แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันศุกร์ที่ ๒๑ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง คุณของพระพุทธเจ้า ตอนที่ ๔๗ ต้องกลับมาดูตัวเองว่า เราเป็นโมฆบุรุษ โมฆสตรี ที่มีชีวิตอย่างสูญเปล่าหรือไม่
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
เรามาเอาธรรมะเป็นหลักเอาธรรมนูญแห่งชีวิต ต้องเข้าสู่กิจกรรมคือภาคประพฤติภาคปฏิบัติโดยอาศัยบัณฑิต คือการเรียน การศึกษา ความเข้าใจลงมือปฏิบัติคือกิจกรรม เอาปัจจุบันเป็นหลัก ช่วงนี้เป็นช่วงที่ใกล้จะเข้าพรรษา กุลบุตรลูกหลานนี้พากันมาบวช พวกที่ลูกเถ้าแก่ทั้งหลายนี้ การมาบวชคือเป็นการปฏิบัติบูชา คือหยุดทำตามใจตามอัธยาศัย เดี๋ยวนี้เราก็ถือว่าเราโชคดี ดีกว่าเมื่อสมัย 100 ปีก่อน สมัย 100 ปีก่อนลำบากกว่านี้ การศึกษาก็ลำบาก ไม่มีโรงเรียน ที่เป็นโรงเรียนเหมือนทุกวันนี้ การเรียนหนังสือก็มีแต่ผู้ชาย มีพระเป็นครูสอน เอาธรรมะเป็นหลัก เอาความประพฤติดีความประพฤติชอบเป็นหลัก ประเทศไทยเราโชคดี การปกครองประเทศเอาธรรมะเป็นหลัก
สมัยก่อนวัดป่าวัดกรรมฐาน สมัย 100 ปี ยังไม่มีใครรู้ มีแต่พระแปลกๆ จีวรสีดำๆ พระก็อาศัยหลวงปู่มั่นเป็นหลัก หลวงปู่มั่นก็เป็นผู้มีบารมีมาเกิด การฝึกเป็นนาคแต่ก่อนก็เข้มข้น น้ำปานะก็ไม่มีเพรียบพร้อมเหมือนกับทานอาหารเย็น ถ้าไม่เจ็บไม่ป่วยก็ไม่ได้ดื่มน้ำปานะ ทุกวันนี้มีแต่เราต้องพากันเข้มแข็ง อย่าไปใจอ่อน เดี๋ยวมันจะติดสุขติดสบาย เราพากันมาบวชมาปฏิบัติ ทุกคนต้องไฟต์ติ้งกับตัวเอง ปรับตัวเองเข้าหาธรรมะสิ่งที่ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ที่เรามีธาตุมีขันธ์มีอายตนะ มันไม่ใช่ตัวเรา เป็นกรรมที่พวกเราพากันเกิดมาก็เป็นอย่างนี้ สิ่งที่นำเราออกจากอบายมุขอบายภูมิ นำออกจากวัฏฏะสงสารได้ก็คือพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ ซึ่งคนละอย่างกับกฎหมายบ้านเมือง อันนี้เป็นกฎแห่งกรรม เราต้องพากันเข้าใจอย่างนี้
ทุกคนทุกท่านต้องพากันเข้าใจ ให้มีสติสัมปชัญญะ มีความสุขอยู่กับเนื้อกับตัวอยู่กับปัจจุบัน เพราะใจของเราเคยอยู่กับการงานข้างนอก เคยอยู่กับโทรศัพท์ ธุรกิจหน้าที่การงาน เราต้องพักยกไว้ก่อน เราพากันมาฝึกตน เราต้องปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องกัน ถ้าไม่ติดต่อต่อเนื่องกันไม่ได้ เหมือนลมหายใจ ลมหายใจก็ต้องติดต่อต่อเนื่องกัน เหมือนที่พระพุทธเจ้าบอกว่า อริยมรรคมีองค์ 8 มันจะเกิดขึ้นแก่เรา ทุกคนทำได้ปฏิบัติได้ ต้องอาศัยอย่างนี้แหละประพฤติปฏิบัติ ประเทศไทยของเรานี้ก็มีวัด มีวัดที่ปฏิบัติจริงๆ ก็ไม่กี่วัด ถ้าเป็นกรรมฐานก็เป็นกรรมฐานปลายแถว เป็นกรรมฐานที่ครูบาอาจารย์นี้ลาละสังขารไป การปฏิบัตินี้ก็ไม่เข้มข้น เพราะความใจอ่อน เพราะส่วนใหญ่ก็ยังไม่เป็นพระโสดาบัน ใจของเรายังไม่ตกกระแส ส่วนใหญ่ พื้นฐานของเราทุกคนที่เกิดมาเป็นมนุษย์นี้ ก็ยังไม่ได้เป็นมนุษย์เป็นได้แต่เพียงคน เราต้องเน้นที่ปัจจุบัน มันใจอ่อนกันทั้งนั้นแหละ ไม่มีใครไม่ใจอ่อน เพราะมันเป็นอิทธิพล อากาศหนาวมาก็ใจอ่อน อากาศร้อนมาก็ใจอ่อน เห็นสิ่งที่ชอบใจมาก็ใจอ่อน เห็นสิ่งที่ไม่ชอบใจมาก็ใจอ่อน เราต้องรู้จัก อย่าไปอ่อนแอ อ่อนไหว ลงลายละเอียดให้กับตัวเอง
เรามาบวชมาปฏิบัติ เรียกว่าปฏิบัติบูชา เราต้องสู้อย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ ใช้เวลากัน 1 พรรษา หรือว่า 3 เดือน 4 เดือน เราต้องสู้เต็มที่พวกที่พากันมาอยู่วัดก็พากันปฏิบัติเต็มที่ เราต้องพากันเข้าใจว่า ที่มาบวชกันที่ประเทศไทยหรือหลายประเทศนี้ ส่วนมากยังลีลัพพตปรามาสกัน ยังไม่เอามรรคผลพระนิพพาน พากันเอาพระศาสนาเป็นที่ทำมาหากินเลี้ยงชีพ ก็ถือว่า 99.99% เราจะเอาอย่างนี้ไม่ได้ มันเสียหายแบรนด์เนมความเป็นพระ หรือแบรนด์เนมแม่ชีเฉยๆ เราต้องรู้จักว่าอันนั้นไม่ใช่ของแท้ ไม่ใช่ของจริง ของจริงคือพระวินัย คือมรรคผลพระนิพพาน
พวกเราจะหยุดวัฏฏะสงสารนี้ ก็ต้องหยุดตัวตน หยุดมีเซ็กทางความคิดหยุดมีเซ็กทางอารมณ์ ที่ทุกคนมันหลง ต้องปฏิบัติกรรมนั้น สำหรับพระพุทธเจ้า สำหรับพระที่ตกกระแส เห็นกรรมชัดเจน เมื่อมีความรู้มีความเข้าใจระดับพระโสดาบัน ก็ต้องเรียกว่ามีโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล มันต้องประพฤติปฏิบัติให้อินทรีย์สมบูรณ์ เหมือนไก่ฟักไข่อย่างนี้แหละ ถึงจะได้เป็นพระโสดาปัตติผล พวกที่บำเพ็ญพระโพธิสัตว์นี้รู้อยู่แต่ว่า มันต้องเพิ่มบารมีเพื่อเป็นพระพุทธเจ้า จึงยังไม่ตัดกิเลส ยังไม่ทำอาสวะให้สิ้น ยังทำบารมี 10 ทัศน์ 20 ทัศน์ 30 ทัศน์ ให้สมบูรณ์
ถ้าเรารู้อยู่ เรายังไม่เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ มันไม่ได้ มันเป็นแบรนด์เนม เราอย่าไปคิดว่า การบวชมันยาก โอ้...เราต้องทวนกระแสนะ เราต้องทำติดต่อต่อเนื่อง เราต้องคิดว่าการทำอย่างนี้เป็นการทำที่สุดแห่งทุกข์ ความยุ่งยากความลำบากนี้ทำให้เราได้ดี การทำตามอัธยาศัยก็ทำให้ตกต่ำเสียหาย ต้องรับผิดชอบเรื่องจิตเรื่องอาการของจิตของเรา เพราะวัดที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบนี้ จะหล่อหลอมเพราะว่าเราต้องเอาหลักเกณท์ที่ได้มาตรฐานเป็นหลัก หลวงปู่ชาไปศึกษาธรรมวินัย จากหลวงปู่เภา บนเขาวงกตที่ลพบุรี เข้าใจเรื่องพระวินัย ของพระพุทธเจ้าตามบุพพสิกขาวรรณนา และตามหาพระอรหันต์ ไปศึกษาอยู่ที่นั่น เข้าใจพระวินัย เข้าใจหลักกา รก็ไม่กี่วัน ก็ถามหาว่าหลวงปู่เภาละสังขาร นิพพานไปแล้ว หลวงปู่มั่นเขาเป็นพระอรหันต์กำลังใหม่สด ก็ไปศึกษากับหลวงปู่มั่น ศึกษาได้ไม่นาน คืนหรือ 2 คืน ท่านก็เข้าใจแล้วก็ไปต่อยอด เรียกว่า ไปเพื่อให้มันเกิดผล เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี นี่เราพากันรู้กันจบ นธ.เอก จบ ป.ธ.9 แต่ถ้าไม่เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ก็เป็นเหมือนที่ประเทศไทยเราเป็นอย่างนี้แหละ เราทุกคนต้องรับรู้ว่าความดับทุกข์ การทำที่สุดแห่งทุกข์ มันอยู่ที่การประพฤติการปฏิบัติอย่างนี้แหละ เราต้องเข้าใจ สมัยโบราณ มันลำบาก อาหารก็ยาก เป็นพระกรรมฐานก็ได้ฉันอาหาร เพียงแต่ไม่ให้ตาย เพราะเขาไม่รู้ว่าพระพวกแบกบาตรใหญ่ๆ ห่มผ้าดำๆ เป็นอะไร เดี๋ยวนี้มันง่าย ลูกหลานที่มันเกิดมาสมัยหลังก็ถึงมีอะไรเต็มไปหมด
วัดที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์เป็นพระอรหันต์นิพพานกันไป เขาก็เคารพเลื่อมใส เอาของไปให้เอาอะไรไปให้เยอะแยะ ก็พากันหลง สิ่งที่หลงกันที่สุดทำลายมรรคผลพระนิพพานก็คือโทรศัพท์มือถือ กับ คอมพิวเตอร์นี้ มันมีทั้งคุณทั้งโทษ ทุกคนที่มาอยู่ที่นี่ ถึงตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติกัน แต่พอมีโทรศัพท์มือถือ มีสิ่งอันนี้เขาก็เรียกว่าศูนย์รวมแห่งความรู้ แล้วก็เป็นศูนย์รวมแห่งกามคุณอยู่ในนั้น รูป เสียง… ท่านว่าสิ่งเหล่านี้มันฟุ้งซ่าน มันทำให้เราเข้าสมาธิไม่ได้ นี่แหละคือเดรัจฉานกถา มันทำให้ไม่มีสติสัมปชัญญะ ต้องเข้าหาธรรมเข้าหาพระวินัย
มองดูแล้วตามถนนหนทางทั่วไป ในบ้าน ที่ศึกษา ในที่ทำงานก็เห็นแต่เล่นโทรศัพท์ เป็นสังคมก้มหน้า เพราะเขาไม่มีเครื่องอยู่ที่มีความสุขในการทำงาน เขาพากันบริโภคอวิชชา บริโภคความหลง
กิเลส 16 ชนิดที่แฝงมากับการเล่นโซเชียลเน็ตเวิร์ค พศิน อินทรวงค์
1. อภิชฌาวิสมโลภะ เห็นใครโพสภาพบ้านหลังใหญ่ๆ รถหรูๆ อาหารดีๆ ภาพการพักผ่อนในโรงแรมสวยๆ ภาพชีวิตหรูหรา ก็เกิดความรู้สึกอยากได้เหมือนอย่างเขา เกิดความไม่พอใจชีวิตของตนเอง เกิดความโลภ เกิดความทุกข์ หดหูใจว่าทำไมหนอ ชีวิตคนอื่นจึงดีกว่าชีวิตของตนเอง นานวันเข้าก็พัฒนาไปสู่ความโลภ อยากได้ในสิ่งที่ไม่ใช่ของตัว รู้สึกอยากจะโพส อยากจะอวดเหมือนอย่างเขาบ้าง
2. พยาบาท เปิดเฟสส่องดู เห็นคนที่ตนเกลียดมีความสุข ก็คิดหมั่นไส้อยู่ในที แต่เมื่อเปิดดูแล้ว เห็นคนที่ตนเกลียดมีความทุกข์ หรือมีปัญหาก็รู้สึกยินดีพอใจ
3. โกธะ ใครโพสสิ่งใดไม่ถูกใจ ไม่ตรงกับความคิดของตัว ก็นึกโกรธ จับโยงความคิดผู้อื่นมาปะทะกับความคิดของตนเอง จนกลายเป็นความทุกข์ใจ
4. อุปนาหะ เมื่อโกรธ เพราะคิดเห็นต่างกัน ก็ผูกใจเกลียนคนๆ นั้น โดยไร้เหตุผล
5. มักขะ เห็นใครทำความดีก็นึกหมั่นไส้เขา เห็นคำสอนปราชญ์ คำสอนพระ คำสอนศาสดา คำสอนผู้รู้ใดๆ ที่ไม่เข้ากับความคิดของตน ก็นึกดูแคลน พยามใช้ความคิดของตนหักล้าง ทั้งที่รู้ว่าสิ่งที่เขานำเสนอนั้นเป็นสิ่งที่มีประโยชน์
6. ปลาสะ ไม่เคยชื่นชมใคร เห็นใครโพสอะไรก็ไม่พอใจไปหมด ฟาดงวงฟาดงาไปหมด เห็นอะไรก็ขวางหูขวางตาไปหมด
7. อิสสา จิตเกิดความอิจฉาจนทนไม่ได้ ต้องพิมพ์ ต้องแสดงออกด้วยการเสียดสีประชดประชัน โพส เม้น วิจารณ์ด้วยความไม่สุภาพ ไม่ได้เป็นไปเพื่อประโยชน์ใดๆ
8. มัจฉริยะ เมื่อโพสสิ่งใดไปแล้ว หรือแสดงสิ่งใดไปแล้ว วันหนึ่งมีผู้อื่นนำความคิด หรือบทความของตนไปดัดแปลง ไม่ให้เครดิต ก็นึกเสียดาย เกิดความทุกข์ นึกหวงความรู้ของตนขึ้นมา ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าโลกโซเชียลนั้นเป็นโลกที่ควบคุมได้ยาก
9. มายา ยึดติดอยู่กับโลกมายา ฝังตัวอยู่หน้าคอม ไปไหนมาไหน เปิดดูโทรศัพท์อยู่ตลอดเวลา ยึดติดกับยอดไลค์ ยอดเม้น ยอดแชร์ หลงอยู่ในมายาของโลกโซเชียล ไม่สามารถหยุดติดต่อกับโลกโซเชียลได้นานๆ พึ่งพาโลกโซเชียลสร้างความสุขแบบปลอมๆ ให้กับตนเอง
10. สาเถยยะ โพสสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเอง สร้างภาพว่าตนเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ทั้งที่ตนเองไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย นำไปสู่การยึดติดกับภาพลักษณ์ที่ตนสร้างขึ้น ต้องฉลาดอยู่ตลอดเวลา ต้องแสนดีอยู่ตลอดเวลา ต้องสวยต้องหล่ออยู่ตลอดเวลา ภาพลักษณ์ต้องดูดีอยู่ตลอดเวลา ที่สุดแล้ว สิ่งเหล่านี้ก็นำมาซึ่งความทุกข์ในชีวิตจริงของตนเอง
11. ถัมภะ เมื่อมีใครแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง รีบโต้เถียงในทันที จ้องแต่จะเถียง โดยไม่ได้นำความคิดนั้นมาตรึกตรองจนเกิดปัญญา โพสระบายความในใจอย่างไร้เหตุผล ไหลไปตามอารมณ์ของตนเป็นใหญ่ บ่นตลอดเวลา ระบายอารมณ์อยู่ตลอดเวลา
12. สารัมภะ คอยแต่จะเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น แข่งดีแข่งเด่นกับเขา เขามีคนกดไลค์กี่คนแล้ว เรามีกี่คนแล้ว เขามีเพื่อนกี่คนแล้ว มีคนเม้น คนแชร์กี่คนแล้ว ทำไมของเขามีเยอะ ทำไมของเราจึงมีเท่านี้ ตั้งหน้าตั้งตาเอาชนะกันในเรื่องไร้สาระ ทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนด้วยซ้ำ
13. มานะ เมื่อมีคนกดไลค์มากๆ มีคนชื่นชมมากๆ ก็หลงว่าตนเก่ง ตนดีกว่าเขา ทั้งที่ความจริงแล้ว ทุกคนย่อมมีทั้งด้านดีและไม่ดี มีสิ่งที่เชี่ยวชาญและสิ่งที่โง่เขลา มีสิ่งที่พิเศษ และสิ่งที่ธรรมดา เมื่อหลงตนมากเข้า อัตตาตัวตนก็ขยายตัวใหญ่ขึ้น เกิดเป็นมานะทิฐิว่า ข้าคือผู้ยิ่งใหญ่ ข้าคือคนสำคัญ
14. อติมานะ เมื่อคิดว่าตนดีกว่าใคร ก็เริ่มดูถูกผู้อื่น เริ่มพูด เริ่มเม้น เริ่มแสดงความคิดเห็นประชดประชันว่าตนดีกว่าเขา
15. มทะ หลงยึดติดอยู่กับยอดไลค์ ยอดเม้น คำชื่นชมในโลกโซเชียล เปิดอ่านคำชมทั้งวัน ปล่อยให้ใจฟูไปกับคำชมทั้งวัน คุยแต่ว่าวันนี้มีใครมาชมบ้าง พัฒนาไปสู่ความมัวเมาต่อคำสรรเสริญเยินยอ
16. ปมาทะ
ใช้เวลาอยู่ในโลกโซเชียลนานเกินไป จนไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันในชีวิตจริง ละเลยการงาน ครอบครัว สุขภาพ หมดเวลาอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์ หรือจอโทรศัพท์ ทำให้ชีวิตจริงตกต่ำลงเรื่อยๆ
ข้อคิด!!! การใช้โซเชียลเน็ตเวิร์คนั้นมีประโยชน์ก็จริง แต่หากเราหลงอยู่กับมันมากเกินไป หรือยึดติดกับมันมากเกินไป สิ่งที่เป็นประโยชน์ก็อาจกลับมาสร้างความทุกข์ให้เราได้ในภายหลัง
ทุกวันนี้มีคนจำนวนมากที่ตกเป็นทาสของโลกโซเชียล ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ทั้งคนที่มีการศึกษา คนไร้การศึกษา ทั้งคนเก่ง และคนไม่เก่ง ทั้งคนธรรมดาและคนดังต่างๆ ตราบที่เราไม่ได้ใช้มันอย่างมีสติ มันย่อมกลืนกินชีวิตของเราไปสู่โลกเสมือนจริงมากขึ้นเรื่อยๆ คนทุกวันนี้ไม่มองหน้ากันแล้ว เพราะเรามองหน้าจอกันตลอดเวลา ในหนึ่งปี เราแทบนับครั้งได้ว่ามองท้องฟ้ากี่ครั้ง แม่อยู่กับลูก นั่งมองจอ ลูกอยู่กับแม่ ก็นั่งมองจอ อ่านคำชมบนจอเสร็จ มานั่งเถียงกับคนครอบครัวต่อ ทุกวันนี้โลกเป็นอย่างนี้ ไม่อยากจะเชื่อว่ามันจะเป็นไปได้ แต่มันก็เป็นไปแล้ว
ป.ล. กิเลสทั้ง 16 ข้อนี้ นำมาจากหลักธรรมอุปกิเลส 16 ของพระพุทธเจ้า แสดงให้เห็นว่า หลักธรรมของพระพุทธเจ้า เป็นอกาลิโก ไม่จำกัดกาล เป็นสัจจะ เป็นของจริงที่นำมาสอนใจตน และสอดส่องความเป็นไปของสังคมได้ทุกยุคทุกสมัย ในบทความนี้ แม้ไม่ได้ถอดมาเหมือนซะทีเดียว แต่นำมาดัดแปลงโดยให้ความหมายเดิมยังอยู่ และเสริมเนื้อหาให้เข้ากับสิ่งที่เห็นๆ กันอยู่ในโลกโซเชียล
กิเลสทั้ง 16 ตัวนี้ เมื่อเกิดกับใครแล้ว พระพุทธเจ้าท่านเตือนไว้ว่า จะนำไปสู่ความขุ่นมัวในเบื้องต้น หากไม่พยายามสะสาง จะนำไปสู่ความชั่วช้าในรูปแบบอื่นๆ ถ้าเราไม่หลอกตัวเองจนเกินไปนัก เห็นได้ว่า ทุกวันนี้กิเลสทั้ง 16 ตัวนี้ ได้ยึดพื้นที่ทั้งหมดในโลกโซเชียลไปเรียบร้อยแล้ว!!!
เราต้องรู้จัก ทุกคนอย่าไปถือทิฎฐิมานะอย่าไปถือตัวตน ต้องหยุดตัวเอง ต้องเอาพระธรรมพระวินัย ตั้งใจฝึกตัวเองปฏิบัติตัวเอง เวลาน่ะสำคัญ เหนื่อยก็ช่างมัน มันจะชักดิ้นชักงอก็ช่างมัน เพราะธาตุขันต์มันต้องเหนื่อย นั่งไปก็ง่วงงาวหาวนอน หลับไปแล้วก็ไม่อยากตื่น เพราะไม่ปรับตัวเข้าหาธรรมะ เราอย่าไปสนใจความเหน็ดเหนื่อยความยากความลำบาก มันเป็นเครื่องมือมันเป็นข้อสอบที่จะให้ทุกท่านทุกคนเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ถ้าทุกคนไม่มีความเหน็ดเหนื่อย ความหิวความกระหาย ไม่มีแก่ไม่มีเจ็บไม่มีตาย มันก็ไม่มีข้อวัตรข้อปฏิบัติ ก็ไม่มีมรรคผลพระนิพพาน เราจะได้รู้ว่า เราเวียนว่ายตายเกิด เพราะสัญชาตญาณอวิชชาความหลงมันครอบงำจิตใจของเรา วางยาสลบเราให้เราเวียนว่ายตายเกิดหลายภพหลายชาติ
ให้ทุกท่านทุกคนลองดูสิ ปู่ย่าตายาย แต่ก่อนเขาก็เป็นแบบเรานี้แหละ เกิดมาใหม่ๆ ก็เป็นเด็กน้อย ตอนหนุ่มตอนสาวก็สวยรูปหล่อ ตามสัญชาตญาณเหมือนกัน เพราะอันนี้คือกรรมคือกฎแห่งกรรม เพราะเราเกิดมาเพื่อหยุดวัฏฏะสงสารของตัวเอง เราก็พัฒนาธุรกิจหน้าที่การงาน แก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เพราะเราเกิดมาแล้ว ต่อไปเราก็ต้องไม่ทำบาปทั้งปวง ทำแต่บุญแต่กุศล ทำใจให้มีพระนิพพาน เราต้องเอาวิปัสนามาใช้เพราะทุกอย่างมันผัสสะกับเราเกี่ยวข้องกับเรา มันเป็นอนิจจัง ถ้าเราไปยึดมันกับเรามันเป็นทุกข์น่ะ ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เราต้องภาวนาอย่างนี้ เข้าหากรรมฐาน หรือว่าพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ เราต้องทำอย่างนี้อย่าให้ความฟุ้งซ่านมันครอบงำใจของเรา เราทุกคนต้องปฏิบัติอย่างนี้แหละ ทำเหมือนๆ กัน ไอ้พวกที่บวชอาศัยวัดอย่าให้มี ให้บวชเอามรรคผลพระนิพพาน ถ้าใครมีในใจแล้วรู้ว่า เราไม่ได้เอามรรคผลพระนิพพานแล้ว ก็ปรับตัวใหม่ เพราะมันจะเป็นตัวอย่างแบบอย่างไม่ดี เราต้องกำจัดพวกที่อาศัยวัดทำมาหากิน เพราะว่าคนที่มาใหม่ พวกลูกเถ้าแก่ทั้งหลาย คิดว่าพระพวกนี้เป็นแบรนด์เนมเป็นตัวอย่างแบบอย่าง นี้ไม่ใช่ พวกนี้ทำมาหาอยู่หากินเฉยๆ ไปไม่รอดเลยมาบวชทำมาหากิน เป็นผู้เก่งด้านการสวด เป็นผู้เก่งทางศาสนพิธีเฉยๆ
การศึกษาเราก็ต้องมี ไม่มีไม่ได้ การปฏิบัติเราก็ต้องมีพร้อมๆ กัน คนเราไม่รู้ไม่เข้าใจจะเอาอะไรมาปฏิบัติ จะบวชมาเพื่อมีความสุขในการรับประเคนในการเอาของคนอื่นด้วยการเป็นโจรเป็นขโมย ไม่ใช่ของแท้ของจริง ไม่ใช่ธรรมไม่ใช่วินัย ไม่ได้ เราทุกคนต้องเน้นการประพฤติการปฏิบัติเราอย่าปล่อยให้เราไปทางใจอ่อน เรื่องการปฏิบัติเป็นเรื่องเร่งด่วนอย่างนี้ เราก็ดูตัวอย่างคนหลายๆ ประเทศในโลกนี้ เขาก็แสวงหาความดับทุกข์ในทางวัตถุในทางธุระกิจ แต่มันไปไม่ได้ เป็นมหาเศรษฐีมันก็ไปไม่ได้ เพราะมันสุขนิดเดียว เพราะมันต้องเอาทางจิตใจไปด้วย เอาอันนี้ไปด้วยพร้อมๆ กัน เราจะได้รู้จักว่า โอ้...การเรียนการศึกษา มันก็เข้าใจ การทำงานก็เพื่อเสียสละตัวตน เพื่อทำให้ถูกต้อง พูดให้ถูกต้อง คิดให้ถูกต้อง เป็นกระบวนการทำที่สุดแห่งความดับทุกข์ มันต้องทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ ทุกคนต้องเป็นเหมือนกัปตันนี้ กัปตันต้องเข้าใจแล้วก็ขับเครื่องบินไปได้ หรือขับรถยนต์ไปได้ อย่างนี้ก็เหมือนกัน ต้องรู้จุดหมายปลายทาง นำครอบครัว นำประเทศ นำพระศาสนา ทุกๆ คนไม่ต้องอาศัยคนอื่น ต้องอาศัยคนอื่นก็รู้หลักการแล้วก็เข้าสู้ภาคประฤติภาคปฏิบัติ ไม่ต้องอาศัยคนอื่น เพราะคนอื่นหายใจให้เราไม่ได้ ไปเข้าห้องน้ำห้องสุขาให้เราไม่ได้ คนอื่นเกิดแก่เจ็บตายให้เราไม่ได้
พระเก่า พระใหม่ ผู้มาบวชต้องพากันเข้าใจ เราต้องเอาพระธรรมเอาพระวินัย ที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติ เพื่อเราจะได้มาดำเนินสู่อริยมรรคมีองค์ 8 ทุกคนอย่าเอาตัวตนเป็นหลัก อย่าเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง พระเก่าก็อย่าพากันซิกเเซก พระใหม่ต้องพากันรู้ไว้ว่า เราจะซิกเเซกไม่ได้ ศีลทุกข้อ พระวินัยทุกข้อ ข้อวัตรกิจวัตรเราต้องเอามาประพฤติมาปฏิบัติ เพื่อเราจะได้เข้าสู่กระบวนการ
ที่ผ่านๆ มา พระเก่า พากันซิกเเซก พระใหม่ก็พากันปฏิบัติตาม ทำให้การมาบวช 15 วัน หรือ 3 อาทิตย์ 1เดือน 1 พรรษาอย่างนี้ มันไม่ได้ผล เพราะพระพากันซิกเเซก มีความมายาสาไถย ตามปกติน้ำมันต้องไหลสู่ที่ต่ำ ถ้าเราไม่มีเขื่อน ก็เก็บน้ำไว้ไม่ได้ ที่พวกท่านพากันมาบวช 7 วัน 15 วัน หรือ 3 เดือน หรือ ท่านบวชตลอดชีวิต ทุกคนจะพากันซิกเเซกไม่ได้ อย่าปล่อยโอกาส ปล่อยเวลาให้เราเสียหาย เพราะความใจอ่อน ปัจจุบันเนี่ยแหละ เราไม่รู้จักทุกข์ ไม่รู้จักเหตุเกิดทุกข์ ปล่อยให้ตัวเองยินดีในรูปเสียงกลิ่นรสลาภยศสรรเสริญ นี้ถือว่า ไม่มีการภาวนา วิปัสสนาเลย ท่านไม่ได้ เจริญสติสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อมอะไร ไม่ตรงตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เมื่อรู้เกิดขึ้น เราไม่ได้พิจารณาว่ารู้ไม่เที่ยงเลย อะไรเลย เพราะ ไม่ภาวนาสู่พระไตรลักษณ์
นี้คือการปฏิบัติของเรา ศีลต้องมารวมตรงนี้ สมาธิก็ต้องมารวมตรงนี้ ปัญญาก็ต้องมารวมตรงนี้ เอาศีลสมาธิปัญญามารวมกันเป็นหนึ่ง เพื่อจัดการ เพื่อปฏิบัติธรรม ถ้าอย่างนั้น เรียกว่า เราพากันมาบวชเเต่ร่างกาย เเต่จิตใจเราไม่ได้บวช เราไม่ได้ปฏิบัติ เราบวชเเล้วก็ไม่ได้ผลนะ เพราะว่าไม่มีการปฏิบัติเลย ค่อยๆ ตกต่ำไปเรื่อย ไปเรื่อย เราว่ายน้ำอย่างนี้ ถ้าปล่อยไปตามธรรมชาติ น้ำก็พัดเราไปเรื่อย ไม่รู้เราตกไปตามน้ำหลายร้อยหลายพันหลายหมื่นกิโล เพราะเรามัวเเต่เพลิดเพลินกับสายน้ำ เราก็ต้องประพฤติปฏิบัติ ต้องดูตัวอย่างแบบอย่าง เมื่อถ้าปล่อยให้ตัวเองคิด เราก็ไม่ได้มีการบวช ไม่มีการอบรมบ่มอินทรีย์
ส่วนใหญ่เมืองไทยหรือหลายประเทศ เสียเพราะผู้ที่มาบวชไม่ได้เอามรรคผลนิพพาน ที่มาเป็นเเก็งค์ประจำวัดทุกวัดในเมืองไทย พวกที่บวชนาน ที่ไม่ได้เอามรรคผลนิพพาน เป็นนักปกครอง วัดเเต่ละวัดมันถึงเเก้ปัญหาไม่ได้ เพราะว่าเป็นเเก็งค์ใหญ่ เป็นโจรใหญ่ วัดใหญ่ๆ ในจังหวัด ในอำเภอ ในกรุงเทพ มันเป็นการทำลายความมั่นคงของชาติ ของศาสนา พระมหากษัตริย์ บรรพบุรุพที่เราทำมาดีๆ เราตามใจตามอารมณ์ตัวเอง เราไม่ได้ประพฤติปฏิบัติ ทำลายความมั่นคงของชาติ ของศาสนา ของมหากษัตริย์ อันนี้ ไม่ถูก ถ้าเราปล่อยโอกาสปล่อยเวลาผ่านไปอย่างนั้นไม่ได้
บางคนตั้งใจเพื่อจะเอามรรคผลนิพพาน เพราะความใจอ่อน มาเกี่ยวข้องกับพวกคนพาล พวกไม่เอามรรคผลนิพพาน ก็เลยกลายพันธุ์ ที่เค้านำพระธรรมเผยเเพร่ไปทางยุโรป ก็เอาเป็นบางส่วน บางส่วนไม่เอา เพราะว่า ไปใจอ่อน เพราะเอาใจหมู่เพื่อน เอาใจพวกคนรวย พวกคนมีสตางค์ พระกรรมฐาน ทุกสายเสียหาย ล้มละลาย เพราะพระผู้ใหญ่ที่ฝึกไป นึกว่าเยี่ยมยอดเเล้ว มันไม่เเข็งเเรง ไม่เเข็งเเกร่ง เพราะมันยังเป็นโลกียะอยู่ยังเสื่อมอยู่ มันทำให้มรรคผลนิพพานหายไป ไปฝึกไปอะไรก็ไม่ได้ เพราะผู้ประพฤติปฏิบัติจะพากันเเต่ไปเเก้คนอื่น นึกว่าจะค่อยๆ ประคับประคองไป ไปโปรดเค้า สุดท้ายเค้าก็โปรดเราทุกคน ที่ตั้งใจเอาพระนิพพาน สุดท้ายได้เป็นทิด เป็นหนาน เป็นหลวง
เราทุกคนต้องปรับใจเข้าหาข้อวัตรปฏิบัติ อย่าพากันมาซิกเเซกไป ซิกเเซกมา ต้องปรับตัวเองเข้าหาข้อวัตรกิจวัตรเข้าหาศีลเน้นที่ปัจจุบันให้มีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ
ถ้าเราทำตามพระพุทธเจ้าด้วยไม่คิดในสิ่งที่เรากำลังอยากน่ะ ๗ วัน ใจของเรามันก็จะเย็น อย่างกลางก็ ๗ เดือน หรืออย่างมาก ก็ไม่เกิน ๗ ปีน่ะ
ทุกท่านทุกคนต้องได้บรรลุมรรคผลนิพพานกันหมดทุกคน ถ้าผู้นั้นตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติ แต่ถ้าเรารู้เฉยๆ เราไม่นำมาประพฤติปฏิบัติก็ถือว่าเป็น 'โมฆบุรุษ' เป็นบุรุษที่เปล่าประโยชน์ "ให้ทุกท่านทุกคนกลับมาดูตัวเองนะ ว่าเราเป็น...โมฆบุรุษ หรือว่าเป็นโมฆสตรีมั้ย...?"
ถ้าเราไม่ตั้งอกตั้งใจปฏิบัติน่ะ ก็ให้เรารู้เลยว่า เราเป็นโมฆะ ถึงจะอายุเกิดนาน...มันก็ไม่มีประโยชน์ ถึงจะบวชนาน...ก็ไม่มีประโยชน์ ถึงจะรู้มาก...ก็ไม่มีประโยชน์ บริโภคปัจจัยสี่ก็มีแต่บาปแต่กรรม พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า... เหมือนกับบุรุษผู้หนึ่งที่กำลังบริโภคเหล็กแดงๆ น่ะ การที่เราไม่ตั้งใจประพฤติปฏิบัตินี้มันก็ยิ่งกว่าบริโภคเหล็กแดงๆ ซะอีก
บวชนานไม่นานไม่สำคัญเท่ากับการที่ได้บวชมาแล้ว มีเจตนาตั้งใจในการปฏิบัติอย่างจริงจังหรือไม่ พระบวชนานถ้าขี้เกียจขี้คร้านก็สู้พระใหม่ๆ ที่บวชระยะสั้นแต่ปฏิบัติจริงๆ ไม่ได้ โย จ วสฺสสตํ ชีเว กุสีโต หีนวีริโย เอกาหํ ชีวิตํ เสยฺโย วีริยํ อารภโต ทฬฺหํ ฯ ผู้มีความเพียรมั่นคง มีชีวิตอยู่วันเดียว ประเสริฐกว่าชีวิตตั้งร้อยปี ของผู้เกียจคร้าน ไร้ความเพียร
ดังที่พระพุทธองค์ตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย ตราบใดที่เธอไม่หมกมุ่นกับการงานมากเกินไป ไม่พอใจด้วยการคุยฟุ้งซ่าน ไม่ชอบในการนอนมากเกินควร ไม่ยินดีในการคลุกคลีด้วยหมู่คณะ ไม่เป็นผู้ปรารถนาลามก ไม่ตกอยู่ใต้อำนาจแห่งความปรารถนาชั่ว ไม่คบมิตรเลว ไม่หยุดความเพียรพยายามเพื่อบรรลุคุณธรรมสูงๆ ขึ้นไปแล้ว ตราบนั้น พวกเธอจะไม่มีความเสื่อมเลย จะมีแต่ความเจริญโดยส่วนเดียว เพราะฉะนั้นเราจึงต้องเอาพระธรรมวินัยเป็นหลัก เป็นใหญ่ เป็นที่พึ่ง เรียกว่าเป็น ธรรมาธิปไตย เราต้องไม่ประพฤติย่อหย่อน ไม่ลูบคลำในศีล ในข้อวัตรปฏิบัติ ไม่ลังเลสงสัยในพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ คลายความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนของตน ชีวิตของเราจึงจะเป็นชีวิตที่ไม่สูญเปล่า ให้สมกับได้เป็นมนุษย์ผู้ที่ประเสริฐเกิดมาเพื่อพระนิพพานอย่างแท้จริง
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee