แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันพุธที่ ๑๒ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง คุณของพระพุทธเจ้า ตอนที่ ๓๘ มีสติเตือนตนอยู่เสมอว่า เราเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าผู้บริสุทธิ์ ไม่ควรกระทำความชั่วทั้งปวง
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ศาสนาทุกศาสนาเป็นสิ่งที่ดีมาก ประเสริฐมาก เพราะศาสนาคือธรรมะ ธรรมะคือศาสนา หาใช่นิติบุคคล หาใช่ตัวใช่ตน หมู่มว]มนุษย์ทั้งหลายถึงก้าวไปด้วยเหตุผล ก้าวไปทางวิทยาศาสตร์หรือทางเหตุปัจจัยหรือทางจิตใจ พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าสมณะ ที่ ๑-๔ นั้นมันอยู่ในปัจจุบัน มันไม่มีอยู่ในอนาคต เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปถึงมีน่ะ เราทุกคนถึงต้องมีความเห็นถูกต้อง ความเข้าใจถูกต้อง เข้าสู่กฎแห่งธรรมะ
กฎหมายบ้านเมืองเรานี้มีไว้ก็เพื่อเข้าสู่กฎแห่งธรรมะ ถึงเราไม่เข้าใจเอาประชาธิปไตยเอาคนมีกิเลสส่วนใหญ่เป็นที่ตั้ง เราก็ปรับปรุงเข้าหาธรรมะ ถึงจะเข้าถึงสันติภาพ แม้แต่ระบบคอมมิวนิสต์ หรือ สังคมนิยมนี้แหละ เราสู้เข้าไม่ได้ เราต้องเผด็จการด้วยกำลัง เน้นแต่ทางกายทางวัตถุอย่างนี้ มันก็ต้องปรับตัวเข้าหาธรรมะเหมือนกัน โลกนี้ต้องก้าวไปด้วยหลักเหตุหลักผล หลักวิทยาศาสตร์เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปถึงมี อันนี้เป็นกรรมเป็นกฎแห่งกรรม
ความคิดของเรามันถึงเปรียบเหมือนยาสลบเลยนะ เราต้องรู้จักความคิดความคิดมันเหมือนยาสลบ อันไหนไม่ดีมันวางยาสลบเราให้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะสงสาร คำพูดของเรามันไม่ดีไม่ถูกต้อง มันวางยาสลบเราให้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะสงสาร การกระทำของเราไม่ดีที่อันนี้มันมันวางยาสลบเราให้เวียนว่ายตายเกิด
เราทุกท่านทุกคนต้องรู้กระบวนการแห่งการเวียนว่ายตายเกิด รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ มนุษย์เราถึงจะได้มีความสุข เราจะได้พัฒนาวิทยาศาสตร์มีความสุข มีความสะดวกความสบาย เราก็ไม่หลง เพราะอันนี้เราหลงไม่ได้ เราจะสร้างบ่วงมาจัดการตัวเองไม่ได้ เราจะสร้างอาวุธยุทโธปกรณ์มาจัดการตัวเองไม่ได้ เราต้องรู้จักกระบวนการปฏิจจสมุปบาท พระพุทธเจ้าถึงพูดเรื่องความสุขความดับทุกข์ หรือว่าที่สุดแห่งความไม่มีทุกข์ ท่านให้เราเข้าใจ
เราต้องพยายาม Foot work อย่าพากันร่ายรำ เราต้องเข้าหาปัจจุบันกันเป็นสิ่งสำคัญ ทุกอย่างทุกประการเป็นสิ่งที่สำคัญ เราจะปล่อยปัจจุบันเราไปไม่ได้ เราต้องเอาความรู้ความเข้าใจ เอาเป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญาเพื่อเป็นกิจกรรม เพื่อจัดการตัวเอง เมื่อวานนี้ก่อนนี้ก็พูดไปแล้วว่า หลวงปู่ชาท่านสอนคนอื่น 5% สอนตัวเอง 95% พระพุทธเจ้าท่านสอนตัวเอง 100% แล้วถึงสอนคนอื่น ด้วยธรรมใบไม้กำมือเดียว เน้นที่จิตที่ใจ เน้นในปัจจุบัน สมัยหนึ่ง พระพุทธองค์ทรงประทับอยู่ ณ ป่าไม้ประดู่ลาย เขตเมืองโกสัมพี ครั้งนั้น พระพุทธองค์ทรงใช้ฝ่าพระหัตถ์ถือเอาใบประดู่ลาย แล้วทรงตรัสถามพระภิกษุทั้งหลายว่า ใบประดู่ลายในฝ่าพระหัตถ์กับที่อยู่บนต้น อย่างไหนมีมากกว่ากัน พระภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลว่า ใบประดู่ลายที่อยู่บนต้นนั้นมีมากกว่า
พระพุทธองค์ทรงตรัสอธิบายว่า ธรรมที่พระพุทธองค์ทรงหยั่งทราบด้วยพระปัญญาอันยิ่งนั้น มีมากกว่าธรรมที่พระองค์ทรงประกาศ เปรียบดังใบประดู่ลายที่อยู่บนต้นนั้น มีมากกว่าในฝ่าพระหัตถ์ แล้วพระพุทธองค์ทรงแสดงเหตุผลว่า เพราะเหตุใดจึงไม่ทรงแสดงธรรมทั้งหลายเหล่านั้น ซึ่งเปรียบดังใบประดู่ลายบนต้นนั่นก็เพราะธรรมเหล่านั้น ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์ ไม่เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย ความคลายกำหนัด ความดับทุกข์ ความสงบ ระงับ ความรู้ยิ่ง การตรัสรู้ และพระนิพพาน
บางคนนี้แย่เลยหล่ะ เอาแต่เรื่องเก่าๆ มานินทามาสรรเสริญกัน บางทีบางคนมาเข้าวัดฟังธรรมได้สมาธิกันเมื่อ 10 ปี 20 ปี ก็ยังเอามาพูดกันหน่ะ อันนี้มันไม่ใช่เรื่องปัจจุบัน เอาของเก่ามาพูดธรรมะเป็นเรื่องปัจจุบัน เป็นธรรมเป็นคุณธรรมกของเราทุกคน ไม่มีอะไรเก่ง ทำตามใจตัวเอง ทำตามอารมร์ตัวเองมันไม่เก่ง มันไม่ฉลาด เอาตัวไม่รอด เราต้องเข้าใจเรายิ่งเป็นนักเลงใหญ่นักเลงโต เราเรียนมากระดับ ป. เอก ยิ่งเป็นนักเลงใหญ่นักเลงโต เราจะไปทิ้งธรรมะทิ้งความถูกต้อง ความยุติธรรม เราต้องกลับมาหาศีลหาธรรม มาหากรรมเรื่องกฎแห่งกรรมที่เป็นความคิดที่เป็นยาสลบที่ทำร้ายเรา เรื่องคำพูดของเราเป็นยาสลบทำร้ายเรา
เราต้องกลับมาของประเสริฐอยู่ในตัว เราไม่รู้จัก แล้วเราจะรู้จักกันเวลาไหน เราจะพากันมาเป็นแบรนด์เนมแห่งการเป็นมนุษย์นี้ไม่ได้ เราจะแบรนด์เนมแห่งข้าราชการ นักการเมือง อย่างนี้ไม่ได้ เราต้องเข้าถึง เพราะเราทุกคนต้องเดินไปอย่างนี้ๆ ทุกชาติทุกศาสนามันต้องรักกัน อย่างนี้ไม่มีแบ่งแยก เพราะเราเกิดมาเห้นหน้ากันไม่ถึง 120 ปี หรอก เราน่ะไม่อยากแก่ไม่อยากเจ็บไม่อยากตาย ไม่อยากพลัดพราก มันจะมีประโยชน์อะไร ถ้าเราไม่เข้าถึงความสุขความดับทุกข์ในปัจจุบัน บางคนก็อยากมีอายุยืนนานไม่เจ็บ ไม่ป่วย ไม่ไข้ มันจะมีประโยชน์อะไร ถ้าเราไม่เข้าถึงความสุขความดับทุกข์ เพราะความสุขความดับทุกข์ในปัจจุบัน จะไปเอาอะไร จะไปแก้ไขอะไร เราไม่อยากให้มันคิดอย่างนู้นไม่อยากให้มันคิดอย่างนี้ เราก็ต้องรู้จักความคิดรู้จักอารมณ์ เราต้องรู้จักพระนิพพานที่มีอยู่ในใจของเราในปัจจุบัน เราต้องรู้จัก เราจะได้แก่งขึ้นฉลาดขึ้น สำคัญว่าเก่งกว่าเขาก็ไม่ใช่ สำคัญว่าเสมอเขาก็ไม่ใช่ สำคัญว่าด้อยกว่าเขาก็ไม่ได้ อันนี้มันเป็นอารมณ์เป็นความคิดอะไรทั้งนั้น
ปัจจุบันเราต้องไฟติ้งปัจจุบันต้องประพฤติต้องปฏิบัติเราถึงจะมีความสุข ถ้าเราไม่ประพฤติไม่ปฏิบัติมันก็เข้าสู่ความดับทุกข์ไม่ได้ เข้าสู่กฎแห่งกรรมไม่ได้ ขบวนการของโลกนี้มันเป็นหลักเหตุหลักปัจจัย ทางด้านจิตใจก็เป็นอิทัปปัจจยตา สิ่งนี้มีสิ่งต่อไปถึงมี เราต้องรู้จักยาสลบแห่งชีวิต เราต้องรู้กรรมรู้ผลของกรรมเราจะไปแก้ไขแต่ปลายเหตุ ปลายเหตุน่ะเราเกิดมาก็ต้องมีที่อยู่ที่นอน มีบ้าน มีการเรียนการศึกษา เพื่อแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เมื่อเรามีความสุขมีความสดวกสบายแล้วเราก็อย่าไปหลง ก็ต้องพัฒนาใจไป รู้จักพระนิพพานคือหยุดกรรมที่มันเกิดแก่เรา เราอย่าไปแบกโลกแบกอวิชชาแบกความหลง เราอย่าไปแบกตัวแบกตน ขันธ์ทั้ง 5 มันเป็นสภาวธรรม ที่ให้เราหมู่มวลมนุษย์พากันประพฤติพากันปฎิบัติไม่ต้องไปทุกข์ไปอะไรกับมัน เพราะเรื่องทุกข์เป็นเรื่องของกาย เพราะเวทนาเป็นเรื่องของใจ เรื่องชอบไม่ชอบมันเป็นเรื่องของอวิชชาของความหลง เราต้องรู้จักวาระของจิต รู้จักอารมณ์ เราต้องปฏิบัติไปประพฤติไป หมู่มวลมนุษย์เราจะไม่ได้หลงตัวเอง ไม่ได้หลงคนอื่น จะได้วางของหนักออกจากตัวเรา
ในพระไตรปิฏก มีพุทธภาษิตอยู่บทหนึ่งว่า "สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตัว มีกรรม เป็นตัวให้กำเนิด มีกรรมเป็นตัวเกี่ยวข้อง มีกรรมเป็น ที่พึ่ง สัตว์ทั้งหลาย ทำกรรมใดไว้ ดีหรือชั่วก็ตาม จักได้ผลกรรมนั้นแน่นอน..."
คนส่วนมากเข้าใจว่ากรรมคือการกระทำ ความเข้าใจนี้ไม่ผิด แต่เป็นความเข้าใจที่ยังไม่รัดกุมและถูกต้องทั้งหมด เพราะมีการกระทำบางอย่างที่ไม่นับว่าเป็นกรรม กรรมแท้จะต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ ๒ ประการ คือ ผู้ทำมีเจตนา และการกระทำนั้นจะต้องให้ผลเป็นบุญหรือเป็นบาป ที่ว่าผู้ทำมีเจตนา มีหลักการที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ไว้ใน นิพเพธิกปริยายสูตร ฉักกนิมาต อังคุตตรนิกายว่า เจตนาหัง ภิกขเว กัมมัง วทามิ แปลว่า ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่าเจตนาเป็นกรรม เจตนาก็ได้แก่ ความตั้งใจหรือความรับรู้ ซึ่งแบ่งไว้เป็น ๓ อย่างคือ ๑. บุรพเจตนา เจตนาก่อนทำ ๒. มุญจนเจตนา เจตนาในเวลาทำ ๓. อปราปรเจตนา เจตนาเมื่อได้ทำไปแล้ว การกระทำโดยมีเจตนาเกิดขึ้นในตอนใดตอนหนึ่งถือว่าเป็นกรรมทั้งสิ้น ส่วนการกระทำที่ไม่มีเจตนา คือใจไม่ได้สั่งให้ทำ ไม่จัดว่าเป็นกรรม เช่นคนเจ็บซึ่งมีไข้สูง เกิดเพ้อคลั่ง แม้จะพูดคำหยาบออกมา เอามือหรือเท้าไปถูกใครเข้าก็ไม่เป็นกรรม ในทางวินัยก็ยกเว้นให้พระที่วิกลจริตซึ่งล่วงเกินสิกขาวินัยไม่ต้องอาบัติ ทั้งนี้ก็โดยหลักเกณฑ์ที่ว่า ถ้าผู้ทำไม่มีเจตนา กระทำแล้วการกระทำนั้นก็ไม่เป็นกรรม
ส่วนหลักเกณฑ์ข้อที่ ๒ ที่ว่า การกระทำนั้นจะต้องให้ผลเป็นบุญหรือเป็นบาป ก็เพื่อแยกการกระทำของพระอรหันต์ออกจากการกระทำของปุถุชน เนื่องจากพระอรหันต์เป็นผู้หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ ไม่มีความยึดถือในตัวตน การกระทำเรียกว่า อัพยากฤต ไม่นับว่าเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่ว บุญและบาปก็ไม่มี การกระทำของพระอรหันต์จึงไม่เรียกว่า กรรม แต่เรียกว่า กิริยา ส่วนปุถุชนยังมีความยึดมั่นในตัวตนอยู่ จะทำอะไรก็ยังยึดถือว่าตนเป็นผู้กระทำ การกระทำของปุถุชนจึงเป็นกรรม ย่อมจะก่อให้เกิดวิบากหรือผลเสมอ กรรมดีก็ก่อให้เกิดบุญ ส่วนกรรมชั่วก็ก่อให้เกิดบาป
ไม่มีใครหลีกหนีผลกรรมหรือผลการกระทำได้ ไม่มีข้อยกเว้น แม้แต่ตัวพระพุทธเจ้าเอง พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ด้วยพระองค์เองในคัมภีร์อปทานตอนที่ว่าด้วย ปุพพกัมปิโลติ พุทธาปทาน ข้อ ๓๙๒ ถึงกรรมเก่าที่พระองค์ทรงกระทำมาแล้วในอดีต ๑๔ ข้อ ทั้งฝ่ายกุศลและฝ่ายอกุศลนี้ ก็เพื่อเป็นตัวอย่างว่า พระองค์เมื่อยังเป็นปุถุชน ก็ได้ทำดีและทำชั่วมาแล้วเช่นเดียวกับพวกเรา
๑. กรรมดีในการเคยถวายผ้าไว้ในอดีต จึงได้รับผลบุญ กรรมเก่าข้อแรกนี้เป็นกุศลกรรม ซึ่งเป็นปัจจัยให้พระองค์ได้มาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าไว้ด้วยนั่นคือ ถวายผ้าเก่าแก่พระ พระพุทธองค์ตรัสเล่าว่าในชาติหนึ่งในอดีตนั้น ทรงเกิดเป็นคนยากจนเห็นพระสาวกของพระพุทธเจ้ารูปหนึ่งซึ่งถืออยู่ป่าเป็นวัตรแล้วเลื่อมใสจึงถวายผ้าห่มเก่าผืนเดียวที่ตัวเองมีอยู่แก่ท่านพร้อมกันนั้นก็ได้ฟังเรื่องราวของพระพุทธเจ้าจากพระสาวกรูปนั้นแล้วเกิดเลื่อมใสยิ่งขึ้นจึงตั้งจิตปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าเป็นครั้งแรก การเริ่มต้นปรารถนาแต่ครั้งนั้นของพระองค์ส่งผลให้ทำความดีมาอย่างต่อเนื่องจนมาได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในชาตินี้ ผลคือในชาติสุดท้าย เมื่อพระโพธิสัตว์ทรงตัดพระโมลีแล้ว ตั้งสัจจะอธิษฐานโยนไปในอากาศว่า จักเป็นพระพุทธเจ้า ณ ริมฝั่งแม่น้ำอโนมานทีแล้ว ก็ดำริอีกว่า ผ้าของชาวกาสีอย่างดีเหล่านี้ ไม่สมควรแก่ความเป็นสมณะของเรา ในทันใดนั้นเอง สหายเก่า ซึ่งไปเกิดเป็นพรหมชื่อว่า ฆฏิการมหาพรหม จึงถือสมณบริขาร ๘ อย่าง มาถวายด้วยตนเอง
๒. กรรมในการเคยแกล้งโคไม่ให้ดื่มน้ำ ชาติหนึ่งในอดีต พระองค์เกิดเป็นคนเลี้ยงโค ต้อนโคไปเลี้ยง เห็นแม่โคแวะดื่มน้ำข้างทาง เกรงจะชักช้าจึงไล่แม่โคไม่ให้ดื่มน้ำ ด้วยการแกล้งเอาไม้กวนน้ำให้ขุ่น
บาปกรรมในชาตินั้นส่งผลมาถึงชาตินี้ คือ ทรงกระหายน้ำแล้วทรงตรัสให้พระอานนท์ไปตักน้ำให้แต่เนื่องจากมีขบวนเกวียนผ่าน ทำให้น้ำขุ่น จึงทรงไม่ได้เสวยสมปรารถนาในทันทีต้องทรงตรัสถึง 3 ครั้ง จึงจะได้เสวยน้ำ เมื่อคราวใกล้จะเสด็จ ดับขันธปรินิพพาน
๓. กรรมจากการเคยกล่าวตู่ผู้มีศีลด้วยเรื่องไม่จริง พระองค์ตรัสเล่าว่า เป็นกรรมเก่าทำไว้ในหลายชาติในอดีตดังนี้ ในชาติหนึ่ง ทรงเกิดเป็นนักเลง ชื่อ "ปุนาลิ" ได้กล่าวตู่ (ใส่ร้าย) พระปัจเจกพระพุทธเจ้าพระนามว่า "สุรภี" ว่าทำผู้หญิงท้อง โดยที่พระปัจเจกพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ทรงโต้ตอบใดๆ ตายจากชาตินั้น บาปกรรมส่งผลให้ ไปเกิดอยู่ในนรกนานแสนนาน เสวยทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส เกิดมาในชาติสุดท้ายนี้ แม้จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เศษกรรมที่ยังหลงเหลืออยู่ ก็ส่งผลให้พระองค์มาถูกนางสุนทริกา กล่าวตู่ว่า นางตั้งครรภ์กับพระองค์
๔. กรรมจากการเคยกล่าวตู่ผู้มีศีลด้วยเรื่องไม่จริง ต่อมาในชาติหนึ่ง มีพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก พระองค์ได้ทรงกล่าวตู่พระเถระชื่อ "นันทะ" พระสาวกองค์หนึ่ง ของพระพุทธเจ้าด้วยเรื่องทำนองเดียวกันคือ ด้านชู้สาว ตายจากชาตินั้น บาปกรรมส่งผลให้ไปเกิดอยู่ในนรกนานนับหมื่นปี เกิดมา ในชาตินี้แม้จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เศษกรรมที่ยังหลงเหลืออยู่ก็ส่งผลให้พระองค์ถูก นางจิญจมาณวิกา กล่าวตู่ด้วยคำเท็จ ว่า นางตั้งครรภ์กับพระองค์อีกเช่นกัน
๕. กรรมจากการเคยกล่าวตู่ผู้มีศีลด้วยเรื่องไม่จริง เมื่อครั้นทรงเป็นพราหมณ์ชื่อสุตวา อันชนทั้งหลายสักการะบูชา สอนมนต์ให้กับมาณพ ๕๐๐ คนอยู่ในป่าใหญ่ ได้เห็นฤาษีผู้น่ากลัว ได้อภิญญา ๕ มีฤทธิ์มาก มาในสำนัก จึงกล่าวตู่ฤาษีกับพวกศิษย์ของตนว่า ฤาษีพวกนี้มักบริโภคกาม ครั้งนั้นมาณพทั้งปวงเที่ยวไปภิกขาในสกุล ก็พากันบอกแก่มหาชนว่าฤาษีพวกนี้มักบริโภคกาม และด้วยด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ในภพชาติสุดท้ายของพระองค์ พระภิกษุทั้ง ๕๐๐ เหล่านี้ก็ได้รับคำกล่าวตู่ทั้งหมด โดยนางสุนทริกาเช่นกัน
๖. กรรมเก่าจากการเคยฆ่าน้องชายต่างมารดา พระองค์ตรัสเล่าว่า ในชาติหนึ่งในอดีต พระองค์เกิดเป็นลูกเศรษฐี บิดาของพระองค์มีภรรยาหลายคน ภรรยาคนหนึ่ง มีลูกชายพระองค์เกรงว่าทรัพยสมบัติส่วนหนึ่งจะถูกแบ่งไปให้แก่น้องชายต่างมารดานั้นจึงลวงน้องชายไปฆ่าที่ซอกเขาแล้วเอาหินทับไว้ ตายจากชาตินั้นบาปกรรมส่งผลให้ไปเกิดอยู่ในนรกนานปี แม้เกิดมาในชาตินี้แม้จะได้ตรัสรู้เป็น พระพุทธเจ้าแล้ว เศษกรรมที่ยังหลงเหลืออยู่ก็ส่งผลให้พระองค์ถูกพระเทวทัตกลิ้งหินกระทบนิ้ พระบาทจนห้อพระโลหิต
๗. กรรมเก่าจากการเคยจุดไฟดักทางพระปัจเจกพุทธเจ้า พระองค์ตรัสเล่าว่า ในชาติหนึ่งในอดีต พระองค์เกิดเป็นเด็กแสนซน วันหนึ่งขณะเล่นอยู่กับเพื่อนเด็ก เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้ารูปหนึ่งกำลังเดินมา จึงชวนกันจุดไฟดักทางเพื่อมิให้พระพุทธเจ้าผ่านไปได้ ตายจากชาตินั้น บาปกรรมส่งผลให้ไปเกิดอยู่ในนรกนานแสนนาน เกิดมาในชาตินี้แม้จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เศษกรรมยังหลงเหลืออยู่ พระเทวทัตจึงชักชวนนายขมังธนูผู้ฆ่าคนตายมาก เพื่อให้ฆ่าพระองค์
๘. กรรมเก่าจากการเคยไสช้างจับพระปัจเจกพระพุทธเจ้า พระองค์ตรัสเล่าว่า ในชาติหนึ่งในอดีต คราวที่โลกว่างจากพระพุทธเจ้า มีพระปัจเจกพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลก พระองค์เกิดเป็นควาญช้าง วันหนึ่งเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้ารูปหนึ่งบิณฑบาตแล้วเกลียดจึงไสช้างให้จับพระปัจเจกพุทธเจ้ารูปนั้น ตายจากชาตินั้น บาปกรรมส่งผลให้ไปเกิดอยู่ในนรกนานแสนนาน เกิดมาในชาตินี้ แม้จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เศษกรรมที่ยังหลงเหลือ อยู่ส่งผลให้พระองค์ถูกพระเทวทัตยุยงพระเจ้าอชาตศัตรู ให้ปล่อยช้างนาฬาคีรีมาแทงพระองค์
๙. กรรมเก่าจากการเคยนำทหารออกศึก พระองค์ตรัสเล่าว่า ในชาติหนึ่งในอดีต พระองค์เกิดเป็นแม่ทัพนำทหารออกรบฆ่า ข้าศึกตายเป็นจำนวนมากด้วยหอก ตายจากชาตินั้น บาปกรรมส่งผลให้ไปเกิดอยู่ในนรกนานแสนนาน เสวยทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส แม้เกิดมาในชาติสุดท้าย หลังจากที่พระเทวทัตทำให้พระองค์ทรงห้อพระโลหิตแล้ว เสด็จไปให้หมอชีวกรักษา หมอชีวกได้รักษาโดยปรุงยาอย่างแรงกล้าเพื่อสมานแผลแล้ว ปิดแผล แล้วเข้าไปทำธุระในเมือง แต่กลับมาไม่ทันเอายาออก ประตูเมืองปิดก่อน ทำให้พระองค์เกิดความเร่าร้อนในสรีระตลอด ซึ่งต่อมาได้รับสั่งให้พระอานนท์นำยาที่ปิดแผลนั้นออกในตอนค่ำนั่นเอง
๑๐. กรรมเก่าจากการเคยชอบใจเมื่อเห็นคนฆ่าปลา (ข้อนี้แสดงให้เห็นว่า เพียงแค่ดีใจ ที่เห็นคนทำบาป แค่นั้นกรรมก็ตกกับเราแล้ว) พระองค์ตรัสเล่าว่า ในชาติหนึ่งในอดีต พระองค์เกิดเป็นลูกชาวประมง อาศัยอยู่ในหมู่บ้านชาวประมง เห็นชาวประมงฆ่าปลาแล้วเกิดความสนุกยินดีสนุกสนาน มาเกิดในชาตินี้ แม้จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว บาปกรรมก็ยังส่งผลให้พระองค์รู้สึกปวดพระเศียรเมื่อคราวที่พวกเจ้าศากยะพระประยูรญาติของพระองค์ ถูกพระเจ้าวิฑูฑภะกษัตริย์แห่งแคว้นโกศลยกทัพบุกสังหาร
๑๑. กรรมจากการเคยด่าพระสาวกของพระพุทธเจ้า พระองค์ตรัสเล่าว่า ในชาติหนึ่งในอดีต พระองค์เกิดเป็นคนปากกล้าด่าว่าพระสาวกของพระพุทธเจ้าผุสสะว่า “ท่านทั้งหลายจงเคี้ยว จงกินแต่ข้าวแดง อย่ากินข้าวสาลีเลย” ด้วยผลกรรมนั้น เรารับนิมนต์พราหมณ์ อยู่จำพรรษา ณ เมืองเวรัญชา ได้ฉันแต่ข้าวเหนียว ตลอด ๓ เดือน เรื่องนี้มีกล่าวไว้ว่า หลังจากที่พระพุทธองค์รับคำของเวรัญชพราหมณ์ว่าจะอยู่จำพรรษาแล้ว สมัยนั้นเมืองเวรัญชาเกิดข้าวยากหมากแพง ประชาชนมีความเป็นอยู่แร้นแค้น ใช้สลากปันส่วนซื้ออาหาร ล้มตายกันกระดูกขาวเกลื่อน ยากที่พระอริยะจะบิณฑบาตยังชีพได้ ต่อมา พวกพ่อค้าม้าชาวเมืองอุตตราบถ มีม้าอยู่ประมาณ ๕๐๐ ตัว เข้าพักแรมช่วงฤดูฝนในเมืองเวรัญชา พวกเขาตระเตรียมข้าวนึ่ง (ข้าวสารเหนียวที่เอาแกลบออกแล้วนึ่งเก็บไว้ จะเรียกว่าข้าวตาก ก็ได้ พวกพ่อค้านิยมนำติดตัวไป ในเวลาเดินทางไปค้าขายยังต่างเมือง เพื่อเป็นอาหารม้าในถิ่นที่อาหารม้าหายาก) เพื่อถวายพระภิกษุรูปละประมาณ ๑ ทะนานไว้ที่คอกม้า รุ่งเช้า ภิกษุทั้งหลายครองอันตรวาสก ถือบาตรและจีวรไปบิณฑบาตในเมืองเวรัญชา บิณฑบาตไม่ได้เลย จึงไปที่คอกม้า รับข้าวนึ่งรูปละประมาณ ๑ ทะนาน นำไปตำให้ละเอียดแล้วฉัน ส่วนพระอานนท์บดข้าวนึ่งประมาณ ๑ ทะนานบนหินบดแล้ว น้อมเข้าไปถวายพระผู้มีพระภาค พระองค์เสวยข้าวนั้น
๑๒. กรรมจากการเคยจงใจดัดหลังนักมวยปล้ำให้เจ็บ พระองค์ตรัสเล่าว่า คราวหนึ่งทรงเกิดในตระกูลคหบดี มีกำลังมากมหาศาล แต่ตัวเตี้ย ต่อมามีนักมวยปล้ำต่างถิ่นมาท้าต่อสู้ พระโพธิสัตว์แม้ถึงจะตัวเตี้ย แต่ก็ได้จับนักปล้ำผู้นั้นขึ้นแล้วหมุนไปในอากาศ แล้วทุ่มลงภาคพื้น แล้วจับดัดหลัง จนนักปล้ำผู้นั้น กระดูกหักเจ็บปวดอย่างมาก และยอมแพ้ในที่สุด ด้วยกรรมนั้น แม้ในชาตินี้ ถึงจะทรงพลังอย่างนับไม่ได้ แต่ก็ยังเป็นโรคปวดพระปฤษฏางค์ (ปวดหลัง)
๑๓. กรรมจากการเคยเป็นหมอยารักษาคนไข้ตาย ชาติหนึ่งในอดีต พระองค์เกิดเป็นหมอยารับรักษาลูกชายเศรษฐี โดยวิธีให้ถ่ายยา จนลูกชายเศรษฐีตายด้วยความจงใจ ตายจากชาตินั้น บาปกรรมส่งผลให้ไปเกิดอยู่ในนรก มาเกิดในชาตินี้แม้จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วเศษกรรมที่ยังหลงเหลืออยู่ก็ส่งผลให้พระองค์เกิดพระโรคปักขันทิกาพาธ (โรคท้องร่วง) หลีงจากเสวยสุกรมัททวะก่อนเสด็จดับขันธปรินิพพาน
๑๔. กรรมจากการเคยเยาะเย้ยพระพุทธเจ้า พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเล่าว่า เราเมื่อครั้งเกิดเป็นมาณพ ชื่อโชติปาละ ได้กล่าวประสบประมาทพระกัสสปพุทธเจ้าว่า “การตรัสรู้ที่โคนต้นโพธิ์จักมีมาแต่ที่ไหน การตรัสรู้หาได้แสนยาก” ด้วยผลกรรมนั้น เราจึงได้บำเพ็ญทุกรกิริยานานถึง ๖ ปี แต่ว่า เราก็มิได้บรรลุพระโพธิญาณที่สูงสุดด้วยทางนี้ ต่อมาจึงได้บรรลุพระโพธิญาณ ที่ตำบลอุรุเวลา เราถูกกรรมในปางก่อนตักเตือนแล้ว จึงแสวงหาโพธิญาณผิดทาง ต้องบำเพ็ญทุกรกิริยา อันทำให้พระองค์ต้องประสบกับทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสเกือบ ๖ ปี จึงจะตรัสรู้ได้
เรื่องราวที่กล่าวมานี้ย่อมชี้ให้เห็นว่ากรรมที่ทำแล้วไม่ว่าดีหรือชั่วก็ตามย่อมคอยโอกาสให้ผลอยู่ตลอดเวลาตราบที่ผู้ทำกรรมยังเวียนวายตายเกิดแม้ชาติสุดท้ายจะได้บรรลุอรหัตผลแล้ว แต่โดยเหตุที่ยังมีชีวิตอยู่ซึ่งชีวิตนี้เกิดมาจากกรรมเก่าฉะนั้นยังคงต้องได้รับผลอยู่ดี พระพุทธเจ้าของเราเองก็เช่นกัน แม้จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วแต่กรรมเก่าก็ยังหาโอกาสให้ผลอยู่เป็นระยะ กรรมเก่าบางอย่างก็ให้ผลมาแล้วแต่ยังมีเศษเหลืออยู่ แต่กรรมเก่าบางอย่างก็ยังมิได้ให้ผลมาเลยและมาให้ผลเต็มในชาตินี้
ไม่มีใครหนีพ้นผลของกรรม แม้พระมหาโมคคัลลานะ สำเร็จเป็นพระอรหันต์ที่มีฤทธิ์เดช ก็ยังถูกทุบจนร่างกายแหลกเหลว เพราะชาติก่อนเคยทุบตีพ่อแม่ไว้ เห็นไหมว่ากรรมยิ่งใหญ่ขนาดไหนพระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้เราเข้าใจ ให้ถูกต้องและการแก้กรรมที่ดีนั้นก็คือ ไม่ทำความชั่วทำแต่ความดีแล้วจิตของเราก็จะพบกับความสุขสมบูรณ์
ฉะนั้น ทุกๆ ครั้งที่จะเริ่มทำกรรม ทางกาย วาจา และใจ ขอให้สร้างเป็นบุญ สร้างเป็นกุศลอย่างเดียว เพราะบุญเท่านั้น เป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลาย และหากเจ็บปวดมากแค่ไหนกับผลกรรมที่ได้รับในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นความล้มเหลวทางการงาน การหาเงิน ความรัก เรื่องเพื่อน หรือเรื่องอะไรก็ตาม ให้ใช้ขันติ เพื่อสะกดความเดือดเนื้อร้อนใจให้หยุดเป็นความแข็งแกร่ง และให้ใช้โอกาสนี้เรียกปัญญามาเพื่อมองเห็นความจริง ที่รู้ว่าโลกมีสภาพอย่างนี้ ทำให้แม้ว่าจะอยู่ในสภาวะเลวร้ายแค่ไหน จิตใจก็กลับสงบ
หลวงพ่อชา สุภัทโท บอกว่า... “บ้านที่แท้จริงของเรา คือความรู้สึกที่มันสงบ ความสงบนั่นแหละ คือบ้านที่แท้จริงของเรา” นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ-สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบ ไม่มี ชีวิตคือการเดินทาง ออกจากบ้าน แล้วกลับบ้าน บางคนกำลังออกจากบ้าน บางคนกำลังกลับบ้าน บางคนถึงบ้านแล้ว บางคนยังไม่ถึงบ้านเลย บ้านคือตัวเรา บ้านเทียมก็ตัวเรา (โลกิยธรรม) บ้านแท้ก็ตัวเรา (โลกุตตรธรรม) ใครที่ทำตัวให้สงบได้ ก็จะมีความสุข เพราะได้อยู่บ้านแท้ ใครสงบยังไม่ได้ ก็อยู่บ้านชั่วคราวไปก่อน ย่อมหาความสุขไม่ได้ เป็นเรื่องธรรมดา
เมื่อวางจิตเป็นกลางได้แล้ว ก็ให้รู้ว่ากรรมเก่านั้นสักแต่ว่ารับ ไม่ยินดี ยินร้าย และจะไม่ทำกรรมใดๆ ใหม่อีก ด้วยการรักษาศีลห้า และปิดกั้นอกุศลทุกทางที่จะเกิด ไม่ใช่เพื่อใคร แต่เพื่อตัวเราเอง ใครจะสำคัญยิ่งไปกว่าตน
ดาบคมที่ไร้ฝัก ลูกระเบิดที่ไม่มีสลักนิรภัย ย่อมเกิดโทษแก่เจ้าของได้ง่ายฉันใด“ความรู้” และ “ความสามารถ” ถ้าไม่มีวินัยกำกับแล้ว ก็จะมีโทษแก่ผู้เป็นเจ้าของได้ฉันนั้น ช่างดาบทำฝักดาบไว้กันอันตราย ช่างทำระเบิดก็ทำสลักนิรภัยไว้เช่นกัน เมื่อพระพุทธเจ้าทรงสอนพุทธศาสนิกชน ให้เป็นคนฉลาดรู้ฉลาดทำแล้ว จึงทรงสั่งสำทับด้วยว่า “ต้องมีวินัย”
มนุษย์นั้นมีมากมายหลายประเภท สวยมาก สวยน้อย ดีมาก ดีน้อย บางคนทั้งสวยทั้งดี บางคนไม่สวยด้วยไม่ดีด้วย บางคนเรียบร้อย บางคนหยาบคาย บางคนอ่อนโยน บางคนดุร้าย บางคนมีศีล บางคนไม่มีศีล สุดแท้แต่กรรมจะจำแนกให้เป็นไป
ในจำนวนคนมากมายหลายประเภทเหล่านี้ คนมีศีลเป็นคนประเสริฐ ยิ่งมีศีลด้วยสวยด้วย ยิ่งประเสริฐสุด เหมือนดอกไม้ที่สวยทั้งสีและกลิ่น
ส่วนคนสวยที่ไม่มีศีลนั้น ก็เหมือนดอกไม้ที่สวยแต่สี หามีกลิ่นไม่
คนเราจะมีศีลได้ก็เพราะมีหิริและโอตตัปปะ คือความละอายและเกรงกลัวบาป ทั้งบาปของตน และคนอื่น โดยอาศัยการมีสติเตือนตนว่า "เราเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าผู้บริสุทธิ์ ไม่ควรกระทำความชั่ว" ดังนี้เป็นต้น หรือเพราะเกรงคำครหาของผู้อื่นว่า "ผู้นี้เป็นถึงสาวกของพระพุทธเจ้า ทำไมจึงประพฤติชั่วอย่างนี้" ดังนี้เป็นต้น เมื่อมีสติคิดได้อย่างนี้ จิตใจก็อ่อนโยน ไม่กล้าทำความชั่ว เมื่อไม่ทำความชั่วก็ไม่เดือดร้อน ศีลจึงมีความไม่เดือดร้อนเป็นผล เป็นอานิสงส์
คนมีศีลนั้น หอมอยู่เสมอ หอมทั้งตามลมและทวนลม หอมทั้งในเวลามีชีวิตอยู่ และละโลกนี้ไปแล้ว เป็นที่ชื่นชมรักใคร่ของคนทั่วไปในเวลาที่มีชีวิต เป็นที่เสียดายอาลัยรัก และกล่าวขวัญสรรเสริญ ถึงในเวลาที่ตายไป ทั้งนี้เพราะตลอดเวลาที่มีชีวิต คนมีศีลไม่มีพิษมีภัยต่อผู้ใด มีกิริยาวาจาละมุนละไม น่ารัก ไม่ฆ่าตี ข่มเหง เบียดเบียน ทำร้ายใคร ทั้งด้วยกายและวาจา ประกอบด้วยความเมตตากรุณาแก่สัตว์ทั้งปวงอยู่เป็นนิจ ด้วยเหตุนั้น ศีลเป็นอาภรณ์คือเครื่องประดับอันประเสริฐ (สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ) เพชรนิลจินดาและอาภรณ์อันมีค่า มิใช่เครื่องประดับอันประเสริฐ เพราะไม่อาจทำกาย วาจา ใจ ของผู้ประดับให้งดงามได้ คนมีศีลเป็นเครื่องประดับ จึงงดงามทุกเมื่อ
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.