แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันอาทิตย์ที่ ๙ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง คุณของพระพุทธเจ้า ตอนที่ ๓๕ สัตบุรุษคือคนดีแม้นอยู่ไกลก็เหมือนใกล้ ส่วนอสัตบุรุษคือคนไม่มีแม้อยู่ใกล้ก็เหมือนไกล
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
พระพุทธเจ้าคือผู้ที่รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ คือทรงรู้อริยสัจ ๔ แล้วเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติคืออริยมรรคมีองค์ ๘ เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี เมื่อสิ่งนี้มีแล้วที่เป็นอวิชชาเป็นความหลง เราจึงต้องมาหยุดเหตุเพื่อไม่ให้มี ผู้ที่นับถือศาสนาทุกศาสนาต้องเข้าใจเรื่องอริยสัจ ๔เรื่องความจริงเรื่องเหตุเรื่องปัจจัย เราดูที่กิจกรรมของแต่ละประเทศ ทุกอย่างก็ต้องเข้าสู่กิจกรรมคือกฎแห่งกรรม เราจะได้รู้อริยสัจ ๔ รู้เหตุรู้ผล รู้กรรมและผลของกรรม จะเป็นแต่เพียงคนอย่างนี้ไม่ได้ มันไม่มีเหตุไม่มีผล ทำทั้งดีทั้งชั่วทั้งผิดทั้งถูก ถ้าเราเอาตามกฎของศาสนา ทุกคนก็จะเอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นใหญ่ เอาธรรมเป็นที่ตั้ง นักการเมืองก็จะได้เป็นนักการเมืองที่แท้จริง ข้าราชการก็จะเป็นข้าราชการที่แท้จริง จะเป็นจะเพียงรูปแบบอย่างนี้ไม่ได้ อย่างนักบวชก็เป็นได้แต่เพียงรูปแบบ มีอุปัชฌาย์ถูกต้อง ปลงผมห่มผ้าจีวร มีใบสุทธิ แต่ก็เป็นพระได้แต่เพียงแบรนด์เนม เพราะไม่ได้เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ยังคิดเหมือนฆราวาสทุกอย่าง พระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ก็รักษาได้ไม่สมบูรณ์ ไม่มีเหตุมีผลที่จะเป็นพระศาสนาได้ การปกครองก็ปกครองตนเองไม่ได้ ปกครองคนอื่นก็ไม่ได้ จะแต่งตั้งใครก็หนักใจ
เราจะได้มองเห็นว่าความเป็นพระนั้น พระพุทธเจ้านับเอาตั้งแต่พระโสดาบันจนถึงพระอรหันต์ ผู้ที่มีศีลมีธรรมที่สมบูรณ์ตามหน้าที่การงาน ตามข้อวัตรข้อปฏิบัติ ทุกคนก็จะได้ทำหน้าที่ให้สมบูรณ์
ทำไมเราถึงยากจนมันก็มีเหตุ ทำไมเราถึงมีหนี้มีสินมันก็มีเหตุ ทำไมเราถึงติดเหล้าติดเบียร์มันก็มีเหตุ ทำไมชีวิตของเราไม่เจริญรุ่งเรืองก็เพราะเราขาดอริยมรรคมีองค์ ๘
ทุกคนเห็นภัยในวัฏฏะสงสาร เห็นภัยในความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพราก ที่ได้พากันนับถือศาสนา ทุกศาสนาพากันเข้าใจอย่างนี้ เราได้เห็นภัยในการขาดแคลนปัจจัย 4 เช่น ถึงได้มีการวางแผนในการแสวงหาในการส่งลูกส่งหลานเรียนตั้งแต่ลูกได้ 3 ขวบ เพื่อสร้างเหตุ สร้างปัจจัย เพราะธรรมทั้งหลายทั้งปวงนั้น เกิดจากเหตุ เกิดจากปัจจัย เราก็อาศัยผู้ที่เกิดมาก่อนที่จะได้ประสบการณ์ ได้เรียนรู้ ตามหลักเหตุผล ตามหลักวิทยาศาสตร์ พวกเราน่ะ พากันทำตามกันมา ทำตามความคิด ทำตามอารมณ์ ทำตามความรู้สึก มันเป็นสัญชาตญาณ เมื่อเรามีความเห็นถูกต้อง มีความเข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง เราก็ได้พากันได้ปฏิบัติถูกต้อง เราก็พากันมาติดในความสุข ในความสะดวกความสบาย มาติดในเหยื่อ เพราะว่ามันอร่อย เราถึงต้องมาเกิด ถึงได้มีการเวียนว่ายตายเกิดกัน พระพุทธเจ้าถึงได้มาบอกวิธีพ้นทุกข์ มนุษย์ต้องพัฒนาทั้งวิทยาศาสตร์ทั้งเทคโนโลยี และก็พัฒนาทั้งใจไปพร้อมๆ กัน เพื่อให้จิตใจของเรามีสติ มีปัญญา จิตใจของเรามันจะไม่หลง ถ้าเราไม่เสียสละอย่างนี้ เราก็ไม่มีการปฏิบัติ ถ้าเราเสียสละ เราถึงจะมีความสุข ถึงจะมีอยู่มีกินมีใช้ มีบ้าน มีรถ มีสิ่งอำนวยความสะดวก ความสบาย เมื่อเราสะดวกสบายอย่างนี้แล้ว เราก็พัฒนาใจของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างนั้น มันจะได้เป็นคุณ มันจะได้ไม่มีโทษ ที่พระพุทธเจ้าบอกว่าเป็นกามคุณ แต่ทุกวันนี้ไม่เห็นมีกามคุณ มันจะเป็นกามโทษกันหมด
ทุกๆ คนต้องพากันมาปฏิบัติตัวเอง พากันมาเสียสละทางจิตใจ เราไม่เสียสละไม่ได้ เพราะมันจะทำให้เราก่อภพ ก่อชาติ ทำให้เราตั้งอยู่ในความเพลิดเพลิน ตั้งอยู่ในความประมาท อย่างพระภิกษุสามเณรนี้รู้หมดว่า พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เอาเงิน ไม่ให้เอาปัจจัย ไม่ให้รับเงินรับทอง เพราะพระวินัยในพระไตรปิฏก ที่เป็นหลักการหลักวิชาการ ก็มีอยู่แล้ว ในเมืองไทยหรือว่าหลายๆประเทศ รู้ว่าการรับเงิน รับสตางค์นี้มันไม่ได้ เพราะความเสียสละอย่างนี้ก็ ตั้งแต่สมมติ ไม่มีใครปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เพราะว่าทุกคนมันติดความสุข ติดความสะดวกความสบาย เรียกว่า กาม
อย่างหลวงพ่อชา หลวงตามหาบัว บอกสอนว่าโทรศัพท์มือถือ พวกสื่อสารนี้แหละ มันมีโทษนะ ถ้าเราไม่ระมัดระวัง เพราะในนั้นน่ะ มันมีกามคุณในตัว ประธานสงฆ์ เจ้าอาวาสทุกเจ้าอาวาสก็ฟังกันหลายรอบ แต่ทุกคนก็เฉย เพราะว่ามันติดมันชอบมันหลง มันมีเหตุผลมาคัดง้าง เพราะว่ามันติด มันไม่ยอมเสียสละ ไม่ยอมปล่อยไม่ยอมวาง เมื่อไม่ยอมเสียสละไม่ยอมปล่อยไม่วาง จิตก็คือไปไม่ได้ มันไม่มี มันผิดหลักการ หลักเหตุผล สิ่งเหล่านี้น่ะ ต้องพากันรู้จัก พระผู้ใหญ่ ผู้เป็นหัวจักร ต้องแก้ไขตัวเอง หรือว่านักปกครองที่ใช้การเผยแพร่ เพื่อสืบสานในการเผยแพร่ก็ต้องระมัดระวัง การปล่อยวาง มันก็ต้องยังฉันข้าวอยู่ แต่ไม่ให้ติดในข้าว ในอาหาร การเผยแพร่มันต้องมีที่อยู่ที่นอนที่อะไรอย่างนี้ เพราะสิ่งเหล่านี้มันก็เปรียบเสมือนไวรัส ถ้าร่างกายของเราไม่แข็งแรงไม่แข็งแกร่ง มันก็ต้องเข้าสู่ร่างกาย ถ้าศีล สมาธิ ปัญญาของเราไม่แข็งแรงไม่แข็งแกร่งอย่างนี้ การประพฤติการปฏิบัติของเราก็วิบัติ ผู้ที่เป็นนักบวชนี่ก็ต้องพากันพินิจพิจาณา ถ้าไม่อย่างนั้นศีล๕ ก็ปฏิบัติไม่ได้หรอก ภิกษุสามเณรน่ะ เพราะว่ายังโกหกพระพุทธเจ้า ยังโกหกประชาชนอยู่ เพราะเราถือสัญลักษณ์ของนักบวช ปลงผม นุ่งห่มจีวร ถือว่าถือแบรนด์เนมของพระพุทธเจ้า แต่ก็ยังไม่ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้า 100% ถือว่าเป็นผู้ยังหลอกลวงอยู่ ศีล ๕ ก็ไม่ได้ อย่างนี้ธรรมะมันจะเกิดได้อย่างไร
ทุกท่านทุกคนต้องใจเข้มแข็งอย่าไปใจอ่อน ถ้าเราใจอ่อน สัมมาสมาธิของเรามันจะไม่มีไม่เกิด เราก็ไม่ได้ต่อยอด สืบทอดให้พระพุทธเจ้า ความรู้ของเรามันก็ไม่ได้สู่ลูกสู่หลาน เพราะว่าไม่ได้เป็นตัวอย่าง แบบอย่าง ต้องลองบังคับตัวเองนะ ถ้าพระพุทธเจ้าไม่เข้มข้น ไม่เคร่งครัด ไม่เคี่ยวเข็นอย่างนี้ มันก็ไม่ได้ อย่าไปคิดว่าปล่อยวาง ไปตามใจ มันจะได้ อันนั้นมันปล่อยวางจริง ปล่อยวางมรรคผล ปล่อยวางพระนิพพาน ปล่อยวางศีล สมาธิ ปัญญา เอาแต่ตัว เอาแต่ตน มันต้องปฏิบัติติดต่อกันหลายวัน หลายเดือน หลายปี เราดูตัวอย่างพระสารีบุตร เป็นพระอรหันต์แล้วท่านอาพาธ คุยกับพระโมคคัลลานะว่า เมื่อสมัยก่อนได้ฉันข้าวยาคู ที่โยมแม่ทำให้ เทวดาเมื่อได้ยินก็ไปบอกประชาชนให้ทำอาหารนั้น พระสารีบุตรก็รู้ว่าอันนี้มันเกิดจากที่เราคุยกัน ไม่ยอมฉัน เพื่อรักษาพระวินัยเป็นตัวอย่างแบบอย่างของกุลบุตรลูกหลาน อย่างพระมหากัสสปะก็ทรงธุดงควัตร ทั้งที่ท่านก็เป็นพระอรหันต์แล้ว ก็เพื่อประโยชน์ของกุลบุตรลูกหลาน เราก็ต้องพากันมาคิดบ้าง ประโยชน์ของกุลบุตรลูกหลาน ถ้างั้นนะ มันจะไม่ได้ มันจะไปในแนวเพี้ยนกันทั้งหมด เหมือนครูบาอาจารย์ทุกวันนี้ก็พากันเพี้ยน เพี้ยนจากคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เพราะความอร่อยของกาม มันเล่นงาน เราทุกคนสมควรนะ สมควรที่จะมาแก้ไขตัวเอง ถ้าเราตามใจตัวเอง ตามอารมณ์ตัวเอง 100% มันก็หมด เดี๋ยวมันก็ไม่เหลืออะไร มรรคผลนิพพาน มันก็ศูนย์เปล่าไปจากโลกนี้ เพราะไม่มีการประพฤติไม่มีการปฏิบัติ เพราะว่าไม่มีเหตุ การเผยแพร่ล้มเหลว ก็เพราะว่ามันล้มเหลวจากผู้ที่เผยแพร่เอง
พวกที่ยังไม่ได้บวชก็ยังไม่เข้าใจ คิดว่าถ้ามันจะได้ผล มันต้องพากันมาบวช อันนี้เรายังไม่เข้าใจ เพราะการปฏิบัติธรรมมันคืออริยมรรคมีองค์ ๘ ยังไม่เข้าใจศาสนา มันต้องมีการประพฤติ มีการปฏิบัติ ถ้าเราเน้นที่ใจ เน้นที่เจตนาน่ะ เราจะรู้เลยว่าศีลของเราบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ คนเรามันปกปิดคนอื่นได้ มันหลอกคนอื่นได้แต่มันปกปิดตัวเองไม่ได้ หลอกตัวเองไม่ได้ การรักษาศีลของเรา ก็เพื่อให้ตัวเองกราบตัวเองได้ ไหว้ตัวเองได้ เพราะว่าตัวพระพุทธเจ้าที่แท้จริงนั่นคือศีล ศีลนั้นคือความบริสุทธิ์ผุดผ่อง คือ สถานที่ไม่มีความโลภ ความโกรธ ความหลง อาการที่มันไม่เห็นความสำคัญในศีลคืออาการของตัวของตนน่ะ นักปฏิบัติไม่ว่าพระไม่ว่าโยมบางทีมันประมาทไป เมื่อศีลมันไม่ดีน่ะ สมาธิที่มันเป็นธรรมชาติที่ไม่เข้าไม่ออก ที่เป็นพื้นฐานของสมาธิมันไม่เกิดน่ะ
ถ้าเราศีลดี สมาธิมันก็เกิดมีโดยธรรมชาติ สมาธิก็แปลว่าไม่มีความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นจิตใจที่ว่างจากนิวรณ์ ถ้าเราปฏิบัติถูกต้องน่ะ ศีล สมาธิ ปัญญา มันจะรวมกันเป็นหนึ่งไปตลอด เรามาบวช เรามาปฏิบัติ ถ้าเราไม่เอาจริงไม่เอาจัง เราไม่ตั้งใจ มันไม่ได้ผล ทำให้เราเสียเวลา ทำให้เราแก่ไปเปล่าๆ การมาบวชของเรานี่ไม่มีประโยชน์น่ะ ไม่ตรงเป้าหมายของพระพุทธเจ้าที่ท่านสั่งสอนสำหรับผู้ประพฤติพรหมจรรย์ พระพุทธเจ้าท่านสอนว่าทุกคนปฏิบัติได้หมด ไม่เลือกชาติไม่เลือกตระกูล ถ้าตั้งใจประพฤติปฏิบัติ โลกนี้จะไม่ว่างจากพระอรหันต์ หรือไม่ว่างจากผู้หมดกิเลส พระนิพพานมันไม่ใช่เรื่องไกล สำหรับเราถ้าตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติ ท่านไม่ให้เราลูบๆ คลำๆ มันเป็นสีลัพพตปรามาส
สำหรับผู้ที่บวชระยะสั้นหรือญาติโยมที่พากันมาอยู่วัดถือศีล ครูบาอาจารย์ก็ให้ตั้งอกตั้งใจ ให้ทำเหมือนกันให้ปฏิบัติเหมือนกัน ให้มุ่งมรรคผลนิพพานเหมือนกัน อย่าไปคิดว่าอีกไม่นานเราจะสึกอยู่ หรืออีกไม่นานเราจะกลับบ้าน เมื่อเรามาอยู่วัดปฏิบัติธรรม เราต้องปฏิบัติให้เต็มที่ ทุกท่านทุกคนมีความอยากมีความต้องการแต่ไม่อยากปฏิบัติ มันจะเกิดประโยชน์อะไร เพราะการปฏิบัติของเรามันไปขอเอาไม่ได้ มันไปอ้อนวอนเอาไม่ได้ ทุกๆ คนแต่งตั้งเราไม่ได้ เราต้องปฏิบัติเอาเอง
ถ้าเรามีการประพฤติปฏิบัติ มันก็เป็นเรื่องง่ายๆ เรื่องใกล้ตัว มันเรื่องของเรา ทุกท่านทุกคนมีศักยภาพมีความสามารถ ที่มันยังขาดอยู่ก็คือการประพฤติปฏิบัติ นั่งสมาธิอย่างนี้ก็ให้ตั้งใจให้เข้าสมาธิให้ได้ ให้มันข้ามนิวรณ์ความง่วงเหงาหาวนอน จิตใจให้ตั้งมั่นสว่างไสว อย่าให้มันหลับในบ่อย มันทำให้จิตไม่มีกำลัง พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราเอาความสุขกับการง่วงเหงาหาวนอน ให้ทำใจเป็นหนึ่งเป็นเอกัคคตา การเดินบิณฑบาต การทำอะไรให้มันตั้งใจตั้งมั่นกับทุกๆ ท่าน การทำกิจวัตรต่างๆ เราพากันมาเน้นข้อวัตรปฏิบัติ มาเน้นมรรคผลนิพพานกัน ให้มีความสุขกับการปฏิบัติกันจริงๆ เราจะหลบทางซ้ายหลบทางขวาหลบหน้าหลบหลังไม่ได้ มันเป็นงานเป็นหน้าที่ของทุกท่านทุกคน ต้องตั้งใจประพฤติปฏิบัติเพื่อมรรคผลเพื่อนิพพาน ลาภยศสรรเสริญนี่มันไม่ใช่ของเรา มันไม่ใช่ของสำหรับเรา คนเราจะตีค่าด้วยลาภยศสรรเสริญ ด้วยข้าวของเงินทองมันไม่ได้ เราไม่ได้มามุ่งมนุษย์สมบัติสวรรค์สมบัติ เป็นพระต้องมุ่งมรรคผลนิพพาน เป็นโยมจะคิดว่ามุ่งมรรคผลนิพพานมันไม่ได้ มันได้นะ เราเป็นโยมเราต้องมุ่งมรรคผลนิพพานเพราะมันไม่ใช่เรื่องของกาย จะบวชหรือไม่บวช ถ้าปฏิบัติตามก็ได้มรรคผลนิพพานกันทั้งนั้น การปฏิบัติมันเหมาะสำหรับพระ เราก็ปฏิบัติเป็นพระได้ พระสมมติก็เป็นพระจริงๆ ได้
เราอยู่บ้านอยู่ที่ทำงานก็ต้องตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติ เพราะเราหาอยู่หากินตั้งแต่อนุบาลจนถึงตาย สุดท้ายเราก็ไม่ได้อะไร มาตัวเปล่าไปตัวเปล่า ทรัพย์สมบัติภายนอกก็ทิ้งไว้ สุดท้ายท่านก็ได้แขกผู้มีเกียรติมาทอดผ้าบังสุกุลให้ท่าน
ให้ตั้งใจประพฤติปฏิบัตินะ ทั้งพระทั้งโยมทั้งอยู่วัดอยู่บ้าน การประพฤติปฏิบัติอย่างนี้เขาเรียกว่าปฏิบัติบูชาไม่ใช่อามิสบูชา ตัวศีลนั่นแหละคือพระพุทธเจ้า ตัวไม่โลภไม่โกรธไม่หลงนั้นแหละคือพระพุทธเจ้า การที่เราทำความเพียรสร้างมรรคสร้างปัญญาคือตัวที่จะทำให้เราเป็นพระ
การประพฤติปฏิบัติธรรมเราจะเดินจะเหินจะนั่งจะนอนเราต้องทำจิตใจเป็นหนึ่ง จิตที่เป็นหนึ่งเป็นจิตที่ไม่ปรุงแต่ง จิตที่เป็นมรรคเป็นข้อวัตรปฏิบัติ ตาเห็นรูป หูฟังเสียงที่มันมาสัมผัส ก็เป็นสักแต่ว่า อย่าให้เป็นสัตว์ บุคคลตัวตนเราเขา ฝึกไว้ปฏิบัติไว้ให้ใจของเราเป็นหนึ่งเป็นเอกัคคตา คือ ข้อปฏิบัติคือทางสายเอก ต้องจิตใจเป็นหนึ่ง จิตใจตั้งมั่น พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่านี้คือหนทางสายเอกของเรา ให้ทุกท่านทุกคนให้กลับมาหาตนเอง กลับมาแก้ไขตนเอง ชีวิตของเราจะได้เปลี่ยนแปลงไปทางที่ดี ถึงจะยากถึงจะลำบากก็ช่างหัวมัน ถ้ามันลำบากมันได้ดีนะ ถ้ามันสบายมันไม่มีประโยชน์อะไร เราจะไปสบายมันทำไม พระพุทธเจ้าให้เราพากันปฏิบัติอย่างนี้นะ สำหรับผู้ที่บวชเป็นพระที่จะไปพระนิพพานกัน ถ้าเราไม่ประพฤติปฏิบัติเอง เราก็คิดว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้มันคงเป็นนิยายมั้ง เขียนมาส่งเดชเฉยๆ มั้ง
สมัยอนาถบิณฑิกเศรษฐียังหนุ่มแน่น มีสหายรักอยู่คนหนึ่ง ชาวเมืองอุคคนคร ทั้งสองคนรู้จักกันและได้เป็นสหายกัน เพราะเล่าเรียนศิลปวิทยาในสำนักอาจารย์เดียวกัน ทั้งสองได้สัญญากันว่า เมื่อต่างคนต่างแต่งงานมีลูกมีเต้าแล้ว ถ้าใครมีลูกชายก็ขอให้หมั้นหมายกับลูกสาวของอีกฝ่ายหนึ่ง
หลังจากเรียนจบกลับมาบ้านเมืองของตน ทั้งสองต่างก็ได้เป็นเศรษฐี เป็นศักดิ์เป็นศรีแก่บ้านเมืองของตน
วันหนึ่ง อุคคเศรษฐี เดินทางไปด้วยเรื่องธุรกิจที่เมืองสาวัตถี ได้ทราบว่าสุทัตตะ (นามเดิมของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี) มีบุตรสาวถึงสามคน ตนมีลูกชายคนหนึ่ง จึงทวงสัญญาที่เคยให้กันไว้สมัยยังเป็นนักศึกษา
เศรษฐีจึงเรียกจุลสุภัททา (อรรถกถาอังคุตตรนิกายว่าเป็นมหาสุภัททาผู้พี่) บอกว่าพ่อได้หมั้นหมายเจ้าไว้กับลูกอุคคเศรษฐี ตั้งแต่ลูกยังไม่เกิด บัดนี้เขามาทวงสัญญาแล้ว ลูกจะต้องแต่งงานกับลูกชายเขา
ธรรมเนียมสมัยโน้น แน่นอนย่อม “คลุมถุงชน” เป็นปกติธรรมอยู่แล้ว ลูกสาวจำต้องปฏิบัติตามคำสั่งของพ่อแม่ งานแต่งงานอันใหญ่โตโอฬารก็เกิดขึ้น สมัยโน้น ฝ่ายหญิงต้องไปอยู่กับตระกูลฝ่ายสามี พ่อแม่จึงให้โอวาทสอนแล้วสอนอีกว่า แต่งงานแล้วจะต้องปรนนิบัติพ่อผัวแม่ผัวและสามีอย่างไร โอวาท ๑๐ ข้อที่พ่อนางสุภัททาสอนนางนั่นแหละครับ เป็นโอวาที่พ่อแม่ทุกคนนำมาสอนลูก โอวาท ๑๐ ข้อนั้น คือ
๑. ไฟในอย่านำออก (อย่านำเรื่องภายในครอบครัวไปนินทาให้คนข้างนอกฟัง)
๒. ไฟนอกอย่านำเข้า (อย่าเอาเรื่องของคนข้างนอกมานินทาให้ครอบครัวฟัง)
๓. จงให้คนที่ให้ (คนยืมของแล้วคืน มายืมอีกจงให้)
๔. อย่าให้คนไม่ให้ (คนที่ยืมของแล้วไม่คืน ภายหลังอย่าให้ยืมอีก)
๕. จงให้คนที่ไม่ให้ (ญาติพี่น้อง ถึงเขายืมแล้วไม่คืนก็ให้)
๖. นั่งให้เป็นสุข (นั่งในที่ไม่ต้องลุก คืออย่านั่งขวางทางคนอื่น)
๗. นอนให้เป็นสุข (อย่านอนขวางทางคนอื่น)
๘. กินให้เป็นสุข (ไม่กินในที่ที่ขวางทางคนอื่น)
๙. จงบูชาไฟ (ให้ปรนนิบัติพ่อสามี แม่สามี และสามีให้ดี)
๑๐. จงบูชาเทวดา (ให้ทานต่อสมณชีพราหมณ์)
เวลาพ่อจะส่งลูกสาวให้ไปอยู่กับตระกูลสามี พ่อได้ส่งกฎุมพี ๘ คน ไปเป็นหูเป็นตาช่วยดูแลลูกสาวด้วย ถ้าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นกับลูกสาว ก็ให้กฎุมพีทั้ง ๘ ช่วยวินิจฉัยด้วย คล้ายส่งที่ปรึกษาไปช่วยดูแลแทนนั้นแหละ ว่ากันว่า ตระกูลสามีเป็น “มิจฉาทิฐิ” ในความหมายนี้ก็คือ พวกเขานับถือสมณชีพราหมณ์ลัทธิอื่น นัยว่าตระกูลนี้นับถือพวกชีเปลือย (ศาสนาเชน หรือนิครนถ์นาฏบุตร) ซึ่งมีอยู่ดาษดื่นในอินเดียสมัยโน้น
เวลามีงานมงคล พ่อสามีจะสั่งสอนให้ลูกสะใภ้มาไหว้สมณะที่เขาเคารพนับถือ นางก็ไม่ค่อยไป เมื่อบ่อยเข้าพ่อสามีก็หาว่าลูกสะใภ้หัวแข็ง ไม่เคารพต่อสามี มีความผิดมหันต์ถึงขั้นต้องส่งกลับตระกูลเดิม
ว่ากันว่า สตรีที่ตระกูลของสามีส่งกลับบ้าน นับว่าเป็นกาลกิณีใหญ่หลวง เป็นความอัปยศอย่างสุดประมาณ เผลอๆ พ่อแม่อาจไม่รับคืนบ้าน ขับไล่ไสส่งให้ไปอยู่ที่อื่นอีกต่างหาก
สุภัททาเธอเห็นว่า เรื่องจะไปกันใหญ่ จึงเล่าเรื่องให้กฎุมพี ๘ คนฟัง
กฎุมพีทั้ง ๘ จึงไปไกล่เกลี่ยไม่ให้เศรษฐีเอาเรื่อง เพราะนางไม่ผิด นางมีสิทธิ์นับถือศาสนาใดๆ ก็ได้ที่ตนเลื่อมใส ไม่ควรบังคับให้นับถือชีเปลือย
ภรรยาเศรษฐียังไม่วายบ่น ว่าลูกสะใภ้ฉันมันหัวแข็งและปากไม่ดี หาว่าพระของพวกฉันไม่มียางอาย อยากรู้นักว่า พระของนางดีเด่นแค่ไหน สุภัททาจึงกล่าวโศลกพรรณนาคุณของพระของนางให้ฟัง ดังนี้
“ท่านมีอินทรีย์สงบ มีใจสงบ ยืนเดินเรียบร้อย มีจักษุทอดลงต่ำ พูดพอประมาณ สมณะของฉันเป็นเช่นนี้ (สนฺตินฺทฺริยา สนฺตมานสา สนฺตํ เตสํ คตํ ฐิตํ, โอกฺขิตฺตจกฺขู มิตภาณี, ตาทิสา สมณา มม.)
กายกรรมหมดจด วจีกรรมหมดจด มโนกรรมก็หมดจด สมณะของฉันเป็นเช่นนี้ (กายกมฺมํ สุจิ เตสํ, วาจากมฺมํ อนาวิลํ, มโนกมฺมํ สุวิสุทฺธํ, ตาทิสา สมณา มม.)
ท่านบริสุทธิ์ ไร้มลทิน ดุจสังข์ขัด และดุจมุกดามณี บริสุทธิ์ทั้งภายในและภายนอก สมบูร์ด้วยธรรมอันหมดจด สมณะของฉันเป็นเช่นนี้ (วิมลา สงฺขมุตฺตาภา สุทฺธา อนฺตรพาหิรา ปุณฺณา สุทฺเธหิ ธมฺเมหิ, ตาทิสา สมณา มม.)
ชาวโลกฟูเมื่อมีลาภ มียศ มีสรรเสริญ มีสุข ฟุบเมื่อเสื่อมลาภ เสื่อมยศ ถูกนินทา และประสบทุกข์ สมณะของฉันไม่ฟูหรือฟุบ ไม่ว่าจะมีลาภหรือเสื่อมลาภ มียศหรือเสื่อมยศ มีสรรเสริญหรือนินทา มีสุขหรือมีทุกข์ จิตใจท่านมั่นคง สม่ำเสมอ ไม่หวั่นไหว สมณะของฉันเป็นเช่นนี้
(ลาเภน อุนฺนโต โลโก อลาเภน จ โอนโต, ลาภาลาเภน เอกฏฺฐา, ตาทิสา สมณา มม.
ยเสน อุนฺนโต โลโก อยเสน จ โอนโต, ยสายเสน เอกฏฺฐา, ตาทิสา สมณา มม.
ปสํสาย อุนฺนโต โลโก นินฺทายาปิ จ โอนโต, สมา นินฺทาปสํสาสุ, ตาทิสา สมณา มม.
สุเขน อุนฺนโต โลโก ทุกฺเขนาปิ จ โอนโต, อกมฺปา สุขทุกฺเขสุ, ตาทิสา สมณา มมาติ)”
แม่สามีกล่าวว่า เธอจงแสดงสมณะของเธอให้ฉันดูเดี๋ยวนี้ นางรับว่า ได้ พรุ่งนี้ฉันจะนิมนต์พระพุทธเจ้าและภิกษุสงฆ์มาฉันภัตตาหารที่บ้านให้ดูเป็นขวัญตา ว่าแล้วนางก็ขึ้นบนปราสาทชั้นบน ผินหน้าไปทางพระเชตวัน กราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ทำการบูชาด้วยดอกไม้ของหอมแล้วกราบทูลอาราธนาว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ลูกสุภัททาขออาราธนาพระสงฆ์อันมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขมาฉันภัตตาหารที่บ้านของลูกในวันพรุ่งนี้ด้วยเถิด” เสร็จแล้วก็ซัดดอกมะลิไปในอากาศ ๘ กำ ดอกไม้นั้นลอยหายวับไปกับตาอย่างมหัศจรรย์ แล้วมาตกลงเบื้องพระบาทของพระพุทธองค์ที่พระเชตวัน ขณะทรงแสดงธรรมอยู่
หลังทรงแสดงธรรมเสร็จ อนาถบิณฑิกเศรษฐีทูลอาราธนาให้เสด็จไปเสวยพระกระยาหารที่บ้านท่าน พระพุทธองค์ตรัสว่า “ตถาคตรับนิมนต์สุภัททา บุตรสาวท่านแล้ว”
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สุภัททาบุตรสาวข้าพระองค์อยู่ถึงอุคคนคร ไกลลิบเลย นางมาทูลอาราธนาพระพุทธองค์ได้อย่างไร”
ของพรรค์นี้ง่ายนิดเดียว นางสุภัททาเป็นพระอริยบุคคลระดับโสดาบัน ย่อมสามารถส่งกระแสจิตมานิมนต์พระพุทธองค์ได้ หรือแม้นางไม่ได้เป็นพระอริยะระดับใด พระพุทธองค์ผู้ทรงเป็นสัพพัญญูย่อมทรงทราบอยู่แล้ว พระองค์มิได้ตอบอนาถบิณฑิกเศรษฐีอย่างนี้ แต่ตรัสเป็นคาถา (โศลกประพันธ์) ว่า
"ทูเร สนฺโต ปกาเสนฺติ หิมวนฺโตว ปพฺพโต อสนฺเตตฺถ น ทิสฺสนฺติ รตฺติขิตฺตา ยถา = สราสัตบุรุษย่อมปรากฏในที่ไกล ดุจเขาหิมพานต์ อสัตบุรุษต่างหากแม้อยู่ไกลก็ไม่ปรากฏ ดุจลูกศรที่ยิงในเวลากลางคืน (มองไม่เห็น)"
สัตบุรุษทั้งหลาย แม้อยู่ในที่ไกล ดุจภูเขาสูงใหญ่ย่อมปรากฏให้เห็นเด่น อยู่ไกลก็เหมือนอยู่ใกล้ ส่วนอสัตบุรุษย่อมไม่ปรากฏดุจลูกศรที่นักธนูยิงไปในเวลากลางคืน คือ ไม่ปรากฏเลย ฟุ้บหายไปไหนก็ไม่รู้ อยู่ใกล้เหมือนอยู่ไกล
สัตบุรุษ คือ บุคคลผู้ที่สั่งสมบุญบารมีไว้ดีแล้ว ในสมัยพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ก่อนๆ คือ ผู้ที่สั่งสมบุญมาดี แม้อยู่ไกลแสนไกลเพียงใดย่อมปรากฏในญาณทัศนะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เหมือนอยู่ใกล้ๆ
ส่วนอสัตบุรุษ คือ พวกคนพาล ที่มองเพียงปัจจุบัน ไม่คำนึงถึงโลกหน้า เป็นผู้เห็นแก่ได้ เห็นแก่ผลประโยชน์ หรือเห็นแก่อามิส บวชเพื่อประโยชน์แก่ชีวิต ชื่อว่า อสัตบุรุษ, แม้จะนั่งอยู่ใกล้พระพุทธองค์ก็ไม่มีใครสนใจ คือ เห็นเหมือนมองไม่เห็น ขนาดอยู่ใกล้ๆ แทบพระชานุเบื้องขวาของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ยังไม่ค่อยเข้าใจเลยในสิ่งที่พระองค์ได้ทรงแสดงธรรม
สองบทว่า รตฺตึ ขิตฺตา คือ เหมือนลูกศรที่ยิงไปในราตรี คือในที่มืดประกอบด้วยองค์ ๔ (วันแรม ๑๔-๑๕ ค่ำ, เที่ยงคืน, ดงทึบ, ก้อนเมฆ. อธิบายว่า อสัตบุรุษเหล่านั้น ย่อมไม่ปรากฏเพราะความไม่มีแห่งบุรพเหตุ ซึ่งเป็นอุปนิสัยเห็นปานนั้น. ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น.
ว่ากันว่า วิสสุกรรมเทพบุตร นิรมิตเรือนยอดใหญ่โตให้พระพุทธองค์ประทับพร้อมภิกษุสงฆ์ แล้วเรือนยอดก็ลอยลิ่วๆ จากพระเชตวัน เมืองสาวัตถี ไปยังอุคคนคร ปรากฏต่อสายตาครอบครัวอุคคเศรษฐี เป็นที่อัศจรรย์นัก
เศรษฐีเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า เลยทิ้งศาสนาเดิม หันมานับถือพระรัตนตรัยเป็นสรณะพร้อมครอบครัว ถวายทานแด่พระสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าทรงเป็นประธาน ๗ วันติดต่อกัน ยังความปลาบปลื้มปีติยินดีและความเลื่อมใสให้บังเกิดขึ้นแก่ครอบครัวของ อุคคเศรษฐีเป็นอย่างมาก ในที่สุดทุกคนก็ได้บรรลุธรรมาภิสมัยมีโสดาปัตติผลเป็นต้น
เมื่อเรามีทุกข์ เรามักหาที่พักพิง สิ่งที่เราใช้กันประจำคือ สุรา ยาเสพติด กามคุณ อำนาจหรือเงินตรา แต่ในที่สุด มันก็ไม่ยั่งยืนจนเราไม่รู้ว่า “อะไรคือความสุขที่แท้จริงกันแน่”
ในพระพุทธศาสนา ที่พึ่งที่ดีที่สุด คือ พระรัตนตรัย ซึ่งประกอบไปด้วย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
พระพุทธเจ้า คือ องค์พระศาสดา ผู้เปรียบเหมือนนายแพทย์ที่ค้นพบวิธีพ้นทุกข์
พระธรรม คือ ตัวยาที่จะฆ่าเหตุแห่งทุกข์ออกไปจากเรา และ
พระสงฆ์ คือ คณะแพทย์ที่รู้ว่าเราเหมาะกับยาใด
เรียนรู้ปฏิบัติอยู่กับพระรัตนตรัย จะทำให้เราพบกับความสุขที่ยั่งยืน
พระพุทธเจ้าให้เราทุกท่านทุกคนให้พากันเห็นทุกข์เห็นภัยในวัฏสงสาร ให้เห็นเหตุแห่งทุกข์ ให้เห็นความดับทุกข์ ให้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ ไม่มีใครช่วยเหลือเราได้ปฏิบัติให้เราได้ นอกจากเราปฏิบัติเอาเอง เป็นอันว่าเราเป็นผู้มีบุญมีวาสนามีบารมีเป็นคนโชคดี ที่ได้ปฏิบัติตามรอยบาทขององค์พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ให้แสงสว่างให้ความดับทุกข์ดับโศกของมหาชนทั้งหลาย ท่านเป็นผู้ที่มีเมตตาอย่างไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ หวังว่าท่านทั้งหลายจะได้น้อมนำพระธรรมคำสั่งสอนไปเป็นแนวทางปฏิบัติด้วยกันทุกท่านทุกคนเทอญ…
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee