แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันเสาร์ที่ ๘ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง คุณของพระพุทธเจ้า ตอนที่ ๓๔ ความกียจคร้านเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เป็นทางวิบัติทั้งในทางโลกและทางธรรม
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ทุกท่านทุกคนนั้นจะปล่อยตัวเองตามอัธยาศัยไม่ได้ ต้องปฏิบัติตัวเองไฟท์ติ้งตัวเอง เราทุกคนก็รู้ตัวเองแล้วว่าใจของตัวเองเป็นอย่างไร เราต้องเผด็จการตัวเองด้วยธรรมวินัย เราต้องอาศัยพระพุทธเจ้า อาศัยครูบาอาจารย์ที่เป็นพระอรหันต์เป็นพระอริยเจ้า เราทุกคนเป็นผู้ใจอ่อน พ่อแม่เราทุกคนเป็นผู้ใจอ่อน เราต้องอาศัยความกรุณาของพระพุทธเจ้าของพระอรหันต์ เราต้องถือนิสัยของท่านไม่ถือนิสัยของเราเอง เราทุกคนฝึกได้ปฏิบัติได้
ผู้ที่เกิดมาร่วมโลกกันที่มีอินทรีย์บารมีที่แข็งแรงต้องอาศัยความกรุณาให้การอบรมให้การฝึกสอน เพราะคนเราที่เกิดมาน่ะระบบสมองสติปัญญาทางร่างกายมันก็ไม่ต่างกัน มันต่างอยู่ที่ผู้ที่ได้ปฏิบัติตนอย่างติดต่อต่อเนื่องมาหลายภพหลายชาติ กรรมต่างๆ ที่เราจะมองเห็นผลนั้นมันก็ใช้เวลาตั้งหลายปี
พระพุทธเจ้าท่านให้เรารู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ความดับทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ พระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่เป็นยาน เป็นเครื่องฝึกเครื่องปฏิบัติ เราทุกคนต้องรู้จักพระพุทธเจ้า รู้จักพระธรรม รู้จักศีลที่เป็นกิจกรรมเป็นพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ ที่เราจะต้องเอามาใช้เอามาประพฤติปฏิบัติ เราจะหลง เราจะเพลิดเพลินกับสักกายทิฏฐิที่มันเป็นเราเป็นตัวตนของเราไม่ได้ เราต้องเอาธรรมวินัยเอาข้อวัตรข้อปฏิบัติมาใช้มาปฏิบัติ ทุกท่านทุกคนต้องทวนกระแสทวนอารมณ์ของตัวเอง ปรับตัวเองเข้าหาเวลาปรับตัวเองเข้าหาธรรมะ
อารามคือกุฏิคือวิหารเป็นศูนย์รวมของผู้ที่มีความตั้งอกตั้งใจพากันฝึกตัวเอง เพื่อตามรอยของพระพุทธเจ้าตามรอยของพระอรหันต์ ในชีวิตประจำวันวันหนึ่งคืนหนึ่งนั้นมันมีเวลาจำกัดอยู่ ๒๔ ชั่วโมง เวลานอนของเราน่ะ ๖ ถึง ๘ ชั่วโมง เราทุกคนจะไปคอร์รัปชั่นเวลานอนของตัวเองไม่ได้ ความอร่อยของอวิชชาความหลงมันแซบมันลำมันหรอย ทุกท่านทุกคนต้องทวนแสทวนอารมณ์ เพื่อจะได้สร้างเหตุสร้างปัจจัยไม่เป็นคนตามอัธยาศัย เพื่อให้ปฏิปทามันติดต่อต่อเนื่องกันหลายวันหลายเดือนหลายปี ถ้าไม่อย่างนั้นเราทุกคนก็จะแก้ปัญหาไม่ได้ ชีวิตของเราทุกคนก็จะตกอยู่ในอบายมุขอบายภูมิ ตามกรรมตามกิจกรรมที่เรามีการประพฤติมีการปฏิบัติ
ทุกท่านทุกคนก็ต้องพากันรู้จักความสุขความดับทุกข์ที่แท้จริง ทุกๆ คนเค้าก็รักเราหมด แต่ถ้าเราไม่รักตัวเองทุกคนก็ย่อมเอือมระอา อารามที่เรียกว่าวัดนี้เป็นศูนย์รวมเป็นสถานที่ที่เราจะถือนิสัยของพระพุทธเจ้าของพระอรหันต์ของครูบาอาจารย์ มีข้อวัตรข้อปฏิบัติเพื่อให้เราพากันฝึกตนเองปฏิบัติตนเองในปัจจุบัน เรื่องธาตุเรื่องขันธ์มันก็เหนื่อยก็ยากก็ลำบากแต่มันเป็นปัญหาที่ปลายเหตุ เรื่องธาตุเรื่องขันธ์เรื่องอายตนะนี้มันเป็นปัญหาที่ปลายเหตุ ทุกคนที่เกิดมาที่เราเรียนหนังสือเราหางานทำก็เพื่อเลี้ยงร่างกายเลี้ยงธาตุขันธ์ นี่มันเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุเท่านั้น แต่ต้นเหตุเรื่องหลักคือรู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ความดับทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
ทุกคนจะปล่อยตัวเองไปตามธรรมชาติของอวิชชาความหลงไม่ได้ ต้องพาตัวเองขึ้นสู่พระกรรมฐาน พระกรรมฐานคือกิจกรรมที่มีฐานที่ตั้งที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาในภาคประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจำวันของเรา เราทุกคนนั้นเป็นผู้ที่ประเสริฐ เราต้องรู้จักว่าตัวเองเป็นผู้ที่ประเสริฐ ทำตามใจตามอารณ์ตามอวิชชาตามความหลงนั้น มันจะเป็นผู้ที่ประเสริฐได้อย่างไร ทุกท่านทุกคนอย่าไปสนใจความเหน็ดเหนื่อยความยากความลำบาก เพราะความเหนื่อยความยากความลำบากเหล่านี้ เป็นอุปกรณ์ที่ให้เราทุกคนได้ทวนกระแส มันเป็นเครื่องฝึกในปัจจุบันที่ให้เราทุกคนได้ทวนโลกทวนกระแส
กรรมที่เราคิดกรรมที่เราหลงที่เราพากันทำ กว่าจะรู้ผลมันก็เป็นเวลาตั้งหลายปี เราทุกคนต้องหยุดมีเซ็กส์ทางอารมณ์ หยุดมีเซ็กส์ทางความคิด เพื่อจะได้ปฏิบัติตัวเองพัฒนาตัวเอง ทุกท่านทุกคนนั้นพระพุทธเจ้าท่านไม่ให้หลงไม่ให้เพลิดเพลินไม่ให้ประมาท เราทุกคนจะเอาธาตุเอาขันธ์เอาอายตนะเป็นตัวเป็นตนไม่ได้ เพราะความคิดอย่างนี้เป็นความคิดสามัญชนเป็นความคิดปุถุชนคนหลงที่เรียกว่าคน
ทุกท่านทุกคนต้องพากันรักตัวเองสงสารตัวเองที่ต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร พระพุทธเจ้าท่านถึงแสดงธรรม กรณียเมตตสูตร กิจที่ควรทำของมนุษย์ กิจที่ไม่ควรทำของมนุษย์ เป็นกิจที่เราต้องปฏิบัติ กิจที่ต้องหยุดปฏิบัติ พระสูตรที่ท่านแสดงไว้นี้ไม่ใช่ให้เอามาสวดเพื่อขลังเพื่อศักดิ์สิทธิ์กัน แต่เป็นธรรมะที่เราต้องน้อมเข้าสู่จิตใจสู่ภาคปฏิบัติ ไม่ใช่เอามาสวดให้เหนื่อยเฉยๆ เรามีสถานที่ๆ ร่วมรวมกันปฏิบัติมีพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ให้ปฏิบัติ ทุกท่านทุกคนอย่าพากันเสียเวลาในการที่จะทำอะไรตามอัธยาศัย ต้องพากันรู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ความดับทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
เราเดินทางไกลเราก็ต้องนั่งเครื่องบิน เราจะโดดออกจากเครื่องบินเราก็ตาย เราไม่อาศัยยานคือศีลสมาธิปัญญาเราโดดออกจากยานด้วยการตามใจตามอารมณ์ตัวเองเราก็ตาย ตายจากคุณธรรมคุณงามความดี เราทุกคนเป็นคนขี้เกียจขี้คร้านเป็นสรณะ เราทุกคนมีตัวตนเป็นสรณะอย่างนั้น มันเป็นหายนะ มันเป็นความวิบัติ เราต้องพากันรู้ทุกข์รู้ รู้เหตุเกิดทุกข์ เราจะเอาคนในโลกนี้ที่มีประมาณ ๗ พันกว่าล้านคนเป็นสรณะไม่ได้ คำว่าคนก็รู้อยู่แล้วว่าคืออวิชชาคือความหลง
เราทุกคนที่เป็นสามัญชนเป็นปุถุชนนั้นยังเป็นผู้ที่ไม่ปลอดภัยนะ เพราะยังเอาใจตัวเองเป็นหลักเอาอวิชชาความหลงเป็นหลัก ยังไม่ได้เอาพระพุทธเจ้า ยังไม่ได้เอาพระธรรม ยังไม่ได้เข้าสู่กิจกรรมของพระอริยสงฆ์ เป็นผู้ที่ยังไม่ได้เป็นพระโสดาบัน ชีวิตมันยังไม่ปลอดภัย เราจะเดินทางไกลข้ามน้ำข้ามทะเลข้ามภูเขาต้องอาศัยเครื่องบินอย่างดี เราต้องขึ้นเครื่องนั่งเครื่องขับเครื่องบินนั้นไปด้วยตัวเอง ทุกคนนั้นยังอยู่ในวิกฤตการณ์ยังอยู่ในสถานการณ์ที่มีภัยพิบัติ ทุกท่านทุกคนก็ต้องรู้จักธรรมวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ที่เป็นศาสนา ที่เป็นทั้งศีลสมาธิปัญญา ที่เป็นยานที่จะนำเราออกไป
ที่พระพุทธเจ้าบอกว่าสมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ เราดูตัวอย่างแบบอย่างของพระอริยเจ้าทั้งหลายมีพระอรหันต์เป็นต้น ท่านมีปฏิปทาที่สม่ำเสมอจวบจนท่านละธาตุละขันธ์ นี่เราจะมาทำตามอัธยาศัยตามอวิชชาตามความหลงไม่ได้ เราต้องเผด็จการตัวเองด้วยธรรมวินัย ดูตัวอย่างหลวงปู่คำภา ท่านมีปฏิปทามีธรรมวินัยมีความสม่ำเสมอ เดินจงกรมนั่งสมาธิทั้งวันทั้งคืนอยู่อย่างนั้น พระที่บอกว่าจะพากันมุ่งมรรคผลนิพพานพากันไปเดินจงกรมนั่งสมาธิร่วมกับท่าน โดยที่ไม่ได้บอกให้ท่านรู้ ไม่ถึง ๗ วันก็ทำไม่ได้แล้ว นี่ก็คือว่าปฏิปทาในภาคประพฤติปฏิบัติ มันไม่คงเส้นคงวาไม่สม่ำเสมอ มันก็เป็นไปไม่ได้ที่เราจะตามรอยของพระพุทธเจ้าตามรอยของพระอรหันต์ มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
ทุกท่านทุกคนต้องอาศัยทั้งการฝึกทั้งการปฏิบัติ ความขี้เกียจขี้คร้านนี้มันเป็นสิ่งที่ประเสริฐของทุกๆ คนที่ไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ ไม่รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เราจะถือเอาความขี้เกียจขี้คร้านตามใจตามอารมณ์เป็นสิ่งที่ประเสริฐไม่ได้ เรามาบวชเป็นภิกษุเค้าก็ให้เกียรติเราว่าเป็นพระนั้นพระนี้ ถ้าเราทำตามใจตัวเองทำตามอารมณ์ที่มันหลง ถือตัวถือตนเป็นที่ตั้ง ถือความขี้เกียจขี้คร้านเป็นที่ตั้ง มันจะเป็นพระได้อย่างไร มันเป็นได้แต่แบรนเนม
ทุกท่านทุกคนอย่าพากันเอาอวิชชาความหลงเป็นที่ตั้งเป็นสรณะ คิดไปเรื่อยว่า เรานี้ปฏิบัติไม่ได้ บวชไม่ได้ บวชต่อไปยิ่งบาป สึกดีกว่า ความคิดอย่างนี้คิดไม่ได้ อย่าไปคิดโง่ ๆ อย่างนั้น ความรู้สึกอย่างนี้เราอย่าไปสนใจ เราต้องพากันรู้จักหน้าตาพ่อหน้าตาแม่ หน้าลูกหน้าหลานของความคิดอย่างนั้น เราจะเอาความว่างจากสิ่งที่ไม่มีอยู่ เราจะได้ปฏิบัติได้อย่างไร เราเอาความวิบัติเป็นที่ตั้งอย่างนี้ใช้ไม่ได้ เรามีไฟท์ที่ต้องประพฤติปฏิบัติ อย่าไปคิดว่าอย่างนี้ไม่ไหวแล้วต้องลาสิกขาแล้ว ความคิดอย่างนี้เราต้องรู้จักว่ามันไม่ใช่ความคิดของผู้มีสติมีปัญญา เป็นความคิดที่ไม่รู้จักอริยสัจ ๔ ความคิดอย่างนี้มันเป็นระบบครอบครัวระบบตัวตน ความคิดอย่างนี้มันเป็นอสุรกายมันกลัว กลัวมรรคผลพระนิพพานกลัวความดี เราต้องขอบใจความเหนื่อยความยากความลำบากที่มันเป็นเกมส์เป็นไฟท์เป็นสิ่งที่ทุกคนจะต้องได้ประพฤติได้ปฏิบัติ
ชีวิตของมนุษย์น้อยนักไม่เกิน ๑๒๐ ปีส่วนใหญ่ก็ต้องจากโลกนี้ไป เราอย่าปล่อยให้เชื้อพันธุ์สายพันธุ์ไม่ดีมันคิด เพราะความคิดอย่างนี้มันเป็นไวรัส ความคิดอย่างนี้เปรียบเหมือนยาสลบ มันมอมเมาเรา มันเอาเราเวียนว่ายตายเกิดตั้งหลายภพหลายชาติ เราไม่ต้องเชื่อตัวเอง เพราะตัวเองนั้นไม่ใช่พระพุทธเจ้าไม่ใช่พระอรหันต์ มันเป็นความคิดที่เป็นปัญหาต่อตัวเองต่อสังคม เป็นความคิดที่ทำลายความมั่นคง
ทุกท่านทุกคนต้องรู้จักความคิด เราจะได้หยุดตัวเองด้วยสัมมาทิฏฐิ เราจะได้หยุดคิด อบรมบ่มอินทรีย์ พากันทำความเพียรพากันปฏิบัติ เพื่อให้ใจของเราทุกคนทุกท่านเป็นศาสนา ทุกท่านทุกคนอย่าพากันหลงตัวเองนะ อย่าเอาตัวเองเป็นหลักเป็นที่ตั้ง ต้องพากันนอนให้เพียงพอ วันหนึ่งคืนหนึ่ง ๒๔ ชม. เราก็นอน ๖ ชม. นอกจากนั้นก็เป็นเวลาที่เรามีสติสัมปชัญญะ เป็นเวลาที่เราเสียสละตัวตน เอาพระธรรมพระวินัยเป็นที่ตั้ง เราอย่าคิดว่า โอ้... อย่างนี้ต้องปฏิบัติไม่ได้ ปฏิบัติอย่างนี้ต้องตายสิ ตายก็ตายสิ ตายก็ไม่เป็นไร ตายเขาก็เผาให้อยู่แล้ว ไม่ใช่ว่าไม่เผาให้ คนเราเกิดมาเพราะอวิชชาความหลง มันก็ไม่อยากตายนะ พวกเปรต ยักษ์ มาร อสุรกายมันก็ไม่อยากตายนะ ความคิดที่ไม่อยากตายอย่างนี้มันเป็นมิจฉาทิฏฐินะ มันอาลัยอาวรณ์ในอวิชชาในความหลง
เราทุกคนต้องรู้จักที่สุดแห่งความดับทุกข์ คือธรรมวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ เราอย่าได้ทิ้งศาสนา อย่าได้ทิ้งความเป็นธรรมความยุติธรรม เราต้องหยุดทำกิจกรรม หยุดพากันสร้างโรงงานสร้างวัฏสงสารที่เป็นภพน้อยภพใหญ่ เพื่อละสักกายทิฏฐิละตัวละตน ละจากที่ว่านี่เป็นเรานี่เป็นของของเรา เราจะได้พากันทำที่สุดแห่งทุกข์ เราทุกคนจะมาเอาอะไร เพราะทุกอย่างมันก็ไม่ได้อยู่กับเรา มันก็ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป เราต้องมีบ้านมีที่อาศัยคือพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ ทุกท่านทุกคนต้องมีความสุขในปัจจุบัน ปัจจุบันเราต้องมีที่สุดแห่งกองทุกข์ ถ้าปัจจุบันไม่ดี ความคิดความปรุงแต่งความฟุ้งซ่านมันจะมาเป็นเจ้านายสั่งการสั่งงานเรา มันเป็นความเสียหาย เพราะใจไม่สงบใจหลงใจเพลิดเพลิน มันมาสั่งงานให้เราประพฤติปฏิบัติ
กรรมฐานคือฐานที่ตั้งคือธรรมวินัยเป็นกิจกรรม ที่จะเป็นได้มันต้องอย่างนี้ไม่ใช่อย่างอื่น ทุกท่านทุกคนจะมาโกนผมอย่างโก้ๆ นุ่งห่มจีวรอย่างโก้ๆ อย่างนี้ไม่ได้ ไม่ใช่พระก็อ้างตัวเองว่าเป็นพระอย่างนี้ไม่ได้ ทุกท่านทุกคนต้องหยุดวัฏสงสารของตัวเอง หยุดเป็นโจรหยุดเป็นมหาโจรที่หลอกลวงทั้งตัวเองหลอกลวงทั้งผู้อื่นด้วยแบรนด์เนม เราทิ้งยานคือศีลสมาธิปัญญา ไม่มีกิจกรรมแห่งพระกรรมฐานเลย อย่างนี้พวกเราทั้งหลายเป็นเพียงพระกรรมถอกนะ ทำตามใจตัวเองทำตามอารมณ์ตัวเองเค้าเรียกกรรมฐานกรรมถอก กรรมที่หลอกลวง ทุกท่านทุกคนต้องมีแบบมีแผนมีแบรนด์เนม จะทิ้งแบบแผนแบรนด์เนมมันก็ไม่ได้ เมื่อเรามีแบบมีแผนมีแบรนด์เนม เราทุกท่านทุกคนก็ต้องเข้าสู่ภาคประพฤติปฏิบัติ ผู้ที่ไม่ได้บวชที่อยู่ที่บ้าน เราก็ปฏิบัติอยู่ที่บ้านที่ทำงานของเรา เพราะการเป็นพระนั้นมันไม่ได้อยู่ที่มาบวช มันไม่ได้อยู่ที่อาราม มันอยู่ที่ความเห็นถูกต้องความเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ความเป็นพระความเป็นพระศาสนามันต้องไปอย่างนี้
เราทุกคนต้องรู้จักคำว่าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าคือผู้ที่รู้ ตื่น เบิกบาน รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ความดับทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์อยู่ในปัจจุบัน
นักบวชกับคฤหัสถ์ก็ปฏิบัติได้พอๆ กัน คฤหัสถ์มีภาระมากต้องเลี้ยงดูตัวเองเลี้ยงดูพ่อแม่ญาติพี่น้อง เลี้ยงดูพระศาสนาอีก แต่ความเป็นพระมันเป็นได้ถึงพระอนาคามีเพราะมีความกังวล มีเรื่องให้รับผิดชอบ ธุรกิจหน้าที่การงานอื่นๆ อยู่
ทุกท่านทุกคนให้รู้จักความเป็นพระ ที่มันหยุดตัวหยุดตนหยุดเราหยุดเขา เข้าถึงความเป็นแบรนด์เนมด้วย เข้าถึงภาคประพฤติปฏิบัติด้วย เราอย่าไปคิดว่าสิ่งภายนอกมีปัญหา สิ่งภายนอกนั้นดูแล้วไม่มีปัญหาหรอก เพราะปัญหาต่าง ๆ มันเป็นที่ใจของเรามีอวิชชามีความหลงนั่นแหล่ะ เราพากันว่างจากสิ่งที่ไม่มีอยู่ สิ่งที่ว่างจากสิ่งที่ไม่มีอยู่ มันเป็นศาสนาได้ไหมล่ะ ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๖ มันเป็นปลายเหตุ ที่พวกเรามันหลงถึงได้เกิดพลังงานแห่งการเวียนว่ายตายเกิด พระพุทธเจ้าให้เรามีปัญญา อย่ามาหลงพวกปลายเหตุเหล่านี้ ต้องเอาธรรมวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ที่เป็นพรหมจรรย์ที่ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เพราะร่างกายของเรานี้ถึงจะบริโภคอย่างไรก็ต้องแก่ต้องเจ็บต้องตาย เราต้องพัฒนาตามหลักเหตุผลตามวิทยาศาสตร์พัฒนาจิตใจไปพร้อมๆ กัน
ธรรมวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ คือ ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๒๒๗ ศีล ๓๑๑ เพื่อจิตเพื่อใจ เพื่อเข้าถึงความดับทุกข์ที่แท้จริง ไม่ใช่ความดับทุกข์ชั่วคราว เราจะไปพระนิพพานเราต้องรู้จักนิพพานนะ ทุกๆ คนวิ่งตามความสุขด้วยการสนองอวิชชาความหลง สนองจุดสุดยอด จุดไคลแม็กซ์ มันเป็นสิ่งที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ มันเป็นรางวัลเป็นค่าจ้างของพญามาร ให้ทุกท่านทุกคนพากันรู้จัก เห็นโทษเห็นภัยในวัฏสงสาร
เราทุกคนก็พากันช่วยเหลือกันไป สลบแล้วสลบอีกก็พยุงขึ้น กดหน้าอกกระตุ้นหัวใจให้หายใจต่อไป ใช้ทั้งยาหอมยาดมยาหม่องกลูโคสอะไรต่าง ๆ ก็ต้องช่วยกัน เพราะเราเกิดมาก็ไม่เกิน ๑๒๐ ปีก็จากกันอยู่แล้ว ที่ว่าต้องใช้ยาหอมยาดมก็หมายถึงพวกที่ร่อแร่ หัวใจกำลังเป็นหัวใจปาราชิก ตามใจตัวเองตามอารมณ์ตัวเองเรียกว่าหัวใจปาราชิก เราจะหยุดตัวเองได้หยุดโรคหัวใจปาราชิกได้ต้องอาศัยเครื่องมืออาศัยยานคือศีลสมาธิปัญญา
พระอัญญาโกณฑัญญะ เมื่อได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าอย่าตามใจตัวเองตามอารมณ์ตัวเอง เราต้องตามธรรมะเพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปถึงมี มันเป็นเหตุเป็นผล สิ่งที่ทำให้เราเวียนว่ายตายเกิด พระกัญญาโกณฑัญญะเมื่อรู้แจ้งแล้วก็อุทานว่า จักษุเกิดขึ้นแล้วแก่เรา...ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่างเกิดขึ้นแล้วแก่เรา
เรื่องประวัติศาสตร์เรื่องอัตตชีวประวัติอย่างนี้เราก็จับเอาสิ่งที่ดีๆ ไว้มาปฏิบัติ ทำไปปฏิบัติไป ช่างหัวมัน มันจะสลบไสลก็ลุกขึ้นมา เดินต่อ อย่ายอมแพ้ ให้หัวใจเป็นปาราชิก พวกที่ยอมแพ้พวกที่กระอักเลือดพวกที่ลาสิกขาเค้าเรียกว่าหัวใจปาราชิก สำหรับผู้ที่มีภาระเลี้ยงดูพ่อแม่ เมื่อจะปฏิบัติตัวเอง ก็ต้องนำตัวเองด้วยธรรมะ ความเป็นพระมันไม่ได้เป็นที่อาราม แต่เป็นได้ที่ตัวเอง ที่เอาพระศาสนาเอาธรรมเอาวินัย ต้องพากันเข้าใจ เพราะประเทศไทยเราโชคดี การปกครองประเทศเอาธรรมเอาวินัยเป็นใหญ่ ไม่เอาอวิชชาความหลงเป็นใหญ่ พัฒนาวัตถุพัฒนาวิทยาศาสตร์พัฒนาจิตใจไปพร้อมๆ กัน ยิ่งแก่ยิ่งเฒ่าก็ยิ่งมีความสุขเพราะรู้จักอริยสัจ ๔ ไม่หลงงมงาย
ภิกษุทั้งหลาย มลทิน (ความมัวหมอง) ๘ ประการนี้ มลทิน ๘ ประการ อะไรบ้าง คือ ๑. มนต์มีการไม่ท่องบ่น เป็นมลทิน ๒. เรือนมีความไม่ขยันหมั่นเพียร เป็นมลทิน ๓. ผิวพรรณมีความเกียจคร้าน เป็นมลทิน ๔. ผู้รักษามีความประมาท เป็นมลทิน ๕. สตรีมีความประพฤติชั่ว เป็นมลทิน ๖. ผู้ให้มีความตระหนี่ เป็นมลทิน ๗. บาปอกุศลธรรมเป็นมลทินทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ๘. มลทินที่ยิ่งกว่ามลทินนั้นคืออวิชชา...ฯ
พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสพระคาถานี้ว่า :- อสชฺฌายมลา มนฺตา อนุฏฺฐานมลา ฆรา มลํ วณฺณสฺส โกสชฺชํ ปมาโท รกฺขโต มลํ. มนต์ทั้งหลายมีอันไม่ท่องบ่น เป็นมลทิน, เรือนมีความไม่หมั่น เป็นมลทิน, ความเกียจคร้าน เป็นมลทินของผิวพรรณ, ความประมาท เป็นมลทินของผู้รักษา.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อสชฺฌายมลา เป็นต้น ความว่า เพราะปริยัติหรือศิลปะอย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อบุคคลไม่ท่อง ไม่ประกอบเนืองๆ ย่อมเสื่อมสูญ หรือไม่ปรากฏติดต่อกัน.
อนึ่ง เพราะชื่อว่าเรือนของบุคคลผู้อยู่ครองเรือน ลุกขึ้นเสร็จสรรพแล้วไม่ทำกิจ มีการซ่อมแซมเรือนที่ชำรุดเป็นต้น ย่อมพินาศ
กายของคฤหัสถ์หรือบรรพชิต ผู้ไม่ทำการชำระสรีระ หรือการชำระบริขาร ด้วยอำนาจความเกียจคร้าน ย่อมมีผิวพรรณมัวหมอง.
อนึ่ง เพราะเมื่อบุคคลรักษาโคอยู่ หลับหรือเล่นเพลินด้วยอำนาจความประมาท โคเหล่านั้นย่อมถึงความพินาศ ด้วยเหตุมีวิ่งไปสู่ที่มิใช่ท่าเป็นต้นบ้าง ด้วยอันตรายมีพาลมฤค และโจรเป็นต้นบ้าง ด้วยอำนาจการก้าวลงสู่ที่ทั้งหลาย มีนาข้าวสาลีเป็นต้นของชนพวกอื่นแล้วเคี้ยวกินบ้าง แม้ตนเองย่อมถึงอาชญาบ้าง การบริภาษบ้าง.
ก็อีกอย่างหนึ่ง กิเลสทั้งหลายล่วงล้ำเข้าไปด้วยอำนาจความประมาท ย่อมยังบรรพชิตผู้ไม่รักษาทวาร ๖ ให้เคลื่อนจากศาสนา; ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า "ปมาโท รกฺขโต มลํ." อธิบายว่า ก็ความประมาทนั้น ชื่อว่าเป็นมลทิน เพราะความประมาทเป็นที่ตั้งของมลทินด้วยการนำความพินาศมา.
คนเราไปเชื่ออวิชชาเชื่อความหลงไม่ได้ เพราะตัวเองมีความขี้เกียจขี้คร้านมีความเห็นแก่ตัวมีตัวมีตนจนน่าเกลียด ก็ยังไม่รู้ตัวเอง มันต้องฝึกต้องปฏิบัตินะ รู้จักความโง่ รู้จักความสลบไสล ลุกขึ้นมา เดินไปด้วยธรรมวินัย อย่าให้เจ้าโลภเจ้าหลงนำหน้า มันเสียศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ของเราทุกคน ไม่เหมาะไม่สมควร
เราก็มองเห็นบุคคลที่ล้มเหลวทางธุรกิจ อย่างนี้ก็ถือเป็นเรื่องภายนอก แต่ถ้าเราล้มเหลวในความประพฤติในปฏิปทาหรือว่าในกรรมคือการกระทำนี้ มันเสียหายมากกว่า ตามใจตัวเองตามอารมณ์ตัวเองมันยิ่งเพิ่มโรคจิตโรคประสาทเพิ่มการเวียนว่ายตายเกิด เราอย่าได้คิดว่า ปฏิบัติไม่ได้ บาป อย่างนี้สึกดีกว่า เพราะว่าสึกไปแล้ว ไม่ใช่บาปหาย มันยิ่งเพิ่มบาป ไม่ใช่บาปธรรมดานะ มหาบาป เราต้องเป็นพระกรรมฐานคือกิจกรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ เข้าสู่ระบบความคิดที่เป็นสัมมาทิฏฐิ
เราโชคดีที่เรามีลมหายใจ มีพระพุทธเจ้า เรื่องการประพฤติปฏิบัติมันเป็นเรื่องส่วนตัวเรื่องของเรา เราต้องทำประโยชน์ตนให้ดีๆ เราจะไปคิดช่วยเหลือพ่อแม่ช่วยเหลือประชาชนได้อย่างไร ตัวเองยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ อย่าพากันเป็นบ้า ตัวเองนอนไม่หลับจะไปช่วยเหลือคนอื่นได้อย่างไร คิดดูก็น่าทุเรศ คิดใหญ่โต หลวงพ่อชาบอกว่าท่านสอนตัวเอง ๙๕% สอนคนอื่น ๕%
ความสมัครสมานสามัคคีต้องมีในอารามมีในครอบครัวมีในสังคม เราต้องก้าวไปพร้อมๆ กัน เราอย่าเป็นคนเจ้าอารมณ์มันเป็นนักปรัชญาเฉยๆ ไม่ได้เข้าสู่ภาคประพฤติปฏิบัติ เราต้องสมัครสมานสามัคคีเข้าถึงความเป็นแบรนด์เนมด้วยเข้าถึงภาคประพฤติปฏิบัติด้วย ช่วยเหลือกันไปพยุงกันไปก้าวไปพร้อมๆ กัน
เราน่ะอยากจะรวยแต่เราเป็นคนขี้เกียจ อยากบรรลุธรรมแต่เราเป็นคนขี้เกียจ พระพุทธเจ้าท่านตรัสเรื่องมรรค คือเรื่องข้อวัตรปฏิบัติ ผลมาจากข้อวัตรปฏิบัติที่เราปฏิบัติ ถ้าเราไม่มีการประพฤติปฏิบัติ ผลนั้นจะเกิดขึ้นไม่ได้นะ แต่เรามันพากันข้ามขั้นตอนไป อยากเอาแต่ผลไม่ต้องการทำข้อวัตรปฏิบัติ มันจะเป็นไปได้อย่างไร เพราะสิ่งมันเป็นไปไม่ได้ เรื่องมรรคผลนิพพานมันเป็นเรื่องข้อวัตรปฏิบัติ มันก็ไม่ใช่เรื่องยาก มันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่มันเป็นเรื่องที่เราต้องประพฤติปฏิบัติเพื่อให้มันเกิดมรรคผลนิพพาน
การรักษาศีลก็ให้เป็นผู้เสียสละ ละความเห็นแก่ตัว ละความมักง่ายของตัวเอง รู้จักเสียสละไม่ตามใจตัวเอง ถ้าเราปฏิบัติเพื่อเสียสละ เพื่อปล่อยวาง เพื่อไม่มีตัวมีตน ชื่อว่าเราปฏิบัติถูกต้อง ถ้าเรามีความสงสัย พระพุทธเจ้าท่านให้เราเอาธรรมตัดสิน ๘ ประการ มาตัดสินการประพฤติปฏิบัติของตัวเอง เช่น พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อความขี้เกียจขี้คร้าน ธรรมเหล่านั้นไม่ใช่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า"
ถ้าเราติดสุขติดสบาย เราเป็นคนขี้เกียจขี้คร้านนั้นก็ไม่ใช่พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า คำเกียจคร้านมันเป็นปัญหาใหญ่ มันทำให้ทุกคนติดทุกคนหลง ทำให้ทุกคนไม่เข้าถึงคุณธรรม เรามีความยากจน ไม่มีคุณธรรมก็เนื่องมาจากเราเป็นคนขี้เกียจขี้คร้าน ติดสุขติดสบาย ความสุขความสบายนี้แหละ มันเป็นสิ่งที่ร้อยรัด เป็นเครื่องพันธนาการผูกเข้าไว้ นี้ถือว่าด่านใหญ่ของชีวิต ไม่ว่าเด็ก ไม่ว่าผู้ใหญ่ ไม่ว่านักเรียนนักศึกษา ไม่ว่าพระ ไม่ว่าชี ไม่ว่าโยม ถูกความขี้เกียจขี้คร้านมันเล่นงานทุกคน
ความขี้เกียจขี้คร้านจัดว่าเป็นสิ่งเสพติด เป็น "กามสุขัลลิกานุโยค" ถ้าเราติดมันแล้วเขาเรียกว่ามันมีโทษ ปกติคนเรามันจะมีอาชีพ มีการดำรงชีวิตด้วยความสุข แต่ถ้าเราไปติด เขาไม่เรียกว่ากามคุณแล้ว เขาเรียกว่า "กามโทษ"
พระพุทธเจ้าท่านให้เรารับประทานอาหาร ให้ร่างกายพักผ่อน ให้กายให้ใจสบาย เพื่อมีกำลังที่จะสร้างบารมีสร้างความดี แต่ท่านไม่ให้เราติด ถ้าเราติดแสดงว่าเราปฏิบัติผิด เพราะว่าคนติด ก็ยกตัวอย่างเช่น เราทำงาน เราได้เงินเดือน เรานอนกินเงินเดือนให้หมดเสียก่อน เราถึงไปทำงาน เงินเดือนของเรามันก็ย่อมหมด นั่นแสดงว่าเรากินของเก่า กินบุญเก่า ถ้าเราไปติดสุขติดสบายมันก็เป็นอย่างนี้ เพราะเป็นผู้ปฏิบัติผิด ไม่เป็นผู้เดินทางสายกลาง
ความดีเป็นสิ่งที่จะต้องทำ "ทำสม่ำเสมอ" มันจะหยุดไม่ได้ถ้าเราหยุดก็แปลว่าเราตาย "เราตายจากคุณงามความดี" ที่สังคมมีปัญหา โลกมีปัญหา ปัญหาใหญ่มันมาจากความขี้เกียจขี้คร้าน ตัวเองก็ไม่เจริญ ครอบครัว สังคม ประเทศชาติก็ไม่เจริญ เพราะตัวเองติดสุข ติดความขี้เกียจขี้คร้านแท้ๆ
พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราเอาความสุขทางร่างกาย ต้องเอาความสุขในการเสียสละ ในการละความเห็นแก่ตัว คนส่วนใหญ่ก็เข้าใจแต่เรื่องวัตถุ แต่เรื่องจิตเรื่องใจยังไม่ค่อยเข้าใจกัน คิดว่าความสุขมันได้มาจากวัตถุ ได้มาจากการกิน การนอน การเล่น
ความสุขได้มาจากเสียสละ ได้มาจากการละความเห็นแก่ตัว ถ้าเราไม่มีตัวตนมาก เราเป็นผู้ให้ เราก็มีความสุขความดับทุกข์ อย่างเราทำงานมันไม่มีความทุกข์นะ ถ้าใจอยู่กับเนื้อกับตัว ใจอยู่กับการทำงาน เรามีความเสียสละ ใจมันวางของหนัก วางความขี้เกียจขี้คร้าน วางตัววางตน เพราะตัวตนทำให้เราทุกข์ เราเครียด เรามีปัญหา
ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่อยู่ด้วยตัวด้วยตน อยู่ด้วยความเครียด ไม่ได้อยู่ในทางสายกลาง เดี๋ยวก็ดีใจ เดี๋ยวก็เสียใจ ทำไมดีใจเสียใจ ก็เพราะมีตัวมีตน เมื่อมีตัวมีตน โลกธรรมก็ครอบงำใจ
ถ้าเรามาเดินตามทางสายกลาง เราไม่ได้เอาตัวเอง เอาตัวเอาตนเป็นที่ตั้ง เอาศีลเอาธรรมเป็นที่ตั้ง ทุกข์จะมาจากไหน เพราะเราไม่มีตัวไม่มีตน พระพุทธเจ้าท่านให้เราทุกท่านทุกคนกลับมาหาศีลหาธรรมอย่างนี้ การประพฤติปฏิบัติของเราจะได้ถูกต้อง
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee