แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันเสาร์ที่ ๑๕ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง คุณของพระพุทธเจ้า ตอนที่ ๔๑ หากละเลยการพัฒนาปัญญาเสียแล้ว จิตก็ย่อมไม่มีความเป็นกุศล ชีวิตจึงไร้ความหมาย
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
เราทุกคนที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะสงสาร ทุกชาติ ทุกศาสนา ทุกท่านทุกคนต้องรู้สภาวะธรรมความเป็นจริงจากของจริง ที่เรียกว่าเหตุว่าผล เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงจะมี ที่พระพุทธเจ้าตรัสเรียกว่า อริยะสัจ ๔ ที่ทุกท่านทุกคนต้องมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ในชีวิตประจำวันของเราทุกคน เราอย่าให้อิทธิพลอวิชชามันครองโลก ครองวัฏฏะสงสาร เราทุกคนต้องมีสติสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อม มีความสุขในการดำเนินชีวิตที่ประเสริฐ เพราะทุกคนประเสริฐอยู่แล้ว มันยอดเยี่ยมอยู่แล้ว มันซุปเปอร์สตาร์อยู่แล้ว ต้องพากันมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ในชีวิตประจำวันของเรา เราจะได้เข้าถึงความเป็นพระ
พระก็คือพระศาสนา พระศาสนาก็คือธรรมะ ธรรมะคือศาสนา ชีวิตของหมู่มวลมนุษย์มันต้องไม่เป็นอวิชชาไม่เป็นความหลง ต้องมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง หมู่มวลมนุษย์มันมีความสุขอยู่แล้ว มันมีหัวใจติดแอร์อยู่แล้ว มีความอบอุ่นอยู่แล้ว มันต้องมีสติสัมปชัญญะที่เรียกว่าสติปัฎฐานทั้ง ๔ ทุกชาติทุกศาสนาต้องพากันทำอย่างนี้ๆ เราจะเอาประชาธิปไตย เอาส่วนใหญ่ส่วนรวมที่มีความหลงเหมือนกัน ที่ออกกฎหมายบ้านเมือง ที่ทำปาณาติบาต ทำโรงฆ่าสัตว์ หรือสร้างโรงเหล้าโรงเบียร์ โรงไวน์ บ่อนคาสิโน อันนั้นมันเป็นประชาธิปไตยก็จริง มันไม่ใช่ธรรมนูญ มันไม่ใช่ความถูกต้อง ไม่ใช่ความเป็นธรรม ความยุติธรรม มันเป็นความหลงของหมู่มวลมนุษย์ มันเป็นได้แต่เพียงคน ทุกคนทุกท่านต้องเข้าใจธรรมะ มีความสุขในการเสียสละ
ความคิดของเราอย่างนี้นะ เราไม่คิดว่ามันอันตรายไม่อันตราย มันยิ่งกว่ายาสลบอีก ยาสลบมันเล่นงานให้เราผ่าตัด ผ่าตัดก็แค่ 10 ชั่วโมง แต่ความหลงความไม่เข้าใจ มันเล่นงานเราตั้งหลายภพหลายชาติ เหมือนความคิดอย่างนนี้ เราคิดหลายครั้งเราถึงได้ผัวได้เมียได้ภรรยา เราไม่รู้หรอก กว่าจะรู้น่ะ 9-10 เดือน ก็ออกลูกมาเป็นเด็กน้อย บาปกรรมมันพึ่งเห็นผล เราคิดอย่างนี้ๆ เราไม่ควบคุมรายจ่ายทางเศษรฐกิจ กว่าเราจะรู้เราก็มีหนี้มีสินหลายปีแล้ว คนเราคิดหลายครั้งๆ ความเป็นมิจฉาทิฏฐิ มันสะสมให้เราเป็นโรคจิต โรคประสาท เป็นโรคซึมเศร้า โรคนอนไม่หลับ มันเล่นงานเราอย่างนี้แหละ เราต้องกลับมานะ กลับมามีสติสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อม ทุกท่านทุกคนจะได้เข้าถึงความเป็นพระศาสนา ความเป็นธรรมความยุติธรรม
มันเป็นธรรมที่ไหนมันเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เพราะสังขารทั้งหลายทั้งปวงที่มันเป็นร่างกาย เป็นขันธ์ทั้ง 5 หรือว่าเป็นอายตนะทั้ง 6 ที่เกิดมามันเป็นกรรมเก่า ที่เราทำงานทำการ เรียนหนังสืออะไรเนี่ย เพื่อบรรเทาทุกข์ อย่าหลงในทุกข์ไปเรื่อง อย่าให้มหาอำนาจมหาอวิชชามหาความหลงมันครอบงำสัตว์โลกที่ไม่รู้ความเป็นจริง รู้สัจธรรม
ทุกท่านทุกคนน่ะ ความแซบความลำ ความหรอย มันเป็นเหยื่อ ค่าจ้างรางวัลไปในตัว เราต้องรู้จักทุกข์ ทุกท่านนทุกคนต้องรู้จักอย่างนี้ เราเห็นคุณค่าเห็นสิ่งที่ประเสริฐ รู้จักการตัวเองในปัจจุบัน สมาธิต้องเข้มแข็ง สัมมาปัญญา ต้องมีปัญญาต้องเสียสละ จัดการตัวเองในปัจจุบัน เราต้องเป็นกัปตันขับเครื่องบิน ขับเคลื่อนตัวเองออกจากวัฏฏะสงสาร ไม่มีใครจะมาปฏิบัติให้เราได้ ทุกท่านทุกคนต้องปรับตัวเข้าหาเวลา เข้าหาธรรมะ อย่าโอ้เอ้ชักช้า ให้มันมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ เหมือนพระพุทธเจ้า เหมือนพระอรหันต์นี้ ท่านบริโภคข้าว บริโภคอาหารเหมือนกัน แต่ท่านมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ให้เข้าใจอย่างนี้แหละ เราจะได้เข้าถึงความเป็นพระ เข้าถึงพระศาสนา เรามีแบรนด์หมู่มวลมนุษย์เป็นได้แต่เพียงคน มีแบรนด์เนมเป็นตำรวจ ทหาร ตำรวจ ข้าราชการ พ่อค้า ประชาชน แบรนด์เนมไม่ใช่ของจริง เรามีแบรนด์เนมทั้งประเทศ มันทำลายทำความเสียหายของทรัพยากรมนุษย์ มันทำเราเสียหายอย่างนี้แหละ ให้เราเข้าใจ มันไปไม่ได้ มันไปไม่ถูกมันเดินทางผิด เขาเรียกว่ามิจฉาทิฏฐิมันมีความเห็นผิด เข้าใจผิด เรียกว่าไม่รู้อริยะสัจ ๔
หมู่มวลมนุษย์พระพุทธเจ้าให้เราเข้าใจเราเป็นผู้ที่ประเสริฐ เราอย่าไปว่า โอ้...ทำอย่างนี้ไม่ได้ตามใจตามอารมณ์มันเป็นทุกข์ อย่างนี้แหละคือเราไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ ท้อใจ นึกว่าเรามีความทุกข์ในการทำงาน โอ้... อย่างนี้เราไม่รู้จักความดับทุกข์ การงานมันคือความสุขคือการที่เราเสียสละ ธรรมใดเป็นไปเพื่อความขี้เกียจขี้คร้านติดสุขติดสบายมันไม่ใช่คำสอน มันเป็นความหลง เราต้องรู้จักพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ว่า โอ้... เป็นสิ่งที่ประเสริฐมาก เป็นการหยุดกรรมหยุดเวรหยุดวัฏฏะสงสาร มันไม่ใช่กฎหมายบ้านเมือง มันเป็นยานที่พาเราออกจากวัฏฏะสงสาร ถ้างั้นเราก็เป็นได้แต่แบรนด์เนม มันเสียหาย
๑. คนนรก (นนุสสเนรยิโก) ได้แก่คนที่ทุกข์ทรมานทางใจ หาความสงบสุขมิได้ ความร้อนเป็นสัญลักษณ์ของนรก คนที่มีความร้อนในใจแสดงว่ากำลังตกนรก เสวยผลของความชั่วที่ตัวได้กระทำไว้
กวีท่านหนึ่งบรรยายคนตกนรกทางใจไว้กินใจมาก ขอคัดลอกมาดังนี้
คฤหาสน์หลังนั้น ดังนันทวันสวรรค์สถาน
แต่เจ้าของอาคาร ทรมานร้อนเร่าเน่าในใจ
กลืนข้าวดั่งกลืนอิฐ พิษบาปปลุกแลบแสบไส้
นั่งเบนซ์คันโก้ใหญ่ ดังอยู่ในกองไฟอเวจี
นั่นไหนจะเป็นสุข นอนไหนจะไม่ทุกข์แทบดิ้น
สนิมเกาะหัวใจกิน ยินเถอะเสียงกู่ของหมู่มาร
๒. คนเปรต (มนุสสเปโต) เปรตคือสัตว์ชนิดหนึ่งที่หิวโหยทรมานเพราะบาปกรรมที่ทำไว้ ต้องรอคอยผลบุญที่คนอุทิศให้ คนเปรตก็คือคนที่ไม่รู้จักทำมาหากิน ได้แต่แบมือขอคนอื่นกิน ลูกเศรษฐีไม่เอาถ่านก็เรียกเปรต คนยากจนที่เที่ยวขอทานเขากินก็เรียกว่าเปรต คนที่มีกินมากมาย แต่ไม่รู้จักอิ่ม ไม่รู้จักพอ หิวตลอดเวลาก็เรียกว่าเปรต
๓. คนเดรัจฉาน (มนุสสติรัจโน) คือคนที่มีความคิดแค่เดรัจฉานนั่นแหละครับ ท่านเคยเลี้ยงหมาไหม หมานั้นเมื่อมันอิ่มแล้วก็นอน เมื่อมีคนหรือสัตว์อื่นเดินผ่าน มันจะเห่าขู่ แสดงว่ามันกลัว ถ้าไม่กลัว มันจะขู่ทำไม พออาหารย่อยดีแล้วก็วิ่งหยอกล้อเพื่อนฝูง หรือเที่ยวสัดเที่ยวเสพตัวเมียตามประสาหมา หรือบรรดาหมาที่หยอกล้อกันฉันมิตรนั้น ใครอยากเห็นมันกัดกันไม่ยาก ลองโยนกระดูกไปสักชิ้น มันจะกัดกันทันที
เดรัจฉานมีความคิดแค่ “กิน เกียจคร้าน กลัว และกาม”
๔. คนมนุษย์ (มนุสสมนุโส) หมายถึงคนที่มีจิตใจสูง มีศีลห้าธรรมห้าครบถ้วน ศีลห้าธรรมห้าไม่จำเป็นต้องแจกแจงว่ามีอะไรครับ เราเรียนมาตั้งแต่โรงเรียนประถม-มัธยมแล้ว ใครมีครบบริบูรณ์ก็เรียกว่าเป็นคนมีจิตใจสูงหรือมนุษย์ ถ้าทำไม่ได้หรือได้กะพร่องกะแพร่งก็อย่าเที่ยวคุยว่าข้าเป็นมนุษย์ ความเป็นมนุษย์มิได้เป็นง่ายๆ ดังที่คิดดอก
พระพุทธองค์ตรัสว่า “เกิดเป็นมนุษย์นี้แสนยากเย็น” ที่เห็นคอหยักๆ นั้นก็ “สักแต่คน” เท่านั้น มิใช่ “มนุษย์” ในความหมายของท่านดอกครับ
ท่านที่เคยบวชพระคงจำได้ว่าขณะที่เรากล่าวขอบวชนั้น พระกรรมวาจาจารย์ (พระคู่สวด) จะถามท่านคำหนึ่งในหลายคำถามว่า “มนุสโสสิ” (เธอเป็นมนุษย์หรือเปล่า) ถ้าเราไม่ฉุกคิดก็จะสงสัยว่า เอ๊ะ! ก็เป็นมนุษย์ เห็นๆ อยู่ มิใช่หมาแมวที่ไหน ทำไมต้องถาม
นี่แหละ คือเงื่อนงำที่ซ่อนอยู่ในพิธีกรรมทางศาสนา เพียงมองเห็นคอหยักๆ สักแต่ว่าคน ก็ไม่แน่ว่าจะเป็น “มนุษย์” (ผู้มีจิตใจสูง) ขืนบวชเปรต บวชสัตว์นรก เดี๋ยวพระศาสนาจะวุ่นวาย
๕. คนเทวดา (มนุสเทโว) หมายถึงคนที่มีคุณธรรมสองประการคือ หิริ (อายชั่ว)โอตตัปปะ (กลัวบาป) หิริทำให้คนหน้าบาง ไม่กล้าทำชั่วทั้งต่อหน้าและลับหลัง โอตตัปปะทำให้คนกลัวบาปกรรม จะทำชั่วก็ไม่กล้า เพราะนึกถึงไฟนรก คนชนิดนี้แหละ เรียกว่ามีคุณธรรมของเทวดา
๖. มนุษย์พรหม (มนุสสพรหมา) ท้าวมหาพรหม หัวใจเช่นใดมีพรหมวิหาร มีพรหมวิหารธรรมเป็นเครื่องอยู่ หัวใจว่างไม่มีอะไร เหมือนกะอากาศนี้แหละ ว่างเปล่าหมด เหลือแต่รูปจิต อรูปจิต ดับขันธ์ไปเป็นพรหม
๗. มนุษย์อริยะ มีหิริมีโอตตัปปะ มีสุกกะธรรม ธรรมะที่ขาวสะอาด ทางกาย ทางวาจา ทางใจ ผู้ถึงกระแสแห่งพระนิพพาน ดั่งเช่นพระอริยสาวกทั้งหลาย
๘. มนุษย์อรหันต์ ร่างกายเป็นมนุษย์ หัวใจเป็นพระอรหันต์ คือละกิเลส ละตัณหา กิเลสคือใจเศร้าหมอง ตัณหาคือใจทะเยอทะยานดิ้นรนกระวนกระวาย ท่านละกิเลสตัณหา ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ อวิชชา ตัณหาอุปาทาน ภพชาติ ละขาดในสันดาน ไม่มีสิ่งเหล่านี้ในจิตใจ เมื่อดับขันธ์ไปก็เข้าสู่นิพพาน ดับทุกข์ในวัฏสงสาร ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก
๙. มนุสสพุทโธ ร่างกายเป็นมนุษย์ หัวใจเป็นพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็เป็นมนุษย์เหมือนกับพวกเรานี้ ว่าเรื่องภพเรื่องชาติของท่าน บิดามารดาของท่านก็มี บุตรภรรยาท่านก็มี ท่านเป็นมนุษย์ครือเรานี่แหละ แต่ท่านประพฤติปฏิบัติ ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง เป็นสยัมภู ตรัสรู้ด้วยพระองค์เอง ไม่มีบุคคลผู้ใดหรือใครแนะนำพร่ำสอน รู้ด้วยตนเองเป็นสัมมาสัมพุทธะ รู้แจ้งแทงตลอดหมดซึ่งสารพัดเญยยะธรรมทั้งหลาย ไม่มีที่ปกปิด
ลำดับตำแหน่งสูงสุดในจักรวาลที่น่าสนใจ มีการวิ่งเต้นตำแหน่งนี้กันน้อย และกำลังเปิดรับสมัครอยู่เป็นจำนวนมาก ดังนี้
๑. ตำแหน่งพระพุทธเจ้า ๒. ตำแหน่งพระปัจเจกพุทธเจ้า
๓. ตำแหน่งพระอัครสาวก ๔. ตำแหน่งพระอริยสาวก ---พระอรหันต์ ---พระอนาคามี ---พระสกทาคามี---พระโสดาบัน
๕. ตำแหน่งพระเจ้าจักรพรรดิ ๖. ตำแหน่งพระพรหม
๗. ตำแหน่งพระอินทร์ ๘. ตำแหน่งท้าวจตุโลกบาล
๙. ตำแหน่งเทวดา ๑๐. ตำแหน่งพระมหากษัตริย์
๑๑. ตำแหน่งประธานาธิบดี ๑๒. ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
๑๓. ตำแหน่งบัณฑิตนักปราชญ์ ๑๔. ตำแหน่งเศรษฐี
๑๕. ตำแหน่งกัลยาณชน ๑๖. ตำแหน่งสามัญชน
ทุกท่านทุกคนต้องพากันเสียสละ พิจารณาทุกสิ่งทุกอย่างเข้าสู่พระไตรลักษณ์นะ ทำไปปฏิบัติไป ทุกท่านทุกคนที่ว่ารักตน ต้องรักตนให้ถูกต้องนะ ปฏิบัติธรรมะเพื่อมรรคผล พระนิพพานถึงเรียกว่ารักตน ถ้าไม่ประพฤติปฏิบัติธรรมะเรียกว่าไม่รักตนนะ เป็นคนประทุษร้ายตนนะ เราเป็นคนมีศีล มีธรรม มีพระนิพพานนะ เขาถึงจะเคารพนับถือ ตัวเองได้ ไม่อย่างนั้น จะเคารพนับถือตัวเองไม่ได้ เราเป็นพ่อเป็นแม่เป็นพระภิกษุ ถ้าเราไม่มีศีล ใครจะมาเคารพนับถือ เพียงแต่เขาสงสารเราเฉยๆ นะ
แม้แต่ตัวเรายังไม่สงสารเรา ปล่อยให้ตัวเองทำบาป ทำกรรม ปล่อยให้ตัวเองมีเซ็กซ์ทางอารมณ์ มีเซ็กซ์ทางความคิด บริโภคกาม กิน เกียรติ ลาภ ยศ สรรเสริญ เรากำลังพากันหลงขยะนะ
ในสมัยหนึ่งมีสองสามีภรรยาต้องการจะเดินทางไปเยี่ยมญาติในต่างหมู่บ้าน จึงออกจากบ้านเดินทางไป พวกเขามิได้นำเสบียงกรังติดตัวไปเพราะคิดว่า จะเดินทางไปถึงในเวลาเช้า ในระหว่างทางพบทางสองแพร่ง จึงเดินไปทางแยกด้านซ้ายมือ พวกเขาเดินทางผิดอย่างนี้จึงหลงทางอยู่ในป่า ทั้งหิวกระหาย ทั้งเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า สักครู่หนึ่งพบต้นไม้จึงไปนั่งพัก บังเอิญผลไม้หล่นมา พวกเขาไม่รู้ว่าต้นไม้นี้ชื่ออะไร ผลไม้เป็นอย่างไร คิดว่าจะเอาผลไม้เป็นเสบียงในระหว่างทาง พอพักหายเมื่อยแล้วจึงออกเดินทางต่อ คนหนึ่งเอาผลไม้ทูนหัวเดินไป คนหนึ่งแบกขึ้นบ่าไป เมื่อเดินสักระยะหนึ่งก็หิว จึงทุบผ่าผลไม้ แต่พบเพียงเปลือกหนา ไม่มีเนื้อหรือน้ำเลย ยิ่งเดินไปเรื่อยๆ แดดร้อนมากขึ้น พวกเขาเห็นพยับแดดก็สำคัญว่าเป็นน้ำ เมื่อวิ่งไปหาก็ไม่พบอะไร ตกค่ำลงได้ยินเสียงคำรามพวกเขาไม่ทราบว่าเป็นสัตว์อะไร ก็พบว่าเป็นเสือร้ายในที่สุดทั้งสองคนถูกเสือกิน ไม่สามารถเดินทางไปถึงจุดหมายได้สำเร็จ
ผู้ที่เดินทางอยู่ในสังสารวัฏบางคนก็เหมือนกับสามีภรรยาคู่นี้ คือ มิได้สะสมเสบียงคือทานในการเดินทางไกลอย่างเพียงพอ และเดินทางผิดที่เหมือนกับการไม่ประพฤติศีลอย่างหมดจด การไปพักใต้ต้นไม้ที่ไม่รู้จักชื่อ ก็เหมือนการเกิดในภพที่ตนเองไม่รู้จัก ไม่รู้คุณค่าของภพที่สั่งสมบารมีได้ ผลไม้ที่มีแต่เปลือกที่คู่สามีภรรยาทั้งแบกทั้งหามเป็นเวลานาน เหมือนทรัพย์สมบัติและเกียรติคุณที่ชาวโลกยกย่องให้ความสำคัญ เมื่อถึงเวลาใกล้ตายจึงรู้ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แก่นสารในชีวิตของเรา เพราะติดตามไปสู่ภพหน้าไม่ได้ ส่วนการพบกับเสือร้ายเหมือนกับการตกไปในอบายภูมิอันได้แก่ นรก เปรต อสุรกาย และสัตว์ดิรัจฉาน ได้รับความทุกข์ทรมานในภพเหล่านั้นเพราะการไม่ให้ทาน ไม่รักษาศีล และสำคัญสิ่งที่ไม่มีแก่นสารว่ามีแก่นสาร
“ตราบใดที่มนุษย์ยังวิ่งวุ่นแสวงหาความสุขจากที่อื่น เขาจะไม่พบความสุขที่แท้จริงเลย มนุษย์ได้สรรค์สร้างสิ่งต่างๆ ขึ้นเพื่อล่อให้ตัวเองวิ่งตาม แต่ก็ตามไม่เคยทัน การแสวงหาความสุขโดยปล่อยใจให้ไหลเลื่อนไปตามอารมณ์ที่ปรารถนานั้น เป็นการลงทุนที่มีผลไม่คุ้มเหนื่อย เหมือนบุคคลลงทุนวิดน้ำในบึงใหญ่เพื่อต้องการปลาเล็กๆ เพียงตัวเดียว มนุษย์ส่วนใหญ่มัววุ่นวายอยู่กับเรื่องกาม เรื่องกิน และเรื่องเกียรติจนลืมนึกถึงสิ่งหนึ่ง ซึ่งสามารถให้ความสุขแก่ตนได้ทุกเวลา สิ่งนั้นคือ ดวงจิตที่ผ่องแผ้ว เรื่องกามเป็นเรื่องที่ต้องดิ้นรน เรื่องกินเป็นที่ต้องแสวงหา และเรื่องเกียรติเป็นเรื่องที่ต้องแบกไว้ เมื่อมีเกียรติมากขึ้นภาระเป็นจะต้องแบกเกียรติ เป็นเรื่องใหญ่ยิ่งของมนุษย์ผู้หลงว่าตนเจริญแล้ว ในหมู่ชนที่เพ่งมองเห็นแต่ความเจริญทางด้านวัตถุนั้น จิตใจของเขาเร่าร้อนอยู่ตลอดเวลาไม่เคยประสบความสงบเย็นเลย เขายินดีที่จะมอบตัวให้จมอยู่ในคาวของโลกอย่างหลับหูหลับตา เขาพากันบ่นว่าหนักและเหน็ดเหนื่อย พร้อมๆ กันนั้นเขาได้แบกก้อนหินวิ่งไปบนถนนแห่งชีวิตอย่างไม่รู้จักวาง
ด้วยอาการดังกล่าวนี้ โลกจึงเป็นเสมือนระงมอยู่ด้วยพิษไข้อันเรื้อรังตลอดเวลา ภายในอาคารที่มหึมาประดุจปราสาทแห่งกษัตริย์ มีลมพัดเย็นสบาย แต่สถานที่เหล่านั้นมักบรรจุเต็มไปด้วยคนซึ่งมีจิตใจเร่าร้อนเป็นไฟอยู่เป็นอันมาก ภาวะอย่างนั้นจะมีความสุขสู้ผู้มีใจสงบอยู่โคนไม้ได้อย่างไร
การแย่งกันเป็นใหญ่เป็นโตนั้น ในที่สุดทุกคนก็รู้เองว่าเหมือนแย่งกันเข้าไปกอดกองไฟ มีแต่ความรุ่มร้อนกระวนกระวาย เสนาบดีดื่มน้ำด้วยภาชนะทองคำ กับคนจนๆ ดื่มน้ำด้วยภาชนะที่ทำด้วยกะลามะพร้าว เมื่อมีความพอใจย่อมมีความสุขเท่ากัน นี่เป็นข้อยืนยันว่า ความสุขนั้นอยู่ที่ความรู้สึกทางใจเป็นสำคัญ แน่นอนทีเดียวคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตนั้นมิใช่คนใหญ่คนโต แต่...เป็นคนที่รู้สึกว่าชีวิตของตนมีความสุข สงบเยือกเย็นปราศจากความเร่าร้อนกระวนกระวาย ลองเลือกดูเถิดจะเอาอย่างไหน คือคนพวกหนึ่งต่ำต้อยกว่าแต่มีความสุขกว่ามาก อีกพวกหนึ่งยิ่งใหญ่กว่าแต่มีความสุขน้อยกว่า
ต้องเลือกเอาประการแรก คือ ต่ำต้อยกว่า แต่มีความสุขมากกว่า
ลาภและยศนั้นเป็นเหยื่อของโลกที่น้อยคนนักจะสละและวางได้ หรือได้แล้วจะไม่เมา จึงมีเรื่องแย่งลาภแย่งยศกันอยู่เสมอ เหมือนปลาที่แย่งเหยื่อกันกิน แต่หารู้ไม่ว่าเหยื่อนั้นมีเบ็ดเกี่ยวอยู่ด้วย หรือเหมือนไก่ที่แย่งไส้เดือนกันแล้วจิกตีกัน ทำลายกันจนพินาศกันไปทั้งสองฝ่าย น่าสังเวชสลดจิตยิ่งนัก ถ้ามนุษย์ในโลกนี้ลดความโลภลง มีการเผื่อแผ่เจือจานโอบอ้อมอารี ถ้าเขาลดโทสะลงมีความเห็นอกเห็นใจกัน มีเมตตากรุณาต่อกัน และลดโมหะลง ไม่หลงงมงาย ใช้เหตุผลในการตัดสินปัญหาและดำเนินชีวิต โลกนี้จะน่าอยู่อีกมาก แต่ช่างเขาเถิด หน้าที่โดยตรงและเร่งด่วนของเราคือ ลดความโลภ ความโกรธ และความหลงของเราเองให้น้อยลง แล้วจะประสบความสุขความเยือกเย็นมากขึ้นเหมือนคนลดไข้ได้มากเท่าใด ความสบายกายก็มีขึ้นมากเท่านั้น”
จากหนังสือพระอานนท์พุทธอนุชา
ถ้าตัวเรายังไม่สงสารเรา ปล่อยให้ตัวเองทำบาป ทำกรรม ปล่อยให้ตัวเองมีเซ็กซ์ทางอารมณ์ มีเซ็กซ์ทางความคิด บริโภคกาม กิน เกียรติ ลาภ ยศ สรรเสริญ เรากำลังพากันหลงขยะนะ ถ้ามันตายแล้ว เมื่อมันหมดลมหายใจแล้ว เหมือนคุณแม่ชียนต์มันทำอะไรไม่ได้แล้ว คนเราหน่ะ ชีวิตมันไม่สายนะ ถ้าเรามีความเห็นถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ในปัจจุบัน ถึงจะแก่แล้วก็ไม่สาย ถึงจะเกือบหมดลมหายใจก็ไม่สาย เพราะชีวิตของเรามันอยู่ที่ปัจจุบัน ถึงเราจะตื่นแต่เช้า แต่ใจของเราหลง เขาก็เรียกว่า ใจของเราสายนะ
บางคนเสียอก เสียใจปล่อยชีวิตไปจนแก่ ไม่ต้องเสียใจ มันอยู่ที่ปัจจุบัน ถ้าเราเอาศีล เอาธรรม เอาคุณธรรมด้วยใจ ด้วยเจตนาอย่างนี้ ในโลกนี้ไม่มีใครว่าให้เรา พระพุทธเจ้าก็ไม่ว่าให้เรา พระอรหันต์ก็ไม่ว่าให้เรา ประชาชนทุกหมู่เหล่าก็ไม่ว่าให้เรา เพราะเราได้เสียสละแล้วซึ่งนิติบุคคล อัตตาตัวตน ชีวิตของเราถึงจะเป็นชีวิตที่มีคุณค่า ให้ทุกท่านทุกคนพากันเห็นภัยในวัฏฏะสงสารนะ ถ้าเราไม่เห็นภัยในวัฏฏะสงสาร ใครเหล่าจะมาช่วยเราได้
เราไม่ต้องกลัวอะไร เพราะคนเราถ้าคิดดีๆ ก็ไม่มีใครว่าหรอก ถ้าเสียสละดีๆ ขยันดีๆรับผิดชอบดีๆ มีความสุขในการเสียสละ คนเราต้องทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ให้สง่างาม คนเราตายแล้วอะไรก็นำติดตัวไปไม่ได้ ถ้าไม่ทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ก็ไม่ได้หรอก ถึงจะบริบูรณ์ด้วยโภคทรัพย์ และยศตำแหน่งในสังคม หากละเลย “การพัฒนาปัญญา” เสียแล้ว จิตก็ย่อมไม่มีความเป็นกุศล ชีวิตจึงไร้ความหมาย ทิ้งโอกาสล้ำค่าที่ “ได้เกิดมาเป็นมนุษย์” ไปอย่างน่าเสียดาย ยามหลับตาตาย สิ่งทั้งหลายก็หาติดตามไปได้ไม่...
เราทำงานต้องมีความสุขในการทำงาน เพราะว่าเราต้องอยู่กับอิริยาบถทั้ง สาม ยืน เดิน นั่ง เกือบ 20 ชั่วโมง เพราะฉะนั้นต้องมีความสุขในการทำงาน ในการเสียสละ อีก 6 ชั่วโมงเป็นเวลาพักผ่อน ถึงเวลานอนก็ต้องนอน อย่าไปคอร์รัปชั่นเวลา ต้องรู้จักว่าเราต้องเสียสละ ถ้าเราไม่เสียสละยิ่งเเก่ก็ยิ่งทุกข์ เพราะคนเเก่สุขภาพก็ย่อมต้องเปลี่ยนเเปลง เเม้มันจะทุกข์กับร่างกาย จะทุกข์กับลูกกับหลาน ถ้าไม่ฝึกใจ ให้เข้าถึงธรรม ถึงปัจจุบันธรรม ย่อมขาดทุน
พากันฝึกสมาธินะ สมาธิก็คือความตั้งมั่นในความดี เราคิดดีๆให้มันติดต่อกันหลายวัน หลายเดือน หลายปี เหมือนไก่มันฟักไข่ก็ 3 อาทิตย์ เราดูแลต้นไม้แต่ละพันธุ์ก็ตามเดือน ตามปี มันต้องดีสม่ำเสมอ สมาธิเราต้องตั้งมั่น แต่สมาธิที่เรานั่งตอนเช้า ตอนเย็นก็ต้องมี หายใจเข้าก็ให้รู้ชัดเจน หายใจออกก็ให้รู้ชัดเจน หายใจสบาย หายใจออกสบาย ปล่อยวางทุกอย่าง อยู่กับลมหายใจเข้าสบาย หายใจออกสบาย
คนเราจะเก่งไม่เก่งอยู่ที่การเสียสละ ผู้ที่เสียสละย่อมเก่งทุกคน ถ้าไม่เสียสละก็ไม่เก่ง ในโลกนี้ไม่ต้องกลัวอะไรไม่ต้องไปต่อสู้กับใคร สู้กับตนเองนี่แหละ คนเราเกิดมาต้องเป็นคนที่มีความกตัญญูกตเวที ต่อบรรพบุรุษต่อผู้มีพระคุณทั้งหลาย
วันเวลา ผ่านไป ให้หยุดคิด เพียงสักนิด ว่าเรา จะไปไหน
ถามใจดู ถามให้รู้ จากภายใน ถ้าตอบได้ ก็จะรู้ อย่าดูนาน
เพราะเวลา ไม่มี ให้นานนัก หากมัวรัก ผูกใจ หลายสถาน
เหมือนติดบ่วง รัดไว้ ทุกวันวาร เพราะบ่วงมาร ร้อยรัด มัดโดยตรง
มาคนเดียว ไปคนเดียว คือจริงแท้ อย่ามัวแต่ ยึดไว้ ใจลุ่มหลง
สัจธรรม คือธรรมะ พระพุทธองค์ ยังมั่นคง มิแปรผัน ชั่วกาลนาน ฯ
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee