แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันเสาร์ที่ ๒๒ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง คุณของพระพุทธเจ้า ตอนที่ ๔๘ รู้เท่าทันความหลงที่คร่ำครวญอยู่ในจิตใจ พร้อมทั้งรีบแก้ไขด้วยสติปัญญา
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ทุกๆ คนให้พากันรู้ให้พากันเข้าใจ ตามความเป็นจริงของจริง เพราะชีวิตของเรานี้เป็นชีวิตที่ประเสริฐที่เกิดมา เราต้องดำเนินชีวิตเราเข้าสู่ที่สุดแห่งการเวียนว่ายตายเกิด หรือที่สุดแห่งความดับทุกข์ เพราะทุกคนนั้นมีความหลงหรือความกระหาย การเดินทางของพวกเรานี้ ต้องเดินให้ถูกต้อง ปฏิบัติให้ถูกต้อง ให้เข้าสู่ความจริงที่เราทุกคนต้องหยุดอวิชชาหยุดความหลงของตัวเองมาดูแล้วน่ะ มันร้องมันครวญครางอยู่ในใจ ทานอาหารไปก็ โอ้ย อร่อย โอ้ อร่อย เจอรูป เจอเสียง เจออะไรต่างๆ ก็บริโภคความหลงด้วยความอร่อย พระพุทธเจ้าบอกเราว่า อย่าไปตั้งอยู่กับความเพลิดเพลินอย่าไปตั้งอยู่กับความหลง ให้มีสติสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อม บริโภคทุกอย่างด้วยสติ บริโภคทุกอย่างมันจะมีคุณ เหมือนเรามีธาตุทั้ง 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ แล้วมีอายตนะมาจากธาตุทั้ง 4 เอามาทำประโยชน์ บริโภคทุกอย่างให้มันเกิดคุณ
เราทุกคนจะได้พากันมีความเห็นถูกต้อง ความเข้าใจถูกต้อง เพราะความดับทุกข์มันมีอยู่กับเราทุกคนทุกท่าน ไม่ว่าคนหนุ่มคนแก่คนยากคนจนคนรวย มันอยู่ที่เรามีสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกต้องความเข้าใจถูกต้องและปฏิบัติถูกต้อง ทุกคนหน่ะมีใจคือมีพระศาสนาอย่างนี้แหละ พัฒนาตนเอง ความมั่นคงของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ มันถึงเป็นความมั่นคงถาวร ดูแล้วทุกคนมีความกระหาย มีความบกพร่องอยู่เป็นนิจ เหมือนทะเลไม่อิ่มด้วยน้ำ ไฟไม่อิ่มด้วยเชื้อ มันครวญครางอยู่อย่างนี้ ผู้ไม่มีปัญญาก็มองไม่เห็น ผู้มีปัญญาอย่างพระพุทธเจ้านี้ก็มองเห็น สูทั้งหลายจงมาดูโลกนี้…
เพราะเราต้องหยุดครวญคราง เราไม่รู้ว่าตัวเองครวญคราง ถ้าเราจะครวญครางออกภายนอกก็ยังอายเขาอยู่
เราต้องพากันมามีสติสัมปชัญญะ มาปฏิบัติตัวเองให้เข้าสู่ความเป็นพระ หรือพระศาสนาคือพระะรรมวินัย คือเรื่องจิตเรื่องใจ เรื่องหยุดกรรมหยุดเวร กฎหมายบ้านเมืองก็เอาภายนอก พระศาสนานี้ก็เอาเรื่องจิตเรื่องใจ ตลอดถึงสิ่งภายนอก เราต้องเข้าใจ เราทุกคนก็ปฏิบัติได้ เราจะตามความหลงไปไม่ได้ อย่าให้ความหลงเขียนแผนที่ให้เราร้องครวญคราง
เราต้องเข้าใจ เราจะเป็นแบรนด์เนมของความเป็นมนุษย์ เป็นแบรนด์เนมของพระศาสนา หรือว่าเป็นแบรนด์เนมทหาร ข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน เราต้องหยุดๆ ได้แล้วนะ การปฏิบัติต้องติดต่อต่อเนื่องกันหลายวัน หลายเดือน หลายปี ยิ่งเป็นพระอรหันต์ขีณาสพ ก็ยิ่งหมดเลย
ทุกคนน่ะต้องเอาธรรมะโอสถมาบริโภค ข้าวปลาอาหารของทุกอย่างมันจะได้เป็นสิ่งที่มีคุณ ถ้างั้นน่ะเราทำลายเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ เราทำลายตัวเราเองด้วยความไม่รู้ของจริง แล้วพากันประพฤติพากันปฏิบัติ เราทุกคนมันหลงมันเพลิดเพลิน ต้องพากันเข้าสู่กิจกรรม คือศีล สมาธิ ปัญญา ต้องทำอย่างนี้ ปฏิบัติอย่างนี้ เราไม่ต้องไปหาพระที่ไหนหรอก พระในใจของเรานี้แหละคือ คือกิจกรรมที่เราประพฤติเราปฏิบัตินี้แหละ เราจะไปครวญครางไปเรื่อยไม่ได้ เพราะอันนี้เรามองเห็นแล้วไม่รู้เรื่องกรรมเรื่องกฎของกรรม กว่าจะรู้มันก็หลายปีแล้ว หลายปีเป็นหม่าม้า เป็นอาม่า เป็นอากงกันไปแล้ว สิ่งเหล่านี้เอากลับคืนมาเป็นหนุ่มเป็นสาวไม่ได้ เสียเวลาที่เราดำเนินชีวิต เมื่อเราเป็นพ่อเป็นแม่ เป็นเด็ก เดี๋ยวต่อไปก็เป็น คนเจ็บ คนตายไปแล้ว เราลองดูรอบข้างสิ มันก็เป็นสภาวะธรรมที่ให้เราทุกคนเห็นอริยะสัจ 4 เห็นทุกข์ เห็นเหตุเกิดทุกข์ เห็นข้อปฏิบัติความดับทุกข์ เห็นเทวฑูตมาปรากฎการณ์ เราจะเพลิดเพลินในความหลงมาครวญครางอย่างนี้ไม่ได้ เพราะเราที่เรียนหนังสือ ทำมาหากิน เพราะที่เราเกิดมาเราต้องแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ต้นเหตุเราต้องเอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นใหญ่ มีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ
เราทุกคนต้องเดินทางด้วยตนเอง ขับรถ หรือ ขับเครื่องบินเป็นกัปตัน นำเราสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เราทำอย่างนี้ก็ไม่มีใครว่าเราหรอก เราทำได้ปฏิบัติได้ ธรรมะก็ไม่ได้ไปอยู่ในหนังสือไม่ได้เป็นตัวหนังสือหรอก อยู่ในตัวของเราอยู่ในชีวิตประจำวันของเรา เราจะได้เข้าถึงความสงบความเย็น อย่างนี้แหละ เราอดติดไม่ได้หรอก อดหลงไม่ได้หรอก เพราะมันของแซ็บ ของลำ ของหรอย เราต้องเผาด้วยวิปัสสนากรรมฐาน เพราะอันนี้เป็นอนิจจัง เราไปหลงมันได้อย่างไง อันนี้เป็นทุกขัง มันนำเราเกิด แก่ เจ็บ ตาย มันเป็นทุกข์ อันนี้เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เราไปหลงอย่างนี้ มันเป็นบ้าเป็นมหาบ้าอยู่แล้ว เราจะไปหลงขยะ ไม่ได้ เพราะชีวิตของเราเป็นสิ่งด้วย สิ่งรีบด่วน ทุกท่านทุกคนต้องมีความสุขอย่างนี้
เราจะได้ หืม... สงบเย็นเป็นพระนิพพาน ชีวิตของเราจะอบอุ่น เราเข้าใจอย่างนี้ เพราะความเป็นพระมันสงบเย็น ให้เข้าใจอย่างนี้แหละ เราต้องหยุดวัดของหลวงพ่อชา ที่ท่านสร้างขึ้นใหม่ๆ เขียนป้ายว่า หายพยศ ลดมานะ ละทิฏฐิ หมายถึงว่า เราทุกคนต้องละตัวละตน เอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นใหญ่ ไม่เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ไปหลงไปครวญครางไปเรื่อยไม่ได้ ครวญครางจนนอนไม่หลับ โอ้ย...ทำไมมันเป็นอย่างนี้ เราต้องละสักกายะทิฏฐิตัวตน เราต้องเลิก ต้องหยุด ต้องละ เอาตัวตนมากไม่ได้ มันเบื้องต้นนะ สักกายะทิฏฐิ ถือตัวถือตนน่ะ เราก็ไปหลงไปเรื่อยว่าพระพุทธเจ้ามีจริงรึ พระธรรมมีจริงรึ พระสงฆ์มีจริงรึ หรือยกเมฆเพื่อปกครองโลก หรือ แล้วก็ลังเลสงสัยในข้อวัตรข้อปฏิบัติ เพราะมันแซ็บ มันหรอย มันลำ พระพุทธเจ้าก่อนที่จะเด็จดับขันธปรินิพพาน ก็บอกว่า สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยงไม่แน่ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน มันเกิดขึ้นต่อไป เราจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด เราต้องรู้จักว่าชีวิตของเราสิ่งที่รีบด่วนนี้ไม่ใช่หลงไปครวญครางไปนะ การประพฤติภารปฏิบัติของเรา เราทุกคนต้องประพฤติต้องปฏิบัติอย่างนี้ นี่คือความถูกต้อง อันนี้คือของจริง ความเป็นจริง ความเป็นพระจะได้เกิดขึ้นกับเราทุกคนน่ะ
กามนั้นให้โทษเปรียบเหมือนชิ้นเนื้ออย่างเช่นที่พระพุทธเจ้าทรงเปรียบไว้ คือ นกแร้งหรือนกเหยี่ยวบินคาบชิ้นเนื้ออยู่ ก็จะถูกนกตะกรุมหรือนกตัวอื่นบินมาจิกมาตีเพื่อให้ปล่อยชิ้นเนื้อนั้น บางทีเราคิดว่าอยากได้สิ่งนั้นสิ่งนี้และพอได้สิ่งนั้นมากามตัณหาจะดับ แต่สุดท้ายมันก็ดิ้นรนปรารถนาสิ่งอื่นต่อ เพราะกามทำให้หิวอยู่ตลอดไม่ทำให้ความอยากระงับลงไปได้ นี่คือการถูกกามเคี้ยวกินและแผดเผา… รสอร่อยของกามมีอยู่นิดเดียวเหมือนสุนัขแทะกระดูกจากเจ้าของที่มีความสุขจากการแทะอยู่หน่อยหนึ่ง โทษของกามมันจะไม่มีทางจบมีแต่จะหนักขึ้นเรื่อยๆ แล้วยิ่งคิดว่าจะเสพเพียงเล็กน้อยเพื่อให้กามตรงนั้นดับก็ไม่ต่างอะไรจากลิงที่มีชาติโลเล พระพุทธเจ้าตรัสเปรียบเทียบลิงไว้ ๒ ประเภทคือลิงโง่ และ ลิงฉลาด… ลิงฉลาดถ้าเห็นกับดักของนายพรานจะรีบหลีกหนีไปให้ไกล ผิดกับลิงโง่ที่มีความโลเลที่จะคอยคืบคลานไปใกล้ๆ กับดักนายพรานด้วยความสงสัยหรือสนใจ จนพลาดถูกตังเหนียวของนายพรานในที่สุด… เราอย่าเป็นลิงโง่แต่ให้เป็นลิงฉลาดหลีกออกจากกาม
พระศาสดาตรัสว่า บุคคลอาจอาศัยตัณหาละตัณหาได้ อาจอาศัยมานะละมานะได้ อาจอาศัยอาหารละอาหารได้ แต่เมถุนธรรมนั้น พระผู้มีพระภาคทรงสอนให้ชักสะพานเสีย (เสตุฆาต) คืออย่าทอดสะพานเข้าไปเพราะอาศัยละไม่ได้"
ข้อว่าอาศัยอาหารละอาหารนั้น คือละความพอใจในรสของอาหาร จริงอยู่สัตว์โลกทั้งมวลดำรงชีพอยู่ได้เพราะอาหาร ข้อนี้พระศาสดาก็ตรัสไว้ แต่มนุษย์และสัตว์เป็นอันมากติดข้องอยู่ในรสแห่งอาหาร จนต้องกระเสือกกระสนกระวนกระวาย และต้องทำชั่วเพราะรสแห่งอาหารนั้น ที่ว่าอาศัยอาหารละอาหารนั้นคืออาศัยอาหารละความพอใจในรสแห่งอาหารนั้น บริโภคเพียงเพื่อยังชีวิตให้ชีวิตนี้เป็นไปได้เท่านั้น เหมือนคนเดินทางข้ามทะเลทราย เสบียงอาหารหมด และบังเอิญลูกน้อยตายลงเพราะหิวโหย เขาจำใจต้องกินเนื้อบุตรเพียงเพื่อให้ข้ามทะเลทรายได้เท่านั้น หาติดในรสแห่งเนื้อบุตรไม่
ข้อว่าอาศัยตัณหาละตัณหานั้น คือเมื่อทราบว่า ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ชื่อโน้นได้สำเร็จเป็นโสดาบัน สกทาคามี อนาคามี หรืออรหันต์ ก็มีความทะยานอยากที่จะเป็นบ้าง เพื่อพยายามจนได้เป็นแล้ว ความทะยานอยากอันนั้นก็หายไป อย่างนี้เรียกว่าอาศัยตัณหาละตัณหา
ข้อว่าอาศัยมานะละมานะนั้น คือเมื่อได้ยินได้ฟังภิกษุหรือภิกษุณี หรืออุบาสกอุบาสิกา ชื่อโน้นได้สำเร็จเป็นโสดาบันเป็นต้น ก็มีมานะขึ้นว่าเขาสามารถทำได้ ทำไมเราซึ่งเป็นมนุษย์และมีอวัยวะทุกส่วนเหมือนเขาจะทำไม่ได้บ้าง จึงพยายามทำความเพียร เผากิเลสจนได้บรรลุโสดาปัตติผลบ้าง อรหัตตผลบ้าง อย่างนี้เรียกว่าอาศัยมานะละมานะ เพราะเมื่อบรรลุแล้วมานะนั้นย่อมไม่มีอีก
ส่วนเมถุนธรรมนั้น ใครๆ จะอาศัยละมิได้เลย นอกจากจะพิจารณาเห็นโทษของมันแล้วเลิกละเสีย ห้ามใจมิให้เลื่อนไหลไปยินดีในกามสุขเช่นนั้น พระศาสดาตรัสว่า "กามคุณนั้นเป็นของไม่เที่ยงไม่ยั่งยืน มีสุขน้อยแต่มีทุกข์มาก มีโทษมากมีความคับแค้นเป็นมูล มีทุกข์เป็นผล"
เวลาตัดออกจากกามให้ตัดเยื่อใยนั้นให้ขาดเพราะเยื่อใยนั้นจะทำให้ดึงกลับมาได้ ให้ตัดโดยใช้ปัญญาอันแหลมคมด้วยการโยนิโสมนสิการเรื่องโทษของกาม พิจารณาโทษของมันอยู่เรื่อยๆ และให้จิตมีเครื่องอยู่นั่นคือ สติปัฏฐานทั้ง ๔ ให้เป็นเครื่องอยู่ของใจ เพื่อไม่ให้ไปข้องเกี่ยวกับกาม ดังนั้น จึงต้องฝึกจิตของเราให้ดีก่อนถึงจะเสพกามโดยไม่จมกาม สำหรับฆราวาสผู้ครองเรือนเราจำเป็นต้องมีศีล เพื่อได้รับทุกข์จากกามน้อยลง เมื่อเรารักษาศีล ศีลจะรักษาเราไม่ให้ทุกข์กับโทษของกามในระดับหนึ่ง แต่ถ้ารักษาไม่ได้ก็จะถูกกามเคี้ยวกิน ให้เราดำเนินไปสู่ทางของบิดาคือพระพุทธเจ้า เราจะได้รับทุกข์ของกามน้อยลงจนกระทั่งไม่มีอีกเลย...
เราทุกคนต้องปรับใจเข้าหาข้อวัตรปฏิบัติ อย่าพากันมาซิกเเซกไป ซิกเเซกมา ต้องปรับตัวเองเข้าหาข้อวัตรกิจวัตรเข้าหาศีลเน้นที่ปัจจุบันให้มีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ เราทุกคนยังไม่เข้าใจเรื่องศาสนา เอาไอ้คนไม่รู้ ดึงไปเรื่อย เราต้องถือหลักพระพุทธเจ้า เอาพระไตรปิฏกเป็นหลัก อย่าไปตามนิติบุคลไป เพราะพวกนี้มันซิกเเซกเก่ง
เพราะความถูกต้องไม่มีซิกเเซก เราอย่าไปใจอ่อนซิกเเซกไป ซิกเเซกมา เราต้องรู้จักว่าอันนี้นะโจร ที่ซิกเเซกไปซิกเเซกมา มาบวชเเล้วก็ไม่ได้ฝึก ไม่ได้หัด ไม่ได้ปฏิบัติ อย่างนี้ วัดใหญ่ๆ เป็นผู้นำของศาสนามันถึงมีเเก็งค์กัน ไม่ยอมปฏิบัติ มีแต่ซิกเเซกไป ซิกเเซกมา โอ้... มีโทรทัศน์เกือบทุกกุฏิเลย เดี๋ยวซิกเเซกไปซิกเเซกมากลัวอดกลัวตาย เก็บอาหาร เป็นสันนิธิ เพราะความใจอ่อน กลายเป็นไม่รู้วัฏฏะสงสาร ไม่รู้อริยสัจ 4
พวกที่มาประพฤติปฏิบัติเวลาสึกเเล้วก็ต้องเอาข้อวัตรกิจวัตรปฏิบัติ เช่น ศีล 5 ปิดอบายมุขอบายภูมิ ต้องอย่าไปใจอ่อน ถ้าอย่างนั้นไม่เหลืออะไร เพราะความใจอ่อน กลัวอะไร ใจอ่อนมันซิกเเซกไป ซิกเเซกมา มันจะซิกเเซกไปไหนก็ไปไม่รอดหรอก ไม่รอดจากความเเก่ความเจ็บความตาย มันต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ
พระบวชใหม่ หรือว่าพระบวชเก่าพากันเข้าใจ เราจะได้ทำให้เค้าเข้าใจ ถ้าเค้าไม่เข้าใจ เค้าก็ไม่รู้ว่าจะบวชมาทำไม เราเป็นประชากรของประเทศไทย เราก็มีการเรียนการศึกษาจบปริญญา ก่อนจะทำงานก็พากันมาบวช เราก็ให้พากันเข้าใจ เพราะเรามีโอกาสมีเวลา เรามาฝึกพิเศษ เรามาฝึกมาปฏิบัติ ถึงระยะสั้นก็ เราปฏิบัติให้เต็มที่เต็มร้อย ผู้ที่บวชตลอดชีวิต ก็ต้องเอามรรคผลนิพพาน ถ้าเราไม่เอามรรคผลนิพพาน เราจะเป็นพื้นเป็นฐานให้ผู้ที่เข้ามาบวชได้อย่างไร เราต้องบวชทั้งกาย บวชทั้งใจ ถ้าไม่อย่างนั้นเราบวชไม่ปฏิบัติ เราก็เอาเปรียบประชาชน เพราะประชาชนเค้าต้องให้ข้าว ให้อาหาร ให้ที่อยู่ที่อาศัย เค้าต้องทำบุญตักบาตร อย่างนี้มัน เราก็ไม่ได้เป็นพระธรรม ไม่ได้เป็นวินัย เราก็เป็นกาฝาก หรือว่าเป็นโจรในพระพุทธศาสนา ไม่ว่าใครจะหัวดี หรือไม่หัวดี ก็ปฏิบัติได้เข้าถึงพระนิพพานเหมือนกันหมดทุกคน ขอให้เป็นผู้ที่เอาธรรมเอาพระวินัย ถือนิสัยของพระพุทธเจ้า
เรามาบวช เราต้องมาหยุดหมด เพราะทางส่วนราชการ อย่างนี้เค้าก็ให้เราหยุดหมดแล้ว สายหลวงปู่มั่นนี้ โดยเฉพาะหลวงปู่มั่นนี่พาลูกศิษย์ลูกหา เอาตามพระวินัย หลวงปู่ชาพระวินัยทุกข้อนี้ปฏิบัติหมด ที่ได้เรียนได้ศึกษาได้เข้าใจ มหาเปรียญธรรมก็ยังไม่นึกไม่ฝันว่า จะมีผู้ประพฤติปฏิบัติลงรายละเอียดจากจิตจากใจอย่างนี้ เรามาบวชเราต้องทวนกระแส ตื่นแต่เช้าอะไร ไม่ได้สู้กับใครหรอกสู้กับตัวเอง เราอย่าใจอ่อน เรามาบวชอย่างนี้กายเรามันบวช ใจเราต้องบวชด้วย ท่องพุทโธ หรือว่าเจริญอานาปานสติ ถ้าอันไหนคิดไม่ดีก็อย่าไปคิด ถ้าอานาปานสติแล้ว มันยังไม่หยุด ก็ต้องกลั้นลมหายใจ คนเรานะ สิ่งที่แก้ไขได้ คือลมหายใจนี้แหละ การบวชของเรามันถืงจะเป็นการบวชที่แท้จริง ถ้าไม่อย่างนี้ประเทศไทยเรานี่แย่เลย หรือว่าทุกประเทศ เหมือนโควิดนี้มันวิ่งไปหากันทุกๆ ประเทศ ไม่มีประเทศไหนไม่ยกเว้น ถ้าเราทำดี มันก็จะส่งความดีไปหากันทุกๆ ประเทศ
เราบวชมาแล้ว เรามาถือพระธรรม ถือพระวินัย ถือนิสัยของพระพุทธเจ้า นิสัยของตัวเองละให้หมด ทิ้งให้หมด นิสัยของตัวเองคือความขี้เกียจขี้คร้าน ติดสุขติดสบาย ชอบกิน ชอบเล่น ชอบเที่ยว กินเหล้า เจ้าชู้ เล่นการพนัน ใช้เงินใช้สตางค์ฟุ่มเฟือยไม่รู้จักคิด ไม่รู้จักวางแผนเป็นคนไม่เสียสละ ไม่ขยัน รับผิดชอบ วันหนึ่ง ๆ จิตใจหมกมุ่นอยู่ในกาม ในบันเทิง ในปฏิฆะ ในพยาบาท เอาแต่เล่นไลน์โทรศัพท์ เล่นอินเทอร์เน็ต เฟซบุ๊ค เราบวชมาแล้ว สิ่งเหล่านี้เราต้องหยุดให้หมด เพื่อมาถือพระธรรม พระวินัยของพระพุทธเจ้า ที่เรียกว่าถือนิสัยของพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราถือนิสัยของตัวเอง ให้ถือพระธรรม ถือพระวินัย...กิจวัตร ข้อวัตรต่างๆ นั้นเป็นธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าทั้งหมด
ให้ทุกคนน่ะมีความสุขในการบวช มีความสุขในการปฏิบัติธรรมเพราะว่าพระธรรม พระวินัยนั้นคือเหตุคือปัจจัยที่จะให้เราได้สร้างบารมี สร้างความดี สร้างคุณธรรม เข้าถึงความสุขความดับทุกข์ ตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เราทุกๆ คนน่ะเพียงได้ยินชื่อของพระพุทธเจ้าก็ได้บุญได้กุศลมากแล้ว ถ้าเราได้ประพฤติได้ปฏิบัติตามย่อมมีบุญใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่
ทุกๆ คนนั้นทำตามอารมณ์เค้าเรียกว่าเราทุก ๆ คนเป็นคนเจ้าอารมณ์ การมาหยุดตัวเองมันถึงเป็นปัญหาใหญ่ เป็นเรื่องใหญ่ ถ้าเรามีความเห็นถูกต้อง มีความเข้าใจถูกต้องว่าการประพฤติการปฏิบัติอย่างนี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เราเข้าถึงความสุขความดับทุกข์ได้ ที่ทุกคนเวียนว่ายตายเกิดแล้วก็มีปัญหา มีหนี้ มีสินพะรุงพะรังดึงหน้าปะจมูก ดิ้นรนซิกแซกไป ซิกแซกมา เป็นทุกข์กันอย่างระเนระนาดอย่างไม่เป็นท่าไปทั่วบ้านทั่วเมืองทั่วโลกน่ะ เพราะเราเข้าใจไม่ถูกต้อง ทำไม่ถูกต้อง มันเลยสร้างปัญหาให้กับตัวเรา ญาติพี่น้อง วงศ์ตระกูล เพื่อนฝูง ประเทศชาติ บ้านเมือง สังคม
เรามาบวชเป็นพระ เป็นสมมติสงฆ์ แต่ทุกๆ คนนั้นจิตใจนั้นยังไม่ได้เป็นพระ ต้องมาปฏิบัติพระธรรม พระวินัย เพื่อให้ใจของเราเป็นพระ พระคือผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรง ปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์ พระคือผู้ที่เห็นภัยในวัฏฏสงสาร “พระคือผู้ที่เดินตามทางสายกลาง คือพระธรรม พระวินัย
ถ้าเราประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าถึงจะเป็นผู้ที่สมควรรับกราบ รับไหว้ รับการบูชาจากประชาชน ถ้าเราไม่ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ผู้ที่มาบวชอยู่ที่วัดก็คือเปรตตนหนึ่งมาคอยรับส่วนบุญจากประชาชน ที่เค้าถวายทาน อุปัฏฐาก อุปถัมภ์น่ะ
พระพุทธเจ้าของเราน่ะ ตั้งแต่ท่านเสด็จออกบวชจนเสด็จดับขันธุ์สู่ปรินิพพาน ท่านเสวยภัตตาหารวันหนึ่งเพียงหนเดียว ท่านไม่รับเงินรับทอง ไม่สวมรองเท้า ไม่กางร่ม ท่านเสียสละเป็นตัวอย่างแบบอย่างอย่างแท้จริง
เราต้องเอาตัวอย่างของพระพุทธเจ้านะ ผู้ที่เคยติดบุหรี่ ติดโทรศัพท์มือถือเราก็ต้องพากันหยุดให้หมดกิจวัตรข้อวัตรเราต้องทำได้ทุกอย่าง เราอย่าไปเอาตัวอย่างจากพระบางรูปที่บวชแล้วหลายพรรษา บวชก่อนน่ะ พาทำในสิ่งที่ไม่ดี เช่น ไม่มาทำวัตรเช้าเย็น ไม่บิณฑบาต เข้านั่งสมาธิก็เข้าช้าๆ ใกล้ๆ เข้าจะทำวัตรสวดมนต์ถึงเข้า เข้าศาลาตอนเช้าก่อนฉัน ก็เข้าช้าๆ ใกล้ๆ เค้าจะให้พรน่ะถึงเข้าศาลาฉัน ไม่ทำข้อวัตร ไม่ทำกิจวัตรอย่างนี้ อย่าไปเอาตัวอย่าง
เพราะว่าศาสนาพุทธของเรานี้มีความเมตตามาก มีกรุณามาก อย่างไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ ก็ย่อมมีสิ่งที่ไม่ดีเข้ามาเจือปนย่อมมีผู้ที่ไม่มีศักยภาพในการทำมาหากิน มาเอาพระพุทธศาสนาหาเลี้ยงชีพ นี้ก็คือว่าเป็นสภาวธรรม เป็นเรื่องธรรมดาบางคนบางท่านจิตใจไม่สงบน่ะ เป็นโรคจิต เป็นโรคประสาท คิดว่าเมื่อมาบวชแล้วมันคงจะดีขึ้น บางท่านบางคนก็เมื่อเป็นฆราวาส เป็นคนไม่รับผิดชอบ ดื่มเหล้า ดื่มเบียร์ เล่นการพนัน เจ้าชู้ ติดยาเสพติด พ่อแม่ ญาติพี่น้องก็เอามาบวช หวังว่าจะดีขึ้น เพราะว่าธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นถ้าใครประพฤติปฏิบัติแล้วก็ย่อมดีทุกๆ คนน่ะ ถ้าปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ถ้ามันไม่ดี มันเป็นไปไม่ได้ มันต้องดี
เราบวชมาน่ะต้องพากันตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติให้เต็มที่เต็มกำลัง ตามพระธรรม ตามพระวินัย ข้อวัตร กิจวัตรคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า อย่าได้ย่อหย่อนอ่อนแอ เพราะพื้นฐานของเราทุกๆ คนนั้นเป็นคนย่อหย่อนอ่อนแอ ตามใจตัวเอง ตามอารมณ์ตนเอง ตามความเคยชินที่ได้สะสมมานาน จนเป็นนิสัย เป็นสันดาน ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นเป็นสิ่งที่ทวนโลก ทวนกระแส ทวนอารมณ์ของเราน่ะ ไม่ไปตามสัญชาตญาณ สัตว์โลกทั้งหลายที่เวียนว่ายตายเกิด ต้องทวนกระแส ต้องตามพระพุทธเจ้า ถือนิสัยของพระพุทธเจ้า
ผู้ที่รักษาศีลพรหมจรรย์เป็นภิกษุสามเณรต้องพากันเข้าใจความหมายของพระพุทธศาสนา คำว่าพระคือพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยนั้นคืออริยมรรค คือข้อวัตรคือข้อปฏิบัติ เป็นกระบวนการเป็นมรรคเป็นผลเป็นนิพพาน ต้องเริ่มต้นจากความเห็นถูกต้องปฏิบัติถูกต้องและปฏิบัติถูกต้อง เพื่อเราจะได้ปฏิบัติตัวเอง 100% ต้องเริ่มจากความคิด เพราะว่าทุกอย่างมันอยู่ที่สัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง ที่ยังเอาใจตัวเองยังเอาอารมณ์ตัวเองเอาความรู้สึก แสดงถึงเรายังไม่ได้เป็นสัมมาทิฏฐิ เป็นบ้างนิดหน่อยๆศีลเราเลยด่างพร้อย บางคนขาดจากพระภิกษุ เมื่อเราไม่มีความตั้งใจ ไม่มีเจตนาเต็มร้อย ถือว่าเรายังตกอยู่ในกามสุขัลลิกานุโยค หมกมุ่นในกาม เราก็ไม่สามารถจะบรรลุมรรคผลนิพพานได้ ผู้ที่มาบวชก็เลยไม่ได้เป็นพระธรรมพระวินัย เป็นแค่ภิกษุเป็นเพียงสามเณรเป็นผ้าขาวแม่ชี ไม่เข้าสู่กายวิเวก ถ้าไม่เอาธรรมเอาวินัย 100% ด้วยความตั้งใจด้วยเจตนา เราก็จะไม่เข้าสู่กายวิเวกเพราะเรายังคิดเรายังยินดีในกาม หมกมุ่นในกาม
ต้องเป็นคนซื่อสัตย์ ปฏิบัติตามรอยของพระพุทธเจ้า ใครจะฉลาด ไม่ฉลาด จะหัวดี ไม่หัวดี ไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่เราเป็นคนซื่อสัตย์ คนซื่อสัตย์ต่อพระพุทธเจ้าจะไม่ไปคิดเรื่องอยากได้เงินได้ทอง ไม่มีใจไปคิดเรื่องผู้หญิงเรื่องกินเรื่องเที่ยว คนซื่อสัตย์จะไม่คิดไม่พูดไม่ทำแบบนี้ ต้องเป็นผู้ซื่อสัตย์ เกรงกลัวต่อบาปละอายต่อบาป ไม่คิดเรื่องไปในทางกาม ไม่คิดเรื่องผู้หญิง เรื่องกามคุณ แม้กระทั่งเรื่องเสพเรื่องกินเรื่องเที่ยวที่ผ่านมาก็ตามที ต้องไม่คิด จึงเป็นการพัฒนาไปสู่ความซื่อสัตย์ มันมีอย่างที่ไหนเราบวชเป็นพระยังไม่เกรงกลัวต่อบาปไม่ละอายต่อบาป ยังคิดถึงสาว คิดชอบสาวอยู่ อย่างนี้คือคนไม่ซื่อสัตย์ คิดเรื่องเงินเรื่องทองเรื่องยศตำแหน่งสรรเสริญ ไม่มีใครจะบรรลุธรรมได้เลยถ้าไม่ซื่อสัตย์ อย่างระบบความคิดระบบความเห็นของที่วัดเรา องค์พ่อแม่ครูบาอาจารย์ไม่ให้มีโทรศัพท์ เราก็ยังคิดแต่ว่าวัดนั้นก็ยังมีวัดนี้ก็ยังมีวัดนั้นก็ยังโทร เราจะไปเอามาตรฐานของที่อื่นไม่ได้ มันคือการยังยินดีในกาม ใครจะไปทำอย่างนั้นก็ช่างหัวมัน พระพุทธเจ้าไม่ได้ให้เราคิดไม่ได้ให้เราทำอย่างนี้
พระวินัยทุกข้อคือธรรมะ ธรรมะนั้นคือพระวินัย มันเป็นกายวิเวก หลวงปู่ชา หลวงตามหาบัว เจ้าคุณพุทธทาส ท่านถึงเน้นเรื่องโทรศัพท์มือถือ พวกอินเทอร์เน็ต เฟสบุ๊ค คอมพิวเตอร์เหล่านี้เปรียบเหมือน ศาสตราวุธที่เราใช้แล้วมันทำร้ายตัวเองทำลายกุลบุตรลูกหลานผู้ที่ยังมีอินทรีย์อ่อน เพราะพระเรานี้พระภิกษุเหล่านี้แหละอย่าใจอ่อน พวกที่บวชมายังไม่มีโอกาสพิจารณาพระกรรมฐาน ไม่ได้เจริญอานาปานะสติ ไม่ได้พากันตั้งอยู่ในพุทโธ เพราะใจมันหยาบ เพราะใจมันสกปรกใจมันไม่วิเวก ให้เข้าใจนะ พวกนี้แหละไม่ได้เข้าสู่กายวิเวก ผู้ที่ติดหมกมุ่นอยู่ในกาม มันต้องเข้าสู่กายวิเวก มันต้องหยุดพวกนี้ก่อน พวกเจ้าอาวาสพวกประธานสงฆ์เป็นตัวอย่างแบบอย่างผู้ที่บวชภายหลัง ต้องพากันตั้งมั่น มรรคผลนิพพานหมดสมัย เพราะเราพากันยินดีในกามหมกมุ่นในกาม เราจะพากันมองหน้ากันคนนี้ก็ทำ คนนั้นก็ทำ ก็รู้แก่ใจอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเคราพบูชา พระธรรมคำสอนเป็นสิ่งที่ควรเคารพบูชา ถ้าอย่างงั้นเราไม่ต้องไปหาพระอลัชชีที่ไหนหรอก อลัชชีที่ตัวเราทุกคนนี่แหละ เป็นผู้ที่ไม่ละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป รู้อยู่แต่ก็ยังขืนทำ พระพุทธเจ้าถึงให้เรากลับเนื้อกลับตัวกลับกาย ปัจจุบันนี้เราเป็นคนใจอ่อนเสียเพราะความใจอ่อน เสียเพราะพี่น้องญาติวงศ์ตระกูลพรรคพวก หมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายที่ใจอ่อนต้องมีพรรคมีพวกที่เรียกว่าใจของเรายังอยู่ในแก๊งค์ หากใจอ่อนก็ละสิ่งเสพติดที่เรียกว่ากามไม่ได้ ทุกท่านทุกคนพระพุทธเจ้าให้เราละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee