แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันอาทิตย์ที่ ๒ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง คุณของพระพุทธเจ้า ตอนที่ ๒๘ มีปัญญาเสียสละ เข้าสู่ความเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม จะได้ไม่ต้องกินของเก่า
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
พระนิพพานคือความสงบเย็น เป็นที่สุดแห่งความทุกข์ เป็นสภาวะธรรมที่เรียกว่าพระศาสนา ความเป็นพระนั้นคือพระศาสนา ไม่ใช่นิติบุคคล ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ผู้ที่เข้าถึงพระศาสนาได้ก็ต้องมีสัมมาทิฏฐิ คือความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง แล้วก็ปฏิบัติถูกต้องตามอริยะสัจ ๔ คือรู้ความจริง ตามเป็นจริง เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปถึงมี รู้ความจริงว่า เราถึงหยุดเหตุหยุดปัจจัย ทุกท่านทุกคนถึงพากันรู้ทุกข์ รุ้เหตุเกิดทุกข์ เราจะตามอวิชชาตามความหลงนี้ไม่ได้ เราต้องเข้าสู่ธรรมะ เรียกว่าพระศาสนา
ชีวิตของผู้ที่เป็นพระศาสนา ผู้ที่เป็นธรรมะ ถึงเป็นชีวิตที่มีความสุข มีความดับทุกข์ที่สุดในโลก ผู้ที่เป็นพระ ตั้งแต่พระโสดาบันถึงพระอรหันต์ ถึงจะเข้าถึงที่สุดแห่งความทุกข์ ความดับแห่งทุกข์ เรียกว่าเข้าถึงความสุขก็ไม่ใช่ เพราะอันนี้มันอยู่เหนืออารมณ์เหนือคำว่าสุขว่าทุกข์ หรือไม่สุขไม่ทุกข์ อันนี้คือพระศาสนา ศาสนาทุกศาสนาคือพระนิพพาน เราทุกคนต้องรู้ทุกข์ เราจะทำตามใจตัวเอง ทำตามอารมณ์ตัวเองไม่ได้ ต้องเอาพระศาสนาเป็นที่ตั้ง หรือเอาความถูกต้องความเป็นธรรมความยุติธรรม ความถูกต้องคือมันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ไม่มีเราไม่มีเขา มันเป็นพลังแห่งอวิชชาที่มันหมุนอยู่ หาใช่ตัวใช่ตนไม่ ทุกท่านทุกคนมีความสุขมีความสงบมีความเย็นอยู่ในตัวแล้ว เราต้องพากันรู้จักทุกข์ เหตุเกิดทุกข์ ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า เธอจงประพฤติพรหมจรรย์เถิด พรหมจรรย์สำหรับภิกษุ พรหมจรรย์สำหรับภิกษุณี พรหมจรรย์สำหรับสามเณร สำหรับคฤหัสถ์ คือต้องเอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นใหญ่ ความเป็นพระนั้นนับตั้งแต่พระโสดาบันจนถึงพระอรหันต์ ทุกคนก็สามารถเป็นได้ ต้องหาพระอยู่ที่เรา ที่ตัวเรารู้จักทุกข์ รู้จักเหตุเกิดทุกข์ เรียกว่าอริยสัจ ๔ นี้
เราเป็นคนที่โชคดีที่สุดแล้ว ไม่มีอะไรที่จะโชคดี เราจะเป็นมหาเศรษฐีมันก็ดับทุกข์ทางจิตใจไม่ได้ ดับทุกข์ได้แต่เพียงทางกาย พระพุทธเจ้าท่านถึงให้เรามีสติมีปัญญามากกว่านั้น สู่ความเป็นพระธรรมเป็นพระวินัย นี้คือกิจกรรมของเราทุกๆ คนที่พระพุทธเจ้าบอกว่านี้คือศีล นี้คือสมาธิ นี้คือปัญญา การเมืองกับพระศาสนานี้มันคนละอย่าง แต่มันเนื่องด้วยกัน เพราะกายกับใจนี้มันก็ต้องไปด้วยกัน กินข้าวกายกับใจก็ต้องไปด้วยกัน นอนพักผ่อน เข้าห้องน้ำห้องสุขา กายกับใจก็ต้องไปด้วยกัน ทุกท่านทุกคนต้องกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว ต้องเข้าใจ เข้าใจแล้วเราจะได้มีกิจกรรมคือศีล สมาธิ คือปัญญา ปฏิบัติไปอบรมบ่มอินทรีย์ไป เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปถึงจะมี เพราะทุกอย่างนั้นบารมีเรายังไม่เพียบพร้อม บำเพ็ญมานาน อบรมณ์บ่มอินทรีย์ เหมือนไก่ฟักไข่ ๓ อาทิตย์ก็ออกลูกมาเป็นตัว เราจะประพฤติธรรมะต้องอาศัยเวลา ต้องถือนิสัยพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ถือนิสัยตัวเรา บ้านเราเมืองเรามันจะได้มีควมสุขความดับทุกข์ทุกหนทุกแห่ง เราจะได้มีวัดที่แท้จริง วัดก็คือข้อประพฤติข้อปฏิบัติของเราทุกคนนี้ หาใช่กุฏิวิหาร ลานเจดีย์ไม่ นั่นเป็นอารามที่อยู่ของภิกษุ สามเณร มันยังไม่ได้เป็นพระอะไรหรอก เป็นพระเฉยๆ เราทุกคนเป็นพระที่แท้จริงคือ รู้อริยะสัจ ๔ รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ คืออริยมรรคมีองค์ ๘ เพราะเหตุปัจจัยที่ทุกคนเป็นพระ เป็นพระศาสนา การปฏิบัติ มันไม่ใช่เรื่องที่จะมีความทุกข์ เรื่องที่จะหยุดความทุกข์อะไร เรื่องเห็นภัยในวัฏฏะสงสาร ไม่เป็นแมลงเม่าบินเข้ากองไฟในตอนกลางคืน ไฟมันลุกสว่าง พลังงานแห่งไฟที่มันลุก แมลงเม่ามันออกทำมาหากิน ไม่คิดจะไปตายหรอก แต่ว่าไฟกองใหญ่มันก็เป็นพลังงานดึงดูด เหมือนกับรูป รส กลิ่น เสียง มันดึงดูดเราทุกคน มันไปไม่ได้ เราต้องรู้จักภาวนารู้จักยกสิ่งต่างๆ ขึ้นสู่พระไตรลักษณ์ เราทุกคนโชคดีนะ ต้องมาใช้ร่างกายกว้างศอก ยาววา หนาคืบ นี้ให้เป็นประโยชน์
ทุกท่านทุกคนดับทุกข์ได้ทุกหนทุกแห่ง ไม่ต้องระเหเร่ร่อนไปที่ไหนหรอก เราจะได้มีบ้านที่แท้จริง คือพระนิพพาน เราจะได้ไม่เป็นคนโฮมเลส เราต้องเข้าใจ เราต้องสร้างเหตุสร้างปัจจัย มนุษย์เราไม่ควรที่จะฟุ้งซ่าน ไม่ควรที่จะหลง มันจะเป็นได้แต่เพียงคน เพราะมนุษย์เราต้องมีความสุข เรามีความสุขมาแล้ว สร้างบ้านที่อยู่อาศัย ทำไร่ ทำนา ทำสวนอะไร ทุกอย่างมันมีความสุขอยู่แล้ว แต่ใจของเรามันยังไม่รู้อริยสัจ ๔ ยังไม่ได้พัฒนากัน พัฒนามันพัฒนาน้อยเหลือเกิน มันยังอยู่ในสีลลัพพตปรามาส ลูบคลำในศีล ข้อวัตรปฏิบัติ เพราะความสุขความดับทุกข์ภายนอกมันอร่อยเหลือเกิน มันแซ็บ มันลำ มันหรอย
พระพุทธเจ้าถึงให้มีสัมมาสมาธิใจเข้มแข็ง มีปัญญาต้องเสียสละ เราจะเข้าสู่ความเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เราจะได้ไม่ต้องกินของเก่า เหมือนพระที่ออกภิกขาจารไปบ้านนางวิสาขาที่อยู่กับพ่อผัว นางวิสาขาบอกให้ไปรับบิณฑบาตข้างหน้า เพราะพ่อสามีกำลังกินของเก่า เรื่องราวมีอยู่ว่า...
นางวิสาขา เมื่อมาอยู่ในตระกูลของมิคารเศรษฐี ก็วางตัวได้อย่างเหมาะสมกับที่เป็นลูกผู้ดีมีสกุล นางมีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่คนทั่วไป ให้ความเคารพนับถือผู้อาวุโส ผู้อยู่ในวัยควรเรียกว่า พ่อ แม่ ลุง ป้า น้า อา นางก็เรียกเหมาะสมแก่วัยของผู้นั้นๆ นางจึงเป็นที่รักของคนทั้งปวง อยู่ในตระกูลสามีก็ปรนนิบัติพ่อสามี แม่สามี และสามีด้วยดีไม่บกพร่อง เป็นที่รักของสามีและพ่อแม่ของสามีทั่วหน้ากัน
วันหนึ่งก็เกิดเรื่องขุ่นข้องหมองใจกันจนได้ แต่ก็ยังไม่ถึงกับใหญ่โตนัก คือสกุลมิคารเศรษฐีนั้นนับถือพวก “อเจลลกะ” (ชีเปลือย) มาหลายชั่วอายุคนแล้ว แต่วิสาขาเป็นอริยสาวกของพระพุทธศาสนา นี่แหละครับคือที่มาแห่งความขุ่นเคืองและลุกลามไปเป็นความขัดแย้งที่รุนแรงในที่สุด
นักบวชสมัยพุทธกาลมีมากมายหลายลัทธิ ลัทธิที่ขึ้นหน้าขึ้นตามากก่อนที่พระพุทธศาสนาแพร่หลาย ก็คือลัทธิเชนของศาสดามหาวีระ (ตำราพุทธเรียกว่า นิครนธ์นาฏบุตร) มหาวีระหรือนิครนธ์นาฏบุตร บางตำราว่าเป็นขัตติยราชกุมารออกบวช ถือความเคร่งครัดมาก ขนาดไม่ยอมนุ่งห่มผ้า เพราะถือว่าเสื้อผ้าเป็นเครื่องแสดงถึงความยึดมั่นถือมั่น เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะหมดกิเลสจริงต้องไม่ยึดแม้กระทั่งเสื้อผ้า พูดง่ายๆ ว่าต้องเปลือยกายล่อนจ้อน พวกที่เปลือยกายเดินโทงๆ ทั่วไปจึงเรียกกันว่า “อเจลกะ” แปลว่าไม่นุ่งผ้า หรือชีเปลือย
แต่ก็มีชีเปลือยอีกพวกหนึ่งไม่สังกัดลัทธิเชนก็มี เพราะฉะนั้น เมื่อพูดถึงอเจลกะ (ชีเปลือย) จึงอาจหมายถึงพระในลัทธิเชนหรือชีเปลือยทั่วไปก็ได้ ชีเปลือยที่ตระกูลสามีของนางวิสาขานับถือกันมาหลายชั่วอายุคนนี้ คงเป็นพวกพระในลัทธิเชนดังกล่าวข้างต้น ท่านเศรษฐีนิมนต์พระเชนมาฉันที่คฤหาสน์ เมื่อพระมาถึงท่านก็สั่งให้คนไปเชิญลูกสะใภ้มา “ไหว้พระอรหันต์” นางวิสาขาได้ยินคำว่า “พระอรหันต์” ก็ดีใจ เพราะนางเป็นอริยสาวิการะดับพระโสดาบัน มีความเลื่อมใสมั่นคงในพระรัตนตรัย จึงรีบมาเพื่อนมัสการพระอรหันต์
แต่พอมาถึงก็เห็นประดา “อเจลกะ” เต็มไปหมด นางเกิดความขยะแขยงจึงกล่าว (ค่อนข้างแรง) ว่า นึกว่าคุณพ่อให้มาไหว้พระ กลับเรียกมาไหว้พวกไม่มียางอายผ้าผ่อนก็ไม่ยอมนุ่ง ว่าแล้วก็เดินหนีไป
นักบวชเปลือยเหล่านั้นโกรธจนหน้าดำหน้าแดง ว่าท่านเศรษฐีทำไมเอาคนนอกศาสนาไม่เคารพพระสงฆ์เข้ามาเป็นสะใภ้ภายในบ้าน เท่ากับนำ “กาลกิณี” เข้าบ้าน ไม่เป็นสิริมงคลเสียเลย มีอย่างที่ไหนปล่อยให้มาด่าพระสงฆ์องค์เจ้าอย่างนี้ ท่านเศรษฐีต้องจัดการไล่อีตัวกาลกิณีนี้ออกจากตระกูล หาไม่พวกอาตมาจะไม่มารับอาหารบิณฑบาตจากบ้านท่านเป็นอันขาด ถูกยื่นคำขาดอย่างนี้ ท่านเศรษฐีจึงว่า กราบขออภัยเถอะขอรับ นางยังเด็ก ยังไม่รู้ว่าอะไรควรไม่ควร ขอพระคุณเจ้าโปรดยกโทษให้นางด้วยเถอะ
“ไม่ได้ เศรษฐีต้องไล่นางไป เรื่องนี้มิใช่เรื่องเล็ก จะมาอ้างว่ายังเด็กยังเล็กไม่ได้ โตจนมีผัวเป็นตัวเป็นตนแล้ว พ่อแม่ไม่สั่งสอนหรืออย่างไร”
“แต่ว่านางเป็นธิดาของตระกูลใหญ่ การจะไล่นางออกง่ายๆ นั้นไม่ได้ขอรับ เพราะก่อนจะส่งตัวนางมา พ่อแม่ของนางก็มอบนางไว้ในความดูแลของพราหมณ์ผู้เชี่ยวชาญทั้งแปด ทุกอย่างต้องผ่านความเห็นชอบจากพราหมณ์เหล่านั้นก่อน” เศรษฐีอธิบาย
“ไม่รู้ล่ะ ท่านเศรษฐีต้องจัดการก็แล้วกัน” ว่าแล้วท่านพร้อมทั้งบริวารก็ลงจากเรือนไปด้วยจิตใจที่ขุ่นเคือง (ไหนว่าไม่นุ่งผ้าแล้วกิเลสจะไม่มี ที่แท้แค่นี้ยังแสดงอาการโกรธอยู่) เศรษฐีถึงจะไม่พอใจลูกสะใภ้ที่พูดเช่นนี้ แต่ก็คิดว่า เรื่องไม่ใหญ่โตถึงขั้นต้องส่งนางกลับตระกูลเดิม
แต่อยู่มาวันหนึ่ง เรื่องที่เศรษฐีเห็นว่าร้ายแรงก็เกิดขึ้น วันนั้น นางวิสาขาปรนนิบัติพ่อสามี ขณะที่นั่งรับประทานอาหารข้าวมธุปายาสอย่างดีอยู่ที่ระเบียงบ้าน พระเถระในพระพุทธศาสนารูปหนึ่ง เดินบิณฑบาตผ่านหน้าบ้านเศรษฐีพอดี ท่านได้มายืนต่อหน้าเศรษฐี ต้องเข้าใจด้วยว่า สมัยก่อนโน้นพระมายืนหน้าบ้านได้ ถ้าชาวบ้านปรารถนาจะใส่บาตร ก็นำอาหารไปใส่ ถ้าไม่มีอะไรจะใส่ หรือยังไม่พร้อมที่จะใส่ ก็บอกท่านว่า “นิมนต์โปรดข้างหน้าเถิด เจ้าข้า” ท่านก็จะไปยืนที่อื่น แต่พระสงฆ์ในเมืองไทย ถ้ารูปใดไปยืนรอให้คนใส่บาตร จะถูกตำหนิติเตียน เรื่องนี้มีข้อแตกต่างกันอยู่
เศรษฐีมองเห็นพระแล้ว แต่ทำเป็นไม่เห็น ก้มหน้าก้มตากินข้าวมธุปายาสเฉย ซึ่งนางวิสาขาก็รู้จึงค่อยๆ ถอยออกไปกระซิบกับพระคุณเจ้า ดังพอที่พ่อสามีจะพึงได้ยินว่า “นิมนต์โปรดข้างหน้าเถิดเจ้าข้า คุณพ่อของดิฉันกำลังกินของเก่า”
เท่านั้นแหละครับ เศรษฐีลุกขึ้นเตะจานข้าวกระจายเลย พูดด้วยความโกรธจัดว่า พวกเอ็งไล่นางกาลกิณีคนนี้ออกไปจากตระกูลข้าเดี๋ยวนี้ หนอยแน่ะ มันกำแหงถึงขนาดหาว่าข้ากินขี้เชียวเรอะ
คราวนี้เกิดเรื่องใหญ่ ครอบครัวที่เคยสงบสุขมานาน ก็ปั่นป่วน ณ บัดดล พ่อสามีโกรธ แม่สามีก็โกรธ เจ้าประคุณสามีก็โกรธด้วย ที่ถูกหญิงสาวจากตระกูลอื่นมาด่าเสียๆ หายๆ แบบนี้
นางวิสาขาต้องเข้าไปเคลียร์กับคนเหล่านั้นว่าไม่ได้หมายความตามที่พวกเขาเข้าใจ แต่ใครมันจะฟังเล่า นางวิสาขาพูดว่า นางเองมิได้ถูกนำมาสู่ตระกูลนี้ ดุจนางกุมภทาสีที่เขานำมาจากท่าน้ำ นางเป็นบุตรของตระกูลใหญ่เช่นเดียวกัน ก่อนจะมาอยู่ในตระกูลนี้ บิดามารดาก็ได้มอบความรับผิดชอบไว้กับพราหมณ์ผู้ทรงคุณวุฒิทั้งแปด เมื่อเกิดเรื่องราวอะไรขึ้น ต้องให้ท่านทั้งแปดรับทราบด้วย
เศรษฐีจึงพูดว่า ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว จึงเรียกพราหมณ์ทั้งแปดมาตัดสินคดี และแล้วท่านทั้งแปดก็ถูกตามตัวมา เศรษฐีได้ฟ้องว่า นางวิสาขาลูกสะใภ้ของตน ด่าด้วยคำพูดหยาบคายว่า ตนกินขี้ ขอให้พวกท่านตัดสินเอาผิดนางด้วย
พราหมณ์ทั้งแปดถูกเชิญมาสอบสวนกรณีพิพาทระหว่างนางวิสาขา กับมิคารเศรษฐี พ่อสามี เศรษฐีได้กล่าวหานางวิสาขา ว่า ดูถูกดูหมิ่นตน หาว่าตนกินของเก่า ซึ่งหมายถึงกินอุจจาระ เป็นคำพูดสบประมาทที่ร้ายแรงมาก ยอมไม่ได้ ที่ด่าว่าพ่อสามีเสียหายเช่นนี้ต้องถูกขับไล่โดยถ่ายเดียว ไม่มีข้อยกเว้น
พราหมณ์ทั้งแปดหันมาถามนางวิสาขา ว่า เป็นเช่นนั้นหรือ ถ้าเป็นจริงเช่นนั้น นางก็ต้องรับโทษทัณฑ์อย่างหนักตามที่เศรษฐีกล่าวแล้ว
นางตอบว่า “หาเป็นเช่นนั้นไม่ นางมิได้ดูหมิ่นว่าคุณพ่อสามีของนางกินอุจจาระแต่ประการใด คุณพ่อเข้าใจไปเอง”
“เข้าใจไปเองอย่างไร นางพูดกับพระใช่ไหม ว่า นิมนต์โปรดข้างหน้าเถิด คุณพ่อดิฉันกำลังรับประทานของเก่า ถึงฉันจะแก่แล้วแต่หูฉันยังดี ได้ยินคำพูดเธอชัดถ้อยชัดคำ” เศรษฐีเถียง
“ดิฉันพูดเช่นนั้นจริง” นางกล่าว
“เห็นไหม ท่านทั้งหลาย นางยอมรับแล้วว่านางพูดจริง” เศรษฐีหันไปกล่าวต่อพราหมณ์ทั้งแปด
“หามิได้ ดิฉันกล่าวเช่นนั้นจริง แต่มิได้หมายความอย่างที่คุณพ่อเข้าใจ ดิฉันหมายถึงว่า คุณพ่อดิฉันเกิดมาในตระกูลมั่งคั่ง เสวยโภคทรัพย์มากมายในปัจจุบันนี้ เพราะอานิสงส์แห่งบุญเก่าที่ทำไว้แต่ปางก่อน แต่คุณพ่อของดิฉันมิได้สร้างบุญใหม่ในชาตินี้เลย ดิฉันหมายเอาสิ่งนี้ จึงกล่าวว่า คุณพ่อดิฉันกินของเก่า”
เมื่อนางวิสาขาแก้ดังนี้ พวกพราหมณ์จึงหันมาหาเศรษฐี กล่าวว่า “ที่นางพูดนั้นก็ถูกต้องแล้ว นางไม่มีความผิดเพราะเรื่องนี้”
เมื่อพ่อสามีแพ้แก่เหตุผลของลูกสะใภ้ หันมาพิจารณาตนด้วยจิตใจเป็นกลาง ก็รู้ว่าตนนั้น “กินของเก่า” จริงๆ จึงยอมขอขมาลูกสะใภ้ ลูกสะใภ้ได้ทีก็พูดจาขึงขังว่า เมื่อนางพ้นผิดแล้วก็ขอกลับไปตระกูลของนางตามความประสงค์ของคุณพ่อสามีต่อไป ว่าแล้วก็สั่งให้คนขนของเตรียมเดินทาง เศรษฐียิ่งร้อนใจจึงอ้อนวอนว่าอย่าไปเลย พ่อก็ขอโทษแล้ว พ่อผิดจริง นางจึงต่อรองว่า “ถ้าจะให้ลูกอยู่ต่อไป ต้องอนุญาตให้ลูกนิมนต์พระสงฆ์ อันมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข มาฉันอาหารที่บ้านทุกวัน” เศรษฐีก็ยินยอม
วันต่อมา นางวิสาขาทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าพร้อมภิกษุสงฆ์มาเสวยภัตตาหารที่บ้าน เมื่อพระองค์เสด็จมาถึง นางจึงให้คนไปแจ้งแก่พ่อสามีว่าให้มา “อังคาส” พระพุทธเจ้าและภิกษุสงฆ์
“อังคาส” หมายถึงเลี้ยงพระ คือลูกสะใภ้เชิญให้พ่อสามีมาเลี้ยงพระด้วยกัน เศรษฐีก็ทำท่าจะมา แต่พวก “อเจลกะ” (นักบวชเปลือยกาย) ห้ามไว้ว่า ท่านเศรษฐีไม่ควรไปเสวนากับพระสมณโคดม
เศรษฐีจึงให้คนไปบอกลูกสะใภ้ว่า เชิญลูกอังคาสพระองค์เองเถอะ เมื่อพระพุทธเจ้าพร้อมพระภิกษุสงฆ์เสวยเสร็จแล้วจะทรงแสดงพระธรรมเทศนา นางวิสาขาให้คนไปแจ้งพ่อสามีอีกว่า ให้มาฟังธรรม คราวนี้พวกอเจลกะจะห้ามอย่างไรเศรษฐีก็ไม่ฟัง คิดว่าเป็นการไม่สมควรที่จะขัดใจลูกสะใภ้ (เดี๋ยวนางจะโกรธจะกลับตระกูลของนางเสีย) พวกอเจลกะบอกว่าท่านเศรษฐีจะไปฟังก็ได้ แต่ให้ฟังอยู่นอกม่าน อย่าเห็นพระสมณโคดม ว่าแล้วก็สั่งคนไปกั้นม่าน จัดที่ให้เศรษฐีนั่งฟังธรรม
พระพุทธองค์ทรงดำริว่า ถึงเศรษฐีจะนั่งอยู่นอกจักรวาล ถึงจะถูกภูเขาหลายแสนลูกบังอยู่ ก็สามารถได้ยินเสียงของพระองค์ ว่าแล้วพระองค์ทรงแสดงพระธรรมเทศนา มุ่งสอนเศรษฐีโดยตรง เริ่มด้วยทรงแสดง “อนุปุพพีกถา” (พรรณนาเรื่องทาน ศีล สวรรค์ โทษของกาม อานิสงส์การออกจากกาม แล้วจบลงด้วยอริยสัจสี่ประการ)
ก็เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงธรรมอยู่ ชนผู้ยื่นอยู่ข้างหน้าก็ตาม ข้างหลังก็ตาม อยู่เลยร้อยจักรวาล พันจักรวาลก็ตาม อยู่ในภพอกนิษฐ์ก็ตาม ย่อมกล่าวกันว่า “พระศาสดา ย่อมทอดพระเนตรดูเราคนเดียว ทรงแสดงธรรมโปรดเราคนเดียว” แท้จริง พระศาสดาเป็นดุจทอดพระเนตรดูชนนั้นๆ และเป็นดุจตรัสกับคนนั้นๆ โดยเจาะจง
นัยว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลาย อุปมาดังพระจันทร์ ย่อมปรากฏเหมือนประทับยืนอยู่ตรงหน้าแห่งสัตว์ทั้งหลาย ผู้ยืนอยู่ในที่ใดที่หนึ่งเหมือนพระจันทร์ลอยอยู่แล้วในกลางหาว ย่อมปรากฏแก่ปวงสัตว์ว่า“พระจันทร์อยู่บนศีรษะของเรา พระจันทร์อยู่บนศีรษะของเรา” ฉะนั้น ได้ยินว่า นี้เป็นผลแห่งทานที่พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงตัดพระเศียรที่ประดับแล้ว ทรงควักพระเนตรที่หยอดดีแล้ว ทรงชำแหละเนื้อหทัยแล้วทรงบริจาคโอรสเช่นกับพระชาลี ธิดาเช่นกับนางกัณหาชินา ปชาบดีเช่นกับนางมัทรี ให้แล้ว เพื่อเป็นทาสของผู้อื่น
เศรษฐีรู้สึกประหนึ่งว่า พระธรรมเทศนานี้ทรงมุ่งเทศน์ให้ตนฟังคนเดียว จึงตั้งอกตั้งใจส่งกระแสจิตพิจารณาไปตามความที่ทรงแสดง เมื่อจบพระธรรมเทศนาก็ได้บรรลุโสดาปัตติผลเป็นพระอริยบุคคลระดับต้น มีศรัทธามั่นคง ปราศจากความสงสัยในพระรัตนตรัย และเลิกให้การสนับสนุนพวกอเจลกะ กลายเป็นพระสาวกของพระพุทธเจ้าในที่สุด
เศรษฐีได้ยกย่องนางวิสาขาบุตรสะใภ้ของตนเป็น “มิคารมาตา” (แปลว่า แม่ของมิคารเศรษฐี) เพราะนางเป็นประดุจแม่ผู้ให้กำเนิดในทางธรรมแก่ตน
นั่นหมายถึงว่ากินบุญเก่า หลงในสิ่งที่หมู่มวลมนุษย์สร้างขึ้นมา สร้างหลักเหตุผล สร้างหลักวิทยาศาสตร์ มันไม่มีปัญญาเอาเสียเลย มันไม่ได้เอาของสดชื่นเบิกบาน ด้วยใจ ทาน ศีล ภาวนา เขาเลยพากันเมาบุญ เมาสวรรค์ เมารวย เมายศ เมาตำแหน่ง ที่เรารู้กัน พวกที่เป็นเทวดาที่ไม่ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นส่วนใหญ่พวกมนุษย์ไม่ได้เป็นมนุษย์ เพราะมันเมามันหลง ไม่เห็นโทษในวัฏฏะสงสาร ยินดีพอใจ ยินดีในขยะ เราต้องพากันพัฒนาอริยมรรคมีองค์ ๘ ให้มันดี ให้มันสมบูรณ์ เพราะเราเป็นคนโชคดีอยู่แล้ว
เราต้องรู้จักว่าศาสนาพุทธประเสริฐขนาดไหน เราได้ยินชื่อก็เป็นบุญเป็นกุศลเเล้ว เราท่องพุทโธ พุทโธ ผีมันยังกลัวเลย เเสดงว่าเรายังไม่เคารพ ไม่ยำเกรงในพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าอย่างนี้ไม่ได้นะ เราจะเป็นผู้เเก่เรียนบวชนาน เเล้วไม่ได้ประพฤติปฏิบัติมันน่าอายนะ ถ้าใครต่อต้านในใจเท่ากับไปด่าพระพุทธเจ้า เพราะว่าธรรมะของพระพุทธเจ้านี้ไม่มีใครมาคัดค้านได้
เพราะหลวงพ่อดูเเล้วทุกคนก็จะหาสิ่งที่ตามใจ ไปคุยเเต่พวกที่คุยอะไรตามใจ พวกที่ไม่ตามใจเราถือว่าคนละพวกไป มันโง่ขนาดไหน ถ้างั้นไม่ได้หรอก เราจะเอาแบรนด์เนมพระพุทธเจ้า โกนหัวมันก็ไม่ได้ผลหรอก ใส่ชุดขาว ชุดน้ำตาลอะไรก็ไม่ได้ผลหรอก เพราะว่ามันเอาเเต่รูปแบบ ทางภายนอก ไม่ได้เเก้ไขตัวเอง ไม่รู้จักอริยสัจ ๔ ไม่รู้จักทุกข์ ไม่รู้จักเหตุเกิดทุกข์ ไม่รู้จักข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ นี้เเหละคือมนุษย์ขยะตัวจริง จะถือเอาพระในประเทศไทยเป็นสรณะไม่ได้ ต้องถือเอาพระพุทธเจ้า พระอรหันต์เป็นสรณะ ต้องถือเอาธรรมะวินัยเป็นสรณะ ถ้างั้นจะเอาไลน์โจรหมด
เรามาปรับที่ 'ใจ' เอาความสุขความดับทุกข์อยู่ที่ใจ เราไม่ต้องไปเอาความสุขทางกาย ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืน ชีวิตของเราที่ยังอยู่นี้...ถือว่าเหลือน้อยแล้ว ต้องฝึกปล่อย ฝึกวาง เราทุกคนเกิดมาก็ไม่ได้เอาอะไรมา เวลาจากไปก็ไม่ได้เอาอะไรไป เราจะมาตกนรกทั้งเป็นที่เรายังไม่ตายไปทำไม ลูกหลานน่ะมันจะรวยจะจนก็ช่างหัวมัน มันจะมีปัญหาอะไรก็ช่างหัวมัน ตัวเราก็ยังเอาตัวเราไม่รอดอยู่แล้ว ไม่ต้องไปคิดอะไรให้มันเป็นทุกข์อีก ร่างกายของเรามันจะเจ็บก็ช่างมัน มันจะแก่ก็ช่างมัน มันจะตายก็ช่างมัน ใครเค้าจะว่า เราดีเราชั่ว ว่าจะจนหรือรวยก็ช่างมันน่ะ ต้องมาฝึกปล่อย ไม่ต้องรู้มาก...ไม่ต้องคิดมาก...กลับมามีสติสัมปชัญญะให้สมบูรณ์ ท่องพุทโธๆ เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
เราแก่...เราต้องยอมรับในความแก่ของเรา เราเจ็บ เราก็ต้องยอมรับในความเจ็บของเรา เราตายก็ต้องยอมรับ ในความตายของเรา เราอยากไม่ให้แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย เราก็ต้องตกนรกทั้งเป็น พระพุทธเจ้าท่านว่า... "เราไม่รู้จักธรรม" ตั้งแต่ก่อนนะเราเป็นเด็กทำมาหากิน เราแข็งแรง เราเอาความสุขทางร่างกาย เอาความสุขในการเล่นการเที่ยวได้น่ะ
แต่นี้เราต้องตัดให้หมดเรื่องภายนอกน่ะ เพราะสุขอันไหนก็สู้ เรากลับมาหาความสงบไม่ได้...ไม่มี...เราถือว่าผลไม้มันกำลังสุกงอมแล้ว ถือว่าร่างกายของทุกคนมันแก่เฒ่าแก่ชราแล้ว สิ่งที่ดีที่สุด ก็คือ เรามาเจริญสติสัมปชัญญะให้สมบูรณ์ อบรมบ่มอินทรีย์ สมองเรามันจำอะไรไม่ได้...ก็ช่างหัวมันน่ะ เพราะสัญญาทั้งหลายทั้งปวงมันไม่เที่ยง...มันไม่ใช่ตัวใช่ตน พระพุทธเจ้าท่านให้เรามีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ให้ดับทุกข์ทางจิตทางใจในปัจจุบันให้มันได้
เรานี้อย่าไปคิดว่าตัวเองมันจะแข็งแรง คิดว่าตัวเอง มันจะหนุ่มขึ้น มันเป็นไปไม่ได้ ยิ่งนานวันเข้าก็ยิ่งแก่ ยิ่งเฒ่า ยิ่งหง่อมแล้ว อย่าไปแก้มันร่างกายน่ะ ต้องมาแก้ที่จิตที่ใจของเราน่ะ "คนเราน่ะถ้าจิตใจมันสงบโรคภัยมันก็สงบ ถ้าจิตใจไม่สงบ โรคภัยมันก็กำเริบ" คนเราน่ะกายของเรามันแก่ มันเจ็บ มันตาย ถ้าเราเอาความแก่ ความเจ็บ ความตาย ทางร่างกายมาพัฒนาจิตใจของตัวเองเพื่อสร้างพระนิพพาน ให้เกิดขึ้นที่จิตที่ใจว่า เราตามความอยาก ตามความต้องการ ตามอารมณ์ไปไม่ได้ มันทำให้เราเวียนว่ายตายเกิด เราสงสารตัวเอง เราสลดสังเวชตัวเองที่ตัวเองเวียนว่ายตายเกิดน่ะ เราจะมารับจ้างเสพสุขเสพสบายในรูป เสียง กลิ่น รส แล้วทำ ให้เราเวียนว่ายตายเกิดน่ะ มันเป็นสิ่งที่สมเพชเวทนาตัวเอง
ที่มันออกไปข้างนอกเยอะๆ น่ะ มันทำให้เราผิดศีลผิดธรรม ทำให้ทำร้ายคนอื่น ทำให้เราเป็นคนไม่มีศีล ไม่มีธรรมน่ะ ตั้งแต่นี้ต่อไปน่ะเราจะเอาพระพุทธเจ้า เอาพระธรรม เอาพระอริยสงฆ์เป็นที่ตั้ง จะไม่เอากิเลส เอาความอยากความต้องการเป็นที่ตั้งแล้ว อดเอาทนเอาเพราะสร้างความดีสร้างบารมี
ญาติโยม... พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า... เราพากันมาอยู่วัดมาอบรมบ่มอินทรีย์ เจริญสติสัมปชัญญะ พยายามอยู่กับเนื้อกับตัว อย่าพากันไปพูดกันมาก อย่าพากันคลุกคลีนะ เรื่องพูดเรื่องคุยน่ะมันไม่จบ เรื่องลูกเรื่องหลาน เรื่องอะไรต่างๆ นั้นมันไม่จบน่ะ ต้องกลับมาทบทวนตัวเอง ว่าตัวเองมันบกพร่องตรงไหน ต้องสมาทานแล้วจะได้ปรับปรุง เราจะได้เป็นแบบเป็นพิมพ์ให้ลูกให้หลาน ลูกหลานเค้าจะได้มีความสุข...ว่าพ่อแม่เค้ามีศีลมีธรรม...สงบเย็น พ่อแม่เค้าเดี๋ยวนี้ใจดีมาก ใจเย็นมาก มีหัวใจติดแอร์คอนดิชั่นแล้ว ไม่หลงเรื่องร่ำเรื่องรวย เรื่องไปเที่ยวโน่นเที่ยวนี้แล้ว
เพราะคนเราถ้าใจมันสงบ มันก็ไม่สนใจอย่างอื่นหรอก... เพราะความสุขความดับทุกข์มันอยู่ที่ 'ใจสงบ' บางทีคนเรามันคิดนะ เดี๋ยวมันแก่เกินมันจะไปเที่ยวเมืองนอกไม่ได้ อันนี้แสดงว่า เราไม่รู้จักเรื่องพระนิพพาน เรารู้จักแต่ความสุขทางภายนอก ถือว่าเรายังเป็นคนบาปอยู่ เป็นคนมืดอยู่ เป็นคนไม่สว่างไสวอยู่นะ เราอย่าไปหาสวรรค์ไกล...นิพพานไกล... สวรรค์นิพพานมันอยู่กับเราชีวิตปัจจุบันน่ะ ถ้าใจของเรามันมีสติสัมปชัญญะที่สมบูรณ์นะ
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee