเราต้องก้าวไปด้วยธรรม ไม่ใช่ก้าวไปด้วยประชาธิปไตยหรือสังคมนิยม แบบคอมมิวนิสต์ มันเป็นความเห็นแก่ตัวทั้งคู่
เราพวกมาบวชทั้งหลาย อย่าพากันมาเอา อย่าพากันมารับประเคนความดีของประชาชนที่มาเสียสละ เราจะมาหลงขยะเขา เขาให้ข้าวของดีๆ เราอย่าพากันหลง ถ้าเราบวชมาเพื่อมาเอามามีมาเป็น ถือว่าบวชมาเพื่อความโง่ ไม่ใช่เพื่อความฉลาดอะไรเลย เก่งทางโลก แต่ไม่เก่งทางธรรม อย่างจับพัดนี้นะ พระผู้น้อยอย่าจับข้างบนให้จับข้างล่าง มันก็เก่งแต่ทางนี้ มันไปเก่งตั้งแต่ขับรถ ขับเรือ สะพายย่ามเข้าแม็คโคร โลตัส มันไม่ใช่
บ้านเมืองเรามันประเสริฐอยู่แล้ว ที่ให้พระศาสนา มีสังฆปริณายกที่เป็นผู้ปกครองรับผิดชอบ อย่างนี้มันถูกต้องแล้ว เราต้องเอาแบรนด์เนมมาประพฤติมาปฏิบัติ พวกท่านทั้งหลายอย่าพากันมาเป็นโจร มันเสียหายนะ พวกเจ้าคุณพวกสมเด็จต่างๆ มันทำลายพระศาสนานะ ถ้าเราไม่เอามาเสียสละกัน ถ้าผู้นำไม่เป็นตัวอย่างแบบอย่าง มันจะไปบอกใครได้ พระพุทธเจ้าท่านสอนท่าน 100% ถึงเป็นพระพุทธเจ้า ทุกคนถึงยินดี เราเป็นนักปกครอง ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระเจ้าอยู่หัว ส่วนรวมเราก็ต้องเอาหน้าที่มาเสียสละ ถ้าอย่างนั้นน่ะ เราจะเป็นเพียงเท่ากับส่งไปรษณีย์หรือว่าลายเซ็นต์เพื่อให้ทุกคนเป็นสีดำสีเทา เป็นแบรนด์เนมที่ทำมาหาเลี้ยงชีพอย่างนี้ไม่เอา มันเสียหาย ประเทศชาติ เสียหายบ้านเมือง
ความงามของมนุษย์อยู่ที่ไหนน่ะ ความงามของมนุษย์อยู่ที่เราเสียสละ เอาความถูกต้องเอาธรรมเอาความยุติธรรม ความงามอยู่ที่พากันเสียสละทิฏฐิมานะอัตตาตัวตน เขาถึงเรียกว่าความงาม งามภายนอกนี้เพื่อให้คนอื่นมองเห็นมีความสุขเฉยๆ
ธัมมจักกัปปวัตตนสูตรเป็นพระสูตรที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นแม่บทคำสอนในพระพุทธศาสนาทั้งหมด ซึ่งเมื่อพระองค์ตรัสแล้ว ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เทศนาพระธรรมบทอื่นๆ อีกเลยตลอดพระชนม์ชีพก็ตาม ก็ถือว่าได้ทรงประกาศพระศาสนาอย่างสมบูรณ์แล้ว ในการบริหารประเทศ แต่ละรัฐบาลจะต้องมีแม่บทการปกครองที่เรียกว่า รัฐธรรมนูญ ฉันใด ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ก็คือแม่บทคำสอนในพระพุทธศาสนาฉันนั้น พระธรรมคำสั่งสอนทั้งหลาย ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเทศน์สอนหลังจากตรัสธัมมจักกัปปวัตตนสูตรนั้น ล้วนเป็นคำขยายความธัมจักกัปปวัตตนสูตรทั้งสิ้น ทั้งนี้เพื่อให้ชาวโลกทุกเพศ ทุกวัย ทุกชั้นวรรณะสามารถเข้าใจได้ง่ายและทั่วถึงยิ่งขึ้น
ในทางโลก กฎหมายทุกฉบับต้องไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นแม่บทการปกครอง ฉันใด พระธรรมคำสอนที่พระพุทธองค์ทรงเทศน์ตลอด ๔๕ พรรษาต่อเนื่องมาจนดับขันธปรินิพพาน รวมทั้งคำสอนของพระอรหันต์ทั้งหลายที่ตามมาภายหลังด้วย ก็ล้วนไม่ขัดกับธัมมจักกัปปวัตตนสูตรแม้แต่น้อย ฉันนั้น
เพราะฉะนั้น ถ้าผู้ใดมีบารมีแก่กล้า มีสติปัญญาเฉียบแหลม สามารถเข้าใจ รู้แจ้งแทง ตลอดในพระธรรมคำสั่งสอนที่เรียกว่าธัมมจักกัปปวัตตนสูตรนี้เเล้ว ย่อมสามารถแทงตลอดในพระธรรมคำสั่งสอนทั้งหมดที่มีอยู่ได้โดยอัตโนมัติ เข้าทำนองที่เรียกว่า แม้รู้เพียงหนึ่งก็สามารถรู้ทั่วถึงกันหมด
ต้นเหตุที่โลกจะเกิดขึ้นมาก็เกิดจากความอยาก ถ้าดับความอยากก็คือดับโลก ความอยากเป็นบ่อเกิดของโลกทั้งหลาย ฉะนั้น เมื่อเรามาประพฤติหรือปฏิบัติแล้ว เราจึงเดินทางศีลสมาธิปัญญา นี่ท่านว่า “โลกธรรมแปด” และ “มรรคแปด” เป็นของคู่กัน ทำอย่างไรจึงเป็นของคู่กัน ถ้าหากว่าเราพูดทาง ปริยัติของเราแล้ว ก็พูดได้ว่า ลาภ เสื่อมลาภ ยศ เสื่อมยศ สรรเสริญ สุข ทุกข์ นินทา นี่ก็แปดอย่างในทางโลก ส่วนในทางธรรม ก็มีมรรคแปด สัมมาทิฐิ สัมมาสังกับโป สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว สัมมาวายาโม สัมมาสติ สัมมาสมาธิ รวมแล้วก็แปดอย่างเหมือนกัน
ทางสองแปดนี่นะมันอยู่ที่เดียวกัน ไม่ได้อยู่คนละที่ พวกยินดีในลาภยศสรรเสริญก็อยู่ในใจนี้ ใจผู้รู้นี้ แต่ผู้รู้นี้มีเครื่องปกปิดเอาไว้ จึงให้รู้ผิดไป มันก็เลยเป็นโลก ผู้รู้นี้ยังไม่มีพุทธภาวะเกิดขึ้นมา จึงถอนตัวออกไม่ได้ จิตใจขณะนี้ก็เลยเป็นโลก
เมื่อเราได้มาปฏิบัติ มาทำศีลทำสมาธิทำปัญญา ก็คือเอากายเอาวาจาใจนี้ มาประพฤติปฏิบัติที่โลกธรรมมันแฝงอยู่ นี้แหละ ที่มันยินดีในลาภในยศในสรรเสริญในสุขในทุกข์ นี้แหละ มาทำลงที่เดียวกัน ถ้าเมื่อเราได้มาทำลงที่เดียวกันนี้ ก็เลยเห็นกัน เห็นโลกเห็นธรรมมันขวางกันเลยทีเดียว ไม่มีลาภก็คิดอยากได้ลาภ มียศก็ติดยศ มีสรรเสริญก็ติดสรรเสริญ มีสุขก็ติดสุข มีทุกข์ก็ติดทุกข์ มีนินทาก็ติดนินทา ถ้าเรามาปฏิบัติลงที่ใจของเรา มันก็จะได้เห็นโลกธรรมชัด
ฉะนั้น สมเด็จพระบรมศาสดาจึงตรัสว่า “สูทั้งหลาย จงมาดูโลกนี้ อันน่าตระการ ดุจราชรถอันพวกคนเขลาทั้งหลายขลุกอยู่หมกอยู่ แต่ผู้รู้หาข้องอยู่ไม่” ไม่ใช่ว่าท่านให้ไปดูโลกทั้งโลก หรือทั้งประเทศไม่ใช่อย่างนั้น ให้ดูจิตที่มันอาศัยโลกเป็นอยู่ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ทำอะไร ก็ให้ดูโลกอยู่เสมอ ให้ดูจิต พิจารณาถึงโลก เพราะโลกมันเกิดขึ้นอยู่ที่ใจ ความอยากเกิดที่ไหนโลกก็เกิดที่นั่น เพราะความอยากเป็นบ่อเกิดของโลก ถ้าดับความอยาก ก็คือดับโลก มันเป็นเรื่องอย่างนี้ ฉะนั้น การปฏิบัติท่านจึงให้อดทน บางคนมาปฏิบัติไม่อยากให้มันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่อยากให้มันมีอะไรเกิดขึ้น
ไม่อยากให้มันเดือดร้อน แต่มันก็เดือดร้อน เพราะของเก่ามันมี เราต้องพยายามระงับความเดือดร้อนที่มีอยู่นั่นเอง พระท่านว่า ถ้าหากปฏิบัติแล้วเกิดความเดือดร้อนนั่นถูก ถูกแล้วถ้าหากมันเดือดร้อน ถ้าปฏิบัติแล้วไม่เดือดร้อนไม่ถูก ถ้ากินสบายนอนสบายอยากจะไปไหนก็ไปตามเรื่อง อยากจะพูดอะไรก็พูดตามเรื่อง อยากทำตามใจมันทุกอย่างนั้น มันไม่ถูก
ฉะนั้น ธรรมะคำสั่งสอนของพระศาสดาท่านว่า ขัด ขัดอะไร? โลกุตตระขัดโลกียะ ความเห็นชอบขัดความเห็นผิด ความบริสุทธิ์ขัดความไม่บริสุทธิ์เรื่อยไป
ดังนั้น จึงมีอุบายที่ตามตำรากล่าวว่า สมเด็จพระบรมศาสดาก่อนตรัสรู้นั้น ท่านไปรับข้าวจากนางสุชาดา เมื่อท่านทรงฉันเสร็จแล้ว ก็ทรงลอยถาดลงในน้ำ ธรรมดาน้ำมันไหลลง ท่านได้ทรงอธิษฐานจิตว่า ถ้าหากว่าจะได้ตรัสรู้เป็นพระอนุตตระสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ขอให้ถาดนี้ไหลลอยไปเหนือน้ำ แล้วถาดก็ลอยไหลไปเหนือน้ำ
ความจริงถาด ก็คือ ความเห็นชอบของพระองค์ท่านนั่นแหละ ผู้รู้หรือพุทธภาวะของท่านที่เกิดขึ้นมาจากการพิจารณาแล้วนั้น ไม่ได้ปล่อยตามใจของสัตว์ แต่ไหลขึ้นไปทวนกระแสใจของท่าน ทวนขึ้นไปหมดทุกอย่าง ไม่ได้ไปฟังเสียงใคร ฉะนั้น พระธรรมเทศนาของพระองค์จึงทวนใจของพวกเราจนทุกวันนี้
โลภท่านก็ว่าไม่ให้โลภ โกรธท่านก็ไม่ให้โกรธ ให้ทำลายมัน อยากหลงก็ไม่ให้หลง ให้ทำลายมัน มีแต่เรื่องทำลายมันอย่างเดียว ฉะนั้น สมเด็จพระบรมศาสดาของเรา ท่านจึงทรงเชื่อแน่ว่า จิตของท่านนั้นทวนกระแสขึ้นไปนั่นเอง มันทวนสัตว์โลกหมด ทวนกระแสสัตว์โลก สิ่งที่ว่าสกลร่างกายสวย ท่านว่าไม่สวย โลกว่าอันสกลร่างกายเป็นของเรา ท่านว่าไม่ใช่ของเรา อันนี้ว่าเป็นแก่นเป็นสาร ท่านว่าไม่เป็นแก่นเป็นสาร ความเห็นชอบอย่างนี้เหนือ เหนือสัตว์โลกขึ้นไป สัตว์โลกนั้นตามลงมากับน้ำ ต่อมา ท่านได้รับหญ้าคาจากโสตถิยะพราหมณ์แปดกำมือ ท่านทรงทำอธิษฐานเป็นบัลลังก์ เพื่อนั่งสมาธิว่า ถ้าไม่ตรัสรู้จะไม่ทรงลุกขึ้น แล้วท่านก็ตรัสรู้ที่ตรงนี้
ถ้าจะกล่าวเป็นธรรมาธิษฐานแล้ว หญ้าคาก็คือโลกธรรมแปดนี่แหละ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ มีสุขมีทุกข์ สรรเสริญนินทา เหล่านี้แหละ โลกธรรมแปดประการ หญ้าคาแปดกำมือ ฟังแต่ชื่อมันซิ หญ้าคา “คา” คาอะไร?
นักบวชของเราเมื่อบวชเข้ามา ก็ “คา” สิ่งเหล่านี้แหละ มาคาลาภ มาคาสรรเสริญ มาคาทุกข์ โลกทั้งหลายมาคาอยู่ที่นี่หมด
สมเด็จพระศาสดาจึงทรงอธิษฐานเป็นบัลลังก์ นั่งทับลงไปด้วยสมาธิธรรม อาการที่นังทับคือสมาธิ นั่งทับคือจิตของท่านเหนือกว่าโลกธรรม จิตในขณะนั้นเป็นโลกุตตรธรรมทับโลกียธรรมไว้ แต่ก็ยังเกิดเป็นมารต่างๆ นานามาหลอกล่อ ซึ่งความจริงก็เป็นอาการของจิตนั่นเอง จนกระทั่งท่านได้ตรัสรู้ธรรม ก็ได้ชนะมารในที่นั้น ชนะคือชนะโลกนี่เอง ไม่ใช่ชนะอะไรอื่นไกล ฉะนั้น ท่านจึงทรงเจริญมรรคในที่นั้น มรรคจึงฆ่าโลกธรรมทั้งหลายเหล่านั้น
พระพุทธเจ้าทรงรู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ความดับทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ที่แท้จริง ทรงมาบอกมาสอนเรื่องอริยสัจ ๔ พระพุทธองค์ไม่ได้ทรงสอนเรื่องอื่นเลย ข้อวัตรปฏิบัติก็คืออริยมรรคมีองค์แปด เราเกิดมาชีวิตของเราจะประเสริฐได้ต้องตามพระพุทธเจ้าอย่างเดียว เพราะว่าท่านคิดไว้ดีแล้ว ท่านตรัสไว้ดีแล้ว เรียกว่า ท่านเอาอาหารสำเร็จรูปมาให้เราบริโภคแล้ว เราทุกคนจะไปตามใจของตัวเองไม่ได้ ตามอารมณ์ของตัวเองไม่ได้ ตามความรู้สึกของตัวเองไม่ได้ นั้นคือการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะสงสาร
นิพพานเป็นเรื่องปัญญา เรื่องรู้เรื่องเห็นอริยสัจ ๔ อริยสาวกก็ประพฤติปฏิบัติอย่างนี้ พระนิพพานนี้เป็นเรื่องจิตเรื่องใจที่หมดกิเลสสิ้นอาสวะ นิพพานไม่เหมือนบ้านไม่เหมือนปราสาท เป็นเรื่องสิ้นกิเลสสิ้นอาสวะ เป็นการหยุดเวียนว่ายตายเกิด สิ่งที่เป็นพระพุทธเจ้านั้น ไม่ใช่นิติบุคคล สิ่งที่เป็นพระอรหันต์ขีณาสพไม่ใช่นิติบุคคล สิ่งที่เป็นพระศาสนาไม่ใช่นิติบุคคล เป็นเรื่องหยุดก่อนอวิชชา หยุดก่อนวัฏฏะสงสาร เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่มี สิ่งที่จะเกิดต่อไปก็ไม่มี ทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นสภาวธรรมเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป เมื่อไม่มีเหตุไม่มีปัจจัยแล้ว เรื่องมันก็จบ เราทำเราปฏิบัติตามพระพุทธเจ้า เข้าใจเหมือนพระพุทธเจ้า เราถึงจะแก้ปัญหาได้
ศาสนาต่างๆ ก็มาในแนวเดียวกันนี่แหละ ผ่านสวรรค์ผ่านพรหมมา ที่เรายังมีความเข้าใจผิดคิดว่านิพพานคงจะเป็นอย่างโน้นเป็นอย่างนี้ นิพพานไม่ได้มีเป็น หรือว่าไม่เป็น เป็นสภาพที่ไม่มีอะไรปรุงแต่ง ที่เราเอานิมิตมาพูดกัน อันนั้นมันเป็นอาการของจิต ผู้ที่รู้ถึงพระนิพพาน ผู้ที่หมดกิเลสสิ้นอาสวะ จะรู้ได้เฉพาะตน ไม่มีใครให้ยศให้ตำแหน่ง ไม่มีใครแต่งตั้งให้ได้ ทุกท่านทุกคนต้องเข้าใจพระพุทธเจ้า เข้าใจพระศาสนา นี่เป็นสัจธรรมเป็นความจริง เป็นอริยสัจ ๔ เป็นอริยมรรคมีองค์ ๘ พระพุทธเจ้าถึงมีความสุข ไม่ว่าพระพุทธเจ้าจะอยู่ที่ไหนก็มีแต่ความสุข มีแต่ความดับทุกข์ พระอรหันต์ถึงมีความสุขไม่เกี่ยวกับอามิสคือวัตถุที่เป็นเหยื่อของโลก ทางโลก ยิ่งรู้มากยิ่งถูกผูกมัด ทางธรรม ยิ่งรู้ชัดยิ่งหลุดพ้น
ขออนุโมทนา ทุกๆ คนทุกๆ ท่านที่เป็น พุทธบริษัททั้ง 4 ที่รับผิดชอบความถูกต้อง ที่รับผิดชอบความเป็นธรรมความยุติธรรม รับผิดชอบส่วนรวมคือพระศาสนา ดั่งที่เราได้มีความตั้งมั่นว่าเดือนนี้วันอาสาฬหบูชา เดือนนี้วันวิสาขะ เดือนนี้วันมาฆะ เป็นต้น มันมีความหมายคือเราต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ให้ทุกท่านทุกคนให้เอาธรรมะไปใช้ เอาไปปฏิบัติอยู่ทุกที่ทุกหนทุกแห่ง
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee