แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันอาทิตย์ที่ ๒๓ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง คุณของพระพุทธเจ้า ตอนที่ ๔๙ เมื่อรู้แล้วว่าเราเกิดมาจากความไม่รู้ ต่อไปนี้เราจะดำเนินชีวิตเข้าสู่การหยุดเวียนว่ายตายเกิด
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ให้ทุกๆ คนพากันเข้าใจความจริงตามความเป็นจริง และเราก็จะได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง ทุกคนน่ะไม่รู้ว่าตัวเองมาจากไหน เพราะเหตุอะไรไม่รู้ว่าตัวเองไปไหน …ครั้งหนึ่งเมื่อพระตถาคตเจ้าเสด็จถึงเมืองอาฬวี ชาวเมืองอาฬวีดีใจชวนกันอาราธนาพระองค์และถวายทานอย่างมโหฬารยิ่งเมื่อเสวยเสร็จแล้วพระองค์ทรงอนุโมทนาปฏิสังยุตด้วยมรณสติคาถาว่า "ดูก่อนชาวเมืองอาฬวีทั้งหลาย ชีวิตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน แต่ความตายเป็นสิ่งที่แน่นอน เราทั้งหลายจะต้องตายเป็นแน่แท้ไม่วันใดก็วันหนึ่ง ไม่เวลาใดก็เวลาหนึ่ง ชีวิตทุกชีวิตมีความตายเป็นที่สุด จบลงด้วยความตาย ท่านทั้งหลายจงเจริญมรณสติภาวนาดังนี้เถิด เพราะบุคคลที่ไม่เคยเจริญมรณสติภาวนา เมื่อถึงมรณสมัยย่อมถึงความสะดุ้ง หวาดกลัวปานประหนึ่งได้เห็นอสรพิษอันมีพิษร้าย ส่วนบุคคลผู้ได้เจริญมรณสติภาวนาอยู่เสมอ ย่อมไม่กลัว ไม่สะดุ้ง เมื่อความตายใกล้เข้ามาอายุของมนุษย์นี้น้อยนักจำต้องไปสู่สัมปรายภพ จึงควรรีบทำกุศล รีบประพฤติพรหมจรรย์ ผู้ที่เกิดมาแล้วจะไม่ตายนั้นเป็นอันไม่มี ผู้ที่อยู่ได้นานก็เพียง ๑๐๐ ปี หรือที่เกิน ๑๐๐ ปีไปก็น้อยคนนัก อายุของมนุษย์นี้น้อยนัก คนดีมีปัญญาพึงดูหมิ่นอายุนั้น คือไม่ควรภูมิใจ เพลินใจในอายุว่ามีมาก พึงรีบประพฤติความดี เสมือนบุคคลผู้อันไฟติดทั่วแล้วที่ศีรษะ รีบดับเสียโดยพลัน เรื่องความตายจะไม่มาถึงนั้นเป็นอันไม่มี บุคคลใดเจริญมรณสติว่าน่าปลื้มใจหนอ ที่เราอยู่มาได้ตลอดวันหนึ่งคืนหนึ่ง โดยที่อันตรายแห่งชีวิตไม่เข้ามาตัดรอนซะในระหว่าง ดังนี้"
ด้วยเหตุนี้เราจึงควรใส่ใจคำสอนของพระผู้มีพระภาค การเจริญมรณสตินั้นทำทุกวันทุกครึ่งวัน ทุกชั่วโมงก็น้อยไป ความจริงมรณสตินั้นบุคคลควรทำทุกลมหายใจเข้าและออก อย่างนี้แหละจึงจะได้ชื่อว่า เป็นผู้ที่มีชีวิตอยู่อย่างไม่ประมาท
ประชาชนชาวอาฬวีนั้นส่วนมากเมื่อฟังพระธรรมเทศนา อนุโมทนาจบแล้วก็รีบกลับไปเพราะเป็นผู้ที่ขวนขวายในกิจธุระของตน
แต่ว่ามีเด็กสาวคนหนึ่งเป็นธิดานายช่างหูก มีอายุประมาณ ๑๕-๑๖ ปี คิดว่า "โอ้ พระดำรัสของพระพุทธเจ้าช่างอัศจรรย์จริงหนอ เราควรเจริญมรณสติอย่างที่พระองค์ตรัสสอน" คิดดังนี้แล้วจึงเจริญมรณสติทั้งกลางวันและกลางคืน
บุคคลผู้มีอุปนิสัยในทางธรรม เมื่อได้ฟังธรรมแม้เพียงครั้งเดียวก็มีใจดื่มด่ำอยากทำตาม ส่วนผู้ไม่มีอุปนิสัยแม้ฟังแล้วฟังอีก อยู่ใกล้ชิดกับบุคคลผู้มีธรรม แต่กระแสธรรมก็หาได้ซึมซาบไม่ หากเขาไม่ข่มใจให้สนใจเสียบ้างในครั้งแรกๆ อุปนิสัยก็จะไม่เกิดขึ้น และคงจะเป็นอยู่เช่นนั้นเรื่อยไป
พระผู้มีพระภาคเสด็จออกจากเมืองอาฬวี แล้วเสด็จไปสู่เมืองสาวัตถี ประทับอยู่ ณ วัดเชตวัน
ส่วนกุมาริกาธิดาของนายช่างหูก หลังจากที่ได้ฟังพระธรรมเทศนาอันสัมปยุ๖ด้วยมรณสติภาวนาแล้วก็ลองทำดู ก็เห็นผลว่าทำให้จิตใจสงบไม่กลัวตาย มีสติ สังเวช และญาณ นางจึงบำเพ็ญติดต่อกันเป็นเวลา ๓ ปี และได้เห็นผลดีขึ้นตามลำดับๆ
เช้าวันหนึ่งพระศาสดาทรงตรวจดูสัตว์โลกตามพุทธประเพณี ทรงเห็นกุมาริกาธิดาแห่งนายช่างหูกชาวเมืองอาฬวีได้เข้าไปในข่ายคือพระญาณของพระองค์พระองค์ทรงพิจารณาต่อไปอีกก็ทรงทราบว่า ตั้งแต่วันที่ธิดาของนายช่างหูกฟังพระธรรมเทศนาของพระองค์แล้ว ก็เจริญมรณสติอยู่นานถึง ๓ ปี "เธอมีอุปนิสัยควรแก่โสดาปัตติผล" ทรงดำริต่อไปว่า "เราควรไปในที่นั้น แล้วถามปัญหา ๔ ข้อแก่นาง นางจักดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล"
และแล้วพระผู้มีพระภาค มีพระภิกษุสงฆ์นับร้อยเป็นบริวารเสด็จไปสู่เมืองอาฬวี ประทับอยู่ ณ อักคาฬววิหาร ชาวเมืองอาฬวีพูดกันว่า พระศาสดาแสดงมาแล้วจึงพากันไปสู่วิหารนั้น
แม้ธิดาแห่งนายช่างหูกได้ฟังการมาของพระศาสดาแล้ว คิดว่า "บิดาของเรามาแล้ว พระองค์ทรงเป็นอาจารย์ของเราด้วย พระองค์ทรงพระนามว่าโคตรมะพุทธะ ผู้มีพระพักตร์เปล่งปลั่งเบิกบานประดุจดวงจันทร์ เป็นเวลาถึง ๓ ปีแล้วที่เราไม่ได้เห็นพระศาสดา ผู้มีพระฉวีดุจไล้ด้วยทอง วันนี้แหละเราจะได้เห็นพระองค์ และได้ฟังพระธรรมเทศนาที่ไพเราะจับใจยิ่ง"
บังเอิญบิดาของนางกำลังจะไปโรงทอผ้า ได้สั่งนางไว้ในเวลานั้นว่า "ลูกรัก พ่อรับทอผ้าของลูกค้าคนหนึ่งไว้ กำลังทอค้างอยู่พอดีด้ายหมด ให้ลูกช่วยกรอด้ายให้พ่อด้วย พ่อจะต้องให้เสร็จในวันนี้"
กุมาริกาคิดว่า เราจะประสงค์จะไปฟังธรรมของพระศาสดา แต่ว่าบิดาสั่งให้กรอด้าย "เราจะทำอย่างไรดี จะกรอด้ายให้บิดา หรือว่าจะไปฟังธรรมของพระผู้มีพระภาค หากว่าเราทิ้งงานของบิดาไปฟังธรรม ท่านอาจจะโบยหรือตีเรา เพราะฉะนั้นเราควรกรอด้ายให้เสร็จเสียก่อน แล้วไปฟังธรรมที่หลัง" คิดดังนี้แล้วนางจึงนั่งกรอด้ายอยู่บนเตียงน้อย แต่ว่าจิตใจของนางนั้นพะวงอยู่ แต่การเข้าไปเฝ้าพระศาสดาตลอดเวลา
ชาวอาฬวีอังคาสพระตถาคตเจ้า ด้วยขาทนียโภชนียาหารอันประเสริฐแล้ว รับบาตรของพระองค์ และยืนเฝ้าอยู่เพื่อรับการอนุโมทนา พระจอมมุนีไม่เห็นกุมาริกาธิดานายช่างหูก จึงทรงดำริว่า "เราเดินทางมาถึง ๓๐ โยชน์ เพื่อโปรดธิดานายช่างหูก แต่ว่าบัดนี้นางยังไม่มีโอกาสมาหาเรา เมื่อนางมาแล้วเราจึงค่อยทำอนุโมทนา" ทรงดำริเช่นนี้แล้วจึงทรงดุษณีอยู่ เมื่อพระศาสดาทรงนิ่ง
ใครๆ ในโลกพร้อมทั้งเทวโลกก็ไม่อาจจะให้พระองค์ตรัสได้ พุทธบริษัททุกคนจึงเงียบหมด บรรยากาศอยู่ในสภาพเช่นนั้นเป็นเวลานาน จนกระทั่งธิดาของนายช่างหูกกรอด้ายเสร็จแล้ว เก็บใส่ไว้ในกระเช้า แล้วรีบมาสู่สำนักของพระศาสดา นางยืนอยู่ตอนท้ายของพุทธบริษัทยืนมองดูพระศาสดาอยู่ แม้พระผู้มีพระภาคก็ทรงชะเง้อพระศอมองดูนางเหมือนกัน
ธิดานายช่างหูกเป็นคนฉลาด เมื่อเห็นพระอาการเช่นนั้นก็ทราบว่า พระศาสดาคงรอการมาของตน มิฉะนั้นแล้วไฉนเล่าพระองค์จึงทรงชะเง้ออยู่ท่ามกลางพุทธบริษัทมากมาย นางจึงวางของที่ติดมือมา คือกระเช้าด้ายหลอด เข้าไปสู่ที่ใกล้ของพระผู้มีพระภาค
เหตุไฉนพระศาสดาจึงทรงกระทำเช่นนั้น เพราะพระมหากรุณา
พระองค์ทรงดำริว่า การตายของปุถุชนนั้นมีคติไม่แน่นอน ธิดาช่างหูกมาสู่สำนักของพระองค์แล้ว เมื่อได้ตรัสถามปัญหา ๔ ข้อ นางจักได้บรรลุโสดาปัตติผล และมีคติที่แน่นอนไม่ตกต่ำอีกเลย และนางจะต้องตายในวันนั้นไม่สามารถหลีกพ้นได้ ดูเถิด พระมหากรุณาของพระตถาคตเจ้า
นางเข้าไปเฝ้าพระศาสดาด้วยสัญญาณที่พระองค์ทรงมองดูนั้น ถวายบังคมแล้วยืนอยู่พระศาสดาตรัสถามนางว่า "ดูก่อนกุมาริกา เธอมาจากไหน" "ไม่ทราบพระเจ้าข้า" นางทูลตอบ
"เธอจะไปไหน" "ไม่ทราบพระเจ้าข้า" / "เธอไม่ทราบรึ" "ทราบพระเจ้าข้า" / "เธอทราบรึ" "ไม่ทราบพระเจ้าข้า" พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามปัญหา ๔ ข้อแก่นาง ด้วยประการฉะนี้
มหาชนซึ่งประชุมกันอยู่ ณ ที่นั้น ได้ฟังแล้วก็พากันตำหนิว่า "ดูเถิด ท่านทั้งหลาย ธิดาช่างหูกกล้ากล่าวเล่นลิ้นกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นปานนี้ ก็เมื่อพระองค์ตรัสถามแล้ว ตอบเสียตามความเป็นจริงมิได้หรือว่า มาจากเรือนของนายช่างหูกผู้เป็นบิดา และจะไปสู่โรงทอผ้า"
พระตถาคตเจ้าทรงทราบเรื่องที่มหาชนตำหนินางเช่นนั้นแล้วจึงตรัสถามว่า "ที่เธอบอกว่า ไม่ทราบว่ามาจากไหนนั้น หมายความว่าอย่างไร"
"ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐข้าพระพุทธเจ้าทราบดีว่า มาจากเรือนของนายช่างหูก แต่ไม่ทราบว่าก่อนที่จะมาเกิดในชาตินี้ ข้าพระพุทธเจ้ามาจากกำเนิดใด เพราะฉะนั้นข้าพระองค์จึงทูลว่าไม่ทราบ"
"ก็เมื่อเราถามว่าเธอจะไปไหน ทำไมเธอจึงบอกว่าไม่ทราบ" "ข้าพระองค์ทราบว่าจะไปสู่โรงทอผ้า แต่ข้าพระองค์ไม่อาจทราบได้ว่า เมื่อสิ้นชีพจากชาตินี้แล้วจะไปเกิดในที่ใด จะถือกำเนิดเป็นมนุษย์ หรือเดรัจฉาน เปรต อสูรกาย หรือเทพเจ้าเหล่าใดเหล่าหนึ่ง"
"เมื่อเราถามว่า ไม่ทราบรึ เธอตอบว่าทราบ หมายความว่าอย่างไร" "ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ ข้าพระองค์ทราบว่าข้าพระองค์จะต้องตายอย่างแน่นอน"
"เมื่อเราถามว่า เธอทราบรึ เหตุไฉนเธอตอบว่าไม่ทราบ"
"ข้าพระพุทธเจ้าไม่ทราบว่าจะตายวันใด จะตายเวลาใด และจะตายที่ไหน"
พระศาสดาได้ทรงประทานสาธุการทุกครั้งที่นางตอบปัญหาของพระองค์ รวม ๔ ครั้ง และแล้วพระองค์ก็ได้ตรัสกับประชาชนว่า "ท่านทั้งหลาย ท่านมิได้รู้ความหมายอันลึกซึ้งที่ธิดาช่างหูกกล่าวแล้วจึงติเตียน บัดนี้เธอได้อธิบายจนแจ่มแจ้งแล้ว เราสาธุการต่อคำตอบของเธอ คำตอบนั้นถูกต้อง บุคคลผู้มีจักษุพิจารณาแล้วย่อมเห็นตาม"
พระผู้มีพระภาคตรัสต่อไปว่า "อนฺธภูโต อยํ โลโก ตนุเกตฺถ วิปสฺสติ สกุโณ ชาลมุตฺโตว อปฺโป สคฺคาย คจฺฉติ. โลกนี้มืดยิ่งนัก สัตว์โลกส่วนใหญ่เป็นผู้มืดบอด มีน้อยคนที่มีปัญญาเห็นแจ้ง และมีคนจำนวนน้อยที่ไปสวรรค์ เหมือนนกที่ติดข่ายแล้ว ที่รอดพ้นจากข่ายของนายพรานได้นั้นมีน้อยนัก”
โลกนี้มืดยิ่งนัก มืดอยู่ด้วยอวิชชาและความหลงผิด หาใช่ความมืดของอากาศโลกไม่ แต่หมายถึงสัตว์โลก สัตว์ทั้งหลายที่อาศัยอยู่ในโลก เขาอยู่ในความมืดจนเคยชินกับความมืดนั้น แต่เมื่อใดเขาค่อยๆ เดินออกมาสู่แสงสว่างทีละน้อยๆ กระทั่งได้รับแสงสว่างเต็มที่ เขาจะได้การเปรียบเทียบ จึงรู้ว่าการอยู่ในความมืดนั้นเป็นความทรมาน เป็นการเสี่ยงต่ออันตรายอันน่าหวาดกลัว และการอยู่ในที่ใหม่ซึ่งเต็มไปด้วยแสงสว่างนั้นเป็นความผาสุก มีอันตรายน้อย มีโอกาสเห็นสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริงได้มากกว่า เป็นที่น่าเสียดายว่ามีคนเป็นจำนวนน้อยที่มีปัญญาเห็นแจ้งว่าอะไรเป็นอะไร ความจริงก็พอจะรู้บ้างว่าอะไรควรเว้นอะไรควรทำ แต่อะไรเล่าที่ทำให้เขาต้องตกอยู่ในห้วงแห่งความมืด อะไรเล่าที่ทำให้เขาต้องทนทรมานอยู่ในข่ายคือโมหะ อาจเป็นเพราะเขาประมาทมัวเมาเกินไป อาจเป็นเพราะเขาเห็นคุณค่าของธรรมะน้อยเกินไป หรือเพราะไม่อาจทนต่อสิ่งเร้าอันยั่วยวนต่างๆ ได้"
เมื่อจบพระธรรมเทศนาของพระศาสดา ธิดาช่างหูกได้บรรลุโสดาปัตติผล พระธรรมเทศนาได้มีประโยชน์แก่มหาชนเป็นอันมาก
ธิดาช่างหูกถวายบังคมพระศาสดาแล้วรีบไปสู่ สำนักของบิดา ณ โรงทอผ้า ขณะนั้นนายช่างหูกผู้เป็นบิดานั่งหลับอยู่ นางมิได้ดูให้รู้แน่ว่าบิดาหลับอยู่หรือตื่นอยู่ จึงสอดด้ายหลอดเข้าไป
ด้ายหลอดนั้นได้กระทบปลายเฟืองเสียงดังแล้วตกไปเบื้องล่าง นายช่างหูกตื่นขึ้นกระชากปลายหูกกลับมากระทบกับหน้าอกของธิดาสาวโดยแรง นางได้ถึงกาลกิริยาทันที นายช่างหูกได้เห็นลูกสาวมีสรีระทั้งสิ้นแดงฉานด้วยเลือดและสิ้นใจเสียแล้ว ก็เสียใจมาก คิดว่า "ความโศกของเราครั้งนี้ใหญ่หลวงนักใครเล่าจักดับได้นอกจากพระศาสดา" จึงคร่ำครวญมีหน้าชุ่มด้วยน้ำตาไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค กราบทูลว่า "พระองค์ผู้ประเสริฐขอพระองค์ทรงช่วยยังความโศกของข้าพุทธเจ้าให้ดับด้วยเถิด"
พระศาสดาทรงปลอบนายช่างหูกว่า "อย่าเศร้าโศกเลย ในสังสารวัฏอันมีเบื้องต้น และเบื้องปลาย อันบุคคลไม่อาจรู้ได้นี้ น้ำตาของผู้ที่หลั่งออกมาใน เพราะมรณกรรมแห่งปิยชนที่รัก มีธิดาเป็นต้นนั้น มีประมาณยิ่งกว่าน้ำในมหาสมุทรเสียอีก, ดูก่อนเปสักกะ ท่านจงบรรเทาความโศกเสียเถิด สังสารวัฏอันยาวนานนี้ระดะไปด้วยความทุกข์นานาประการ สุดที่ใครจะกำหนดได้ เช่น ความทุกข์ในการแสวงหาอาหาร ความทุกข์เพราะความป่วยไข้ ความทุกข์เพราะความชรา ความทุกข์เพราะการวิวาทกัน ความทุกข์เพราะกิเลสเผาผลาญ ความทุกข์เพราะพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักเริงใจ ความทุกข์เพราะไม่ได้สัดและสังขารตามปรารถนา และความทุกข์เพราะต้องบริหารขันธ์คือร่างกาย อันเป็นเหมือนกับเด็กอ่อนอยู่เสมอนี้, ดูก่อนเปสักกะ ทางแห่งสังสารวัฏเป็นทางที่น่ากลัว เพราะมีภัยต่างๆ เสมือนบุคคลที่หลงเข้าสู่ป่าลึก ซึ่งเต็มไปด้วยสัตว์ร้ายนานาชนิด จึงควรหาทางออกจากป่าคือสังสารวัฏนี้ เราตถาคตได้เดินทางออกจากสังสารวัฏแล้ว และชักชวนคนทั้งหลายให้เดินทางออกด้วย บัดนี้ ธิดาของท่านได้สำเร็จโสดาปัตติผลแล้ว ได้เห็นทางออกจากสังสารวัฏแล้ว เธอมีคติที่แน่นอนไม่ตกต่ำ ท่านเบาใจเสียเถิด"
นายช่างหูกนั้น สดับพระพุทธพจน์อันมีเหตุผล บรรเทาความโศกได้แล้ว ได้ขอบรรพชาอุปสมบท ไม่นานนัก ได้สำเร็จอรหันต์ผล เป็นพระอรหันต์ แล…
เราทุกคนให้เข้าใจจะได้ประพฤติปฏิบัติถูก จะได้มีภาระมีหน้าที่ที่จะต้องรับผิดชอบที่เราเกิดมา จะต้องเรียนหนังสือ เรียนหนังสือนี้ก็เพื่อจะสื่อสารกับคนอื่น ในเรื่องภาษาอ่านภาษาเขียน และก็รู้วิธีดำรงชีวิต เมื่อชีวิตเราไม่เกิน 120 ปี ก็ต้องพากันประพฤติปฏิบัติ พร้อมจะเดินเข้าถึงความดับทุกข์ ทางกาย ได้ตามสมควร แต่สิ่งสำคัญ สาเหตุที่ทำให้เราเวียนว่ายตายเกิด คืออวิชชาความไม่รู้นี่แหละ มันเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ทุกคนต้องเวียนว่ายตายเกิด ส่วนร่างกายเราก็ได้มาจากพ่อจากแม่ ที่มันเป็นธาตุ 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ มีอายตนะ คือ หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ ถือว่าเป็นเรื่องอันนี้อยู่ มันก็เป็นธรรมะ แต่เป็นธรรมะเวียนว่ายตายเกิด เราไม่รู้อริยะสัจ 4 ไม่รู้ความจริง เพราะความดับทุกข์ที่แท้จริงอยู่ที่เราเป็นพระอริยะเจ้าตั้งแต่พระโสดาบัน จนถึงพระอรหันต์ ไม่ใช่ความร่ำรวยมหาเศรษฐีหรอก แต่ถึงอย่างไงเราก็ต้องปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมนั้นถ้าเรามีความความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง เราก็มีความสุขในการทำงานทั้งวัน เพราะการปฏิบัติคืออริยะมรรคมีองค์ 8 คือ มีความเห็นถูกต้องมีความเข้าใจถูกต้องและปฏิบัติถูกต้อง ดำริออกจากวัฏฏะสงสาร ออกจากกาม ออกจากพยาบาท เข้าสู่ศีล สู่ธรรม
เราทุกคนต้องเป็นกัปตันนำเราออกจากวัฏฏะสงสารเอง ด้วยภาคประพฤติภาคปฏิบัติ มันต้องมีสติสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อมอย่างนี้ จะไปทำตามความฟุ้งซ่านอะไรอย่างนี้ไม่ได้ เราเห็นคนเขารวยเขาเก่ง ประเทศมหาอำนาจ มหาวัตถุ มันก็เป็นเพียงร่างกาย เราต้องรู้จักว่าอันนี้มันหยุดการเวียนว่ายตายเกิดไม่ได้ เขาถึงพากันหลงขยะ ขยะก็คือสิ่งที่เราเอาติดตัวไปไม่ได้ ต้องพากันรู้จัก ย้อนกลับไปประเทศอินเดีย พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ส่วนใหญ่ก็จะมาบำเพ็ญกุศลที่อินเดีย แต่ธรรมะที่พระพุทธเจ้า ที่เขาประพฤติปฏิบัติกันส่วนใหญ่ในปัจจุบันไม่ใช่ธรรมะของพระพุทธเจ้า มันอ่อนลงมันตกเกรด มาอยู่ในระดับอวิชชาความหลง เอาศาสนวัตถุมาเป็นศาสนา เอาโบสถ์วิหารเจดีย์เอาพระพุทธรูปมาเป็นพระสาสนา มันไม่ใช่สิ่งที่จะหยุดวัฏฏะสงสารได้ พระพุทธเจ้าท่านขลังศักดิ์สิทธิ์จริง แต่ก็เป็นของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่เรื่องของเรา เรื่องของเราต้องพัฒนาตัวเองให้เขาถึงความเป็นพระ พระนั้นคือศาสนา พระนั้นไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ไม่ใช่นิติบุคคลเราเขา เป็นสิ่งที่หยุดโลกหยุดวัฏฏะสงสาร มีหลักการมีจุดยืนทั้งระบบความคิด คนเรานี้ตามใจตัวเองตามอารมณ์ไม่ได้ ไฟไม่อิ่มด้วยเชื้อ ทะเลไม่อิ่มด้วยน้ำด้วยฝน เราต้องรู้จัก เพราะในโลกมันซ็บ มันลำ มันหรอย มันนัว ถึงอย่างไรเราต้องมีสติสัมปชัญญะ เพราะเราต้องเข้าสู่กิจกรรมคือธรรมะ ธรรมวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ มันไม่ใช่เรื่องที่ร้อยกรองให้เป็นระบบปกครอง แต่เป็นระบบแห่งมรรคผลพระนิพพาน
ทุกท่านทุกคนน่ะต้องทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ พ่อก็ปฏิบัติ แม่ก็ปฏิบัติ ลูกหลาน นักบวช พ่อค้าประชาชน ก็ปฏิบัติ ใครไม่ปฏิบัติ ไม่ได้ เพราะอันนี้คือความเป็นธรรม ความยุติธรรม ความดับทุกข์ เพราะทำอย่างนี้ เราก็มีความสุขในการดับทุกข์ เพราะเราต้องเสียสละ เหมือนกล่าวเมื่อวานนี้ หายพยศ ลด มานะละทิฏฐิ สละซึ่งตัวตน เราจะได้เป็นพระธรรมเป็นพระวินัย เราจะได้เป็นศาสนาไม่ใช่นิติบุคคล ถึงเขาจะแต่งตั้งเราเป็น นาย ก. นาย ข. เป็นตำรวจ ทหาร ข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน อันนี้เขาให้เรามาทำหน้าที่เสียสละตัวตนอย่างนี้นะ เราไม่ต้องไปน้อยอกน้อยใจ คนที่อยู่บ้านนอกบ้านนา บ้านป่า บ้านดง ก็ดี อยู่ในบ้านในกรุง พิกลพิการก็ดี อยู่ในที่เจริญก็ดี ความสุขความดับทุกข์มันอยู่ที่ตัวเรานี้แหละ มีสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง
ทุกคนต้องเอาธรรมะเป็นหลัก เอาธรรมะเป็นใหญ่ อย่าร้องครวญครางไปเรื่อย มันไม่ได้ มันเสียหาย สิ่งที่มันไม่ออกมาเป็นเสียง มันก็รู้อยู่แล้วว่า เพราะความกระหาย ความไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ ไม่รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เหมือนกับแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ มองภาพรวมดูก็รู้แล้ว เพราะอันนี้เป็นกรรมเป็นผลของกรรม เรื่องจิตเรื่องใจเราไม่รู้หรอก เพราะมันเป็นของละเอียด ปลูกต้นไม้ยืนต้นก็ใช้เวลา 10 กว่าปีหรือ 20 ปี กว่าจะเห็นมันเป็นป่าจากทุ่งที่เตียนโล่ง เราต้องรู้จัดการตัวเองในปัจจุบัน อย่ามองข้าง เรามองข้ามไม่ได้ เพราะสิ่งเหล่านี้ ความแซ็บ ความลำ ความหรอย ความอร่อย ความนัว เราต้องใจเข้มแข็ง เราต้องมีสติสัมปชัญญะ เพราะทุกอย่างมันมีคุณไม่มีโทษ เราต้องรู้จักสาสนา ศาสนานี้แหละมันจะจัดการระบบการเวียนว่ายตายเกิดของเรา เราทำอย่างนี้ไม่ได้เอาอะไรนะ เราจะเอาไม่ได้ไปเพิ่มก็ไม่ได้ เราต้องมีหน้าที่ เราต้องเสียสละซึ่งตัวตน เราต้องมีความสุขในการเสียสละ
ทุกท่านทุกคนต้องว่างจากความขี้เกียจขี้คร้าน ว่างจากเป็นคนเจ้าอารมณ์ อย่าให้มีอิทธิพลใส่เรา ว่างจากกินเหล้ากินเบียร์เล่นการพนัน ว่างจากทะเลาะกับลูกกับเมีย มันหลงไปเรื่อย เราไปทำอย่างไม่มีสติสัมปชัญญะ อย่างรถอย่างเครื่องบินมันก็มีเบรค เราเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐ เราต้องมีเบรคที่ดีกว่านั้น เราอย่าไปคิดอย่างนั้น ขอให้เป็นอย่างนู้นขอให้เป็นอย่างนั้น ขอให้รวย ขอให้ไม่เจ็บ ไม่ป่วย มันไปขอได้อย่างไง มันเสียหายนะคิดอย่างนี้ เพราะว่ามันขึ้นที่เหตุขึ้นที่ปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงจะมี เราก็พากันกราบพระไหว้พระ นั่งสมาธิ ท่องพุทโธ เราวางภาระหนักทั้งอดีต ทั้งอนาคต มาท่องพุทโธ เรียกว่าพักผ่อนสมองบ้าน เพราะกลางวันเราก็อยู่กับการกับงานเราต้องมีความสุขในการทำงานนะ ถ้าเราไม่มีความสุขในการทำงาน เราก็ต้องเป็นโรคจิต โรคประสาท เป็นโรคจิตโรคประสาทไม่พอ เราก็ยากจนอีก มีหนี้มีสิน การที่เราใช้เงินใช้สตางค์ เราต้องคิดนะ คิดรายรับรายจ่าย เราต้องควบคุมการใช้จ่าย เรียกว่าการควบคุมตัวเองอยู่ในรันเวย์ ในการเดินทาง เราต้องเข้าใจการใช้จ่าย พวกเหล้าพวกเบียร์เราต้องสมาทานหยุดหมด
เราจะเอาเพื่อนเอาฝูงเอาอะไรเป็นที่ตั้งไม่ได้ เพราะคนในโลกนี้ 7 พันกว่าล้าน มันล้วนแต่เป็นคนหลง ไม่ได้เป็นพระอรหันต์ที่ไหน เราเกิดมาไม่ใช่เพียงแต่มีผัวมีเมีย กินเหล้ากินเบียร์เล่นการพนัน พากันมีหนี้มีสินก็ถือว่าธรรมดาไม่ใช่แค่นั้น อันนั้นเป็นความล้มเหลวเป็นความเสียหาย ในการที่เราเกิดมาเป็นผู้ประเสริฐ ที่เกิดมาเป็นมนุษย์แล้วได้เป็นเพียงแต่คน ไม่ถูกต้อง เราจัดการตัวเอง ไม่ใช่ระเหเร่ร่อนไปหาเงินที่ไหน พัฒนาที่บ้านเราที่ครอบครัวเรา ตั้งแต่ 7 โมงเช้า จนค่ำมืด เอาพระอาทิตย์เป็นที่ตั้ง ต้องหยุดว่ากันนินทากัน พวกโซเชียล มันต้องหยุด เขามีโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ก็เพื่อการใช้การใช้งาน ไม่ใช่เป็นเครื่องอยู่ของคนโง่คนหลงอะไรอย่างนี้นะ เอามาใช้ให้เกิดประโยชน์ เรามีร่างกาย มีวัสดุ เห็นไหมเราพัฒนาวิทยาศาสตร์ มีบ้าน มีรถ เพื่อเอามาทำประโยชน์ มีอะไรก็เอาไว้ทำประโยชน์ เราก็ทำหน้าที่ เพื่อสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปก็มี เราอย่าไปติดอะไร ไปหลงอะไร เพราะคนเราไม่ได้อะไร เพราะสิ่งที่ไม่ได้ไม่เสียมันเป็นความโง่ความหลงเฉยๆ เพราะทุกอย่างมันผ่านมาผ่านไป อย่างนี้เขาเรียกว่าการประพฤติการปฏิบัติธรรม
เราต้องคิดดีๆ เพื่อใจของเราจะได้ไม่มีอบายมุข อบายภูมิ เราต้องพูดดีๆ กายวาจาของเราจะได้ไม่ตกไปสู่อบายภูมิ ของไม่ได้ดีมันชอบคิด อันไหนไม่บาป ไม่เป็นอวิชชา มันไม่คิด ไม่พูด ไม่ทำ ไม่เชื่อก็ลองคิดดูสิ อย่างถือศีลกินเจ มันไม่อยากถือหรอก อย่างการเสียสละ เอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นใหญ่ เอาธรรมเป็นที่ตั้ง ดูแลพ่อแม่ เสียสละให้กับครอบครัวอย่างนี้ มันไม่อยากทำหรอก ไม่เห็นความสำคัญ มีแต่จะตามใจตัวเอง พวกผู้ชายกินเหล้า กินเบียร์ ทุกวัน ตามใจตัวเอง สังสรรค์ เฮฮาอย่างนี้มันไม่ใช่ มันชอบทำแต่สิ่งที่ไม่ถูก มันทำไม่ถูก มันก็เดินทางไม่ถูก มันก็ผิดนะ ชีวิตนี้เราเลยพาตัวเองพาครอบครัวมีปัญหา
ต้องเอาธรรมเป็นใหญ่ เอาธรรมเป็นที่ตั้ง มีความสุขในการปฏิบัติธรรม ให้เป็นอริยมรรคมีองค์แปดให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ใครอยู่ที่ไหนก็ให้ปฏิบัติที่นั้น อยู่วัดก็สำหรับนักบวช สำหรับผู้ที่มาถือศีล 8 คนเราถ้าศีล 5 มันได้อยู่แล้ว แม้แต่พระเองสมาทานถือศีล 227 ดูๆแล้วศีล 5 ก็ยังไม่ได้หรอก ทำไมยังไม่ได้ เพราะว่าพระเราหน่ะถ้ารักษาศีล 227 ได้ไม่ครบก็ชื่อว่ายังโกหกอยู่ ไม่เชื่อทุกคนลองดูตัวเองในใจสิว่า ตัวเองยังย่อหย่อนอ่อนแอ ยังกล้าคิด กล้าพูด กล้าทำในสิ่งที่ผิดอยู่ไหม ถ้าผิดก็แสดงว่าศีลข้อโกหกหลอกลวงมันก็ทำไม่ได้ ศีล 5 ก็ไม่ครบแล้ว ยิ่งศีล 227 มันยังห่างไกล
ประชาชนอย่าพากันวิ่งตามวัตถุ ต้องเน้นที่ตัวเอง เน้นที่ครอบครัว เน้นที่ท้องถิ่น จะได้พัฒนาท้องถิ่นเศรษฐกิจพอเพียง เราจะได้ลดปริมาณแบบหนุ่มโรงงานสาวโรงงาน กินก๋วยเตี๋ยวข้างทาง เพราะเราต้องทำอย่างนี้ ทุกคนต้องมีศีลมีธรรมมีคุณธรรมอย่าไปหลงในความหรูหรา ฟู่ฟ่า ฟุ่มเฟือย เพราะความสวยงามคือศีล 5 คือปิดอบายมุขของตัวเอง เราจะได้ไม่ตกไปสู่อบายภูมิ ของง่ายๆ เราก็ให้ปฏิบัติง่าย ไปทำไม่ถูก มันผิดมันก็ผิด เหมือนเราขันน๊อต มันเป็นฟันเฟือง ถ้ามันขันไม่ได้มันทำไม่ถูก ก็ย่อมมีปัญหาอยู่ร่ำไป จึงต้องกลับมาหาตนเอง น้อมธรรมะเข้ามาสู่ตนเอง เพื่อจะได้ไม่เสียโอกาสที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์
ทุกท่านทุกคนต้องพากันนำพระนิพพานกลับบ้านของตัวเอง อย่าหาพระภายนอก พระต้องอยู่ในตัวของเรา อยู่ในศีล สมาธิ อยู่ในกิจกรรม ของเราอย่างนี้ เราจะให้พากันรู้จัก แต่ก่อนเราโง่ก็ให้มันโง่ไป มันโง่เฉยๆ หรอก พากันมีพระแขวนคอไว้หนัก ไม่ได้มีไว้เพื่อตั้งมั่นในพระรัตนตรัย เอาไว้ขลังศักดิ์สิทธิ์ ความไม่รู้นี้เขาเรียกว่าไสยศาสตร์ ไสยศาสตร์ก็แปลว่าความหลง เราต้องเอาพระพุทธเจ้าเป็นหลัก เป็นที่ตั้ง อย่างนี้น่ะ ความมั่นคงจะเกิดแก่เราเกิดแก่ครอบครัวเรา
เราไม่รู้ว่าเรามาจากไหน จะไปที่ไหน เรารู้แล้วว่าเรามาจากความไม่รู้ ต่อไปนี้เราจะดำเนินชีวิตเข้าสู่การหยุดเวียนว่ายตายเกิด หรือว่า ทำที่สุดแห่งการดับทุกข์ เรารู้แล้วว่า เราเป็นผู้ที่เป็นเสขะบุคคล บุคคลที่จะต้องประพฤติปฏิบัติเพื่อกระทำที่สุดแห่งทุกข์คือพระนิพพาน
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee